Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2557
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 

# 68 - # 75 :: 3rd Wrap-Up ::






# 68

Toer, Pramoedya Ananta. (2005). All that is gone, translated by Williem Samuels. London: Penguin Books

หยิบรวมเรื่องสั้นของนักเขียนที่ประทับใจผลงานจตุภาคมาแล้วมาอ่านอีกเล่มหนึ่ง ก็ยังรู้สึกประทับใจผู้เขียนไม่รู้เบื่อ เนื่อหาของเรื่องสั้นทั้งหมดในเล่มนี้ บอกเล่าชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กชาวอินโดนีเซียในยุคหลังอาณานิคม ยุคสร้างประเทศ ยุคสิ้นสุดสงครามโลกเมื่อญี่ปุ่นลาจากประเทศไปในที่สุด เรื่องต่างๆ ซึ่งเล่าผ่านสายตาเด็กๆ จึงหนีไม่พ้นประเด็นการก่อตั้งประเทศให้เป็นปึกแผ่น การรุกรานของคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็นซึ่งทางการเหมารวมปะปนกันมั่วไปหมดทั้งฝ่ายรัฐ ศัตรู หรือแม้แต่ประชาชนตาดำๆ นอกจากนั้นยังเสนอเรื่องวิธีชิวตทั่วไปของชาวบ้าน เช่น ชีวิตของเด็กหญิงที่ต้องเลือกระหว่างชีวิตสมรสที่ดีกว่ากับความกตัญญูที่ตนต้องแสดงออกต่อพ่อแม่ เป็นต้น


# 69

Salinger, J.D. (1958). The catcher in the rye. London : Penguin Books.

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงชีวิตเด็กหนุ่มที่กำลังสับสน หาทางออกให้กับชีวิตอนาคตไม่ได้ จำต้องทนอยู่โรงเรียนประจำ กระทั่งทำตัวเสเพลเพราะจับทิศทางเหนือใต้ไม่เป็น มิหนำซ้ำยังขาดหัวเรือที่ชัดเจนในการนำทางชีวิต ผลก็เลย “ติ๊สต์แตก” อย่างน่าเสียดาย อ่านเรื่องนี้แล้วเห็นว่า ถ้าคนชอบก็ชอบไปเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็อาจจะซัดทิ้งได้ง่ายๆ เราเองก็อยู่กึ่งๆ แต่ก็ออกจะเอียงไปทางไม่ชอบเสียมากกว่า วรรณกรรมที่เขาว่าดีนักหนาเล่มนี้เราว่าก็ดีในแง่ตีแผ่ชีวิตเด็กวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเองในยุคของคนเขียนนั้น (ยุค 1960) แต่พออ่านไปให้ดีๆ ก็กลับคิดว่า เรื่องแย่ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นแต่ใจของ Holden เองนั่นแหละที่สร้างให้มันเกิดในทางร้าย ทั้งนี้ก็ด้วยใช้อารมณ์เป็นแกนในการคิดและการลงมือทำ ไม่ว่าจะปัญหาทะเลาะกับเพื่อนร่วมโรงเรียนจนถูกไล่ออก หนีออกมาจากโรงเรียน หรือแม้แต่เรื่องเด็กสาวที่ตนเองหลงรัก ก็ยังทำให้ทุกอย่างมันพังลงมาไม่เป็นท่าด้วยหัวคิดบ้าๆ เอาอารมณ์เป็นที่ตั้งของตัวเองแท้ๆ แถมอีโก้จัดอีกต่างหาก ส่วนครอบครัวของเขาในฐานะพื้นฐานตัวละครนั้น เท่าที่อ่านดู ก็ไม่ได้จะมีปัญหามากมายอะไรเลย เป็นแต่ครอบครัวคนรวยแต่ดูแลลูกไม่ถ้วนทั่วเท่านั้น ถ้าเด็กใฝ่ดีจริง ก็คงไม่ต้องตกอยู่ในชะตากรรม “ติ๊สต์แตก” แบบนั้นหรอก 


# 70

Barry, Sebastian. (2011). On Canaan’s side. London: Faber and Faber.

