|
ข้อกังขา NGV--คอลัมน์จุดประกาย--กรุงเทพธุรกิจ
ข้อกังขาเอ็นจีวี
16 พฤษภาคม 2549 18:01 น.
ในช่วงวิกฤติราคาน้ำมัน หลายฝ่ายพยายามหาพลังงานทางเลือกมาทดแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐพยายามโหมให้ทุกฝ่ายหันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวี แต่การนำก๊าซชนิดนี้มาใช้ก็ยังมีปัญหาอีกมากมายทั้งในระดับผู้บริโภคและระดับประเทศ วิลาวัณย์ วรินทร์รักษ์ มีรายงาน
ก๊าซเอ็นจีวี ที่รัฐบาลส่งเสริมให้ใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ในขณะนี้ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากรถแท็กซี่ ที่ต้องการจะประหยัดค่าใช้จ่ายจากน้ำมันด้วยราคาที่แสนถูก เพราะรัฐบาลคอยพยุงราคาไว้ ทำให้ทุกวันจะมีรถจ่อคิวเข้าไปเติมก๊าซยาวเหยียดถึงถนนทางเข้าปั๊ม แต่ก็มีผู้ประกอบการยานยนต์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัฐบาลเร่งรัดรณรงค์เพื่อให้สำเร็จในเวลาอันสั้น อาจจะมีปัญหาตามมาในระยะยาว ทั้งในระดับผู้บริโภคและระดับประเทศ
โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยของผู้ใช้รถที่นำเครื่องยนต์ไปดัดแปลงติดตั้งอุปกรณ์เชื้อเพลิงก๊าซ ทั้งๆ ที่รถถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับน้ำมัน รวมทั้งส่งผลต่อเครื่องยนต์ ซึ่งจะสึกหรอเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าอุปกรณ์เอ็นจีวีจากต่างประเทศ จะทำให้ไทยเสียดุลการค้า กอปรกับการที่ปตท.ต้องช่วยค่าใช้จ่ายให้แก่แท็กซี่ที่ต้องการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ และการใช้เงินอุ้มราคาก๊าซไว้ ทำให้ปตท.จะต้องยอมขาดทุนไปจนถึง 7 ปี กว่าจะเป็นถึงจุดคุ้มทุน
นอกจากนี้ ยังไม่มีคำรับรองจากปตท.ว่า รัฐบาลจะอุ้มราคาเอ็นจีวีไว้ได้นานเพียงใด เพราะเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลปล่อยลอยตัวราคาก๊าซ เหมือนเช่นที่เคยทำกับน้ำมันดีเซล ที่พยุงราคาไว้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ต้องปล่อยไปตามกลไกตลาดเมื่อปีก่อน สร้างผลกระทบต่อผู้ใช้รถโดยฉับพลัน
การเร่งรัดให้ใช้เอ็นจีวีในระยะสั้นๆ เพราะรัฐบาลปล่อยปละละเลยไม่ส่งเสริมมาตั้งแต่ต้น ทั้งๆ ที่ค้นพบก๊าซนี้มาไม่ต่ำกว่า 44 ปี ทำให้ถูกมองเหมือนต้นไม้ที่ถูกเร่งโต โดยไร้รากแก้ว น่าเป็นห่วงว่าจะล้มครืนหรือไม่
ปัญหาเอ็นจีวี
คนขับรถในปัจจุบันให้การตอบรับอย่างกระตือรือร้นกับราคาที่แสนถูกของเอ็นจีวี สังเกตจากแถวยาวไม่ขาดสายที่จ่อรอการเติมก๊าซหน้าปั๊ม มนตรี สุริยันต์ ซึ่งเพิ่งขับรถแท็กซี่มาประมาณ 9 เดือน หลังจากที่เลิกเป็นลูกจ้างขับรถตู้ให้แก่บริษัททัวร์แห่งหนึ่ง เล่าว่า เมื่อก่อนผมจ่ายค่าน้ำมันวันละ 800 บาท ขับได้ 330 กิโลเมตร ต่อมาใช้เอ็นจีวี จ่ายแค่ 230 บาท ขับได้ระยะทางเท่ากันเลย แม้ว่าจะวิ่งได้ระยะทางครั้งละไม่ยาวนัก แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงว่า ก๊าซจะหมด เพราะรถสามารถปรับได้เป็น 2 ระบบ ถ้าก๊าซหมดรถจะปรับอัตโนมัติเป็นระบบใช้น้ำมันที่เรามีสำรองไว้อยู่แล้ว ระหว่างที่ขับส่งผู้โดยสารจะไม่หยุดเติมก๊าซ เพราะใช้เวลานานในการเติม จะใช้น้ำมันสำรองไปพลางๆ ก่อน หลังจากส่งผู้โดยสารแล้ว จึงค่อยแวะเติมก๊าซที่สถานีบริการ
