บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2549
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
15 มิถุนายน 2549
 
All Blogs
 

@@เขาหาว่า "เพี้ยน!"--คอลัมน์จุดประกายกรุงเทพธุรกิจ...ตามไปดูวงการวิทยาศาสตร์ไทย






เขาหาว่า "เพี้ยน!"

14 มิถุนายน 2549 15:37 น.
ภาพยนตร์หลายเรื่องมักเสนอภาพนักวิทยาศาสตร์ในแนวเพี้ยน สะท้อนให้เห็นว่าสายตาคนทั่วไปมีมุมมองกับนักวิทยาศาสตร์อย่างไร ในความเป็นจริง พวกเขาเพี้ยน หรือใครกันแน่ที่เพี้ยน โลกของคนเหล่านี้เป็นอย่างไร
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

ทำไมคนเก่งๆ หรือที่เรียกกันว่า "อัจฉริยะ" ถึงพูดจาแล้วคนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง พนิดา เลิศเกียรติมงคล รายงาน

มักพูดกันอยู่เสมอว่า เส้นแบ่งระหว่างความเป็นอัจฉริยะกับความเพี้ยนมันบางมาก ยิ่งได้รับการสำทับจากภาพยนตร์ดังหลายเรื่องจากฮอลลีวู้ด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Back to the Future (2528) หรือในชื่อไทยว่า เจาะเวลาหาอดีต ภาพเพี้ยนๆ เปิ่นๆ ของ ดร.เอ็มเมต บราวน์ ที่สร้างเครื่องไทม์แมชชีนย้อนเวลา แถมยังล้อเลียนอัจฉริยะของโลกด้วยการตั้งชื่อสุนัขของเขาว่าไอน์สไตน์

แม้แต่เรื่อง A Beautiful Mind (2544) นำเสนอเรื่องราวของอัจฉริยะเจ้าของรางวัลโนเบล จอห์น แนส ผู้นำเสนอทฤษฎีเกมที่มีอาการของโรคประสาทหลอนที่เรียกว่า schizophrenia มองเห็นภาพหลอน และได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน และเชื่อว่าถูกคนอื่นควบคุมความคิด รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และกลัวว่าคนอื่นจะมาทำร้าย

นักวิทยาศาสตร์คนเก่งในรายการ Maga Clever ฉลาดสุดๆ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ทุกวันพฤหัสบดีก็เช่นกัน โปรดิวเซอร์เลือกเอาผู้ชายหน้าตาเด๋อด๋าผอมกะหร่อง มาเป็นตัวแทนของนักวิทยาศาสตร์ที่มาตั้งคำถามคันสมองให้ชวนคิดหาคำตอบ

ภาพดราม่าที่ถูกนำเสนอซ้ำๆ เหล่านี้ ทำให้หลายคนมองว่า คนเก่ง ซึ่งภาษาอังกฤษมีคำสแลงเรียกคนเหล่านี้ว่า geek บ้าง หรือ nerd บ้าง มีบุคลิกภาพที่แตกต่างจากคนอื่น มีโลกส่วนตัวที่ยากจะเข้าถึง ชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้องแล็บ และสมการ

ที่กล่าวมานั้น เป็นเพียงความคิดและข้อสงสัยของเรา แต่ความเป็นจริงนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ชีวิตความเป็นอยู่ของนักวิทยาศาสตร์กำลังจะเปิดม่านให้ชม ให้เราได้รู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับข้อกล่าวหาที่เราแอบคิดอยู่ในใจ โดยมีนักวิทยาศาสตร์ 3 รุ่นมาเปิดใจถึงความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของพวกเขา


อัจฉริยะหรือนายเพี้ยน

ดร.ขวัญ อารยะธนิตกุล อาจารย์พ่อบ้านอารมณ์ดีประจำภาควิชาฟิสิกส์และดูแลค่ายโอลิมปิกวิชาการพูดถึงความเพี้ยนที่ถูกผูกโยงกับนักวิทยาศาสตร์ว่า เป็นเรื่องลักษณะพิเศษของแต่ละคนมากกว่าความเพี้ยน

"ทุกคนมีอะไรไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีลักษณะพิเศษที่ต้องอาศัยความเข้าใจ เมื่อก่อนนักวิทย์ทำสิ่งที่ตนเองสนใจ แต่ปัจจุบันนี้ต้องคุยกับคนอื่นมากขึ้นเพื่อให้รู้ถึงปัญหาและความต้องการของสังคม ไม่ใช่ยุ่งอยู่กับตัวเองคนเดียว นักวิทย์เลยไม่ได้เพี้ยน อาจแค่คุยน้อยเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ก็ต้องคุยกับชาวบ้านมากขึ้นแล้ว” นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่กล่าว

ด้าน ธนิษฐ์ ปราณีนรารัตน์ นักศึกษาปริญญาตรีปี 4 ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมองว่า นักวิทย์มักถูกแยกกลุ่มออกจากสังคมเป็นอีกสังคมหนึ่ง โดยศาสตร์อื่นไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเท่าไหร่ เพราะสังคมเข้าถึงวิทยาศาสตร์ได้ยาก และภาษาที่ใช้กันในวงวิทยาศาสตร์ยังยากเกินกว่าที่สังคมจะเข้าใจ

"นักวิทย์สื่อสารกันเองได้ เข้าใจกันได้ แต่ว่ากับบุคคลอื่นยังสื่อสารกันได้ไม่ดีนัก" นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์กล่าว

ข้อสังเกตของธนิษฐ์ ได้รับการขยายความเพิ่มเติมจาก ดร.พหล โกสิยะจินดา ดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยคอเนลล์ สหรัฐ ซึ่งมองว่านักวิทย์เป็นอาชีพที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัว หาคำตอบ ตอบปัญหาและข้อสงสัยอย่างมีเหตุผลและพิสูจน์ได้

"นักวิทย์มีคุณสมบัติที่ต่างจากคนทั่วไป พวกเขาจะไม่ละเลยข้อสงสัย มีความคิด ท้าทาย ใฝ่รู้ นั่นคือ นักวิทย์มีเหตุผลเหมือนคนทั่วไป แต่อาจชอบใช้ทักษะการคิด เอาความอยากรู้มาทำเป็นอาชีพ ใช้ทักษะกระบวนการคิด ชอบแสวงหาความรู้ ไม่พร่ำเพรื่อหรือเพ้อเจ้อ"

ดูเหมือนว่า ปัจจัยที่ทำให้คนทั่วไปมองนักวิทยาศาสตร์อย่างแปลกแยกคือ เรื่องของภาษาที่นักวิทย์ใช้ในการสื่อสาร และยังมีเรื่องพื้นฐานทางการศึกษามาเป็นช่องว่างที่ทำให้โลกของนักวิทยาศาสตร์อยู่ไกลออกไปยิ่งขึ้น

"นักวิทย์เป็นนักการศึกษา จึงมีการคิดเป็นขั้นตอนตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีหลักการมาก่อนเสมอ ซึ่งต่างจากคนทั่วไป ทำให้ดูแล้วคิดแต่อะไรยากๆ ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก มีความรู้มากเกินไปจนไม่อาจถักทอมาเป็นถ้อยคำที่เรียบง่ายได้"

เมื่อพิจารณาจากมุมมองดังกล่าวแล้ว ดูเหมือนทุกคนต่างยอมรับถึงปัญหาเรื่องการสื่อสารระหว่างนักวิทย์กับคนอื่นๆ ทำให้นักวิทย์ถูกมองว่า ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับบุคคลภายนอก คุยกับคนภายนอกน้อย อยู่ในโลกส่วนตัวของตนเอง หมกมุ่นกับการทดลอง มีเหตุผลทุกเรื่อง ทั้งที่ในโลกปกติไม่ต้องการเหตุผลทุกเรื่อง จนยากเกินกว่าคนนอกจะเข้าถึงได้

“การที่นักวิทย์หมกมุ่นอยู่กับงานของตัวเองเป็นหลัก อยู่ในกลุ่มสาขาเดียวกันที่มีความเฉพาะด้านมากๆ ทำให้พูดรู้เรื่องกันแต่ในกลุ่ม ซึ่งปัญหานี้มีอยู่ทุกวงการที่อาศัยความเฉพาะทาง แต่ในบ้านเรามีคนที่เพี้ยนจริงๆ แบบไอน์สไตน์น้อย” ดร ขวัญ กล่าว

