บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
1 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
สังคมไทยในยุคโจรครองเมือง--ดร.ระพี สาคริก




สังคมไทย ในยุคโจรครองเมือง

โดย ระพี สาคริก




หวนกลับไปนึกถึงคำกล่าวของผู้ใหญ่สมัยก่อน นับเป็นเวลากว่า 60 ปีมาแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังจำได้ดี ที่กล่าวฝากไว้ในเชิงทำนายอนาคตของสังคมไทยไว้ว่า ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม กาขาวจะครองเมือง อีกทั้ง โจรจะครองแผ่นดิน

ข้อความดังกล่าว แม้ขณะนั้นเราจะยังไม่เชื่อเพราะยังไม่เห็นผลที่เป็นความจริง แต่ก็ใช่ว่าเราจะคิดดูถูกไม่

ผู้เขียนเป็นคนมีนิสัยสนใจเรียนรู้ อีกทั้ง ค้นหาความจริงจากทุกเรื่องบนพื้นฐานที่มาที่ไปของชีวิตตนเอง รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งดำรงอยู่ร่วมกันในสังคม โดยถือหลักว่า ไม่มีสิ่งใดที่เราจะเชื่อไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่ายังไม่ถึงเวลาเท่านั้น

ดังนั้น จึงเฝ้าติดตามสังเกตผลของการเปลี่ยนแปลง

แม้แต่ประเด็นโลกาภิวัตน์ หากมองสองด้านเข้าไว้ ย่อมเป็นคนไม่ประมาท

ด้านหนึ่งซึ่งใช้เป็นพื้นฐานการค้าหาเหตุและผล น่าจะหมายถึง ด้านที่อยู่ในจิตใจเราเอง ซึ่งควรถือเป็นพื้นฐานสำคัญอยู่เสมอ

ส่วนอีกด้านหนึ่งหมายถึง สิ่งซึ่งอยู่บนพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลาย ภายในบรรยากาศรอบตัวเราเอง ซึ่งสิ่งนี้ควรเป็นผลจากการปฏิบัติ โดยถือความจริงภายในจิตใจเป็นที่ตั้ง

โลกาภิวัตน์ซึ่งในช่วงหลังๆ เรามักพูดถึงกันบ่อยๆ ก็มักมีสองด้านเช่นเดียวกัน

ด้านหนึ่ง คนส่วนใหญ่มักหมายถึง การที่มนุษย์ทุกมุมโลกมีการเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างกันและกันอย่างอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านที่กล่าวถึงนี้ คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจ อีกทั้งนำมาเน้นความสำคัญมากกว่าการถือความจริงภายในจิตใจตัวเองเป็นที่ตั้ง

ส่วนโลกาภิวัตน์ที่หมายถึงเหตุซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจคน หากสนใจค้นหาความจริง ย่อมเป็นผลดีกับตนเอง และทุกฝ่ายที่จะไม่คิดเอารัดเอาเปรียบแก่กันและกัน

ขณะนี้อิทธิพลการเปลี่ยนแปลงของวัตถุ ส่งผลทำให้คนส่วนใหญ่ลืมตัว ดังนั้น จึงมองเห็นเนื้อหาสาระที่อยู่ในใจตนเองได้ยากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

ประจักษ์พยานบนพื้นฐานประเด็นดังกล่าวที่สะท้อนออกมาปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันก็คือ กระแสความเห็นแก่ตัวของคนส่วนใหญ่ รวมกับการถือทิฐิมานะเป็นที่ตั้ง ซึ่งนับวันจะมีความรุนแรงยิ่งขึ้น

หากเป็นไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ย่อมมีแนวโน้มให้ความสนใจกับโลกาภิวัตน์ที่มองออกจากตัวเอง มากกว่าการหวนกลับมาทบทวนเพื่อค้นหาความจริงจากใจ

สิ่งที่ปรากฏเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงก็คือ การวางตัวของแต่ละคนที่อยู่ในสังคมมักนิยมยกตนข่มท่าน นอกจากนั้น การคิดแบ่งชนชั้นก็ดี การเพียรพยายามที่จะทำความเข้าใจ เรื่องคนเราเหมือนกัน ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน แม้ศาสนาไหนดูจะน้อยลงไปเรื่อยๆ หากกลับมาสู่การแบ่งชนชั้น

จนกระทั่งถึงการแบ่งพรรคพวกรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะนี้เราจะเห็นได้ว่า ภายในบรรยากาศของสังคมไทย ใครจะนึกว่ามีคนต่างชาติที่ถูกสมมุติขึ้นมาเป็นกาขาวเข้ามาบุกรุกถือครอง แม้กระทั่งแผ่นดินถิ่นเกิดของคนท้องถิ่น อีกทั้งยังกอบโกยทรัพยากรไปบริโภคอย่างไม่ละเว้น

หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า จะกินแต่เพียงข้างปลาอาหารของคนในท้องถิ่นเท่านั้นไม่ หากยังคิดกอบโกยเอาไปเป็นประโยชน์ของตนและพรรคพวก จนกระทั่งทำให้คนท้องถิ่นจำต้องเดือดร้อนหรืออาจกล่าวว่า มีการเพียรพยายามเอารัดเอาเปรียบทุกแง่มุม โดยไม่คำนึงว่าคนท้องถิ่นจะสูญเสียของรักอันทรงคุณค่าของตนเท่านั้น

แม้กระทั่ง การคิดขับไล่กลุ่มคนดังกล่าวออกไปจากแผ่นดิน โดยสิทธิอันชอบธรรม ก็ยังถูกใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำร้ายร่างกายโดยไม่บันยะบันยัง

ช่วงที่ผ่านมา ใครจะคิดว่าเราต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งเยาวชนคนท้องถิ่น ซึ่งควรจะเป็นพลังในการพัฒนาตนเองของบรรพบุรุษ ที่ละทิ้งถิ่นฐานบ้านช่อง แม้กระทั่งงานในด้านเกษตรกรรม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบรรยากาศที่หล่อหลอมให้คนรู้จักรักแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง หันกลับเข้าเมือง เพื่อมาเป็นทาสรับจ้างงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีคนต่างประเทศเข้ามาเป็นนายไม่เพียงแต่เป็นนายโดยตรงเท่านั้น หากยังมาในรูปแอบแฝง

กลุ่มบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์เหล่านี้ ก็มาเป็นอาชญากรในเมือง ทำให้ถูกจับลงโทษในฐานะโจรปล้นแผ่นดิน ซึ่งภาพดังกล่าวเราจะเห็นได้โดยตรง หากเริ่มต้นจับตาดูเหตุการณ์เหล่านี้ มาถึงอีกช่วงหนึ่ง มันไม่เพียงเท่านั้น ในที่สุด สภาพการเป็นโจรปล้นแผ่นดินมันก็ลุกลามสูงขึ้น จนกระทั่งพฤติกรรมดังกล่าวแอบแฝงมาในรูปผู้บริหารอย่างหลากหลาย

อย่างที่เรามักพูดกันว่า ไฟลามทุ่ง ถ้าเราไม่คิดแบบตัวใครตัวมัน หากนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเชื่อมโยงถึงกันอย่างมีเหตุมีผลเช่นที่กล่าวกันว่า แบบบูรณาการก็น่าจะเข้าใจและหยั่งรู้ความจริงได้ ถึงเหตุและผลยิ่งกว่านี้ แต่นิสัยของคนที่เห็นแก่ตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีวันหยุดอยู่กับที่ หากลุกลามเรื่อยมาเช่นเดียวกับไฟไหม้ป่า ในที่สุดแผ่นดินผืนนี้มันก็ไม่มีป่าจะเหลืออยู่ในคนให้พึ่งพาอาศัยอีกต่อไป

ป่าไม้บนพื้นฐานวัตถุ ซึ่งเรามองกันด้วยภาพตรงย่อมเห็นได้ง่าย มันก็หมดไปแล้ว

ส่วนป่าไม้ในด้านจิตใจ ซึ่งควรจะให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ใจคนท้องถิ่นได้อาศัยความร่มเย็น บัดนี้มันกลายเป็นแผ่นดินที่กำลังลุกเป็นไฟ ซึ่งยากแก่การคิดดับให้สงบลงได้

