Ward, Jesmyn. (2011). Salvage the bones. New York: Bloomsbury.
Esch เด็กสาววัยรุ่นผิวดำต้องเผชิญกับความปั่นป่วนในชีวิต เมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ เธออาศัยอยู่ในครอบครัวที่ยากจนในรัฐมิสซิสซิปปี มีพ่อติดเหล้า มีพี่ชายและน้องชายหลายคนที่ต่างก็ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด น้องชายคนหนึ่งเลี้ยงหมาบูลเทอเรียสีขาวเพศเมียเอาไว้ตัวหนึ่ง มันกำลังจะคลอดลูก ผู้เขียนเหมือนใช้อุปลักษณ์ในการสื่อจากแม่หมาที่กำลังออกลูกไปถึงเด็กสาวที่เพิ่งตั้งครรภ์ เธอรู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก แม้ว่าจะเป็นการรักสนุกของตัว แต่เธอก็จดจำได้ว่าใครที่น่าจะเป็นคนฝากลูกในท้องเธอไว้ แต่เด็กหนุ่มคนนั้นไม่รับ กลับปัดสวะให้พ้นตัว เด็กสาวเสียใจอยู่นาน แต่ผู้เขียนก็ทำให้เธอค่อยๆ เปลี่ยนความคิดจนได้ จากความไม่ต้องการสิ่งแปลกปลอมในท้องกลายเป็นรักและผูกพันในที่สุด เมื่อมองเห็นสัญชาตญาณรักลูกของแม่หมาลูกอ่อนที่น้องชายเลี้ยงไว้ (เหตุที่น้องชายเลี้ยงเอาไว้ก็เพื่อ dog fight ยิ่งเป็นหมาแม่ลูกอ่อนเขาว่ายิ่งดุ)
เนื้อเรื่องดำเนินไปในบรรยากาศอึมครึมและชวนอึดอัด เนื่องจากขณะนั้นพายุทอนาโดคาทารีนากำลังจะพัดเข้าฝั่ง (ดังที่เป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน) เรื่องมาถึงจุดพลิกผันในการตัดสินใจตอนท้ายเรื่อง เพราะพายุพัดกระหน่ำเข้ามา ทำให้เกิดน้ำท่วม พัดพาเอาบ้านเรือนเสียหายไปมากมาย หากครอบครัวซึ่งผจญกับน้ำหลากก็ผ่านพ้นวิกฤตมาได้ แม้ว่าต้องเสียทั้งแม่หมาและลูกหมาทั้งครอก ลูกหมาตัวสุดท้ายที่น้องชายอุ้มประคองไว้ก็จมน้ำตายไปต่อหน้า นั่นทำให้ Esch เกิดนึกหวงแหนลูกที่อยู่ในท้องของตนขึ้นมาทันที และตั้งปณิธานว่าเธอจะดูแลลูกน้อยที่เกิดขึ้นให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาในภายภาคหน้าก็ตาม
# 73
Pick, Alison. (2010). Far to go. London: Headline Review.
Martha ทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้แก่ครอบครัวชาวยิวที่ประเทศเชคโกสโลวาเกียสมัยที่นาซีกำลังจะเข้ารุกรานเมือง เธอผูกพันกับหนูน้อย Pepik เป็นอันมาก แถมทั้งยังหลงรักพ่อของเขาซึ่งกำลังมีปัญหายุ่งยากใจกับภรรยาผู้สำรวยสวยเก๋ ขณะนั้นธุรกิจอันเฟื่องฟูของครอบครัวเริ่มระส่ำระสาย เพราะรัฐบาลประกาศยอมให้กองทัพนาซีเยอรมันบุกข้ามมายึดครองดินแดนซูเดเตนของเชคซึ่งมีประชากรเป็นเยอรมันอยู่เกินครึ่ง เมื่อสถานการณ์รอบข้างเริ่มตึงเครียด สถานการณ์ในครอบครัวก็ไม่ต่างกัน Martha ได้แต่เก็บงำความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไว้ในฐานะที่เป็นคนรับใช้พวกยิวที่คนทั้งเชคไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
เมื่อครอบครัวเจ้านายย้ายหนีกองทัพนาซีเข้าไปอาศัยในกรุงปราก Martha ก็ย้ายตามไปด้วย เธอซึ้งใจที่พวกเขาไม่ทอดทิ้ง อย่างไรก็ดีต่อมาไม่นาน เมื่อเหตุการณ์จวนตัว นาซีปิดล้อมกรุงปราก ทั้งหมดก็วางแผนหนีออกนอกประเทศ พร้อมหอบลูกน้อยหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อเธอเผลอหลุดปากด้วยความน้อยใจที่ถูกทิ้งไปกับเพื่อนรักของเจ้านายหนุ่มซึ่งทรยศเอาความไปบอกทางการ ทำให้ครอบครัวถูกยึดพาสปอร์ต Martha รู้สึกผิดที่ทำให้หนูน้อย Pepik ต้องตกอยู่ในชะตากรรมอย่างชาวยิวคนอื่นๆ เธอจึงเสนอให้ครอบครัวส่งหนูน้อยขึ้นรถไฟสายพิเศษที่รับเฉพาะเด็กชาวยิวไปอาศัยกับพ่อแม่บุญธรรมที่อังกฤษ
การดำเนินเรื่องพลิกกลับมาที่การตามหาเรื่องราวในหนหลังของ Pepik ผู้ที่ขณะนี้มีวัยกว่า 70 ปี มีนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งทำการวิจัยเรื่องรถไฟที่ขนเด็กออกนอกประเทศในช่วงนั้น Pepik ได้รู้เรื่องราวแต่หนหลังก็จากปากของนักประวัติศาสตร์ผู้นี้ เนื่องจากความทรงจำในวัยเด็กของเขาหายไปสิ้น ตอนท้ายเรื่องมาเฉลยว่า นักวิจัยคนดังกล่าวก็คือลูกสาวของ Martha และมีพ่อคนเดียวกับเขานั่นเอง นักวิจัยเล่าว่า Martha เสียชีวิตอย่างเดียวดายสองปีให้หลังจากสงครามโลกยุติ ส่วนครอบครัวของ Pepik ถูกกวาดต้อนพร้อมกับชาวยิวคนอื่นๆ ไปยังค่ายกักกันที่โปแลนด์และถูกฆ่ารมควันพิษตายไปในที่สุด
# 74
Akpan, Uwem. (2008). Say youre one of them. New York: Back Bay Books.
เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นจำนวน 5 เรื่อง เล่าเรื่องราวของเด็กในทวีปแอฟริกาจากหลายๆ ประเทศ เรื่องแรกผู้เขียนเสนอภาพของครอบครัวข้างถนน พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ เด็กๆ ต้องโตก่อนวัย ออกทำงานหาเงินไม่เลือกอาชีพ แม้แต่การขายตัว เรื่องที่สองคือเด็กสองพี่น้องที่ถูกลุงขายไปเป็นทาส เล่าผ่านสายตาเด็กชายที่มีสัญชาตญาณถึงภัยที่ใกล้ตัว วางแผนหนีกับน้องสาวอีกคน แต่ด้วยความไร้เดียงสาของน้อง ก็ทำให้ทั้งคู่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของโจรใจโฉด ไม่อาจรอดพ้นจนแล้วจนรอด เรื่องที่สามเสนอความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหญิงสองคนสองศาสนา ทั้งคู่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับความขัดแย้งทางศาสนาที่ผู้ใหญ่ก่อขึ้น แต่จำต้องพรากจากกันเพราะผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย เรื่องที่สี่คือเด็กหนุ่มที่พยายามเดินทางขึ้นรถเมล์โดยสารหนีการประทะกันของคนต่างศาสนาทางตอนเหนือของไนจีเรีย เขาเป็นลูกครึ่งสองเผ่า แม่นับถืออิสลาม พ่อเป็นคริสต์ แต่ก็แยกย้ายมาอยู่กับแม่ เมื่อเกิดการจลาจลขึ้น มีการปราบปรามชาวมุสลิม เขาก็หนีตายแอบขึ้นรถลงใต้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้และถูกอัปเปหิลงจากรถข้างถนน รอเวลาที่จะถูกขบถแบ่งแยกดินแดนมาจัดการ เรื่องสุดท้ายคือหนูน้อยที่หนีการตามล่าจากคนในหมู่บ้าน หลังจากพบว่าพ่อสังหารแม่ทิ้งเพราะถูกกดดันจากคนในหมู่บ้าน เหตุที่ต้องฆ่าเพราะแม่นับถือคนละศาสนาและเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับพ่อ
ถือเป็นรวมเรื่องสั้นสะเทือนอารมณ์ เล่าจากสายตาของเด็กๆ ที่ถูกชะตากรรมกลั่นแกล้งและความบ้าบอของผู้ใหญ่ไม่รู้จักจบสิ้น กระทั่งทำให้เด็กๆ หลายคนต้องพบจุดจบอันน่าอนาถ
# 75
Kidd, Sue Monk. (2001). The secret life of bees. New York: Penguin Books.
Lily หนีออกจากบ้านเพราะโกรธแค้นพ่อที่ลงมือทำร้ายตัวเอง พร้อมกับความอัดอั้นที่คิดว่าตนเองเป็นเหตุให้แม่ต้องเสียชีวิตจากการที่เธอทำปืนลั่นใส่แม่เมื่อตอนอายุเพียง 4 ขวบ เด็กหญิงหนีมาพร้อมกับพี่เลี้ยงคนดำ กระเซอะกระเซิงมาจนถึงสวนผึ้งแห่งหนึ่ง โดยมีรูปถ่ายของแม่เป็นการนำทาง
ที่สวนผึ้งแห่งนี้เด็กหญิงก็ได้พบกับครอบครัวคนดำใจดี ที่นี่มีแต่หญิงล้วน เป็นพี่น้องกันหมด ในยุคนั้นคนดำยังไม่ได้รับสิทธิ์รับเสียงเหมือนคนขาว แต่ Lily ไม่คิดเหยียดหยาม กลับเป็นสุขที่ได้อยู่ภายในสวน เรียนรู้ชีวิตของผึ้ง เปรียบเทียบกับชีวิตของตน ได้รู้จักด้านต่างๆ ของแม่เมื่อรู้ในที่สุดว่าแม่เคยอาศัยอยู่กับครอบครัวคนดำที่เธอซุกหัวนอนอยู่ด้วยนี้ ความรักแบบที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากเพศแม่ ทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แม้เมื่อพ่อตามมาจนพบ ก็กล้าที่จะเผชิญกับความเป็นจริง พร้อมกับยืนยันกับพ่อถึงความต้องการที่แท้ของตนเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้า
...
พักหลังนี้จำเป็นต้องหันไปอ่านงานเขียนประเภทอื่นเสียเยอะ ก็เลยได้อ่านนิยายน้อย พอรวบรวมเล่มที่อ่านได้ประมาณหนึ่ง ถึงได้มีโอกาสรีวิวและบันทึกนิยายที่ตัวเองอ่านลงบล็อก ;-)
...