ธนิษฐ์เสนอว่า นักวิทยาศาสตร์ยุคต่อไปคงต้องปรับภาษาพูดให้ง่ายขึ้น คนจะได้เข้าหาได้ง่ายกว่าเดิม ขณะเดียวกัน คนทั่วไปก็ต้องมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ไว้บ้าง เพื่อให้เข้าใจกันได้ง่ายมากขึ้นทำให้การนำเสนอทางวิทยาศาสตร์เข้าถึงคนได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ความผิดของนักวิทยาศาสตร์เสียทั้งหมด ดร.พหลเสริมว่า ถ้าคนไทยเริ่มคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ เริ่มสงสัยตั้งแต่เด็ก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเป็นหน้าที่รับผิดชอบของทุกคน ตั้งแต่สมาชิกในครอบครัวไปจนถึงผู้บริหารประเทศ “ทุกคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ในระดับที่ต่างกัน ตั้งแต่เด็กจนแก่ ถ้าสนใจปัญหา และพยายามหาข้อพิสูจน์ให้ได้ ก็มีความคิดเป็นแบบนักวิทยาศาสตร์แล้ว”

ในระยะหลังๆ มานี้ ดร.ขวัญบอกว่า นักวิทยาศาสตร์มีรูปลักษณ์ที่หลากหลายมากขึ้น อีกไม่นานสังคมวิทย์จะดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์พยายามสื่อสารกับบุคคลภายนอกมากขึ้น เพราะในปัจจุบันเป็นยุคข่าวสารข้อมูล ทำให้ต้องการความรู้พื้นฐานทางวิทย์มากขึ้น และสิ่งสำคัญในการสื่อสารนั้น ดร.ขวัญให้ความสำคัญกับ “ความเข้าใจ” ระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เพื่อให้เข้าถึงคนที่พูดด้วย ต้องหาทางเข้าใจคนที่คุยด้วย สนใจว่าคนฟังเป็นใคร จะได้สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น

วิทยาศาสตร์ขับเคลื่อนโลก

ในสายตาของคนทั่วไปอาจมองว่า วิทยาศาสตร์มีแต่เรื่องยากๆ ต้องเป็นคนเก่งจริงๆ เท่านั้นถึงจะศึกษาวิทยาศาสตร์ได้อย่างถ่องแท้ และยังเป็นเรื่องไกลตัว แต่ ดร.ขวัญผู้มีประสบการณ์ยาวนานที่สุดกล่าวถึงวิทยาศาสตร์ว่า

“วิทยาศาสตร์ทำให้เข้าใจกระบวนการอะไรหลายๆ อย่าง มีประโยชน์ มองเห็นภาพได้ และน่าสนใจ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นนักวิทย์เท่านั้นถึงจะเข้าใจวิทยาศาสตร์ได้ อะไรหลายๆ อย่างก็มีหลักฟิสิกส์ซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการลอย การบิน เครื่องยนต์ต่างๆ ทำให้เราสนุกกับวิทย์ได้”

ดร.พหลให้ความเห็นว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างเช่นเยอรมนี หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ได้รับผลกระทบมากทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา แต่ภายในไม่กี่ปี เศรษฐกิจกลับแข็งแรงเป็นอันดับ 3 ของโลกทั้งที่มีทรัพยากรธรรมชาติน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย และยังมีคุณภาพมาตรฐานชีวิตที่ดี เพราะให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาก

แต่การสร้างคนที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสิ่งที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาอย่างแท้จริงคืองานวิจัย ทั้งสองสิ่งนี้ นายธนิษฐ์ มองว่าคือสิ่งที่เกิดมาคู่กัน เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถงอกเงยขึ้นได้ถ้าขาดงานวิจัย

“งานวิจัยเป็นเสมือนแหล่งพลังงานสำรอง อาจเปิดใช้ยากหน่อย แต่ถ้าเราเอาแต่ซื้อสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายๆ จากต่างประเทศ สักวันหนึ่งเราจะซื้อไม่ไหว เราจึงต้องพัฒนาของเราเองขึ้นมาเพื่อให้เราเอาไว้ใช้เองให้ได้ แต่อาจต้องอาศัยเวลาสักระยะในการนำมาใช้จริงๆ”

