Bloggang.com : Boyne Byron : # 17 :: Fahrenheit 451 : Ray Bradbury

# 17 :: Fahrenheit 451 : Ray Bradbury :: [RBC 2014]

:: Fahrenheit 451 : Ray Bradbury ::

หนังสือยาวไม่เกิน 200 หน้า เล่มนี้เป็น modern classic แนว dystopia หรือโลกสมมติในลักษณะที่ว่า โลกปัจจุบันไม่ใช่อย่างปัจจุบันที่เห็นกัน แต่เป็นสังคมที่มีการกดขี่หรืออปติอย่างใดอย่างหนึ่ง ลักษณะดังว่าในเรื่องนี้คือ การที่หนังสือเป็นสิ่งต้องห้าม รัฐควบคุมการอ่านของพลเมือง มีการจัดตั้งกองกำลังกำจัดหนังสือขึ้น โดยมีลักษณะทุกอย่างเหมือนนักดับเพลิง ต่างตรงที่งานของพวกเขาไม่ใช่การดับเพลิง แต่เป็นการเผาทำลายหนังสือ หรือ "นักจุดเพลิง" นั่นเอง

ตัวเอกของเรื่องนี้อยู่ที่ Montag นักจุดเพลิงผู้เริ่มตั้งคำถามกับการทำงานและ "สิ่ง" ที่เขาเผาทำลาย จากการพูดคุยกับเด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่งที่พูดถึงความสวยงามของชีวิตและการได้รู้จักหนังสือ Montag ได้เริ่มสะสมหนังสือโดยขโมยมาจากกองเพลิงหลายเล่ม ซุกซ่อนไว้ในบ้าน หลบสายตาภรรยาผู้ตกเป็นทาสของวิถีชีวิตแบบที่รัฐยัดเยียดให้ เหมือนกับเพื่อนบ้านทุกๆ คน กล่าวคือ วันๆ เอาแต่ฟังเพลง มีหูฟังแนบติดหูอยู่ตลอดเวลา แถมยังบ้าทีวี ต้องตามติดดูรายการต่างๆ ที่ถ่ายทอดทางทีวีเสมอ Montag เริ่มเอือมกับสภาพเช่นนี้ก็เกิดการทะเลาะกับภรรยาประจำ

เรื่องมาถึงตอนที่ Montag เริ่มสับสนและต้องการหาคำตอบ จึงเดินทางไปหา Faber ผู้ที่เขาเคยเจอโดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว Faber เป็นอดีตศาสตราจารย์ที่ปลดเกษียณ เมื่อรัฐไม่ต้องการหนังสือ ก็ไม่ต้องการวิชาการความรู้ตามไปด้วย Faber แอบสอนให้ Montag เป็นกบฏต่อความคิดฝังหัวของรัฐ

เมื่อ Montag กลับไปทำงาน ก็พบว่า กัปตันหัวหน้างานสั่งให้เขาออกปฏิบัติการมายังบ้านของตัวเอง จึงได้รู้ว่า ภรรยากดปุ่มฉุกเฉินเรียกรถจุดเพลิงเมื่อค้นพบหนังสือ และกัปตันเองก็ใช้สุนัขหุ่นยนต์สอดแนมตามติดเขาอยู่นาน จนรู้ว่าเขาซ่อนหนังสือไว้ ซ้ำกัปตันกดดันให้เขาเผาหนังสือทิ้งพร้อมบ้านตัวเอง Montag จำต้องทำตามคำสั่งเชิงเกลี้ยกล่อมของกัปตัน แต่จุดหนึ่ง Montag ฮึดสู้ใช้หัวจุดเพลิงเผาหนังสือ พ่นไฟเผากัปตนจนเสียชีวิต และหนีการตามล่าการจับกุมของตำรวจไปหา Faber และ Faber ก็แนะนำให้เขาเดินทางหนีออกนอกเมืองไปรวมกลุ่มกับเหล่านักวิชาการสมัยก่อนที่หนีรัฐบาลอยู่เช่นกัน