Lilly หวนคิดถึงวันวานเมื่อครั้งที่ตนต้องอพยพจากไอร์แลนด์มาอยู่อเมริกาเมื่อหลังสงครามโลก ขณะนั้นบ้านเมืองของไอร์แลนด์กำลังแบ่งเป็นฝักฝ่าย เธอย้ายหนีมาพร้อมกับเพื่อนชายที่พ่อฝากฝังไว้ ก่อนจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาอย่างอยากลำบากในอเมริกา ญาติๆ ทางฝั่งนี้ก็มีน้อยเต็มทน อย่างไรก็ดีโศกนาตฏกรรมกลับเกิดขึ้นในจังหวะที่ชีวิตกำลังเข้าที่เข้าทาง เมื่อสามีถูกลอบสังหารจากฝีมือของกลุ่มหัวรุนแรงที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจัดการสามีเธอถึงอเมริกา เธอกลัวจะเป็นรายถัดไป จึงหนีหัวซุกหัวซุนย้ายรัฐไปที่อื่น กระทั่งคิดว่าปลอดภัย ลงหลักปักฐานกับชายคนใหม่ มีลูกมีหลาน มีเพื่อนบ้านชาวไอริชที่น่ารัก คอยดูแลทุกข์สุขกับและกัน จนเมื่อหลานชายฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในความรัก ย่าอย่างเธอที่พบแต่ความสูญเสียมาตลอดชีวิตก็เกือบจะทำใจไม่ไหว เพื่อนชาวไอริชวัยชราคนนั่นเองช่วยปลอบประโลม อย่างไรก็ดีก่อนวาระสุดท้ายของเพื่อนคนนั้นจะมาถึง เขาได้เผยความลับแก่เธอว่า จริงๆ แล้วเขาคือมือปืนที่ปลิดชีพสามีคนก่อนเธอนั่นเอง เขารู้สึกผิด จึงคิดที่จะอยู่อเมริกาต่อเพื่อคอยปกป้องดูแลเธอห่างๆ มาตลอดชั่วชีวิต

นิยายแนวแฟมิลีซาก้าอ่านทีไรก็ชอบทุกที แม้เรื่องราวไม่เฉียบคมนัก ไม่มีพล็อตซับซ้อนอะไรมาก แต่การได้ตามอ่านชีวิตของคนคนหนึ่งตั้งแต่เล็กจวบใหญ่ จนแก่เฒ่า ก็ทำให้รู้สึกว่าชะตาคนเราไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้เสมอ ผู้เขียนเรื่องนี้ผีมือฉมัง พล็อตไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่การดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม สร้างอารมณ์ร่วมตามตัวละคร ตามเหตุการณ์ที่สร้างขึ้นได้อย่างดีทีเดียว


# 71 

Mankell, Henning. (2003). The return of the dancing master, translated by Laurie Thompson. New York: Vintage Crime.

เท่าที่ได้อ่านงานคนเขียนคนนี้มา แต่ละเล่มไม่สร้างความผิดหวังเลยจนนิดเดียว มีแต่สนุกแหวกแนวต่างกันออกไป สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือบรรยากาศของเรื่องที่อึมครึม เปล่าเปลี่ยว เย็นเยียบจับใจไปทุกๆ เล่ม (อันนี้น่าจะให้เครดิตกับคนแปลที่เก็บเอาความและบรรยากาศได้อย่างครบถ้วนไว้ด้วย) 

เรื่องนี้เปิดฉากมาที่เหตุฆาตกรรมที่บ้านร้างกลางหุบเขาทางตอนเหนือของสวีเดนซึ่งมีอากาศหนาวเย็นและมีหิมะตกแทบตลอดทั้งปี ตำรวจตัวเอกของเรื่องต้องเข้าไปสืบสวนทั้งๆ ป่วยเป็นมะเร็งระยะแรกที่โคนลิ้น เขากำลังจิตตกอย่างแรง แต่เมื่อทราบว่าเพื่อนร่วมงานวัยชราที่เคยญาติดีกันมาก่อน ถูกฆาตกรรมหลังเกษียณ ก็ทำให้เขาวางเรื่องยุ่งยากในชีวิตตนเองลง กระโดดเข้ามาสืบคดีให้ แต่เมื่อเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ด้วยจริงๆ ก็ต้องตกใจเพราะพบว่านี่อาจเป็นการฆาตกรรมแบบเอาคืน มีกลุ่มนีโอนาซี (หรือกลุ่มคลั่งเชื้อชาติบริสุทธิ์ในสวีเดนรุ่นใหม่) เข้ามาเกี่ยวข้อง โชคดีมีลูกสาวของผู้เคราะห์ร้ายเข้ามาช่วยสืบ พร้อมๆ กันนั้นก็เกิดฆาตกรรมซ้ำ เพื่อนบ้านที่เคยมาพูดคุยกับเหยื่อก็มาถูกฆาตกรรมในลักษณะคล้ายๆ กันอีก เรื่องสืบสาวไปมาจนไปพบภรรยาคนที่สองของผู้ตาย ซึ่งเป็นกลุ่มคลั่งนาซีเช่นเดียวกัน และก็พบในที่สุดว่าเป็นหญิงชราคนนี้เองที่เป็นฆาตกร จำได้ว่าแรงจูงใจไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าสนุกสนานตามสไตล์ผู้เขียน







# 72

Ward, Jesmyn. (2011). Salvage the bones. New York: Bloomsbury.