ภาพดังกล่าว ตรงกันข้ามกับเมื่อปี พ.ศ.2505 ที่เอ็นจีวี (Natural Gas for Vehicles: NGV) ถูกค้นพบในอ่าวไทย แต่ถูกนำมาใช้ในหลายรูปแบบ ทั้งเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า และอุตสาหกรรมเคมีหรือพลาสติกมากกว่าจะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงยานยนต์ อาจเป็นเพราะราคาน้ำมันยังถูกมาก ทำให้คนใช้รถ และผู้ผลิตก๊าซไม่เห็นความจำเป็น
อภิสิทธิ์ ธนาดำรงศักดิ์ ผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทซุปเปอร์เซ็นทรัลแก๊ส จำกัด เล่าว่า แม้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ดร.พิพล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีการทดลองใช้เอ็นจีวีกับยานยนต์เป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้น ปตท.ได้ทดลองติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีให้แก่รถยนต์หนึ่งพันคันเป็นครั้งแรก โดยมีบริษัทของเราเป็นผู้เริ่มติดตั้งเป็นครั้งแรก
ทว่าผลสำเร็จจากการทดสอบในครั้งนั้น มิได้สร้างกระแสความตื่นตัวมากนักต่อผู้ใช้รถส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะราคาน้ำมันยังถูกมาก กอปรกับ ปตท. มิได้รณรงค์อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นที่เริ่มค้นพบก๊าซ พอมีปัญหาน้ำมันราคาแพงจึงค่อยมารณรงค์ในภายหลัง แม้ว่าในปัจจุบันการรณรงค์ดังกล่าว จะได้รับการขานรับจากแท็กซี่ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวนไม่น้อยก็ตาม แต่ก็มีข้อที่ชวนให้กังวล
จุดน่าห่วงของเอ็นจีวี
นอกจากเอ็นจีวีจะสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลแล้ว อาจจะสร้างความไม่มั่นใจให้แก่ผู้ใช้รถที่จำเป็นต้องนำรถไปติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวี ในเรื่องความปลอดภัย และอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ การรณรงค์ใช้เอ็นจีวีเพื่อให้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น เพราะรัฐบาลไม่ได้ตระหนักถึงวิกฤติน้ำมันมาตั้งแต่ต้น ทำให้ต้องเร่งรัดมากเป็นพิเศษ
มร.ทอม บริวเออร์ ประธานฟอร์ด ประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจคือ ประการแรก การที่ราคาเอ็นจีวีมีราคาถูกผิดปกติ จึงกลายเป็นทางเลือกจากคนใช้รถจำนวนมาก เนื่องจากรัฐบาลคอยพยุงราคา น่าจับตาว่ารัฐจะพยุงราคาไปได้นานแค่ไหน เพราะไม่เพียงแต่เรื่องราคาเท่านั้น รัฐยังต้องช่วยเงินอุดหนุนให้แก่คนขับแท็กซี่ ที่นำรถมาติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีอีกด้วย ทำให้มีข้อกังวลว่าเมื่อถึงขีดสุด รัฐอาจเลิกใช้เงินอุดหนุนได้ทุกเมื่อ และผลกระทบจะตกแก่ผู้บริโภค เหมือนเช่นครั้งหนึ่งที่รัฐบาลเคยประกาศเลิกอุ้มราคาดีเซล เมื่อประมาณกลางปี 2548 ทำให้ผู้ใช้รถได้รับผลกระทบทันที