Montag หนีมาจนพบกับกลุ่มนักวิชาการพร้อมกับหนังสือไม่กี่เล่มที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาด้วย พอมาพบกลุ่มคนดังกล่าว จึงได้แรงบันดาลใจในการที่จะต่อสู้เพื่อให้หนังสือดำรงอยู่ แม้ไม่ใช่ในรูปแบบที่จับต้องได้ แต่ก็ด้วยความทรงจำที่จดจำเอาความรู้ เรื่องราว และประโยชน์ของหนังสือไว้ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย รอเวลาที่สังคมฟอนเฟะนี้เน่าสลายไป รอการเกิดใหม่ (แบบนกฟินิกซ์) เมื่อนั้นพวกเขาก็จะใช้การเล่าความแบบมุขปาฐะ เพื่อบอกเล่าสิ่งที่เขาจดจำมาจากหนังสือยุคก่อนให้คนรุ่นต่อๆ ไปได้รับรู้ และเมื่อคนรุ่นใหม่รู้ เข้าใจความผิดพลาด และเริ่มการแก้ไข มนุษยชาติก็จะได้ไม่ต้องวนกลับเข้าไปอยู่วัฏฏะอันโง่เขลาอันเดิมอีก

ชอบไอเดียของนิยายเล่มเล็กเล่มนี้ เล็งไว้นานว่าต้องหามาอ่านให้ได้ ชอบการสร้างกฏของสังคมที่สุดโต่งและการสร้างตัวละครที่สะท้อนออกมาจากกฏที่สุดโต่งนั้น ชอบสุนัขหุ่นยนต์ดมกลิ่นด้วย อ่านแล้วนึกภาพตามว่าคงโหดเหี้ยมน่าดู เพราะจมูกสามารแยกแยะกลิ่นได้เป็นหมื่นๆ กลิ่น แถมปลายเล็บก็ซ่อนยาชาเอาไว้ ยามที่เจอศัตรูก็ตะปบฉีดเสียเลย

ข้อดีอีกอย่างคือ prose เรื่องนี้ใช้ความเปรียบเยอะมาก และเป็นความเปรียบที่เข้าใจได้ง่าย สื่อชัดเจน อาจเพราะธีมของเรื่องที่เล่นกับ "ไฟ" "ความสว่าง" "ความมืด" มันชัดเจนอยู่ในตัวแล้วด้วยก็เป็นได้ และถ้ามองว่านิยายเรื่องนี้เขียนในปี 1954 แล้วละก็ จินตนการของคนเขียนถือว่าล้ำยุคมาก ไม่ว่าจะเป็นทีวีจอยักษ์เท่าฝาบ้าน หูฟังที่เสียบติดหูคนตลอดเวลา ป้ายโฆษณาอันใหญ่เท่าตึก สิ่งเหล่านี้เห็นได้ในปัจจุบันจริงๆ

น่าเสียดายตรงที่เบื้องหลังและที่มาที่ไปของโลกสมมติยังไม่กระจ่าง อยากให้ขยายความว่าทำไมถึงมาถึงจุดที่ต้องกำจัดหนังสือด้วย เพราะนิยายไม่ได้เกริ่นอะไรมาก แถมตอนท้ายก็จบแบบที่ว่า รัฐนี้กำลังตกอยู่ในภาวะสงครามพอดี หนังสือปิดด้วยระเบิดตกลงในเมือง ผู้คนเก่าๆ ตายหมด เป็นเหตุอันดีที่ให้ Montag และคณะกลับไปสร้างเมืองใหม่? แอบงงว่าสงครามนี้เกิดกับใคร เมื่อไหร่ ยังไง? หรือเราอ่านพลาดไปตอนไหนหว่า?

ความชอบ:

ฺBradbury, R. (c1993, 1954). Fahrenheit 451. London: Flamingo.