โลกของนักวิทย์

แล้วอะไรที่ดึงดูดให้คนเหล่านี้ก้าวเข้าสู่แวดวงวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากความสำคัญแล้ว วิทยาศาสตร์มีอะไรที่น่าสนใจ น่าดึงดูด น่าหลงใหลอีกบ้าง นายธนิษฐ์ เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ชักนำเข้าสู่วงการวิทยาศาสตร์สาขาเคมีว่า

“บังเอิญโชคดีได้อาจารย์ชักชวนเข้าโครงการ สอวน.เคมี (คล้ายกับโอลิมปิกวิชาการ แต่ว่าง่ายกว่า) และก็ชอบเคมีอยู่บ้าง สนุกกับเคมี สนุกตอนแข่งขัน แต่มาชอบจริงๆ ตอนเข้าโครงการเจเอสทีพี (โครงการส่งเสริมเยาวชนที่มีความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ โดยส่งเสริมให้ทำงานวิจัย) ได้ทดลองทำแล็บจริงๆ การที่จะทำแล็บเคมีได้ ต้องชอบจริงๆ เพราะต้องอาศัยระยะเวลานาน ทำงานเยอะ ไม่สำเร็จได้ง่ายๆ” ธนิษฐ์ว่า

ขณะที่ ดร.พหลเล่าถึงประสบการณ์ความชอบวิทยาศาสตร์ตั้งแต่สมัยเด็กว่า เขาเป็นคนช่างสงสัย ช่างถาม ชอบหาความรู้ใหม่ๆ ชอบวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน ทางบ้านให้การสนับสนุน

"ผมมีห้องแล็บส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ สกัดคลอโรฟิลล์ตอนประถมแล้วเกิดความสงสัยว่าใช้อะไรมาสกัดได้บ้าง และเพราะเหตุใดสารบางชนิดสามารถสกัดสีของใบไม้และดอกไม้ได้ดีกว่าสารอื่นๆ เมื่อโตขึ้น รู้จักวิชาชีววิทยา ซึ่งเป็นสิ่งรอบๆ ตัวเรา จับต้องได้ และเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต และได้รับทุนให้ศึกษาจนจบปริญญาเอก"

แล้วนักวิทย์เหล่านี้จะมีวิถีชีวิตต่างจากคนทั่วไปอย่างไร ชีวิตที่ทุ่มเทกับงานวิจัยจะทำให้นักวิทย์แตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่นั้น ฝ่ายอาจารย์อย่าง ดร.พหลและ ดร.ขวัญมีทั้งงานสอนหนังสือและงานวิจัย โดยทำงานวิจัยเมื่อไม่มีการเรียนการสอน จึงทำให้เวลาทำงานของนักวิทย์ไม่แน่นอน อาจมีชั่วโมงสอนหนังสือ แต่ไม่มีชั่วโมงเลิกงาน อาจมองดูเหนื่อย ถึงกระนั้น ดร.ขวัญกล่าวอย่างสบายๆ ว่า "ได้ทำงานที่ชอบ ได้สนุกกับงาน ขึ้นกับความอยากรู้"

แม้ว่าจะมีเวลาทำงานที่ยาวนานกว่าคนทั่วไป แต่ทุกคนกลับไม่รู้สึกเหนื่อย พวกเขาให้ความเห็นคล้ายๆ กันว่า ถ้าได้ทำงานที่ชอบแล้ว ไม่ว่าอะไรก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก น่าสนใจทั้งสิ้น นายธนิษฐ์ให้เหตุผลว่า “ได้หลงใหลไปกับสาร ทำสำเร็จก็ภูมิใจ เกิดความศรัทธาในงานที่ทำ”
แต่นักวิทย์จะไม่ทำอะไรอย่างอื่นก็คงไม่ใช่ พวกเขายังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมือนกับคนทั่วไป มีการผ่อนคลาย นายธนิษฐ์เล่นแบดมินตัน เสาร์อาทิตย์ก็พักผ่อนเหมือนคนทั่วไป ดูโทรทัศน์ เล่นเกม ส่วน ดร.พหลจะออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส ทำอาหาร ชมภาพยนตร์ ท่องเที่ยว ติดตามข่าวสาร สนใจสิ่งรอบข้าง และกิจกรรมที่น่าสนใจของ ดร.ขวัญ คือ การทำอะไรที่เด็กจะทำด้วย เพื่อให้เข้ากับเด็กได้ เวลาว่างจะทำงานที่ชอบ จัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ให้เด็กนักเรียนและอาจารย์ตามที่ต่างๆ ทำให้ได้ท่องเที่ยวไปด้วย พบปะผู้คน