มานะ (นามสมมติ) หนึ่งในทีมการตลาดทรัพยากรก๊าซธรรมชาติของ ปตท. กล่าวเสริมว่า ปตท.ได้พยุงราคาของเอ็นจีวีไว้กิโลกรัมละ 3 บาท ทำให้ราคาเอ็นจีวีขณะนี้อยู่ที่ 8.50 บาท ซึ่งถ้าปล่อยตามกลไกตลาด ผู้บริโภคจะต้องซื้อกิโลกรัมละ 13 บาท แต่ถ้าจะให้คุ้มกับการลงทุนราคาของก๊าซเอ็นจีวีกิโลกรัมละต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 26.19 บาทต่อลิตร
"ดังนั้นราคาที่จะทำให้ปตท.คุ้มต่อการลงทุนเอ็นจีวีได้ต้องอยู่ที่ประมาณ 13-14 บาท หรือนัยหนึ่ง ถ้าปล่อยให้เอ็นจีวีขึ้นลงแปรผันตามราคาของดีเซล ก็จะต้องให้เอ็นจีวีมีราคาคิดเป็นครึ่งหนึ่งของน้ำมันดีเซล จึงจะทำให้ปตท.คุ้มทุนได้ ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาลว่าจะพยุงราคาอีกนานเท่าไร
ผู้บริโภคต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซเอ็นจีวีประมาณ 4-5 หมื่นบาท กว่าจะถึงจุดคุ้มทุนก็ประมาณ 4-6 เดือน โดยปตท.จะต้องจ่ายเงินอุดหนุนประมาณ 24,000 -27,000 บาท เป็นค่าอุปกรณ์สำหรับรถแท็กซี่ที่ไม่เคยติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซใดๆ มาก่อน แต่สำหรับรถที่เคยติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซแอลพีจี แล้วต้องการจะเปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีแทน ปตท.ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินประมาณ 30,000 บาท (งบนี้รวมค่าถอดอุปกรณ์แอลพีจีที่ติดไว้เดิมอีกประมาณ 5,000-6,000 บาท)
ทั้งนี้ ปตท.จะต้องยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน โดยที่ใช้เงินกำไรจากสายผลิตภัณฑ์อื่นมาชดเชย โดยปตท.คาดว่า กว่าจะถึงจุดคุ้มทุนจากเอ็นจีวีต้องใช้เวลาถึง 7 ปี โดยคิดแบบปลอบใจตนเองไปพลางๆ ก่อนว่าถือเป็นการลงทุน
การพยายามนำกำไรจากสายผลิตภัณฑ์อื่นมาชดเชยนั้น กำไรการขายก๊าซแอลพีจีก็เป็นอีกหนึ่งที่จะนำมาประคองการขาดทุนของ ปตท.ได้ เพราะแอลจีพีใช้เป็นก๊าซหุงต้ม และใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ จึงมีศักยภาพที่จะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้อย่างมหาศาล แม้อย่างเลวที่สุด การส่งแอลพีจีออกขายต่างประเทศ ก็จะทำให้ได้ราคาถึงตันละมากกว่า 500 เหรียญสหรัฐ จากปีที่แล้วที่เคยมีราคาสูงถึง 600 เหรียญต่อตัน แต่ถ้าขายภายในประเทศแอลพีจีจะมีราคา 315 เหรียญต่อตัน
มานะกล่าวอีกว่า ถ้าขายได้กำไร ก็จะได้นำกำไรมารองรับ (Subsidize) เอ็นจีวีได้
จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ปตท.หันมารณรงค์ขายก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงยานยนต์ แทนการเติมแอลพีจีด้วยราคาถูกๆ ให้แท็กซี่ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล แม้แท็กซี่จะเคยเติมแอลพีจีด้วยราคา 9.40 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็น 16.81 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าจะถูกกว่าน้ำมัน แต่ยังสู้เอ็นจีวีที่ปตท.ยอมกัดฟันอุ้มไว้เอง 3 บาท ทำให้เอ็นจีวีถูกกว่าราคาจริงซึ่งเท่ากับ 12-13 บาท
