โปรดช่วยกันดูแลคนดี ตั๊กแตน ชลดา กว่าจะมีคนที่ดีดี สักคน ยอมอุทิศตน เพื่อคนส่วนใหญ่ กว่าจะเจอคนที่เราเห็น ว่าเป็นคนใช่ ต้องรอนานเท่าใด จึงได้มา
แต่คนดีก็อยู่กับเรา ไม่นาน โดนแรงเสียดทาน โถมจนพ่ายล้า ใครโง่ไม่เป็น ใครเด่นเกินไป ต้องโดนคนว่า ทำถูกใจช้า ยังด่าทอ
ใช้คนดีเปลือง ฝืดเคืองคำชม โยนเรื่องทับถม ถึงทนก็ท้อ เมื่อทำดียาก ใครอยากจะทำดีต่อ ก่อนที่คนดีจะท้อ จึงร้องขอแรงส่งมา
โปรดช่วยรักษาคนดี เชิดชูคนที่เสียสละ ไม่ถูกใจบ้างบางเวลา อย่าด่วนกล่าวหา จนถอดใจ โปรดช่วยดูแลคนดี ให้มีศักดิ์ศรีและยิ่งใหญ่ ปกป้องคนดีให้มีชัย เพื่อให้ใครใคร อยากทำความดี
อยากให้มีคนที่ทำดี มากมาย ยืนหยัดสู้ไหว แรงใจมากมี กว่าจะเจอก็ยากนักหนา ควรรักษาให้ดี ใช้เพชรที่เรามี อย่างรู้ค่า
โปรดช่วยรักษาคนดี เชิดชูคนที่เสียสละ ไม่ถูกใจบ้างบางเวลา อย่าด่วนกล่าวหาจนถอดใจ โปรดช่วยดูแลคนดี ให้มีศักดิ์ศรี และยิ่งใหญ่ ปกป้องคนดีให้มีชัย เพื่อให้ใครใคร อยากทำดี
โปรดช่วยรักษาคนดี เชิดชูคนที่เสียสละ ไม่ถูกใจบ้างบางเวลา อย่าด่วนกล่าวหาจนถอดใจ โปรดช่วยดูแลคนดี ให้มีศักดิ์ศรี และยิ่งใหญ่ ปกป้องคนดีให้มีชัย เพื่อให้ใครใคร อยากทำความดี
เรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดในประเทศไทยขณะนี้ เกิดจากการแก่งแย่งให้ได้มาซึ่งอำนาจ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม ไม่เป็นธรรมตั้งแต่แรกในความคิด และมีผลต่อการกระทำ เมื่อความคิดนำให้ทำผิดการกระทำก็จะผิดตามมา ความอยุติธรรมก็เกิด ไม่สนใจต่อเสียงของคนรอบข้าง ไม่สนใจต่อเสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการให้นักการเมืองบางประเภทออกไปจากการเป็นผู้บริหารรัฐบาล โดยลืมย้อนคิดไปว่าเมื่ออดีตตัวเองก็เคยทำเช่นนี้เช่นกัน บีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามตัวเองต้องออกไปจากการเป็นผู้บริหาร วันนี้ขอนำคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเคยสอนว่า "อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ"
ท่านได้สอนว่า "ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %" คือ คอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น กลับเสียใหม่นะ....ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 % ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง โบราณพูดว่า "เรามักจะเห็นความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม" มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆเห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10 เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10 จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ
พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก รีบแก้ไขระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่...อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้ เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้ สักแต่ว่า..ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อนเมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น พูดด้วยเหตุด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป
เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มากๆ พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา...นั่นแหละ เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง ระวังนะ...พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา...ก็เรื่องของเขา อย่าเอามาเป็นอารมณ์...อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา ดูใจเรานั่นแหละ พัฒนาตัวเองนั่นแหละ....ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ หัด-ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง ไม่มีอะไรหรอก "ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข" (ข้อมูลจาก tamdee.org เรื่อง สอนคนชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)