Esch เด็กสาววัยรุ่นผิวดำต้องเผชิญกับความปั่นป่วนในชีวิต เมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ เธออาศัยอยู่ในครอบครัวที่ยากจนในรัฐมิสซิสซิปปี มีพ่อติดเหล้า มีพี่ชายและน้องชายหลายคนที่ต่างก็ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด น้องชายคนหนึ่งเลี้ยงหมาบูลเทอเรียสีขาวเพศเมียเอาไว้ตัวหนึ่ง มันกำลังจะคลอดลูก ผู้เขียนเหมือนใช้อุปลักษณ์ในการสื่อจากแม่หมาที่กำลังออกลูกไปถึงเด็กสาวที่เพิ่งตั้งครรภ์ เธอรู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก แม้ว่าจะเป็นการรักสนุกของตัว แต่เธอก็จดจำได้ว่าใครที่น่าจะเป็นคนฝากลูกในท้องเธอไว้ แต่เด็กหนุ่มคนนั้นไม่รับ กลับปัดสวะให้พ้นตัว เด็กสาวเสียใจอยู่นาน แต่ผู้เขียนก็ทำให้เธอค่อยๆ เปลี่ยนความคิดจนได้ จากความไม่ต้องการสิ่งแปลกปลอมในท้องกลายเป็นรักและผูกพันในที่สุด เมื่อมองเห็นสัญชาตญาณรักลูกของแม่หมาลูกอ่อนที่น้องชายเลี้ยงไว้ (เหตุที่น้องชายเลี้ยงเอาไว้ก็เพื่อ dog fight ยิ่งเป็นหมาแม่ลูกอ่อนเขาว่ายิ่งดุ) 

เนื้อเรื่องดำเนินไปในบรรยากาศอึมครึมและชวนอึดอัด เนื่องจากขณะนั้นพายุทอนาโดคาทารีนากำลังจะพัดเข้าฝั่ง (ดังที่เป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน) เรื่องมาถึงจุดพลิกผันในการตัดสินใจตอนท้ายเรื่อง เพราะพายุพัดกระหน่ำเข้ามา ทำให้เกิดน้ำท่วม พัดพาเอาบ้านเรือนเสียหายไปมากมาย หากครอบครัวซึ่งผจญกับน้ำหลากก็ผ่านพ้นวิกฤตมาได้ แม้ว่าต้องเสียทั้งแม่หมาและลูกหมาทั้งครอก ลูกหมาตัวสุดท้ายที่น้องชายอุ้มประคองไว้ก็จมน้ำตายไปต่อหน้า นั่นทำให้ Esch เกิดนึกหวงแหนลูกที่อยู่ในท้องของตนขึ้นมาทันที และตั้งปณิธานว่าเธอจะดูแลลูกน้อยที่เกิดขึ้นให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาในภายภาคหน้าก็ตาม


# 73

Pick, Alison. (2010). Far to go. London: Headline Review.

Martha ทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้แก่ครอบครัวชาวยิวที่ประเทศเชคโกสโลวาเกียสมัยที่นาซีกำลังจะเข้ารุกรานเมือง เธอผูกพันกับหนูน้อย Pepik เป็นอันมาก แถมทั้งยังหลงรักพ่อของเขาซึ่งกำลังมีปัญหายุ่งยากใจกับภรรยาผู้สำรวยสวยเก๋ ขณะนั้นธุรกิจอันเฟื่องฟูของครอบครัวเริ่มระส่ำระสาย เพราะรัฐบาลประกาศยอมให้กองทัพนาซีเยอรมันบุกข้ามมายึดครองดินแดนซูเดเตนของเชคซึ่งมีประชากรเป็นเยอรมันอยู่เกินครึ่ง เมื่อสถานการณ์รอบข้างเริ่มตึงเครียด สถานการณ์ในครอบครัวก็ไม่ต่างกัน Martha ได้แต่เก็บงำความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไว้ในฐานะที่เป็นคนรับใช้พวกยิวที่คนทั้งเชคไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