ผู้บริหารฟอร์ดให้ข้อสังเกตประการที่สองว่า การเร่งรัดให้เสร็จภายในชั่วข้ามคืน โดยการกระจายสถานีบริการเอ็นจีวีจะเป็นไปได้แค่ไหน เพราะทุกวันนี้ยังไม่มีท่อก๊าซส่งผ่านอย่างทั่วถึง แม้ว่าปตท.จะมีแผนแม่บทที่จะขยายท่อส่งก๊าซใต้ดิน ทำให้มีข้อสงสัยว่าภายใน 1-2 ปีนี้แผนขยายสถานีบริการของ ปตท.จะสำเร็จหรือไม่
ข้อสงสัยนี้ ถูกไขคำตอบโดย บุญเลิศ พิกุลน้อย ผู้จัดการส่วนวิศวกรรมโครงการ กล่าวว่า การขยายท่อก๊าซเอ็นจีวีสายสุวรรณภูมิ-มักกะสัน จะสำเร็จเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2549 นี้ นับจากที่เริ่มวางท่อในเดือนกันยายน 2548 ส่วนสายรังสิต-มักกะสัน ได้ทำการสำรวจแล้ว และอยู่ระหว่างการขอ EIA (Environmental Impact Assessment) ถ้าหากขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อย ก็จะลงมือก่อสร้างได้ประมาณสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะเสร็จในปี 2551 นอกจากนี้ ปตท.กำลังสำรวจเส้นทางเดินท่อจากแหล่งภูฮ่อมจาก จังหวัดอุดรธานี มายังจังหวัดขอนแก่น
ช่วงระหว่างวางท่อการขยายสถานีบริการเอ็นจีวี จะต้องพึ่งพารถยนต์ขนส่งก๊าซขนาดใหญ่ ไปจอดบริการที่สถานี แล้วต่อท่อจากรถขนส่งก๊าซมายังถึงก๊าซของสถานีบริการ โดยที่รถขนส่งขนาดใหญ่เหล่านั้น บางคันยังคงใช้น้ำมันขับเคลื่อนในการขนส่งก๊าซเอ็นจีวีอยู่ จึงดูเหมือนเป็นเรื่องตลกที่รถขนส่งก๊าซกลับยังไม่มีการดัดแปลงให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ผู้บริโภคมักกังวลว่า การติดตั้งอุปกรณ์ดัดแปลงให้เข้ากับเครื่องยนต์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับน้ำมัน ผู้ใช้รถอาจจะเสี่ยงต่ออันตราย หากการติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน และทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่ากำหนด เนื่องจากถูกเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ดูด อัด ระเบิด คลาย ถูกออกแบบมาให้ใช้กับน้ำมัน โดยมีระยะเวลาเหมาะสมในการเผาผลาญเชื้อเพลิงให้ได้พลังงานสูงสุด
อภิสิทธิ์ ธนาดำรงศักดิ์ ผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์เซ็นทรัล จำกัด ยอมรับว่า การดัดแปลงเครื่องยนต์ โดยศูนย์บริการติดตั้งที่แม้จะได้รับมาตรฐานจาก ปตท. ในระดับ 5 ดาว แต่จะสู้รถยนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับก๊าซเอ็นจีวี ตั้งแต่เริ่มแรกที่ออกจากโรงงานเลยไม่ได้ เพราะรถยนต์ถูกสร้างมาให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงแต่ละประเภทสำหรับแบบ 4 จังหวะ
ระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนนั้นจะมีช่วงเวลาที่ถูกออกแบบให้เหมาะกับช่วงเวลาที่น้ำมันจะเผาผลาญ แล้วให้พลังงานสูงสุด เมื่อถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์เอ็นจีวีแล้ว ทำให้ช่วงเวลาของแต่ละจังหวะไม่พอดีกับการเผาผลาญก๊าซเพื่อให้ได้พลังงานหรือจุดวาบไฟสูงสุด ดังนั้นจึงทำให้เครื่องยนต์สึกหรอได้ง่าย