ผู้เขียนไม่อยากพูดว่า มันยากหรือง่าย แต่ใคร่ขออนุญาตพูดว่า ควรจะหยุดได้แล้ว หากนึกถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้กับองคุลิมาลว่า เรานั้นหยุดแล้ว ส่วนท่านสิยังไม่หยุด

ความหมายตรงนี้ใช้ได้กับทุกคน อีกทั้งคนทุกกลุ่มเพื่อความสำเร็จของชีวิตสิ่งที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับสั่งฝากไว้ในเชิงปรัชญาว่า ให้รู้จักพอเพียง

หลายคนมักเข้ามาถามว่า หมายถึงอะไร

คำตอบก็คือ ถ้าท่านไม่ต้องเข้ามาถาม หากสนใจที่จะนำปฏิบัติก่อนอื่น โดยหวนกลับไปพิจารณาความรู้สึกซึ่งอยู่ในใจตนเอง แล้วหยุดมันให้ได้ อย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความในอดีตแล้วว่า ขอให้หยุดความโลภโมโทสัน แล้วหันมาพิจารณาตัวเองทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะทำอะไร ขออย่าได้รู้สึกเป็นทุกข์ หากรู้จักปล่อยวาง ย่อมสามารถเข้าใจความหมายของคำว่าพอเพียงได้เอง

เคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีความดีความเลวในโลกแห่งความจริง หากมองเห็นว่าการปฏิบัติเท่าที่เป็นมาแล้วในอดีต มันเป็นความจริงซึ่งเราแต่ละคนควรจะรับสารภาพได้อย่างผู้กล้าหาญ นั่นแหละคือ คุณค่าของความเป็นคนที่แท้จริง

ทุกวันนี้ เราแห่หันไปรับการฝึกอบรมเกี่ยวกับบุคลิกภาพ ความจริงแล้ว คำว่า บุคลิกภาพมันอยู่ในใจเราเองโดยแท้ เพียงแต่ค้นหาให้พบแล้วนำออกมาปฏิบัติอย่างกล้าหาญ ย่อมเกิดผลซึ่งช่วยให้ตนอยู่อย่างสง่างามโดยไม่ต้องเอาภาพของคนนั้นคนนี้มาสวมใส่ อีกทั้งยังต้องควักเงินทองออกมาให้คนอื่น

แต่แล้วในที่สุด เราก็ต้องอยู่อย่างอ่อนแอให้คนอื่นเขาเอาเงินมาซื้อคุณค่าของชีวิตตัวเองได้ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ทุกวันนี้ แม้แต่ปริญญาที่อุตส่าห์ไปหอบเอาเข้ามาจากต่างถิ่นต่างแดน แล้วก็เข้ามายืนเอาป้ายแขวนคอว่า ฉันได้ปริญญาอย่างนั้น อย่างนี้ พอเวลาผ่านไปเงื่อนไขดังกล่าวมันก็ค่อยๆ เหี่ยวและร่วงโรยไปเหมือนกับดอกไม้ ซึ่งเราก็พูดกันว่า ภาษาดอกไม้ที่ใช้ประดับร่างกายตัวเอง

เราควรหันมาปลูกดอกไม้ที่มันไม่มีวันจะร่วงโรยไปไหน หากยังมีรากฐานหยั่งลงสู่พื้นดิน อันเป็นถิ่นเกิดของเราเองอย่างลึกซึ้งคู่ควรแก่การภูมิใจมิดีกว่าหรือ

ถ้าเราดำรงชีวิตอยู่อย่างรู้คุณค่าของแผ่นดินถิ่นเกิดของเราเอง โดยไม่ต้องให้คนชาติอื่นใดเข้ามาทำร้ายความซื่อสัตย์ซึ่งอยู่ในใจของเรามิดีกว่าหรือ นอกจากได้คุณค่าแล้ว ยังไม่ต้องสูญเสียเงิน ทำให้เสียเศรษฐกิจที่เราแต่ละคนได้มาจากหยาดเหงื่อแรงใจอันควรภูมิใจอีกด้วย

ทุกวันนี้นั่งพิจารณาพฤติกรรมของทุกคน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติแล้วอดห่วงไม่ได้ว่า ขออย่าให้แต่ละคนกลายเป็นโจรปล้นแผ่นดิน ไม่ว่าจะใช้ความคิดหรือใช้ความได้เปรียบในเชิงความรู้

แต่สิ่งนั้น มันไม่เป็นมงคลแก่ชีวิตตัวเองอย่างแน่นอน







Create Date : 01 กันยายน 2549
Last Update : 6 กันยายน 2549 14:08:10 น. 12 comments
Counter : 2178 Pageviews.

 
ขอบคุณที่นำมาฝากครับ


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 1 กันยายน 2549 เวลา:16:15:19 น.  

 
มาชวนไปทานข้าวค่ะ.........

เราว่าสังคมสมันนี้..หาความจริงใจยาก......
มองผลประโยชน์เป็นหลัก..........

เราชอบการค้าแบบเก่านะ.....มีความจริงใจและซื่อสัตย์
แต่ถ้าคนเก่ามาต่อสู้ในสมัยนี้..เราว่าเอาตัวรอดยากแน่เลย

สังคมเราว่ามันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลิดเวลานะ..
ใครเอาตัวรอดทัน..ถือว่าเก่งนะ.....

ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะค่ะ..
รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ



โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) วันที่: 2 กันยายน 2549 เวลา:12:06:31 น.  

 




สวัสดีตอนเช้า ของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า



ขอบคุณฟ้าที่ส่งเธอลงมาให้พบเจอ
ขอบคุณเธอที่มาคบและทักทายฉัน
ขอบคุณกาลเวลาที่ให้เราได้รู้จักกัน
ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ฉันพบ * มิตรภาพ * ที่แท้จริง



** คิดถึง ..ห่วงใย ..เธอเสมอ นะจ้า **


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 2 กันยายน 2549 เวลา:14:39:41 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


คิดถึง ห่วงใย คือความทุกข์
แต่ความสุขคือได้แวะมาหา
กาลเวลาคือระยะทางที่ห่างไกล
แต่มิอาจกั้นหัวใจฉันให้ห่างเธอ


** มีความสุขในวันหยุดพักผ่อนนะจ้า **


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 3 กันยายน 2549 เวลา:14:44:03 น.  

 
แวะมาทักทายค่ะ

ไม่ได้มานานเลย

สบายดีนะคะ


โดย: Batgirl 2001 วันที่: 3 กันยายน 2549 เวลา:20:33:19 น.  

 




สวัสดีตอนเที่ยงของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า



มีความคิดถึงมากมายในใจฉัน
มีความคำนึงถึงเธอไม่ห่างหาย
มีความห่วงใยในใจไม่เสื่อมคลาย
คือความรู้สึกทั้งหมดของฉันมีให้เธอ



** มีความสุขและสุขภาพเสมอนะจ้า **



โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 5 กันยายน 2549 เวลา:18:33:10 น.  

 
คัดจากผู้จัดการรายวัน

รำลึก 100 ปี ชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส (ตอนที่ 19)

โดย สุวินัย ภรณวลัย 5 กันยายน 2549 23:07 น.



19. ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม


“ท่านทั้งหลายไม่เข้าถึงพุทธธรรม ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้าตามทัศนะของท่าน ขวางหน้าท่านอยู่”

พุทธทาสภิกขุ

อินทปัญโญได้ บันลือสีหนาท อีกครั้ง เมื่อเขาแสดงปาฐกถาเรื่อง “ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” ณ พุทธสมาคม กรุงเทพฯ ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ซึ่งมีเนื้อหาที่ “แรง” ที่สุดกว่าครั้งใดๆ เพราะครั้งนี้เขาได้นำเสนอถึง สิ่งซึ่งกีดขวาง หรือเป็นกำแพงมหึมาอยู่ข้างหน้าซึ่งทำให้คนเราเข้าถึงไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผู้นั้นก็มีความภักดีต่อพุทธธรรมอย่างเต็มที่อยู่เสมอ อินทปัญโญสามารถนำเสนอเรื่องนี้ได้อย่างเข้าถึง และอย่างมีพลังมาก เพราะตัวเขาเองก็เพิ่ง ก้าวข้าม ภูเขามหึมาที่เคยขวางตัวเขามาได้เมื่อปีที่แล้วนี่เอง เขาจึงอยากถ่ายทอดสิ่งที่เป็น ประสบการณ์ทางวิญญาณ และ บทเรียนทางวิญญาณ ในการแสวงธรรมของตัวเขาให้แก่คนอื่นโดยเฉพาะคนรุ่นหลัง เพื่อที่พวกเขาจะสามารถก้าวข้ามสิ่งซึ่งกีดขวางไม่ให้เข้าถึงพุทธธรรมได้เหมือนอย่างเขา