แม้ว่าในสายตาของ "คนนอก" อาจมีภาพที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวนักวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง แต่ในสายตาของนักวิทย์ด้วยกันเอง พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัย พัฒนาความรู้ โดยมีแรงขับดันจากความชอบวิทยาศาสตร์ส่วนตัว ทำให้พวกเขาหมกหมุ่นกับงานที่ทำได้อย่างลืมความอ่อนล้า

พื้นฐานความรู้ที่ต่างกันระหว่างคนทั่วไปกับนักวิทยาศาสตร์ทำให้คนรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากไป แต่ในความจริงวิทยาศาสตร์ไม่ได้ยาก และมีอะไรที่น่าสนุกมากกว่าที่คนคิด ทุกคนสามารถเป็นนักวิทย์กันได้โดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน

เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง เชอร์ลอค โฮมส์ พูดกับวัตสัน แพทย์และเพื่อนคู่หูช่วยคลี่คลายคดีอาชญากรรมที่ทึ่งกับความสามารถในการอนุมานและแก้ปัญหาว่า "นายเห็น แต่นายไม่ได้สังเกต ถ้านายสังเกต นายก็จะเห็นเหมือนที่กันเห็น"





ลมหายใจของชีวิต ...ด้วยดวงจิตที่ใฝ่ฝัน คลิกที่นี่ครับ


พุทธบูรณารำลึก 100 ปี ชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส(ตอน 7)




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2549
14 comments
Last Update : 22 มิถุนายน 2549 12:43:45 น.
Counter : 663 Pageviews.

 

คัดจากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อ "ยุค ศรีอารยะ" วิพากษ์ ทักษิณกับหายนะโลกาภิวัตน์

เมื่อไม่นานมานี้ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิถีทรรศน์ เจ้าของนามปากกา ยุค ศรีอารยะ เดินทางไปร่วมเสวนาวงเล็กๆ ที่มีผู้ร่วมเสวนาที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักการเมือง และนักข่าว บนถนนราชดำเนิน

ดร.เทียนชัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกาภิวัตน์ วิเคราะห์ว่า การกลับเข้ามาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำพรรคไทยรักไทย จะทำให้ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีพัฒนาการขยายตัวไปเรื่อยๆ จะมีการเคลื่อนพลังประชาชนได้ดี แล้วจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยจริงๆ

"จากที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าประชาธิปไตยอยู่ที่ภาคการเมือง การกลับเข้ามาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้ความหมายของประชาธิปไตยเกิดการสร้างพลังจากฐานราก ด้วยพันธมิตร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี"

ผู้อำนวยการสถาบันวิถีทรรศน์ วิเคราะห์ต่ออีกว่า การเมืองในปัจจุบันมีลักษณะเหมือนย้อนกลับไปเมื่อครั้งหลังสงครามเวียดนาม ที่สังคมไทย เคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร -จอมพลประภาส จารุเสถียร

"ผมคิดว่าวันนี้การเมืองไทยมีความใกล้เคียงหรือคล้ายกับการเมืองในช่วงนั้น อีก 2 ปีข้างหน้า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณทนทุกข์ได้นานขนาดนั้น สังคมและการเมืองไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่นเดียวกันกับที่นายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา และนายโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรี อังกฤษ จะหมดวาระในอีก 2 ปี แล้วเมื่อนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงพลิกผัน เป็นประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งของโลก"

