1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31
รู้ธรรมเห็นธรรม คือ เห็นอะไร
ผมได้กล่าวถึง การฝึกกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน + สติ เป็นอย่างไร + ความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร ไว้ในหลาย ๆ บทความของ blog ของผมนี้ พร้อมกับได้เชิญชวนท่านให้เข้าร่วมการฝึกฝนการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ ถ้าท่านได้ลงมือฝึกฝนมาระยะหนึ่งแล้ว ท่านอาจสัมผัสกับกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว ท่านอาจรู้จักลักษณะของสติ รู้จักลักษณะของความรู้สึกตัวแล้ว ในบทความนี้ ผมจะได้นำท่านให้เข้าใจว่า เมื่อท่านลงมือฝึกฝนตามที่ผมแนะนำไว้ ท่านจะรู้ธรรมเห็นธรรม แล้วธรรมที่ท่านรู้คืออะไร แล้วธรรมที่รู้จะนำพาท่านไปสู่การพ้นทุกข์ได้อย่างไร เมื่อท่านลงมือฝึกตามวิธีการที่ถูกต้อง ไม่ว่าจากสำนักไหน อาจารย์องค์ใด ธรรมที่ท่านจะรู้เพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ ก็คือ ท่านจะรู้จึกสิ่งหนึ่ง ซึ่งผมจะเรียกมันว่า .ความรู้สึก. ครับ เมื่อท่านฝึกลูบแขนดังที่ผมเขียนไว้ในเรื่อง ตัวอย่างการฝึกเพื่อการรู้กาย ท่านย่อมรู้สึกได้ถึงการสัมผัสเมื่อมีการลูบ รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของแขน นี่เป็นความรู้สึกที่ท่านสัมผัสได้ ถ้าท่านสังเกตดี ๆ ความรู้สึก นี่คืออาการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อท่านสัมผัส เมื่อท่านฝึกฝนจน .จิตรู้. เกิด ท่านจะรู้สึกได้ถึงพลังงานที่วูบขึ้นมาจากความคิด จากอารมณ์จิตที่แปรปรวน เมื่อตาท่านมองเห็นภาพ ท่านจะรู้สึกถึงอะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นจากการเห็น และอื่น ๆ อีกหลาย ๆ อย่างความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อท่านสัมผัสถึงโดยผ่านทางระบบประสาทของร่างกาย คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตใจ ความรู้สึกที่สัมผัสได้นี่แหละครับ คือ ธรรม เมื่อท่านรู้ความรู้สึก นั่นคือ ท่านรู้ธรรม แล้ว แต่ว่า ท่านอาจยังไม่ประจักษ์แจ้งว่า นี่คือธรรม เพราะปัญญายังไม่เกิดขึ้น ( ซึ่งเปรียบเหมือนกับว่า มีคนเอาธนบัตรปลอมและจริงผสมกันมาให้ท่านดู แต่ไม่บอกวิธีดูว่า ของปลอมต่างจากของจริงอย่างไร ท่านย่อมไม่รู้ว่า ธนบัตรใบใดจริง ใบใดปลอม แต่ท่านได้สัมผัสมันแล้ว ) ตอนนี้ ผมขอให้ท่านหลับตา แล้วให้เอามือไปหยิบจับอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง ท่านสังเกตได้ไหมว่า เมื่อท่านหลับตา และมือไปจับสัมผัสสิ่งของ จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นแว๊บหนึ่งเมื่อตอนเริ่มสัมผัส นั่นแหละครับ ธรรม ที่เกิดขึ้นและท่านไปรู้มันแล้ว ท่านอาจจะบ่นออกมาดัง ๆ ว่า นมสิการ เพี้ยนไปแล้ว ใคร ๆ ก็รู้แบบนี้ มันจะเป็นธรรมได้อย่างไร เรื่องนี้ ผมไม่ขอโต้แย้งท่าน แต่ผมจะบอกว่า ให้ท่านหมั่นสังเกต อะไรที่มันแว๊บ ๆ นี่แหละครับตอนเริ่มสัมผัสอะไรเข้า และที่ง่ายที่สุด ก็คือ การใช้มือจับสิ่งของ หรือ ลูบไล้แขนขา หรือ อื่น ๆ อะไรก็ได้ตามแต่ทีท่านถนัด แต่ว่า ท่านต้องสัมผัสแล้วหยุดสัมผัส แล้วเริ่มสัมผัสใหม่ แล้วขอให้ท่านสังเกตอะไรแว๊บ ๆ นี่ไปเรื่อย ๆ ผมจะไม่เฉลยให้ท่านว่า มันเป็นอะไร แต่ผมบอกได้ว่า สิ่งแว๊บ ๆ นี่คือธรรม ไม่ผิดแน่นอน เมื่อท่านสัมผัสแว๊บๆ นี่มาก ๆ บ่อย ๆ ท่านจะเข้าใจมันได้เอง เมื่อท่านเข้าใจอะไรที่แว๊บ ๆ นี้แล้ว ท่านจะเข้าใจอีกระดับหนึ่งขึ้นมาของธรรม การเข้าใจอันนี้ จะเป็นปัญญาทางพุทธศาสนา อันจะนำท่านเข้าสู่ทางพ้นทุกข์ได้ มันจะไม่เหมือนการหยุดทุกข์ด้วย .