อินทปัญโญบอกว่า ถ้าหากมีการตั้งปัญหาถามขึ้นมาว่า อะไรเป็นเครื่องปิดบังพระนิพพานอันเป็นตัวพุทธธรรมที่ผู้แสวงธรรมประสงค์จะเข้าถึง? เขาจะตอบอย่างฟันธงอย่างไม่ลังเลใจเลยว่า “พระพุทธเจ้า” นั่นเองที่กลับกลายมาเป็นภูเขามหึมาบังพระนิพพาน โดยเฉพาะ พระพุทธเจ้าตามทัศนะของแต่ละคน นี่แหละที่ขวางหน้าคนผู้นั้นไม่ให้เข้าถึงพุทธธรรม

เพราะคนเราเข้าใจเข้าถึง ความจริง ได้แค่ไหน ก็มีความเข้าใจเข้าถึง “พระพุทธเจ้าของเขา” ได้แค่นั้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ถูกขนานนามว่า พระพุทธเจ้า รวมทั้งการนิยามว่าอะไรเป็นพระพุทธเจ้า จึงมีอยู่ในลักษณะและขนาดมาตรฐานต่างๆ กัน แล้วแต่ ความยึดถือ ของแต่ละคนเป็นชั้นๆ ไป

คนที่เข้าถึงพระพุทธเจ้า แต่ในทางวัตถุโดยไม่สูงถึงทางจิตย่อมเข้าใจได้แต่เพียงว่า พระพุทธเจ้าคือเลือดเนื้อกลุ่มหนึ่งที่เดินท่องเที่ยวสั่งสอนประชาชนในประเทศอินเดีย เมื่อสองพันกว่าปีก่อน ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ทรงเคยปฏิเสธว่า เลือดเนื้อกลุ่มนั้น ยังไม่ใช่ตถาคต คนที่ไม่เห็นธรรมะของตถาคต คือคนที่ไม่เห็นตถาคต แม้ผู้นั้นจะคอยจับจีวรของพระองค์ดึงเอาไว้ ไปทางไหนไปด้วยกันทั้งกลางวันกลางคืน แต่ถ้าไม่เห็นธรรมะแล้ว ไม่ชื่อว่าเห็นตถาคตเลย

แม้คนที่มุ่งเข้าถึงพระพุทธเจ้าในทางจิต หากหลงไปยึดว่า พระพุทธเจ้าเป็น อัตตาที่บริสุทธิ์ ไม่เกิดไม่ตาย มีอยู่ในทุกแห่ง พร้อมที่จะปรากฏทุกเมื่อในสมาธิ อินทปัญโญก็ยังบอกว่า วิถีแห่งพุทธธรรมของผู้นั้นจะถึงทางตันและสิ้นสุดลงเพียงนั้น เพราะเป็นการหลงไปยึดถือเอาตามความรู้ ตามการศึกษาและศรัทธาของตนเองอันคับแคบอยู่

แม้แต่ความรักในองค์พระพุทธเจ้าของบุคคลบางคนที่เป็นอริยบุคคลขั้นต่ำยังไม่ถึงพระอรหันต์ เช่น พระอานนท์ ในสมัยที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ ทั้งๆที่พระอานนท์รู้จัก ลู่ทางแห่งพุทธธรรมอย่างถูกต้อง วิถีแห่งพุทธธรรมของท่านก็ยังไม่วายถูกสกัดได้ด้วยภูเขาหรือองค์พระพุทธเจ้าที่ท่านยึดถือไว้ด้วยความรักของท่านเอง

อินทปัญโญจึงบอกว่า ไม่มีภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมอะไรอื่น นอกไปจาก ความยึดถือเกี่ยวกับตัวตน และ ไม่มีความยึดถือเกี่ยวกับตัวตนอะไรอื่น ยิ่งไปกว่า ความยึดถือในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่งของตน เพราะฉะนั้น นอกไปจาก “พระพุทธเจ้า” ตามทัศนะของเขาแล้ว แม้ “พระธรรม” ของเขา ก็ยังอาจเป็นภูเขาขวางวิถีแห่งพุทธธรรมของผู้นั้นได้ เพราะอาศัยความยึดถือทำนองเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง “พระสงฆ์ที่เป็นอาจารย์หรือคุรุ” ของเขา ซึ่งกลับเป็นภูเขาขวางวิถีแห่งพุทธธรรมของเขาได้ เพราะอาศัยความยึดถือเช่นเดียวกัน

บางคนได้ยึดถือเอาเครื่องมือหรือหนทางที่จะปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพุทธธรรมมาเป็นตัวพุทธธรรมเสียเอง

บางคนก็ถือเอาเล่มหนังสือหรือพระคัมภีร์เป็นตัวพระธรรมเสียเลยก็มี

บางคนกลับต้องการให้พระนิพพานหรือพุทธธรรมเป็นบ้านเมือง เป็นโลกอันแสนสุข สำหรับตนจะไปจุติไปเกิดที่นั่น แล้วก็ตั้งบำเพ็ญสมาธิเพื่อความเป็นอย่างนั้น ด้วยอำนาจความยึดถือในด้านวัตถุอันแรงกล้า

บางคนยึดถือในศีลของตนจนดูหมิ่นผู้อื่น ก่อการแตกร้าวทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องศีล เพราะความยึดมั่นถือมั่นในศีลด้วยความสำคัญผิด ยึดมั่นทุกตัวอักษรอย่างงมงาย

ศีล จึงอาจกลายเป็นภูเขาขึ้นมาขวางวิถีแห่งพุทธธรรมก็ได้ เมื่อมีผู้ยึดถือว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ซึ่งมันก็เป็นแค่ความจริงของบุคคลผู้นั้น ซึ่งไม่สามารถจะเห็นเป็นอื่นไปได้ ผลก็คือ ความเนิ่นช้ากว่าจะปีนป่ายภูเขาลูกนี้ข้ามพ้นไปได้

สมาธิ ก็อาจกลายเป็นภูเขาสกัดทางตัวเองในการเข้าถึงพุทธธรรมของผู้ปฏิบัติ หากเป็นที่ตั้งของความยึดถือโอ่อวด พอใจ หลงใหลในสมาธิของตนตามที่ตนปฏิบัติได้ เพราะความจริงของใคร ก็เป็นความจริงของคนนั้น เท่าที่เขารู้และพอใจยึดถือ จึงยากที่จะยอมเชื่อกันด้วยใจจริง เมื่อยังหลงผิดอยู่ด้วยความยึดถือเช่นนี้ ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมก็ยังตั้งสูงตระหง่านขวางหน้าอยู่เพียงนั้น

แม้แต่ ปัญญา เอง หากเป็นปัญญาที่ไม่รู้จักตัวเอง ยังมีมูลฐานตั้งอยู่บนความจริงของความเชื่อ ความคาดคะเน ก็ย่อมเกิดเป็นภูเขาขวางวิถีทางแห่งพุทธธรรมขึ้นเหมือนกัน ปัญญาของผู้ใดสิ้นสุดหยุดลงตรงไหน ก็บัญญัติเอาเพียงแต่ตรงนั้นว่าเป็นความจริงด้วยบริสุทธิ์ใจของตนและยึดมั่น จนเกิดเป็นลัทธินิกาย ปรัชญาต่างๆ ต่อให้เฉียบแหลมแค่ไหน ก็ไม่วายที่จะเป็นภูเขากั้นขวางทางอยู่ระหว่างตัวเขากับนิพพานจนได้ ด้วยความยึดถืออีกเช่นกัน

ปัญญาคือแสงสว่างก็จริง แต่คนเราจะรับรู้ได้เท่าที่ปัญญาหรือแสงสว่างของเขาจะอำนวยให้ว่านั่นคือ ความจริง แต่หากผู้นั้นมีปัญญามากขึ้น เขาจะมองต่างไปจากเดิม สิ่งที่เรียกว่าความจริงของเขา ย่อมเปลี่ยนไปตามแสงสว่างหรือปัญญาที่เพิ่มขึ้นของเขา ความแตกต่างจึงขึ้นอยู่กับแสงสว่างหรือปัญญาที่ส่องไปยังวัตถุเรื่องราวนั้น จึงเห็นได้ว่า แสงสว่างนั้นเองที่เป็นผู้บังความจริง ทั้งในด้านจิตและด้านวัตถุ เพราะแสงสว่างชนิดหนึ่งๆ ย่อมให้ความจริงแก่เขาในการเห็นเป็นอย่างหนึ่ง นอกนั้นคือส่วนที่แสงสว่างนั้นบังเอาไว้