เมื่อครอบครัวเจ้านายย้ายหนีกองทัพนาซีเข้าไปอาศัยในกรุงปราก Martha ก็ย้ายตามไปด้วย เธอซึ้งใจที่พวกเขาไม่ทอดทิ้ง อย่างไรก็ดีต่อมาไม่นาน เมื่อเหตุการณ์จวนตัว นาซีปิดล้อมกรุงปราก ทั้งหมดก็วางแผนหนีออกนอกประเทศ พร้อมหอบลูกน้อยหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อเธอเผลอหลุดปากด้วยความน้อยใจที่ถูกทิ้งไปกับเพื่อนรักของเจ้านายหนุ่มซึ่งทรยศเอาความไปบอกทางการ ทำให้ครอบครัวถูกยึดพาสปอร์ต Martha รู้สึกผิดที่ทำให้หนูน้อย Pepik ต้องตกอยู่ในชะตากรรมอย่างชาวยิวคนอื่นๆ เธอจึงเสนอให้ครอบครัวส่งหนูน้อยขึ้นรถไฟสายพิเศษที่รับเฉพาะเด็กชาวยิวไปอาศัยกับพ่อแม่บุญธรรมที่อังกฤษ 

การดำเนินเรื่องพลิกกลับมาที่การตามหาเรื่องราวในหนหลังของ Pepik ผู้ที่ขณะนี้มีวัยกว่า 70 ปี มีนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งทำการวิจัยเรื่องรถไฟที่ขนเด็กออกนอกประเทศในช่วงนั้น Pepik ได้รู้เรื่องราวแต่หนหลังก็จากปากของนักประวัติศาสตร์ผู้นี้ เนื่องจากความทรงจำในวัยเด็กของเขาหายไปสิ้น ตอนท้ายเรื่องมาเฉลยว่า นักวิจัยคนดังกล่าวก็คือลูกสาวของ Martha และมีพ่อคนเดียวกับเขานั่นเอง นักวิจัยเล่าว่า Martha เสียชีวิตอย่างเดียวดายสองปีให้หลังจากสงครามโลกยุติ ส่วนครอบครัวของ Pepik ถูกกวาดต้อนพร้อมกับชาวยิวคนอื่นๆ ไปยังค่ายกักกันที่โปแลนด์และถูกฆ่ารมควันพิษตายไปในที่สุด


# 74

Akpan, Uwem. (2008). Say you’re one of them. New York: Back Bay Books.

เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นจำนวน 5 เรื่อง เล่าเรื่องราวของเด็กในทวีปแอฟริกาจากหลายๆ ประเทศ เรื่องแรกผู้เขียนเสนอภาพของครอบครัวข้างถนน พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ เด็กๆ ต้องโตก่อนวัย ออกทำงานหาเงินไม่เลือกอาชีพ แม้แต่การขายตัว เรื่องที่สองคือเด็กสองพี่น้องที่ถูกลุงขายไปเป็นทาส เล่าผ่านสายตาเด็กชายที่มีสัญชาตญาณถึงภัยที่ใกล้ตัว วางแผนหนีกับน้องสาวอีกคน แต่ด้วยความไร้เดียงสาของน้อง ก็ทำให้ทั้งคู่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของโจรใจโฉด ไม่อาจรอดพ้นจนแล้วจนรอด เรื่องที่สามเสนอความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหญิงสองคนสองศาสนา ทั้งคู่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับความขัดแย้งทางศาสนาที่ผู้ใหญ่ก่อขึ้น แต่จำต้องพรากจากกันเพราะผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย เรื่องที่สี่คือเด็กหนุ่มที่พยายามเดินทางขึ้นรถเมล์โดยสารหนีการประทะกันของคนต่างศาสนาทางตอนเหนือของไนจีเรีย เขาเป็นลูกครึ่งสองเผ่า แม่นับถืออิสลาม พ่อเป็นคริสต์ แต่ก็แยกย้ายมาอยู่กับแม่ เมื่อเกิดการจลาจลขึ้น มีการปราบปรามชาวมุสลิม เขาก็หนีตายแอบขึ้นรถลงใต้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้และถูกอัปเปหิลงจากรถข้างถนน รอเวลาที่จะถูกขบถแบ่งแยกดินแดนมาจัดการ เรื่องสุดท้ายคือหนูน้อยที่หนีการตามล่าจากคนในหมู่บ้าน หลังจากพบว่าพ่อสังหารแม่ทิ้งเพราะถูกกดดันจากคนในหมู่บ้าน เหตุที่ต้องฆ่าเพราะแม่นับถือคนละศาสนาและเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับพ่อ 