จิตรู้. ดังที่ผมเขียนไว้ในบทความก่อน ๆ หน้านี้ เพราะนั่นยังเป็นการหยุดทุกข์โดยใช้สัมมาสมาธิ อะไรแว๊บ ๆ นี้เมื่อท่านเข้าใจมัน ท่านจะเข้าใจได้เลยว่า ชีวิตนี้ทำไมไม่ใช่ตัวตน ท่านจะเข้าใจได้เลยว่า กิเลส นั้นมันเป็นเพียงมายาไม่ใช่ของจริง (ท่านจะเลิกสนใจกับกิเลสไปเลย ) เมื่อท่านเข้าไปอ่านกระทู้ในห้องศาสนา ท่านก็จะเห็นอะไรแปลก ๆ ออกไปจากเดิมไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ท่านจะเข้าใจอะไรแว๊บ ๆ นี้ ท่านจะเข้าใจเลยว่า ที่ท่านหรือหลาย ๆ ท่านหมั่นรักษาศีล นั้นที่แท้มันเป็นอะไรกันแน่ ( รู้แล้วก็เงียบ ๆ ไว้คนเดียว อย่าพูดมากไป เดี๋ยวจะโดนยึดอมยิ้มการเป็นสมาชิกของ pantip ) ท่านจะเข้าใจได้เลยว่า คำสอนอาจารย์ใด สอนตรง หรือ สอนอ้อม หรือ สอนผิดทาง ( เช่นกัน รู้แล้วก็เงียบ ๆ ไว้ เพราะอาจโดนลูกศิษย์มาตามถล่ม ตามขู่ ตามทำร้าย ตามราวีไม่หยุด ) และที่สำคัญ ชีวิตท่านไม่อาจตกต่ำได้อีกต่อไป ผมบอกใบ้ให้ได้เพียงเท่านี้ครับ เพราะสิ่งที่แว๊บ ๆ นั้น มันอธิบายยากทีเดียว ไม่รู้จะเขียนให้เข้าใจได้อย่างไร เอาเป็นว่า ขอให้ท่านสังเกต อะไรแว๊บ ๆ อย่างที่ผมเล่ามาก็แล้วกัน เมื่อท่านเข้าใจในอะไรแว๊บๆ แล้ว และท่านยังฝีกฝนต่อไปอีก ท่านจะได้พบกับสิ่งหนึ่ง ที่ผมไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร และไม่รู้จะเปรียบได้กับอะไร แต่มันมีลักษณะเหมือนเป็นอะไรที่นิ่ง ๆ อยู่ เมื่อท่านเห็นมันได้ครั้งเดียว ท่านจะห็นมันได้เสมอๆ ตลอดไป ถ้าตราบใดทีท่านยังรู้สึกตัวอยู่ (ท่านยังมีการเผลอตัวอยู่เสมอ แต่เป็นการเผลอตัวที่เกิดขึ้นสั้น ๆ เป็นขณะ ๆ ไป ไม่ได้เผลอตัวยาว ๆ แบบมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาฝึกฝน ) ดูภาพประกอบครับ เมื่อท่านมาถึงตรงนี้ ท่านจะห็นธรรมได้ 2 อย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน สิ่งหนึ่งก็คือ อะไรที่มันอยู่นิ่ง ๆ และ สิ่งหนึ่งก็คือ อะไรที่มันแปรเปลี่ยนแว๊บ ๆ มันะจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่อท่านเห็นมันอยู่แบบนี ไม่มีอารมณ์กิเลสใด ๆ จะเข้ามาในจิตใจท่านได้เลย จนบางครั้ง รู้สึกว่า อารมณ์กิเลสมันได้หายไปจากจิตใจท่านเสียแล้ว แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจ มันอาจหลบในก็ได้ครับ เรื่องนี้ ผมไม่ขอยืนยัน เพราะผมก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งการพ้นทุกข์นั้นเอง เมื่อท่านพบธรรมแล้ว ท่านก็คงเลิกอ่าน blog ของผมอีกเช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสำหรับท่านไปแล้ว และเมื่อนั้น เป้าหมายแห่ง blog นี้ก็สมบูรณ์แล้วในการนำพาใครก็ได้ที่ตั้งใจจริงเข้าสู่เส้นทางแห่งพุทธศานาได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะมีเพียง 1 คนก็บรรลุเป้าหมายแล้ว .............. บทความต่อเนื่อง แนะนำอ่านเรื่อง มาดูดอกไม้ไฟกันเถอะ//www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=09-10-2009&group=1&gblog=106
Create Date : 08 ตุลาคม 2552
12 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:06:22 น.
Counter : 2832 Pageviews.
โดย: อุ้มสี 9 ตุลาคม 2552 0:24:18 น.
โดย: virut IP: 172.16.21.104, 119.46.99.2 9 ตุลาคม 2552 8:45:47 น.
โดย: kaoim IP: 110.49.143.72 9 ตุลาคม 2552 10:26:46 น.
โดย: kaoim IP: 110.49.143.72 9 ตุลาคม 2552 10:42:28 น.
โดย: บัว IP: 118.174.18.155 9 ตุลาคม 2552 12:41:12 น.
โดย: นมสิการ 9 ตุลาคม 2552 12:53:14 น.
โดย: นมสิการ 9 ตุลาคม 2552 12:55:39 น.
โดย: virut IP: 172.16.21.104, 119.46.99.2 12 ตุลาคม 2552 9:01:25 น.
โดย: นมสิการ 24 ตุลาคม 2552 18:56:39 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:13:07 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****