อินทปัญโญได้พูดออกมาจาก ประสบการณ์โดยตรง ของเขาเองที่เพิ่งผ่านมาไม่นานว่า ความจริงที่จริงไปกว่านั้น หรือนอกเหนือไปจากนั้น ซึ่งเขายังไม่เห็นในตอนนั้น คือส่วนที่ปัญญาเพียงขนาดนั้นของเขา แม้จะล้ำเลิศเพียงใดได้ “บัง” เอาไว้ ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นตัวเขารู้สึกว่า ตัวเขาได้มองดูอย่างทั่วถึงอย่างหมดความสามารถของเขาแล้วอย่างคิดว่า ไม่มีอะไรเหลือซ่อนเร้นอีกแล้ว เพราะเขาเคยรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขาจึงยึดถือเอาสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นความจริงอันเด็ดขาด ด้วยความสำคัญผิด ซึ่งมันก็ยังเป็นภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมของเขาอยู่

ทั้งๆที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ และตัวอินทปัญโญเองก็ถึงกับตะลึง เมื่อตระหนักได้ว่า มันเป็นการ “บัง” ของแสงสว่างเสียเอง เพราะแม้ตัวเขาจะได้พยายามตีความพระพุทธวจนะ หรือขบคิดข้อความที่ยากๆ เรื่องอนัตตาอย่างสุดความสามารถเท่าที่ปัญญาของเขามี ซึ่งอาจแตกต่างไปจากคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย ขณะที่ยังไม่ถึงที่สุด เขาก็ย่อมต้องยึดถือเอาส่วนที่ตัวเขาคิดได้จนแจ่มแจ้งด้วยตนเองว่า นี่เป็นความจริงอันเด็ดขาดของตัวเขา ซึ่งตัวเขาเองเพิ่งมาตระหนักได้ทีหลังว่า

“นี่ก็ยังเป็นความยึดมั่นในความคิด และความเห็นแจ้งของตัวเราเอง และความยึดมั่นอันนี้ คือภูเขาที่ขวางอยู่ในวิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรมของตัวเรา ซึ่งเราเพิ่งทลายมันลงไปได้ด้วย เซน”

จากประสบการณ์แห่ง ซาโตริ ของตัวเขา อินทปัญโญจึงมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า อัตตวา ทุปาทาน หรือ ความยึดมั่นว่ามีตัวตน นี่แหละที่เป็นมูลฐานของภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม ทำให้ ความว่างจากตัวตน ถูกปิดบังอย่างมิดชิด เพราะ ตัวเองที่บังตัวเองที่เป็นความว่าง เป็นสิ่งกีดขวางอันเร้นลับที่สุด

เพราะไม่มีการรู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง จึงเกิดความต้องการพระพุทธเจ้า และสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยตัณหาของตัวเอง ตามทัศนะของตัวเอง หุ้มห่อตนเอง จนเหลียวไปทางไหนก็พบแต่สิ่งนี้ จนกระทั่งเป็นสัญญาความทรงจำอันเหนียวแน่น เหลือที่จะปัดเป่าออกไปได้

เมื่อใดที่สามารถรู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง คือรู้จักความว่างจากตัวตน เมื่อนั้นก็ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีผู้บังและไม่มีผู้ที่ถูกบัง ไม่มีการแสวงหาเพราะไม่มีผู้ที่มีความอยาก ไม่มีผู้แสวงที่พึ่งและไม่มีผู้ที่จะเป็นที่พึ่ง

เพราะ ผู้นั้นมีความว่างจากตัวตนแล้ว “พระพุทธเจ้า” ของเขา ก็เป็นความว่างจากตัวตนด้วยเช่นกัน ตราบใดที่คนเรายังคลำตัวเองไม่พบว่าเป็นอะไรกันแน่ ตราบนั้นก็ต้องมีการยึดถือ เที่ยววิ่งตะครุบนั่นนี่ไปตามความยึดถือเป็นธรรมดา จึงไม่อาจพบและเข้าถึงพุทธธรรมได้

อินทปัญโญได้ทำลายภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมของเขาลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว!








โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:11:12 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

สถานการณ์ การเลือกตั้ง สถานการณ์ ต่อสู้ เชิงนโยบาย สถานการณ์ การเมืองใหม่

คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์




มีปัจจัยใหญ่อย่างน้อย 2 ปัจจัยอันสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะประวัติศาสตร์ยุคใกล้ในทางการเมืองอย่างค่อนข้างเด่นชัด

ปัจจัย 1 คือ ปัจจัยแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

ปัจจัย 1 คือ ปัจจัยแห่งการเลือกตั้งทั่วไป สมัย 6 มกราคม 2544 อันดำเนินไปตามกระบวนการแห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

ลักษณะประวัติศาสตร์นั้น คือ แนวโน้มของการเมือง 2 ขั้ว

ลักษณะประวัติศาสตร์นั้น คือ แนวโน้มที่แนวทางและนโยบายมีบทบาทสูงและแหลมคมยิ่งในทางการเมือง

แนวโน้มประการหลังนี้ค่อนข้างลึกซึ้งและส่งแรงสะเทือนค่อนข้างสูง

จาก 2 ปัจจัยดังกล่าวทำให้รัฐบาลอันเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป สมัย 6 มกราคม 2549 มีความแตกต่างในเชิงเนื้อหาไปจากรัฐบาล "อื่น" ก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อเดือนมีนาคม 2523

ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อเดือนมีนาคม 2534 อันเป็นผลมาจากรัฐประหารของ รสช. เมื่อเดือนกุมภาพันธ์

ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นายชวน หลีกภัย เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540

ความแตกต่างอันเริ่มจากรัฐบาลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 นั้นเองที่กำหนดเนื้อหาการต่อสู้ทางการเมืองอยู่ในขณะนี้



ถามว่าทำไม พรรคไทยรักไทย ต้องเน้นนโยบายการสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย ถามว่าทำไม พรรคประชาธิปัตย์ ต้องเน้นนโยบายการสร้างรถไฟฟ้า 7 สาย

ถามว่าทำไม พรรคชาติไทย จึงปฏิเสธนโยบายการสร้างรถไฟฟ้า

ถามว่าทำไม พรรคมหาชน จึงปฏิเสธนโยบายการสร้างรถไฟฟ้าและรวมถึงโครงการเมกะโปรเจ็คท์ทั้งหลายทั้งปวง

เพราะว่า พรรคชาติไทย คิดนโยบายในกรอบทั่วประเทศ กระนั้นหรือ

เพราะว่า พรรคมหาชน คิดนโยบายในกรอบทั่วประเทศ กระนั้นหรือ

เพราะว่า พรรคไทยรักไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้คิดนโยบายในกรอบทั่วประเทศ กระนั้นหรือ

ไม่ใช่

หากแต่เพราะว่าแต่ละพรรคการเมืองเริ่มต้นจากสภาพความเป็นจริงในทางการเมืองของตน เพราะว่าการเมืองของพรรคชาติไทยไม่ใช่กรุงเทพมหานคร เพราะว่าการเมืองของพรรคมหาชนไม่ใช่กรุงเทพมหานคร

เพราะว่าการเมืองของพรรคไทยรักไทยรวมเอากรุงเทพมหานครไว้ด้วย เพราะว่าการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์รวมเอากรุงเทพมหานครไว้ด้วย

นี่คือสภาพความเป็นจริงของการต่อสู้ในทางการเมืองของแต่ละพรรคการเมือง



ก่อนหน้านี้ การต่อสู้ในทางการเมืองมิได้มีน้ำหนักอยู่ที่นโยบาย ก่อนหน้านี้ การต่อสู้ของแต่ละพรรคการเมืองไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของนโยบาย

เพราะว่าด้านที่ครอบงำของประเทศไม่ใช่พรรคการเมือง ไม่ใช่นักการเมือง

ตรงกันข้าม ข้าราชการต่างหากที่มีบทบาทสูงเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดนโยบาย ตรงกันข้าม ข้าราชการต่างหากที่ครองฐานะเหนือกว่าต่อนักการเมือง