ด้านภาพรวมทางเศรษฐกิจ ดร.เทียนชัยให้ความเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โตมาจากเศรษฐกิจฟองสบู่ มีความเก่งทางด้านเล่นกับเศรษฐกิจฟองสบู่ และตลาดหุ้น กระบวนการคิดที่จะปั่นประเทศ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่ต่อขบวนการอสังหาริมทรัพย์จะสามารถปลุกนักปั่นได้

"วิธีคิดแบบนี้ จึงเป็นที่มาของเมกะโปรเจ็กต์ เช่น โครงการรถไฟฟ้า 10 สาย เมืองใหม่สุวรรณภูมิ ซึ่งผมคิดว่ากระแสอสังหาริมทรัพย์โลกจะล้มในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า วิกฤตทางเศรษฐกิจขณะนี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับวิกฤตปี 2540 ที่เกิดจากอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน นอกจากนี้ให้ระวังฟองสบู่แตกในจีน" ดร.เทียนชัยกล่าว ก่อนจะให้ความเห็นว่า

"พ.ต.ท.ทักษิณสนใจแต่เรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ดูเรื่องการศึกษา และวัฒนธรรม แม้กระทั่งภาวะน้ำมันที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอ่านขาดว่าจะเกิดวิกฤตน้ำมัน และทรงมีพระราชดำรัสให้ค้นคว้าหาแหล่งเชื้อเพลิงบริสุทธิ์ใหม่ๆ ที่สามารถหาได้จากผลิตผลทางการเกษตร คุณเป็นอัศวินลูกที่ 3 อย่างไร ทำไมอ่านวิกฤตน้ำมันไม่ออก"

ดร.เทียนชัยฉายภาพว่า ระบบโลกปัจจุบันก้าวสู่ระบบธนาธิปไตย ระบบนี้เกิดขึ้น เนื่องจากการผนวกตัวของทุนใหญ่ และทุนใหญ่เชื่อมกับทุนระหว่างประเทศ เช่น กรณีคุณทักษิณ (ชินวัตร) ที่ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงคโปร์ เข้ามาเทกโอเวอร์ ยึดครองเศรษฐกิจประเทศไทย

ทิศทางเหล่านี้ หมายความว่า ทุนใหญ่สามารถเข้ามาตั้งพรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ โดยการประสานร่วมมือระหว่างทุนภายในและภายนอก กลายเป็นกลุ่มทุนที่มีเงินมากกว่าทุนระดับกลาง-ย่อย ทำให้พัฒนาไปสู่ระบบซึ่งคนจำนวนน้อยเท่านั้นมีอำนาจ กำหนดทิศทางการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศได้

ทั้งๆ ที่ระบบประชาธิปไตยโดยตัวของมันเอง หมายถึงระบบที่มีสมดุลของพลังภายในต่างๆ แต่ระบบอันนี้อำนาจทั้งหมดรวมศูนย์ คือคนมีเงินเท่านั้นที่จะควบคุมระบบทั้งหมด และเป็นคนมีเงินจำนวนน้อยด้วย นี่หมายถึงระบบโลกาภิวัตน์ เป็นระบบซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างต่างจากยุคทุนนิยมอุตสาหกรรม

ระบบโลกาภิวัตน์สร้างให้เกิดอภิมหาร่ำรวย กลุ่มทุนพวกนี้ร่ำรวยมาก ร่ำรวยมาจากการเล่นหุ้น ปั่นที่ดิน ปั่นอสังหาริมทรัพย์ ปั่นราคาน้ำมัน และร่ำรวยอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้ไม่ได้ผลิตจริง ขณะเดียวกันจะเกิดปรากฏการณ์เรียกว่า รวยกระจุกจนกระจาย คือชนชั้นล่างจะเป็นหนี้สินมากขึ้น คนชั้นกลาง-คนทำธุรกิจอยู่ในภาวะจนลง

แล้วที่สุด เราจะกลับไปเหมือนเหตุการณ์ก่อนปี 2540 กล่าวคือ เงินไหลทะลักเข้าสู่อสังหาฯในกรุงเทพฯ ขบวนการปั่นกรุงเทพฯ กับสุวรรณภูมิก็จะเกิดขึ้น คนจะตื่นเหมือนกับช่วงก่อนปี 2540 และกู้เงินเข้ามาเพื่อเล่นอสังหาฯ ในเวลาเดียวกันการปั่นอสังหาฯทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้นด้วย