สิ่งที่น่าคำนึงถึงอีกประการ ก็คือ ช่วงเอ็นจีวีบูม ถือเป็นโอกาสที่ศูนย์บริการติดตั้งอุปกรณ์จะขยายสาขาออกไป แต่ถ้าหากเมื่อใดที่ค่ายรถยนต์ต้นสังกัดออกแบบรถยนต์ที่ใช้ได้กับเอ็นจีวีออกมาขาย ศูนย์บริการเหล่านั้นจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งผู้บริหารศูนย์บริการติดตั้งเหล่านั้น ต่างยอมรับความจริงข้อนี้
นอกจากนี้ ผู้บริหารฟอร์ด มอเตอร์ ให้ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า การนำเข้าอุปกรณ์และถังบรรจุเหล็กรีดร้อนขึ้นรูปชนิดพิเศษจากต่างประเทศ อาจจะทำให้ไทยต้องเสียดุลการค้าจากส่วนนี้ หากเปรียบเทียบกับการรณรงค์ให้คนไทยใช้เชื้อเพลิงยานยนต์จากเอทานอล 100% ซึ่งไทยมีทรัพยากรมากพอที่จะผลิตเอทานอลได้ โดยไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ
รณรงค์ใช้เอทานอลเต็มร้อย
แม้ว่าการผลิตเอทานอล จะไม่เพียงพอต่อการเป็นเชื้อเพลิงได้ 100% แต่ถ้าดูตัวอย่างของบราซิล ซึ่งมีวัตดุดิบในการผลิตน้อยกว่าประเทศไทย แต่สามารถผลิตเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงได้เต็มร้อย ทำให้บริษัทรถยนต์เอกชนหลายแห่งเกิดความเชื่อมั่นว่า ถ้ารัฐบาลรณรงค์อย่างจริงจัง ก็จะทำให้ปริมาณผลิตผลพอเพียงต่อตลาด แทนที่จะมุ่งรณรงค์เอ็นจีวีอย่างไม่ลืมหูลืมตา และเป็นการรณรงค์แบบที่ยังไม่เห็นฝั่ง
มร.ทอม บริวเออร์ ประธานฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า การใช้แก๊สโซฮอล์ยังเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับประชาชนและประเทศไทยที่จะช่วยให้สามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต อีกทั้งช่วยส่งเสริมภาคการเกษตร และการเติบโตของธุรกิจยานยนต์ในระยะยาว รวมทั้งช่วยให้สิ่งแวดล้อมของเราสะอาดลดมลภาวะอีกด้วย
บราซิลเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการใช้แก๊สโซฮอล์เป็นเชื้อเพลิงทางเลือก รวมทั้งประโยชน์ที่ประเทศได้รับทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลบราซิลได้เริ่มใช้นโยบายส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์อย่างจริงจังมาตั้งแต่ พ.ศ.2518 ในปัจจุบันยานยนต์กว่า 85% ในบราซิลที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินนั้นสามารถเติมแก๊สโซฮอล์ได้ด้วย มีการใช้เอทานอล 100% ความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะนำเทคโนโลยีเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์มาใช้ ส่งผลให้เศรษฐกิจของบราซิลมีความแข็งแกร่ง สามารถสร้างงานให้กับประชาชนได้มากกว่า 600,000 คน และช่วยพัฒนาประเทศได้เป็นอย่างมาก