นักการเมืองและพรรคการเมืองเสมอเป็นเครื่องมือให้กับข้าราชการประจำ

ในสถานการณ์เช่นนั้น พรรคการเมืองจึงไม่รวมศูนย์พลังไปในเรื่องนโยบาย เพราะว่าทุกอย่างคณะกรรมการสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็กำหนดเอาไว้แล้ว เพราะว่าทุกอย่างฝ่ายแผนและนโยบายของแต่ละกระทรวงก็เขียนกันเอาไว้แล้ว

พลันที่มีการนำเสนอนโยบายเป็นจุดหนักในการต่อสู้ภายในกระบวนการของการเลือกตั้งทั่วไป สมัย 6 มกราคม 2544 พลันที่พรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะก็สามารถแปรแนวทางนโยบายของพรรคให้เป็นแนวทางนโยบายของรัฐบาล และลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนครบวาระและต่อเนื่องมาจนถึง ณ วันนี้

แนวทางนโยบายจึงเป็นเรื่องสำคัญ สถานะของนักการเมืองและของพรรคการเมืองจึงอยู่เหนือกว่าข้าราชการประจำ

การต่อสู้เชิงนโยบายจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อแต่ละพรรคการเมืองและนักการเมือง



ท่าทีของพรรคการเมือง ท่าทีของนักการเมือง จึงสะท้อนให้เห็นความคิดอย่างเด่นชัด เปิดเผย

เพราะว่าแต่ละนโยบายต้องมาจากความเป็นจริงของแต่ละพรรคการเมือง

การตรวจสอบพรรคการเมืองผ่านกระบวนการนำเสนอแนวทางนโยบายจึงมีความสำคัญ การตรวจสอบนักการเมืองผ่านกระบวนการนำเสนอแนวทางนโยบายจึงทรงความหมาย

ทรงความหมายว่าฐานการเมืองของพรรคและนักการเมืองนั้นๆ มีจุดหนักอยู่ที่ใด อย่างไร


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:33:52 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

นโยบายหาเสียง

บทนำมติชน




แม้บ้านเมืองในขณะนี้จะตกอยู่ในบรรยากาศขมุกขมัว การเมืองยังอยู่ในระหว่างการตั้งไข่ คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะยังไม่ได้รับการคัดเลือกจากวุฒิสภา แต่อย่างไรเสียการเลือกตั้งก็จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ทำให้ช่วงเวลานี้พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ออกมาแสดงตัวแสดงตน และแสดงนโยบายในการเลือกตั้ง

และที่ต่อสู้กันชัดแจ้งที่สุดเห็นจะเป็นพรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ขับเคี่ยวกันในด้านนโยบายอย่างถึงพริกถึงขิง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศกลางที่ประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่าพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายที่ได้มีการศึกษา ค้นคว้าจนมีวิธีทำให้เป็นรูปธรรม และพร้อมเผชิญหน้ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในการถกแถลงถึงนโยบายของพรรคในเวทีสาธารณะ จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็เปิดตัวโปรเจ็คท์พรรคในส่วนของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะเรื่องการสร้างรถไฟลอยฟ้า จนทำให้พรรคไทยรักไทยโดยเฉพาะคณะทำงานในส่วน กทม. ต้องออกมาขัดง้าง และคุยทับไปว่า ประชาธิปัตย์เอานโยบายของไทยรักไทยมาทำ

ประเด็นเรื่องการต่อสู้กันทางนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งนี้ ถือเป็นแนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้อง และสมควรให้การสนับสนุน เพราะการประกาศนโยบายที่สามารถทำได้ เป็นรูปธรรม ไม่ใช่โกหกพกลม หลอกลวงประชาชนไปเรื่อยๆ นั้น ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการนำเสนอนโยบายที่ดีที่สุดคือการนำเสนอในสิ่งที่ประชาชนขาดแคลน นำเสนอในสิ่งที่ประชาชนต้องการ แม้ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายจะทำให้คำว่า "ประชานิยม" มัวหมอง เพราะไปเอาคำว่า "ประชานิยม" พันเกลียวกับการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพรรคพวก แต่ในทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น การตอบสนองต่อสิ่งที่ประชาชนต้องการนั้น ย่อมคงความสำคัญอยู่ไม่น้อย

เมื่อพิจารณาในแง่นี้ คำปาฐกถาของ นพ.ประเวศ วะสี เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปควรทำจำนวน 10 ข้อ หรือ 10 ประการ ประกอบด้วย 1.ต้องมีต่อมจริยธรรมสูง 2.ปฏิรูปการเมือง 3.มีความจริงจังและจริงใจป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่น 4.สร้างเศรษฐกิจพอเพียง 5.ปลดปล่อยคนทั้งประเทศไปสู่ เกียรติ ศักดิ์ศรี ศักยภาพ และความสุข 6.ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นทั้งประเทศ 7.แก้ไขความขัดแย้ง ความรุนแรง และปักธงอหิงสธรรมบนผืนแผ่นดินไทยให้ได้ 8.ปฏิรูประบบกฎหมายเพื่อความยุติธรรม 9.สร้างดุลยภาพและศักดิ์ศรีของไทยในโลกสากล และ 10.เร่งสร้างสมรรถนะของชาติ จึงเป็นสิ่งที่น่านำมาพิจารณา

เพราะจุดใหญ่ใจความในเนื้อหาสาระที่ นพ.ประเวศนำเสนอนั้น มีลักษณะตรงกับประเด็นที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้ออกมาเรียกร้องอยู่ตลอดระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำความต้องการผู้นำที่มีคุณธรรม ไม่โกงกิน คอร์รัปชั่น รู้รักสามัคคี ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนามธรรมไม่เด่นชัดเช่นการสร้างรถไฟฟ้าอย่างที่เป็นนโยบายสำคัญของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในขณะนี้ แต่แม้จะเป็นนามธรรม ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เป็นความต้องการของสังคมโดยรวม ดังนั้น นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่กำลังห่ำหั่นกันอยู่ในขณะนี้ หากเป็นไปได้ก็ควรจะนำเสนอนโยบายในเชิงตอบสนองความต้องการในเชิงนามธรรมเช่นว่านี้ด้วย เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงได้รับทราบแนวทางของพรรคการเมืองอย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น และยังสามารถนำเอานโยบายที่ประกาศเป็นแนวทางในการตรวจสอบหลังได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำงานแล้ว


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:38:49 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

ครม.หว่าน557ล้านจ้างงานแก้จน ทรท.กรุงชู"แม้ว"เหมาะกว่า"สมคิด"






"แม้ว"รอ กกต.ใหม่ เล็งเลื่อนวันเลือกตั้ง วาง 2 แนวออก พ.ร.ฎ.ฉบับใหม่ แจกการบ้านแกนนำ พร้อมสั่งลูกพรรคเตรียมพร้อมลงสนาม ภายใน 2 สัปดาห์ประกาศรายชื่อผู้สมัคร 400 เขต ทรท.กรุงชูเหมาะเป็นนายกฯมากกว่า"สมคิด" ครม.อ่อยอีก 557 ล. จ้างลูกจ้างชั่วคราวแก้จน



**ครม.รับทราบร่างฯเปิดสภาเลือกกกต.

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 กันยายน รับทราบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา เพื่อลงคะแนนเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จาก 10 คน ให้เหลือ 5 คน และร่าง พ.ร.ฎ.ปิดสมัยประชุมตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเรื่องนี้ว่า ครม.รับทราบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) จำนวน 2 ฉบับ ตามการเสนอของนายรองพล เจริญพันธุ์ เลขาธิการ ครม.เสนอ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2549 สาระสำคัญคือ ให้เรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2549 เฉพาะเพื่อให้วุฒิสภาอันประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่อายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2549 ดำเนินการประชุมเพื่อทำหน้าที่ตามมาตรา 168 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2549 โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และรับทราบร่าง พ.ร.ฎ.ปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2549 สาระสำคัญคือ ให้ปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2549 โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