แต่ถึงที่สุดแล้ว การปั่นอสังหาฯจะไปเจอปัญหาเหมือนกับปี 2540 นั่นคือปั่นจนกระทั่งพัง จุดพังปี 2540 ไม่ใช่ตลาดหุ้นแตก แต่เป็นตลาดอสังหาฯแตก เพราะไปเล่นกันจนกระทั่งดีมานด์-ซัพพลายวิ่งสวนทางกัน ทุกคนเอาเงินซื้อเข้าไปๆ แบบเก็งกำไร จนกระทั่งแบงก์ที่ให้กู้เจ๊งเป็นทิวแถว จนต้องประกาศปิด นี่คือการปั่นอสังหาฯ เสร็จแล้วคนจำนวนหนึ่งก็กลายเป็นแมลงเม่า เหมือนกับการปั่นหุ้น พออสังหาฯพัง หุ้นก็พังตาม ขบวนการก็กลับไปแบบปี 2540 ใหม่ คือการแตกของฟองสบู่รอบ 2 หลังฟองสบู่แตก สิงคโปร์ก็เข้ามาเทกโอเวอร์ใหม่ (ช็อปซื้อของถูก) กรุงเทพฯ เกือบทั้งหมดก็กลายเป็นของสิงคโปร์ในฉากสุดท้าย

... นี่คือ หายนะภัยโลกาภิวัตน์ ที่จะเกิดขึ้นอีกรอบ 2 ในเร็ววันนี้ ภายใต้ระบอบทักษิณ

ดร.เทียนชัย ฝันอยากเห็นพรรคที่เสนอแนวนโยบายอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ พรรคกรีน (Green) แบบในตะวันตก ในประเทศไทย เพราะเชื่อว่านี่คือทางออกของประเทศไทยอย่างแท้จริง เนื่องจากเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกำลังใกล้จุดวิกฤตในอีกไม่นาน

"ผมอยากเห็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่เสนอนโยบายแบบพรรคกรีน ผมเชื่อว่า พรรคกรีนจะได้รับการสนับสนุนจากคนในกรุงเทพฯและคนในหัวเมืองใหญ่ พอสมควร ผมดูจากคะแนนโนโหวตเมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน ผมเชื่อว่า โนโหวต ไม่ใช่คะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นคะแนนของคนที่ไม่เอาระบอบทักษิณ ฉะนั้นถ้าพรรคกรีนเสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่ ผมเชื่อว่า น่าสนใจมาก เพราะทุกวันนี้ พรรคไทยรักไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ แทบไม่แตกต่างกันเลยในเชิงนโยบาย" ดร.เทียนชัยกล่าว

"ในอดีต การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนกรุงเทพฯก็เลือกพรรคกรีน อย่างกลุ่มมดงานของ ดร.พิจิตต รัตตกุล มาแล้ว ผมยังชื่นชมสตาฟทำงานของกลุ่มมดงาน หลายคนมีความคิดแนวพรรคกรีนที่น่าชื่นชม ถ้าพรรคการเมืองระดับชาติ เสนอนโยบายแบบพรรคกรีน ผมว่า จะเป็นทางเลือกใหม่ของคนเมืองที่เริ่มเห็นหายนะของการพัฒนาของโลกทุนนิยม"

ผู้อำนวยการสถาบันวิถีทรรศน์กล่าวว่า รัฐบาลที่ผ่านมาสนใจแต่เรื่องการปั่น จีดีพี ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโต แต่ไม่เคยสนใจเรื่อง Green GDP ซึ่งในหลายประเทศ ประสบความสำเร็จ และทำให้คนในสังคมมีความสุข

 

โดย: คนเดินดินฯ 15 มิถุนายน 2549 11:34:38 น.  

 

บางทีไม่ใช่นักวิทย์เอง
ก็ยังเพี้ยนกันได้อ่ะ
เดี๋ยวนี้นะคะ

 

โดย: prncess 15 มิถุนายน 2549 11:58:57 น.  

 

อืม...ก็น่าคิดอยู่นะ

 

โดย: lonely sea (seenil ) 16 มิถุนายน 2549 14:11:24 น.  

