|
บทเรียนการสร้างความมั่งคั่ง ของเกาหลีใต้สำหรับประเทศไทย...ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์
บทเรียนการสร้างความมั่งคั่ง ของเกาหลีใต้สำหรับประเทศไทย
*หมายเหตุ*-บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย เรื่อง "จุดเปลี่ยนประเทศไทย : เศรษฐกิจพอเพียงในกระแสโลกาภิวัตน์" ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ซึ่งเป็นการวิจัยเพื่อประยุกต์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับมหภาค เพื่อทำความเข้าใจพลวัตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในเวทีโลก
หากย้อนประวัติศาสตร์กลับไปเมื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้แย่กว่าประเทศไทยเพราะต้องเจอสงครามเกาหลี แต่ ณ วันนี้ ระหว่างที่เราย่ำอยู่กับที่ สิงคโปร์ เกาหลีขึ้นไปแล้วถึงจุดที่อยู่ในโลกที่หนึ่งแล้ว
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้ามามองดูโดยปรับผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทยเป็นฐานเท่ากับ 1 ย้อนหลังไปสัก 25 ปีที่แล้ว ขณะที่เราเป็นเท่ากับ 1.0 เกาหลีตกอยู่ที่ประมาณ 2.0 ณ วันที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน จีดีพีของเกาหลีตกลงมาอยู่ที่ 3.1 กว่าๆ ตอนนี้เกาหลีขึ้นไปอยู่ที่ 4.8 เมื่อเทียบกับ 1.0 ของไทย
ในแง่ของ GDP Per Capita เกาหลีจาก 2.4 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ปีนี้ 6.4 เท่า ขึ้นมา 3 เท่า ขณะที่เมื่อก่อนมีรัฐบาลที่ปกครองแบบเผด็จการเหมือนกัน ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน แต่เศรษฐกิจเขาพัฒนาและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดวิกฤต เกาหลีเสียหายหนักกว่าไทยมาก แต่ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นร่วมกันในการต่อสู้กับวิกฤตการณ์ เกาหลีใช้เวลา 18 เดือนก็ฟื้นตัวจากวิกฤต
เดี๋ยวนี้เกาหลีใต้เขาไม่เทียบกับเราแล้ว เขาไปเทียบกับญี่ปุ่น ขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ว่าจะทางด้านภาครัฐหรือเอกชน เกาหลีใต้เหนือญี่ปุ่นแล้ว โดยในปี 2005 ที่ผ่านมานั้น ประสิทธิภาพการบริหารจัดการในภาคธุรกิจเอกชนของเกาหลีใต้อยู่เป็นอันดับ 30 ของโลกแล้ว ส่วนญี่ปุ่นอยู่อันดับที่ 35 ขณะที่ประสิทธิภาพในการบริหารภาครัฐของเกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 31 ส่วนญี่ปุ่นตกอยู่ในอันดับที่ 40
**จาก Vision Korea สู่ Dynamic Korea
ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตการเงินในเอเชีย ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่บริษัทที่ปรึกษา Booze Allen & Hamilton และกำลังทำโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพของกรมสรรพากรอยู่ ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมในบางส่วนของโครงการ "Vision Korea" โดยรัฐบาลเกาหลีเป็นผู้จ้าง
Booze Allen แนะนำ 5 ยุทธศาสตร์หลักให้กับเกาหลีใต้เพื่อรับมือกับกระแสโลกาภิวัตน์ ประกอบด้วย 1) Market-led Economy, 2) Knowledge-Based Society, 3) The Entrepreneurial Spirit, 4) Regionally Integrated, และ 5) Globally Connected
หลังจาก "Vision Korea" ถูกผลักดันไปช่วงหนึ่ง เกาหลีก็ผลักดัน "Dynamic Korea" เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประเทศผู้นำในศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤต เกาหลีใต้ยังต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายอย่างน้อย 5 ประการด้วยกันคือ 1) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว 2) การเพิ่มขึ้นของ Social Tension 3) กระแสโลกาภิวัตน์ที่เชี่ยวกรากขึ้นทุกขณะ 4) การทะยานขึ้นของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีน และ 5) ความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ
เกาหลีใช้คำว่า Dynamic นำหน้า Korea เพื่อให้รู้สึกว่า "Active" ให้รู้สึกว่า "Strong" และ "Forward Looking" คนเกาหลีใต้คิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ Dynamic Korea สะท้อนการเป็น Open Dynamic Society & Culture เป็นประเทศที่พลังตั้งอยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และฐานขององค์ความรู้ ซึ่งเขาไม่ได้ฝันอย่างเดียว จาก Inspiration ก็นำไปสู่ Vision คือแปลงโจทย์ Dynamic Korea ออกมาว่าจะนำพาประเทศเกาหลีไปสู่ศตวรรษที่ 21 จะต้องผลักดันอะไรอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นใน 2 Strategic Thrusts คือ "Innovation" และ "Integration"
Innovation เป็นคำถามใหญ่ เกาหลีใต้จะสร้างนวัตกรรมอะไรเพื่อไปสู้ญี่ปุ่น อินเดีย จีน อเมริกา เพื่อให้มั่นใจว่าเกาหลีจะสามารถเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจและสังคมในศตวรรษที่ 21 นี้ จุดเน้นสำคัญจึงอยู่ที่การยกระดับเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพและการจัดสรรกำลังคน อยู่ที่การผลักดันให้เกาหลีเป็น Northeast Asian Economic Hub อยู่ที่การปฏิรูปโครงสร้างและกลไกตลาดในประเทศให้มีความพร้อมในการรับมือกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก
ขณะเดียวกัน Integration ก็เป็นเรื่องที่ท้าทาย โจทย์คือจะบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ ระหว่าง Chaebols ซึ่งเป็นบรรษัทขนาดยักษ์กับ SMEs ยังมีอยู่ได้อย่างไร
เกาหลีได้เน้น 3 เรื่องหลักคือ การเสริมสร้าง Social Well-Being การพัฒนาที่เน้น Balanced National Development ให้กระจายตามภูมิภาคต่างๆ และเน้นการสร้างแรงงานสัมพันธ์ที่มีความมั่นคง
นี่คือเขาเอาโจทย์ง่ายๆ Inspiration ตีโจทย์ออกมาเป็น Vision ผลักดันให้เกิดรูปธรรมด้วย 7 Strategic Initiatives นี้แล้วสนับสนุนด้วย Short-Term Initiatives โดยมีความเชื่อว่า ถ้าเกาหลีใต้สามารถขับเคลื่อน Innovation และ Integration มันจะเสริมกันเอง พลังที่เกิดขึ้นจะทำลายความหวาดกลัวที่เกาหลีใต้กำลังเผชิญอยู่อย่างน้อย 5 ประการด้วยกัน
1.ความกลัวจากภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือจะหายไป
2.กระแสโลกาภิวัตน์จะกลับกลายเป็นโอกาสสำหรับเกาหลีไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป
3.ความตึงเครียดจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจะลดลง
4.การชะลอตัวทางเศรษฐกิจก็จะน้อยลง เพราะว่ามีการสร้างงานขึ้นอีกมากมาย โดยเฉพาะงานที่มาจาก Content Industries และ Cultural Industries
5.ความกลัวเกี่ยวกับการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนจะลดลง
ด้วยการเดินหมากจาก Vision ไปสู่ Action เกาหลีใต้ลงรายละเอียดทันที เขาอยากเป็น Northeast Asian Hub แต่ตอนนั้นที่เกาหลีคิด ผมยังบอกว่า เกาหลีใต้จะเป็น Northeast Asian Hub ได้อย่างไร ในเมื่อยังต้องเผชิญกับญี่ปุ่น จีน แต่เขากล้าคิดแล้วและก็คิดว่าต้องทำเอฟทีเอเพื่อต่อเชื่อมกับประเทศอื่นเพื่อให้ตัวเองมีพลังเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดสิ่งต่างๆ
ในเรื่องของ Regional States นั้น จีนมีแนวคิดของตัวเองแล้ว อิตาลีก็พัฒนามานานแล้ว เกาหลีใต้ก็กำลังผลักดันออกมา จริงๆ เราเองก็มีแนวความคิดเรื่อง Provincial Cluster โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองจากนักปกครองเป็นซีอีโอ แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่า ซีอีโอเป็นแนวคิดของภาคเอกชน จะเอาไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดไม่ได้ ความจริงแล้วซีอีโอเป็นแนวคิดสากล ดังนั้นแทนที่จะมาเสียเวลานั่งถกเถียงกันเรื่องนี้ เกาหลีใต้ได้เปลี่ยนแปลง Vision ไปสู่ Action จาก Action เตรียมความพร้อมทางด้านขีดความสามารถที่จะบรรลุ Vision ลงรายละเอียดขนาดนี้แล้ว
**บทเรียนที่ประเทศไทยจะได้จากเกาหลี
บทเรียนที่ประเทศไทยน่าจะได้จากเกาหลีใต้ก็คือ การมี "ห่วงโซ่นโยบาย" (Policy Chain) ที่ต้องร้อยรัดให้เชื่อมต่อกันอย่างสนิท ตั้งแต่ต้นน้ำคือความฝัน (Inspiration) เชื่อมต่อกลางน้ำคือ วิสัยทัศน์ (Vision) จนถึงปลายน้ำคือการผลักดันให้นโยบายเกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ (Action)
สิ่งที่ประเทศไทยมีเหมือนเกาหลี คือ ปัญหาหมักหมม เรามีความฝันเหมือนเกาหลี แต่สิ่งที่เราไม่มีคือความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
เกาหลีคิดแบบเราแต่เขาเอาจริง และร่วมกันทำจริง จากที่ล้มเหมือนเราในช่วงที่เกิดวิกฤต เกาหลีลุกเหมือนเราแต่ลุกก่อนเรา แต่ที่แตกต่างในขณะนี้คือ จากล้มสู่ลุก ตอนนี้เกาหลีใต้จากลุกสู่ทะยานแล้ว ในขณะที่ไทยยังเผชิญกับความท้าทายใหม่ เป็นวิกฤตเชิงการเมือง ซึ่งหากบริหารจัดการไม่ดี อาจจะล้มต่อได้ แต่ถ้าบริหารจัดการดี มีความเข้าใจในรากเหง้าของปัญหา มีความจริงใจในการบริหารประเทศ มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแล้วละก็ ประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตครั้งที่สองนี้เป็นโอกาส ในการปรับตัวเองให้ยืนขึ้นได้อย่างมั่นคงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทะยานต่อไปเมื่อโอกาสมาถึง
|
|
|
|
|
|
ลิ้งค์ บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่ครับ
Create Date : 19 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2549 12:37:30 น. |
|
8 comments
|
Counter : 880 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Ta Pling วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:11:26 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:37:55 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:50:46 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:47:02 น. |
|
|
|
โดย: Xenosaga วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:38:21 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:55:30 น. |
|
|
|
โดย: King Hades IP: 203.156.73.34 วันที่: 21 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:41:19 น. |
|
|
|
|
|
|
|