**"แม้ว"รอกกต.ใหม่เล็งเลื่อนวันเลือก

นายดนุพร ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวในที่ประชุมว่าตอนนี้ต้องรอให้มี กกต.ชุดใหม่ คาดว่าสิ่งแรกที่ กกต.ชุดใหม่จะมาทำคือ การประชุมหารือเรื่องการเลื่อนวันเลือกตั้ง เพราะ ณ เวลานี้ พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 15 ตุลาคม ยังมีผลใช้บังคับอยู่ และยังไม่มีการยกเลิก ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.ฎ.ดังกล่าว แต่ขั้นตอนต่อไปเมื่อได้ กกต.ชุดใหม่มา ถ้า กกต.ชุดใหม่เห็นชอบให้มีการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปจากเดิม รัฐบาลก็พร้อมนำร่าง พ.ร.ฎ.ใหม่ขึ้นกราบบังคมทูล โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้มอบหมายให้นายรองพลไปเตรียมการความพร้อมในเรื่องนี้ไว้แล้ว

**วาง2แนวออกพ.ร.ฎ.ฉบับใหม่

รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.แจ้งว่า ที่ประชุมถกเถียงถึงขั้นตอนการดำเนินการหาก กกต.ใหม่เห็นชอบเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้มอบหมายให้นายรองพล และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นว่า พ.ร.ฎ.เดิมยังติดปัญหาเรื่องผู้รักษาการตาม พ.ร.ฎ.เนื่องจากไม่มีประธาน กกต. ดังนั้น ฝ่ายกฎหมายจึงเสนอแนวดำเนินการไว้ 2 แนวทาง คือ 1.ตรา พ.ร.ฎ.ยกเลิก พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป พ.ศ.2549 ฉบับเดิม ที่กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปไว้วันที่ 15 ตุลาคม ขึ้นมา พร้อมทั้งตราร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ ที่กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ตามที่ กกต.ใหม่เห็นชอบ โดยจะนำทูลเกล้าฯพร้อมกันทั้ง 2 ฉบับ และแนวทางที่ 2.ตรา พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งขึ้นมาใหม่เป็นฉบับเดียว แล้วกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ในฉบับดังกล่าว ทั้งนี้อาจมีการจัดทำคำชี้แจงประกอบร่าง พ.ร.ฎ.เพื่ออธิบายเหตุผลและความจำเป็นที่ยกเลิกและออกใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงในเรื่องข้อกฎหมาย เนื่องจากกรณีเลื่อนวันเลือกตั้งยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ทั้งก่อนและหลังประชุม ครม. กระทั่งเวลา 14.30 น. จึงเดินทางไปประชุมร่วมกับแกนนำพรรคไทยรักไทย ณ ที่ทำการพรรค อาคารไอเอฟซีที ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อถูกถามการพิจารณาร่าง พ.ร.ฎ.ขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ตอบคำถาม ได้แต่เดินยิ้มๆ และขึ้นลิฟต์ไป โดยกล่าวสั้นๆ ว่า "แค่ยิ้มก็เป็นข่าว"

**สำนักกกต.เตรียมพร้อมรับหย่อนบัตร

นายพีระพงษ์ ไพรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงาน กกต. แถลงว่า หากวุฒิสภาเลือก กกต.ในวันที่ 8 กันยายน หากภายในวันศุกร์ที่ 16 กันยายนมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง กกต.ลงมา การจัดการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะวันที่ 12 กันยายน คือวันสุดท้ายที่จะกำหนดให้มีการรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในขณะที่กระบวนการก่อนหน้าการรรับสมัครคือ การประกาศกำหนดวันรับสมัคร การประกาศจำนวน ส.ส.และจำนวนเขตเลือกตั้ง และที่สำคัญคือ กกต.ชุดใหม่จะต้องมาพิจารณาและการแต่งตั้ง ผอ.กต.เขต และ กกต.เขต ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณาพอสมควร เพราะฉะนั้น กกต.ใหม่ก็ต้องมาพิจารณาเรื่องกรอบเวลาที่เหลืออยู่ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะปฏิทินการเลือกตั้งเดินไปเรื่อยๆ

ทั้งนี้ สำนักงาน กกต.ได้ประชุมเตรียมความพร้อมเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ส.ส. ร่วมกับตัวแทนโรงพิมพ์ทั้งโรงพิมพ์เอกชนและโรงพิมพ์รัฐบาลซึ่งมีตัวแทนโรงพิมพ์มาร่วมประชุม 9 ราย การเลือกตั้งครั้งนี้จะต้องจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งทั้งระบบแบ่งเขต ระบบบัญชีรายชื่อ บัตรสำหรับผู้พิการ บัตรสำรอง รวม 104.2 ล้านบัตร ใช้งบประมาณ 156 ล้านบาท นอกจากนี้ มีการหารือเรื่องการส่งมอบบัตรลงคะแนน มาตรการรักษาความปลอดภัย รูปแบบบัตร การตรวจสอบบัตรจริงบัตรปลอม ฯลฯ ทุกขั้นตอนการพิมพ์บัตรต้องมีความสุจริต โปร่งใสเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้ประชาชนสงสัยว่ามีการใช้บัตรปลอมในการเลือกตั้ง
ก่อกวน - เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด กองพลาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำปืนตัดสัญญาณแรงดันน้ำสูงเข้าทำลายวัตถุต้องสงสัยที่ถูกผู้ก่อกวนนำมาวางไว้ใต้ต้นไม้บริเวณที่จอดรถฝั่งสวนสัตว์ดุสิต ห่างจากประตูทางเข้ารัฐสภาประมาณ 50 เมตร เมื่อวันที่ 5 กันยายน พบเป็นระเบิดปิงปอง (ภาพเล็ก)




**เปิดอกกับโรงพิมพ์มีผู้สงสัยบัตรปลอม

"มีการพูดถึงมาตรการตรวจสอบบัตรเลือกตั้ง การกำหนดให้มีรหัสลับ ตัวเลขรันนิ่งนัมเบอร์ทั้งที่ต้นขั้วและตัวบัตร เพื่อจะได้สุ่มตรวจบัตรได้ว่าไม่มีการนำบัตรนอกเขตเลือกตั้งมาใช้ โดยตัวแทนโรงพิมพ์ยืนยันว่าสามารถส่งมอบบัตรเลือกตั้งได้ภายใน 27-30 วันหลังจากเซ็นอนุมัติการพิมพ์ วันนี้ที่พูดกันเป็นเพียงเรื่องการเตรียมความพร้อม ยังไม่ได้พูดถึงการจัดซื้อจัดจ้างว่าจะให้โรงพิมพ์ไหนพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ซึ่งผมได้ให้ข้อสังเกตกับที่ประชุมไปว่าในการจัดซื้อจัดจ้างนั้น โรงพิมพ์ที่ได้รับงานนี้ไปไม่ควรเกี่ยวพันกับนักการเมือง และว่าที่ผ่านมามีคนตั้งข้อสงสัยเรื่องบัตรเลือกตั้งปลอมมาตลอด เพราะเรื่องพิมพ์บัตรเลือกตั้งถูกเก็บเป็นความลับมาตลอด" นายพีระพงษ์กล่าว

**"แม้ว"แจกการบ้านเลือกตั้งแกนนำ

ขณะที่การประชุมกองอำนวยการการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นประธานนั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 14.30 น.

โดยมีระดับแกนนำเข้าร่วม อาทิ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองหัวหน้าพรรค นายยงยุทธ ติยะไพรัช กรรมการบริหารพรรค นายสมชาย สุนทรวัฒน์ ประธาน ส.ส.พรรค นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช กรรมการบริหารพรรค นายพินิจ จารุสมบัติ รองหัวหน้าพรรค นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองหัวหน้าพรรค นายสุชาติ ตันเจริญ รองหัวหน้าพรรค และนายเนวิน ชิดชอบ รองหัวหน้าพรรค เพื่อมอบหมายงานในด้านต่างๆ ให้กับแกนนำพรรคในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปต่างประเทศในวันที่ 9-14 กันยายน รวมทั้งประเมินสถานการณ์การเมือง ทั้งนี้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ในการประชุมดังกล่าว โดยใช้เวลาประชุมกว่า 2 ชั่วโมง

