จำคุก ตร.ทุ่งสองห้องกับเมียคนละ 20 ปี หลอกลวงแม่บ้าน สน.เดียวกัน ลงทุนขายเหล้านอก
จำคุก ตร.ทุ่งสองห้องกับเมียคนละ 20 ปี หลอกลวงแม่บ้าน สน.เดียวกัน ลงทุนขายเหล้านอก
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ตุลาคม ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นางปณัชภา ทองสุขงาม และ ด.ต.ประสูต ทองสุขงาม ผบ.หมู่ ป.สน.ทุ่งสองห้อง จำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน รวม 14 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุกเป็นเวลา 70 ปี แต่โทษความผิดในฐานฉ้อโกง กฎหมายกำหนดโทษสูงสุดไว้ 20 ปี จึงจำคุกจำเลยทั้งสองเป็นเวลาคนละ 20 ปี
คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง สรุปว่าระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม 2550 - 16 พฤศจิกายน 2552 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ที่ สน.ทุ่งสองห้อง ร่วมกันหลอกลวงโดยการชักชวนให้ผู้เสียหายรวม 14 ราย ซึ่งเป็นภรรยาของตำรวจโรงพักเดียวกัน ร่วมลงทุนในการซื้อสุราต่างประเทศ อ้างว่าจะได้กำไร 500-600 บาทต่อสุรา 1 ลัง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้ง 14 คน หลงเชื่อนำเงินเข้าร่วมลงทุน ได้เงินไปทั้งสิ้นรวม 5,152,800 บาท
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดตามฟ้อง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ พิพากษาลงโทษจำคุกดังกล่าว และให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายทั้ง 14 คน รวม 5,152,800 บาท
//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1317625500&grpid=&catid=19&subcatid=1905
กรณีตามข่าว ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในข้อหาฉ้อโกงประชาชน
การฉ้อโกงเป็นความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาดังนี้
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอก ลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนการฉ้อโกงประชาชนเป็นความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาดังนี้
มาตรา 343 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 341 ได้กระทำ ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิด ความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะ ดังกล่าวใน มาตรา 342 อนุมาตรา หนึ่งอนุมาตราด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพัน บาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
///////////
การจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ
1." โดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง" และ 2."โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ "
กรณีตามข่าว จำเลยทั้งสองหลอกลวงผู้เสียหายให้เข้าร่วมทุนขายเหล้านอกโดยอ้างว่าจะได้กำไรลังละ 5-6 ร้อยบาท ในความเห็นส่วนตัวผมเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีน่าจะมากกว่านี้ เพราะการไปชักชวนใครมาลงทุนกับเราคงต้องบอกแต่ทางจะได้กำไรไม่มีใครบอกหรอกว่ามาลงทุนแล้วจะเจ๊ง เชื่อว่า ข้อเท็จจริงน่าจะมีมากกว่าในข่าว ประมาณว่า จำเลยทั้งสองอาจหลอกลวงเรื่องเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเหล้า -ต้นทุน-ตลาด การหลอกลวงนั้นถึงขนาดที่ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและมอบเงินให้จำเลยไปลงทุน จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฉ้อโกง(แทนที่จะแค่ผิดสัญญา)
เมื่อมีการหลอกลวงผู้อื่นมากกว่า 1 คนขึ้นไป ในลักษณะหลอกลวงให้คนที่รู้ในสิ่งที่จำเลยนำเสนอออกไปหลงเชื่อเป็นการทั่วไป พวกเขาจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6645 - 6646/2548 แจ้งแก้ไขข้อมูล
การแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 ไม่ได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงว่ามากหรือน้อย แต่ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเป็นสำคัญโดยจะพิจารณาจากวิธีการในการหลอกลวง จำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงมาประกอบด้วยเท่านั้น คดีนี้แม้ผู้เสียหายตามฟ้องจะมีเพียง 11 คน แต่ตามบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งมีผู้เสียหายที่ตกลงกับจำเลยทั้งสองถึง 35 คน แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้ติดต่อชักชวนเฉพาะผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดในคดีนี้เท่านั้น ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองไปพบผู้เสียหายแต่ละคนที่บ้านแล้วแจ้งเงื่อนไขการไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียซึ่งจะได้รับเงินเดือนตั้งแต่ 8,000 บาท ถึง 11,000 บาท โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางรวมคนละ 17,000 บาท แต่ต้องจ่ายเงิน 5,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ก่อน เหมือนกันทุกคน ลักษณะการชักชวนเป็นการชักชวนทั่วไป มิได้มุ่งเจาะจงชักชวนคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษโดยเฉพาะหากผู้ใดปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวได้ก็สามารถสมัครไปทำงานได้ ขึ้นอยู่กับข้อที่ว่าจะจ่ายเงินให้ตามเงื่อนไขที่แจ้งไปหรือไม่เป็นสำคัญ การหลอกลวงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ แม้จะมิได้มีการป่าวประกาศหรือแจ้งให้ผู้ถูกหลอกลวงแต่ละคนไปชักชวนต่อ แต่ลักษณะการชักชวนอย่างเดียวกันโดยผู้ถูกชักชวนย่อมบอกต่อกันไปได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 แล้ว
ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว แม้ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดถอนคำร้องทุกข์แล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานนี้ก็ยังไม่ระงับไป
////
อย่างไรก็ตาม ตามข่าวข้างต้น คดีน่าจะยังสามารถอุทธรณ์-ฎีกา ต่อไปได้ คงต้องรอฟังผลกันต่อไปครับ
นับว่าเรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ให้ทั้งฝ่ายที่คิดหลอกคนอื่นว่า คุณอาจต้องติดคุกได้ และ ฝ่ายที่จะถูกหลอกว่า โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆฟรีๆ
แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 54 09:39:15
จากคุณ : อุบลแมน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 09:31:19
Create Date : 25 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 25 ตุลาคม 2554 13:55:19 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1187 Pageviews. |
|
|
|
More Flowers Comments