ความสำเร็จจากนโยบายด้านแก๊สโซฮอล์อย่างในบราซิลสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย หากภาครัฐให้การสนับสนุนโดยการกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ผู้ผลิตรถยนต์ทุกบริษัทต่างมีความต้องการในการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายที่ชัดเจนโปร่งใส
สำหรับนโยบายแก๊สโซฮอล์ E20 นั้นได้มีการเลื่อนประกาศใช้ออกไป ทำให้กลไกการพัฒนาแก๊สโซฮอล์หยุดชะงัก ฟอร์ดยังคงมุ่งหวังว่า ภาครัฐจะได้มีบทบาทในการช่วยส่งเสริมและผลักดันพัฒนาแก๊สโซฮอล์ต่อไป เราเชื่อมั่นว่าในอนาคตทุกภาคส่วนจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการพัฒนานโยบายแก๊สโซฮอล์ ที่ผ่านมาฟอร์ดได้ผลิตรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ที่มีเอทานอลผสมได้มากถึง 20% จำหน่ายในประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์แทนน้ำมันเบนซิน มร.บริวเออร์กล่าว
ข้อจำกัดของเอทานอล
หากจะรณรงค์ให้ใช้เอทานอล 100% เป็นเชื้อเพลิง ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากปริมาณเอทานอลที่ผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะทุกวันนี้การผลิตจะเป็นไปเพื่อใช้เอทานอลเพียงไม่เกิน 10% ผสมในเบนซิน และอีกข้อหนึ่ง คือ ราคาที่ยังสูงอยู่เมื่อเทียบกับทั้งแอลพีจี และเอ็นจีวี
ถึงแม้ว่าในปี 2546 จะมี 8 บริษัท ได้รับอนุมัติให้ผลิตเอทานอลได้ โดยมีกำลังผลิตรวม 1.5 ล้านลิตรต่อวัน และในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 25 บริษัทที่ได้รับอนุมัติ แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นกับบางโรงงานที่ใช้วัตถุดิบกากน้ำตาล หรือ โมลาส บางช่วงประสบภาวะโมลาสแพง จนต้องหยุดการผลิตลง อย่างเช่นโรงงานของบริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ของเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งต้องระงับการผลิตไปก่อน
ส่วนข้อจำกัดด้านราคา แม้ว่าแก๊สโซฮอล์ จะได้ชื่อว่าเป็นพลังงานทดแทน แต่ราคายังสูงเล็กน้อยถึง 26-28 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าเบนซินที่ราคา 29 บาทต่อลิตร แต่ใกล้เคียงดีเซล ทำให้เสียงตอบรับจากผู้ใช้รถ ไม่เข้มแข็งเท่าเอ็นจีวีที่ราคาถูกที่สุดเพียง 8.50 บาท แม้จะขายเต็มอัตราที่ 13 บาท ก็ยังถูกกว่าแก๊สโซฮอล์
อาจจะเป็นเพราะปริมาณที่ป้อนตลาดมีน้อย ทำให้ราคาแก๊สโซฮอล์ยังสูงอยู่ แต่ถ้ารัฐบาลส่งเสริมให้มีการผลิตเอทานอล 100% อย่างจริงจังเป็นผลสำเร็จ ก็น่าจะทำให้ราคาถูกลง ตามหลักการของอุปสงค์อุปทาน แต่จะต้องใช้เวลา ดังนั้นการทำให้แก๊สโซฮอล์ได้รับการขานรับจากผู้ใช้รถเท่ากับเอ็นจีวี คงเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้
|
|
|
|
ลิ้งค์ บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่ครับ
Create Date : 17 พฤษภาคม 2549 |
|
3 comments |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2549 13:46:05 น. |
Counter : 604 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ป้ามด 17 พฤษภาคม 2549 13:38:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|