นายสุธรรม แสงประทุม กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณสั่งแกนนำเตรียมพร้อมเลือกตั้ง โดยให้กองอำนวยการการเลือกตั้งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับคณะทำงานด้านต่างๆ ที่ได้ลงนามแต่งตั้งในการประชุมพรรคเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความพอใจกับการที่ทุกฝ่ายช่วยกันคิดช่วยกันทำงาน โดยเฉพาะการที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมา จึงกำชับให้ทุกฝ่ายช่วยกันทำงาน พร้อมกันนี้นายกฯได้สั่งงานให้คณะทำงานต่างๆ นำเสนอนโยบายของพรรค โดยเฉพาะในช่วงที่เดินทางไปต่างประเทศ โดยจะนำเสนอผ่านสื่อทุกวันเสาร์-อาทิตย์ พร้อมกำชับให้นำเสนอในเรื่องสร้างสรรค์เน้นเนื้อหามากที่สุดและไม่ควรย่ำอยู่ในความขัดแย้ง

**ทรท.กรุงชู"แม้ว"เหมาะกว่าสมคิด

นายสุธรรมกล่าวว่า สำหรับสโลแกนหาเสียงของพรรคไทยรักไทยคือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ทั้งนี้ในที่ประชุมยังไม่มีการประเมินเขตพื้นที่เลือกตั้ง เนื่องจากเพิ่งมีคำสั่งแต่งตั้งให้รัฐมนตรีดูแลคนละ 10 เขต ดังนั้นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเขตเลือกตั้งกันเอง ซึ่งวันนี้พรรคได้มีการคัดสรรผู้สมัคร 400เ ขต ครบแล้วโดยจะผลักดันให้แต่ละเขตมีกิจกรรมการเมืองเพื่อดำเนินไปสู่การเลือกตั้ง และมองว่าไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ อย่างไรก็ตามที่ประชุมไม่ได้หารือถึงกระแสข่าวนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขอเว้นวรรคด้วยการไม่ลงสมัคร ส.ส.ในระบบใดๆ ซึ่งนายสมคิดก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมเพราะอาจติดภารกิจ

น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ในการจัดคณะกรรมทำงานด้านการเลือกตั้งของพรรค นายสมคิดยังเป็นประธานกำหนดยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง จึงไม่น่าเป็นเหตุให้ไม่ลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ อย่างไรก็ตามจากกระแสข่าวว่าอาจน้อยใจในการทำงานนั้น ตนมองว่าการทำงานร่วมกันย่อมมีทั้งภูมิใจและน้อยใจในบางเรื่อง ขณะนี้นายสมคิดก็ยังมีใจทำงานให้กับพรรค และยังเป็นผู้กำหนดแคมเปญเลือกตั้งของพรรคอยู่

"แต่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ส่วนใหญ่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและลงสมัครบัญชีรายชื่อลำดับหนึ่งคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" น.ต.ศิธากล่าว

**ภายใน2สัปดาห์ประกาศชื่อ400เขต

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คณะทำงานสำนักงานเลขาธิการกองอำนวยการการเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งการให้แกนนำพรรคทุกฝ่ายเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้ง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงรณรงค์เลือกตั้งแล้ว โดยจะมีการประกาศรายชื่อผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยทั้ง 400 เขต ใน 2 สัปดาห์ที่จะถึงนี้ พร้อมกับเตรียมประกาศนโยบายของพรรค ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำเสนอนโยบายรถไฟฟ้าไปแล้ว ต่อไปจะมีการประกาศนโยบายที่อยู่อาศัย การศึกษา สุขภาพ และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง โดยบริหารจัดการระบบน้ำทางการเกษตรทั้งระบบ

รายงานข่าวแจ้งว่า การประกาศตัวผู้สมัคร 400 เขตเลือกตั้งนั้น คาดว่าจะมีขึ้นวันที่ 17 กันยายน เพื่อให้ผู้สมัคร ส.ส.แต่ละคน เดินหน้าหาเสียงอย่างเต็มที่ ทั้งนี้นายสมคิด ได้แจ้งผ่านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองเลขาธิการพรรค ว่าติดภารกิจไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ โดยในส่วนงานที่ได้รับมอบหมายถึงการกำหนดยุทธศาสตร์หาเสียง และแคมเปญเลือกตั้งของพรรคนั้นได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และจะนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป

**ครม.อนุมัติ557ล.จ้างลูกจ้าง"แก้จน"

นายดนุพร ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม. ว่า ได้อนุมัติงบประมาณ 557,376,988 บาท ให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ใช้จัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการ 7,539 อัตรา ตามที่ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน (ศตจ.) เสนอมา โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.การขยายระยะเวลาในการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2548 (งบฯกลาง) รายการค่าใช้จ่ายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความจำเป็นเร่งด่วน 278 ล้านบาท ออกไปถึงเดือนมีนาคม 2550 และ 2.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 จำนวน 278 ล้านบาท ส่วนการจ้างลูกจ้างในปีถัดไป ครม.มอบหมายให้กรมการปกครองไปประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกจ้างและการแก้ไขปัญหาสังคมและความยากจน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาของ ครม.ต่อไป

**ปชป.เข็นเมกะโปรเจ็คต์ศึกษาโชว์

ทางด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ในวันที่ 6 กันยายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค จะนำเสนองบประมาณการใช้จ่ายสำหรับนโยบายวาระประชาชน 3 ด้านที่ได้ประกาศออกไปแล้ว คือ ด้านสาธารณสุข การศึกษาและค่าครองชีพ โดยใช้ชื่องานว่าประชาธิปัตย์ทำได้-ทำจริง เพื่อให้เห็นว่าวาระประชาชนที่เสนอไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่เลื่อนลอย วาระด้านการศึกษาถือเป็นเมกะโปรเจ็คต์ที่พรรคจะทุ่มงบประมาณมากที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่สร้างความมั่นคง และยั่งยืนให้กับสังคม

ส่วนข้อถกเถียงเรื่องนโยบายด้านขนส่งมวลชนใน กทม. ในโครงการรถไฟฟ้านั้น ขอให้เลิกพูดเรื่องใครลอกใคร เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่พรรคการเมืองควรนำเสนอโครงการที่เป็นไปได้ ไม่กระทบประเทศโดยรวม และต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ซึ่งการนำเสนอนโยบายขนส่งมวลชนของพรรคไทยรักไทย 10 สาย ใช้เงิน 580,000 ล้านบาท มีปัญหาอย่างแน่นอน ซึ่งพรรคไทยรักไทยพูดความจริงไม่หมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะโครงการรถไฟฟ้าต้องกู้เงินจากต่างประเทศ โดยไม่สามารถกู้เงินได้เกิน 50% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขณะนี้รัฐบาลกู้เงินไปแล้วถึง 41% เหลืออีก 9% ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินที่จะขอกู้ได้แค่ 600,000 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น หากพรรคไทยรักไทยกลับมาเป็นรัฐบาลและทำจริงอย่างที่ประกาศก็จะไม่สามารถกู้เงินมาพัฒนาด้านอื่นได้เพิ่มอีก รวมทั้งโครงการเมกะโปรเจ็คต์เรื่องน้ำที่รัฐบาลไทยรักไทยประกาศใช้เงิน 2 แสนล้านบาท ด้านการศึกษาอีก 1 แสนล้านบาท ขอถามว่าจะใช้งบฯส่วนไหนมาทำ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์โครงการรถไฟฟ้ายืนยันว่าจะกู้เงินในส่วนนี้ประมาณ 2 แสนล้านบาท

**ชี้รื้อรธน.แก้วิกฤตจริยธรรมไม่ได้

ส่วนสถาบันพระปกเกล้า จัดเสวนาเรื่อง "การแก้ไขรัฐธรรมนูญ : ผ่าทางตันการเมืองไทยจริงหรือ ?" โดยมีนายโภคิน พลกุล รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช นายอรรคพล สรสุชาติ รองหัวหน้าพรรคมหาชน และนายลิขิต ธีรเวคิน หัวหน้าพรรคพลังแผ่นดินไท เข้าร่วมเสวนา มีนายพรชัย เทพปัญญา ผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า ดำเนินรายการ

นายลิขิตกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปฏิรูปการเมืองมีอยู่ 3 ส่วน คือ 1.สภาพสังคมและเศรษฐกิจจะต้องเอื้อให้กับระบอบประชาธิปไตย 2.โครงสร้างของกระบวนการหรือรัฐธรรมนูญ และ 3.ผู้นำทางการเมืองต้องมีจิตวิญญาณประชาธิปไตย มีค่านิยม บรรทัดฐานของประชาธิปไตย เมื่อเจอกฎหมายที่มีช่องโหว่ผู้นำที่มีจริยธรรมจะต้องแก้ไขช่องโหว่ ไม่ใช่หาประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมาย ต้องใช้หลักนิติธรรม ไม่ใช่หลักนิติกลวิธี แต่ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงนิติกลวิธี หรือ rule by law ไม่ใช่ rule of law โดยมองเห็นว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือ ซึ่งหากเชื่ออย่างนั้นก็ผิดตั้งแต่ต้น 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีจิตวิญญาณและจิตสำนึก ดังนั้น จะแก้รัฐธรรมนูญไปกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องมีผู้นำที่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