เรื่องทุกเรื่องที่เกิดในตอนนี้นั้น เกิดจากเหตุข้างต้นมีผลทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นเพราะจิตของคนเราถูกปรุงแต่ง บางคนถูกปรุงแต่งให้ลุ่มหลงมัวเมา และคิดว่าเป็นไปตามที่คิด ที่เห็น และคิดว่า สิ่งที่คิดนั้นถูกต้อง บางคนพยายามหาเหตุผลมาประกอบแต่กลับกลายเป็นเหตุผลของตัวเอง เปรียบเหมือนคิดเองเออเอง โดยลืมนึกเหตุผลความเป็นจริงที่คนส่วนใหญ่และสังคมยอมรับได้หรือไม่ ถ้าหากผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ก็จะไม่มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นที่ให้ต้องมาแก้ไขสถานการณ์ และไม่ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันแบบทุกวันนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "จิตนี้เป็นใหญ่ เป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยดวงจิต" เมื่อจิตจะเอาอะไร จะทำอะไร จะพูดอะไร จะทำบุญทำบาป ก็สำเร็จด้วยดวงจิต แล้วก็พากาย ใจ วาจา ให้ประพฤติดี ไม่ดี ทำดีหรือทำไม่ดี ก็เพราะดวงจิตล้วนๆ ทำให้เกิดความอยาก การดิ้นรน วุ่นวาย ไปรับเรื่องราวต่าง ๆ มานึกคิด มาปรุงแต่ง พระองค์จึงทรงตรัสว่า ไม่ต้องไปเก็บเอาอะไรมาอีก เท่าที่มันมีอยู่นี้มันก็หนักพอแรงแล้ว ยังจะไปเก็บเอาเรื่องราวอารมณ์ภายนอกเข้ามา ให้มันยุ่งเหยิง มันก็ยิ่งหนัก เหมือนกับว่าเราหาบ เราแบกเต็มแรงแล้ว แต่ยังไม่พอ เก็บเข้ามาใส่อีก ท่านว่าเหมือนคนบ้าหาบหินได้อะไรมาก็หาบไป เมื่อเห็นไม้ เห็นก้อนหิน เม็ดกรวดอะไรก็ตาม เก็บใส่ข้างหน้าข้างหลัง แล้วก็หาบเรื่อยไป ไม่ว่าเห็นอะไรอยู่ข้างถนนหนทางก็เก็บมาใส่ทั้งนั้น เรียกว่าเก็บก้อนหิน ของหนักมาใส่ หาบไป จนกระทั่งหาบไปไม่ได้ ก็เก็บออก เก็บออกพอเบาไปได้ก็หาบไปอย่างนั้นแหละเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน
นิทานคนบ้าหาบหินนี้ เปรียบอุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา ไม่สงบ ไม่สลัดออกจากอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามา ถ้าเป็นสิ่งที่ตัวเองชอบก็เก็บเอามาไว้ มาคิด มานึก มาปรุงแต่งในทางที่จะยึดเอาถือเอาเหมือนคนบ้าหาบหิน เก็บเข้ามา ยึดเข้ามา ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ ก็ไปเกลียด ไปกลัว ไปชัง วุ่นวายอย่างนั้นเหมือนคนบ้าหาบหินซะอย่างนั้นล่ะ หรืออย่างหูได้ฟัง ก็เก็บเข้ามา นอกจากเก็บเข้ามาแล้ว คำดุคำด่า ว่าร้ายป้ายสีให้แก่กัน ชอบเอามาคิด มานึก แม้สิ่งนั้นจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม จำไว้ ไม่ให้ลืม เขียนไว้ไม่ให้ลืม เป็นอย่างนี้มาตลอดกัป ตลอดกัลป์ ตลอดภพ ตลอดชาติ ไม่รู้จักปล่อยวาง และชอบพูดชอบกล่าวแต่ในสิ่งที่ไม่ชอบที่ตัวเองคิดว่าเค้าเป็นอย่างที่ตัวเองคิด ให้รู้จักปล่อยวาง ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่นเหม็นหอมอะไร ก็อย่าไปยึดไปถือเอา ถ้าจิตหลงไปยึดไปถือแล้วทำให้เกิด เป็นทุกข์ไม่มีจบไม่มีสิ้นสิ่งที่ล่วงมาแล้วไม่ยอมให้ผ่านไปยังเก็บเอามาคิดนึกอีก เหมือนคนบางคนทำสิ่งเลวๆ ต่างๆ เพราะมัวแต่คิด แต่นึกจะทำทุกอย่างที่ตัวเองคิดไว้ให้ได้ ทำให้จนประสบผลสำเร็จอย่างที่ตัวเองตั้งใจ ทั้งที่บางทีสิ่งที่คิดจะเป็นสิ่งที่เลวไม่ดีก็ตาม เหมือนการไล่ล่า หาเรื่องกันอย่างสังคมในปัจจุบันไม่ควรทำ ควรปล่อยวาง อย่าคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ในแผ่นดินในประเทศแล้วจะทำอะไรก็ได้ กรรมเวรนั้นมีจริง ใครทำกรรมอะไรไว้ต้องได้รับผลกรรมนั้นเสมอ ไม่มีใครรู้ว่าแต่ละคนไปทำกรรมอะไรไว้บ้าง ทำไมไม่ปล่อยวางให้เป็นเรื่องของกรรมจัดการเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคนไปจัดการแทนให้ "คงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรเค้ากระมัง" ถ้าหากให้มองในสิ่งที่คนบางคนจัดการก็คิดว่า ในมุมกลับกันถ้าหากเค้าไม่ได้ทำกรรมเวรอย่างที่ตัวเองไปกระทำกับเค้า จะไม่เป็นกรรมเวรที่ตัวเองจะต้องชดใช้คนที่ไม่ได้ทำได้หรือไม่....พึงสังวรไว้ให้ดี...วันนี้ยังไม่สายถ้าจะคิดปล่อยวาง และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรมเป็นตัวตอบแทนเอง ใครทำกรรมดีย่อมได้ดี ใครทำกรรมอะไรที่เลวๆ รอรับกรรม หรือเรียกว่าการกระทำที่ตัวเองได้ทำเลวๆ กับคนอื่นไว้บ้างก็แล้วกันแล้วจะหาว่าไม่เตือน...แล้วใครที่หลงไปร่วมกระบวนการช่วยกันชำระกรรมกับคนที่เค้าไม่ได้ทำกรรมกับตัวเอง หรือทำกรรมอย่างที่ถูกปรักปรำระวังนะกรรมติดจรวดมันเร็วและแรงยิ่งกว่าขีปนาวุธสมัยปัจจุบันซะอีก แล้ววันนั้นที่พวกคุณได้รับกรรมคงจะมีใครหลายๆ คนนั่งหัวเราะ สมน้ำหน้า เค้าว่ากันว่า "หัวเราะทีหลังมักดังกว่าเสมอค่ะ"
ข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิต
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
จะไม่มีเชื้อโรคใดเจาะผ่านภูมิคุ้มกันของเราได้ หากมีจิตใจที่คิดแต่สิ่งดี
ภายในวิกฤตที่เลวร้าย หากใช้สติและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ เราอาจจะได้เห็นด้านดีๆ ของชีวิตที่ซ่อนอยู่ก็ได้
|