ถือเป็นรวมเรื่องสั้นสะเทือนอารมณ์ เล่าจากสายตาของเด็กๆ ที่ถูกชะตากรรมกลั่นแกล้งและความบ้าบอของผู้ใหญ่ไม่รู้จักจบสิ้น กระทั่งทำให้เด็กๆ หลายคนต้องพบจุดจบอันน่าอนาถ 


# 75

Kidd, Sue Monk. (2001). The secret life of bees. New York: Penguin Books.

Lily หนีออกจากบ้านเพราะโกรธแค้นพ่อที่ลงมือทำร้ายตัวเอง พร้อมกับความอัดอั้นที่คิดว่าตนเองเป็นเหตุให้แม่ต้องเสียชีวิตจากการที่เธอทำปืนลั่นใส่แม่เมื่อตอนอายุเพียง 4 ขวบ เด็กหญิงหนีมาพร้อมกับพี่เลี้ยงคนดำ กระเซอะกระเซิงมาจนถึงสวนผึ้งแห่งหนึ่ง โดยมีรูปถ่ายของแม่เป็นการนำทาง 

ที่สวนผึ้งแห่งนี้เด็กหญิงก็ได้พบกับครอบครัวคนดำใจดี ที่นี่มีแต่หญิงล้วน เป็นพี่น้องกันหมด ในยุคนั้นคนดำยังไม่ได้รับสิทธิ์รับเสียงเหมือนคนขาว แต่ Lily ไม่คิดเหยียดหยาม กลับเป็นสุขที่ได้อยู่ภายในสวน เรียนรู้ชีวิตของผึ้ง เปรียบเทียบกับชีวิตของตน ได้รู้จักด้านต่างๆ ของแม่เมื่อรู้ในที่สุดว่าแม่เคยอาศัยอยู่กับครอบครัวคนดำที่เธอซุกหัวนอนอยู่ด้วยนี้ ความรักแบบที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากเพศแม่ ทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แม้เมื่อพ่อตามมาจนพบ ก็กล้าที่จะเผชิญกับความเป็นจริง พร้อมกับยืนยันกับพ่อถึงความต้องการที่แท้ของตนเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้า


...


พักหลังนี้จำเป็นต้องหันไปอ่านงานเขียนประเภทอื่นเสียเยอะ ก็เลยได้อ่านนิยายน้อย พอรวบรวมเล่มที่อ่านได้ประมาณหนึ่ง ถึงได้มีโอกาสรีวิวและบันทึกนิยายที่ตัวเองอ่านลงบล็อก ;-)


...








 

Create Date : 06 ธันวาคม 2557
4 comments
Last Update : 6 ธันวาคม 2557 15:33:02 น.
Counter : 895 Pageviews.

 

มีคนเคยส่ง The secret life of bees มาให้อ่านละค่ะ ไม่รอด จำใจส่งคืนไป T_T

 

โดย: Froggie 7 ธันวาคม 2557 19:20:19 น.  

 

เล่มนี้ยืมเพื่อนมาอ่านฮะ ตอนนั้นจำได้ว่าเกือบซัดทิ้งเหมือนกัน แอบน่าเบื่ออยู่มาก แต่ก็มุอ่านจนจบจนได้

 

โดย: Boyne Byron 8 ธันวาคม 2557 19:45:33 น.  

 

หลังๆรู้สึกอายุมากขึ้น ความอดทนน้อยลง เลยทิ้งหนังสือกลางคันบ่อย

ช่องพิมพ์ความเห็นสีตัวอักษรมันกลืนกะฉากหลังอะค่ะ อ่านย้ากยาก

 

โดย: Froggie 9 ธันวาคม 2557 7:25:44 น.  

 

เรื่องสีอักษรของกล่องคอมเมนต์นั้น จนปัญญาจะแก้ไขจริงๆ ครับ เป็นได้ว่าเปิดกับ Chrome ผมก็เป็น อ่านยาก แต่ถ้าเปิดกับ IE ก็จะเป็นสีอ่อน ตัดกับพื้นสีกล่องคอมเมนต์พอดี

 

โดย: Boyne Byron 9 ธันวาคม 2557 19:26:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Boyne Byron
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Friends' blogs
[Add Boyne Byron's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.