 

หวัดดีค่ะคุณเดินดิน..ขอบคุณมากค่ะสำหรับ..ผังกลอนแปด..จะนำไปศึกษา

เราเรียนนานแล้วตั้งแต่มัธยมจำลางเลือนค่ะ..แล้วเรามาแต่งกลอนกันนะค่ะ



 

โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) 16 มิถุนายน 2549 16:06:10 น.  

 

เราว่าที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ดูเพี้ยน ๆ
เพราะพวกเค้าใช้สมองในการคิดอยู่ตลอดเวลามากกว่า
เนื้อสมองเต็มไปด้วย การขบคิดปัญหาต่าง ๆ ที่คนอย่างเรา
นึกไม่ถึง คาดไม่ถึง จนไม่มีเนื้อที่เหลือสำหรับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เอาไว้มาถามเรื่องไร้สาระกับเราซิ รับรองตอบได้หมด

 

โดย: Xenosaga 18 มิถุนายน 2549 13:44:59 น.  

 

ลาไปเที่ยวเกาะชนนะครับ

วันนี้ว่าจะอัพบล็อกก็เลยอัพไม่ทันอีก

แล้วจะมาเล่าเรื่องราวให้ฟังอีกทีนะครับ


 

โดย: คนเดินดินฯ 18 มิถุนายน 2549 15:51:24 น.  

 





สวัสดี ณ มุมหนึ่ง ของ กรุงเทพ นะจ้า


การไม่พูดไม่ใช่จะไม่..ห่วงใย
การไม่ทักไม่ใช่ไม่..ห่วงหา
การไม่มองไม่ใช่จะ..หมางเมิน
การมาหานี่แหละคือ..ความคิดถึงมีให้เธอ


** มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงเสมอนะจ้า **

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 18 มิถุนายน 2549 21:08:07 น.  

 

วันนี้แวะหาเราหน่อยค่ะ..แต่งกลอนให้พิจารณาค่ะพีชาย...

ใช้ได้ยัง...สัมผัสมายแน่นใจค่ะ..

 

โดย: catt.&.cattleya.. IP: 58.9.55.8 19 มิถุนายน 2549 9:50:47 น.  

 

กลับมาแล้วจากเกาะช้าง
แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

 

โดย: คนเดินดินฯ 21 มิถุนายน 2549 12:56:07 น.  

 


ชอบเรื่องราวคราวนี้มากค่ะ
มีสาระ แง่มุมต่างจากที่เรารู้
และไม่หนักเกินไปด้วย

 

โดย: p_tham 22 มิถุนายน 2549 1:16:55 น.  

 

หนีไปเที่ยวแล้วไม่บอกแม่หนิง
มีงอนนะ...เอาของฝากมาไถ่โทษเลย

ลงรูปเยอะ ๆ นะคะ
แม่หนิงจะตามมาดู

เดี่ยวไปอ่านก่อนนะ ยังไม่ได้อ่านเลย
รีบมาเม้นท์ก่อน

เพลงเพราะ ( เข้ากับอายุ เราเลยเน๊อะ 55555555555)

 

โดย: run to me 22 มิถุนายน 2549 16:49:10 น.  

 

ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำ..แล้วน้องจะนำไปพิจารณาค่ะ

 

โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) 22 มิถุนายน 2549 22:36:59 น.  

 

เคยมีประสบการณ์ไปเข้าค่าย JSTP ที่อยู่ในบทความนี้ น้องๆที่มาไม่มีอะไรผิดแปลกกว่าคนปกติเลยนะครับ เป็นเด็กๆที่สนใจทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้ละมั้งที่ทำให้คนทั่วไปไม่เจ้าใจเพราะไม่อยู่ในความสนใจเหมือนอย่างเด็กๆหรือคนจำพวกนี้ หุๆๆ


รออ่านเรื่องเกาะครับ

 

โดย: นายเบียร์ 23 มิถุนายน 2549 5:05:14 น.  

 

มีบทสัมภาษณ์อ.ขัวญด้วย

แกสอนฮาดี สอนคู่กะอาจารย์นฤมล เข้าใจมากๆเลย^^

 

โดย: นศ อ.ขวัญ IP: 202.28.180.202 7 กุมภาพันธ์ 2551 23:02:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.