Reading Bingo Challenge 2014

เล่มนี้ "มีเลขในชื่อเรื่อง" ตั้งสามตัว จับหย่อนและติ๊กตรงช่อง "A book with a number in title" ได้สบาย (เอ๊ะ รึว่าจะผิดกติกาเนี่ย เขาบอก a number แต่เรากลับมีเลขตั้งสามตัว -.-' เอาน่ะ หยวนๆ)

#1 [A best-selling book] : Angels and Damons by Dan Brown

#2 [A book based on a true story] : Gweilo - A Memoir of a Hong Kong Childhood by Martin Booth

#3 [A second book in a series] : Child of All Nations by Pramoedya Ananta Toer

#4 [A book with a blue cover] : Half Blood Blues by Esi Edugyan

#5 [A book of short stories] : The Progress of Love by Alice Munro

#6 [A book with one-word title] : Footsteps by Pramoedya Ananta Toer

#7 [A book with more than 500 pages] : Kane & Abel by Jeffrey Archer

#8 [A book with a number in title] : Fahrenheit 451 by Ray Bradbury

Goodreads account

Kinokuniya Thailand

World Literature Today

Create Date : 05 มีนาคม 2557

Last Update : 5 มีนาคม 2557 8:42:17 น.

6 comments

Counter : 1214 Pageviews.

พล็อตน่าอ่านเว่อร์อ่ะครับ ถ้าสมมุติว่าตัวเองได้ไปอยู่ในโลกห้ามอ่านหนังสือแบบนั้นคงอึดอัดน่าดู

กดไลค์กดโหวตให้เลยครับ

โดย: ปีศาจความฝัน

วันที่: 5 มีนาคม 2557 เวลา:16:12:06 น.

Ray Bradbury นี่ขึ้นหิ้งในวงการนิยายวิทยาศาสตร์ในระดับน้องๆ Isaac Asimov, Arthur C.Clarke, Robert A.Heinlein เลยทีเดียว

มีแปลไทยฉบัับ สนพ.เอนเธอร์ อยู่ดองไว้นานแล้ว สงสัยต้องไปขุดกรุ ดื่มด่ำนิยายวิทยาศาสตร์ รำลึกความหลังสักหน่อย

ผมอ่านข้ามๆที่รีวิว จะได้ไม่รู้เรื่องราเนื้อหา เดี๋ยวจะไม่สนุกซะก่อน

โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059

) วันที่: 5 มีนาคม 2557 เวลา:23:30:12 น.

เราก็อ่านรีวิวแบบข้ามๆ เพราะมีฉบับแปลที่ดองไว้อยู่

ใกล้จะบิงโกแล้วนี่คะ ^^

โดย: นัทธ์

วันที่: 6 มีนาคม 2557 เวลา:7:34:49 น.

ไอซ์คุง | พล็อตเวอร์จริง แต่อยากได้รายละเอียดของเมืองมากกว่านี้อยู่นะ แต้งกิ้วสำหรับโหวตครับ

คุณ leehua | จริงๆ เล่มนี้ถามว่าสนุกไหม ผมว่าไม่ค่อยเท่าไหร่ คงเพราะเล่มมันบาง ไม่เอื้อให้ซ่อนเงื่อนซ่อนปมอะไรมาก เหมือนขายไอเดียของดีสโทเปียนั่นมากกว่าฮะ แต่ก็ถือว่าชอบ

คุณ นัทธ์ | เล็งแล้วว่ายังไม่บิงโกง่ายๆ ฮะ เพราะหนังสือที่จะอ่านต่อไปเมื่อเอื้อให้อยู่ในแถวที่จะบิงโกเลย

โดย: Boyne Byron

วันที่: 6 มีนาคม 2557 เวลา:10:23:52 น.

ไม่เอื้อ*

โดย: Boyne Byron

วันที่: 6 มีนาคม 2557 เวลา:10:24:33 น.

พล็อตน่าอ่านม๊ากกกค่ะ ถ้าหนังสือหนากว่านี้ให้มีการเกริ่นความเป็นมาเป็นไปคงจะดีมั่กๆ ชอบๆๆๆ แอบนึกจินตนาการถ้ามีใครมาเผานิยายที่เราแอบซ่อนไว้ เป็นลมตายพอดี

โดย: Sab Zab'

วันที่: 10 มีนาคม 2557 เวลา:20:42:28 น.