"ขณะนี้ผมขอฟันธงว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤตจริยธรรม ศีลธรรม เมื่อมนุษย์ไม่มีศีลธรรม นักการเมืองขาดอุดมการณ์ สังคมนั้นจะไปสู่หายนะ" นายลิขิตกล่าว

**ปฏิรูปเลือกส.ว.ใหม่-นายกฯแค่2สมัย

นายลิขิตยังเสนอแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปการเมือง 7 ประการ ประกอบด้วย 1.ควรจะเปลี่ยนรูปแบบวุฒิสภา โดยในแต่ละจังหวัดเลือก ส.ว. จังหวัดละหนึ่งคน ส่วนที่เหลือให้เป็นตัวแทนของวิชาชีพ 2.นายกรัฐมนตรีควรอยู่เพียง 2 สมัย 3.หากจะกำหนดให้ ส.ส.ต้องจบปริญญาตรี รัฐก็ต้องจัดการศึกษาให้ทุกคนอย่างน้อยต้องจบปริญญาตรี 4.ไม่ควรกำหนดให้รัฐมนตรีต้องลาออกจากเป็น ส.ส. เพราะจะทำให้ไม่มีหลักประกัน 5.ควรจะจัดตั้งศาลการเมืองโดยมีองค์ประกอบจาก ศาลปกครอง 2 คน ศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน ศาลฎีกา 2 คน และคนนอกอีก 3 คน พิจารณาคดีเกี่ยวกับการเมือง รวมถึงการย้ายพรรคของ ส.ส. 6.ควรมีรัฐมนตรีภาค โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งทุกครั้งควรจะมีเข้ามาเป็นอย่างน้อย 1 คน และ 7.การหาเสียงควรจะกำหนดเรื่องป้ายหาเสียงให้เหมือนๆ กัน และออกทีวีด้วยเวลาที่เท่ากัน

**โภคินชี้2ปมปัญหา-อย่าใช้อารมณ์

นายโภคินกล่าวว่า ปัญหาของรัฐธรรมนนูญฉบับนี้มี 2 แบบคือ ปัญหาด้านเทคนิค และปัญหาด้านความรู้สึกความคิดความเชื่อและอุดมการณ์ ปัญหาด้านเทคนิคที่ประสบมา เช่น การสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ไม่สามารถหาตัวแทนพรรคการเมืองมาเป็นกรรมการสรรหาได้ครบเพราะมีพรรคการเมืองในสภาไม่เพียงพอ หากตอนนั้นมีคนกล้าตีความ กล้ายอมรับว่ามีเท่าไหร่เอาเท่านั้น ก็ไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าจึงต้องแก้เช่นเดียวกับเรื่องการสรรหา กกต. ที่มีลักษณะคล้ายกัน

ปัญหาต่อมาคือ เรื่องความคิดความเชื่อ ขอยกตัวอย่าง เช่น กกต.ที่มีปัญหาเรื่องความเชื่อสมัยที่ตนเป็นรองประธานศาลปกครองสูงสุด มีเรื่องฟ้องเกี่ยวกับใบเหลืองใบแดงเป็นจำนวนมาก และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินว่าเรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจของ กกต. ศาลปกครองไม่สามารถพิจารณาได้ นอกจากปัญหาเรื่องความเชื่อถือจึงเกิดปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงการทำงาน และในเมื่อไม่เชื่อมกันปัญหาจึงบานปลาย

"ผมอยากถามว่า สมัยเผด็จการทหารนั้นระบบการตรวจสอบมีมากขนาดนี้หรือไม่ ดังนั้น ต้องดูระบบอย่าใช้อารมณ์มิฉะนั้นแทนที่จะแก้ปัญหากลายเป็นการก่อปัญหา และวิกฤตครั้งนี้ทำให้สังคมเน้นเรื่องจริยธรรมมากขึ้น" นายโภคินกล่าว

**"เสนาะ"ยุแก้ที่ระบบทรท.ครอบงำ

นายเสนาะกล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่าประเทศไทยขณะนี้วิกฤตที่สุดในโลกแล้ว ถ้าเป็นผู้นำก็ต้องลาออกไปแล้ว ส่วนการจะผ่าทางตันทางการเมืองไม่ใช่อยู่ที่การแก้รัฐธรรมนูญ แต่ต้องแก้ที่คน เพราะรัฐธรรมนูญนี้มีปัญหาอยู่เพียงบางเรื่องบางราวเท่านั้น เอากันจริงๆ แล้วมานั่งคุยกันสัก 3 ชั่วโมงก็เสร็จ เพียงแค่เอากฎเหล็กต่างๆ ออกไปเสีย แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถแก้ระบบที่สร้างมา 5 ปี ของไทยรักไทยไม่ได้ ระบบนี้ก็จะออกลูกออกหลานครอบงำระบอบประชาธิปไตย ไม่มีอะไรจะแก้ไขได้

"รัฐธรรมนูญอย่างไรก็ต้องแก้ แต่ถ้าเอาระบอบทักษิณออกไปไม่ได้ก็อย่าไปคิดว่าจะแก้อะไรได้ ผมฟันธงไปได้เลยว่า ถ้าให้มีการเลือกตั้งในขณะที่มีระบอบทักษิณอยู่ ก็อย่าไปหวังว่าการปฏิรูปการเมืองจะสำเร็จได้ เพราะ ทุนนิยม อำนาจ ความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เกิดขึ้นมากมายในช่วง 4-5 ปีนี้ และอย่าไปบอกว่าผู้นำขาดจริยธรรม เพราะไม่มีจริยธรรมอยู่แล้ว คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะได้อะไร ดังนั้นเราต้องเอาระบบนี้ออกไปก่อนถึงจะคิดว่าจะแก้รัฐธรรมนูญนี้อย่างไร ถ้าไปแก้หลังเลือกตั้ง คนที่โหวตคือสภาและวุฒิสภาที่ยังถูกครอบงำอยู่ คนเหล่านี้จะเป็นคนโหวตรัฐธรรมนูญ แล้วอย่างนี้จะได้ประชาธิปไตยมาได้อย่างไร" นายเสนาะกล่าว

**ปชป.เรื่องรธน.ไม่ใช่ตัวปัญหา

ขณะที่นายจุรินทร์กล่าวว่า เห็นด้วยกับนายเสนาะว่า แก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียวผ่าทางตันทางการเมืองไม่ได้ ตัวรัฐธรรมนูญไม่น่าใช่ต้นตอหลักของปัญหา แต่เป็นเพียงแพะรับบาปเฉพาะกิจทางการเมือง ต้นตอวิกฤตอยู่ที่ตัวบุคคลคือผู้นำที่ใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นชัดทั้งเรื่องตัวผู้นำและพฤติกรรมที่สังคมกล่าวหาว่าไม่มีจริยธรรม พฤติกรรมสร้างความแตกแยก แทรกแซงทุกองค์กร ไม่จัดการกับการทุจริต ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้สะสมจนเป็นวิกฤต ดังนั้นการแก้รัฐธรรมนูญและจัดเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ วิกฤตก็จะยังไม่คลี่คลาย ถ้าต้นตอของปัญหายังอยู่ และแม้ผู้นำจะผ่านการเลือกตั้งจนสามารถกลับมาเป็นนายกฯได้อีก ผู้นำคนเดิมก็ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ เพราะออกไปไหนไม่ได้ เนื่องจากทุกวันนี้มีอยู่ 3 เขต คือ เขตนายกฯห้ามเข้า เขตนายกฯไม่อยากเข้า และเขตนายกฯไม่กล้าเข้า เช่น 3 จังหวัดภาคใต้ เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้นำไม่มีสถานภาพ วุฒิภาวะที่จะไปบริหารประเทศได้ราบรื่น

**มหาชนร้องหาสัตยาบันไม่ซื้อเสียง

นายสมศักดิ์กล่าวว่า ปัญหาทุกวันนี้เกิดจากการขาดจิตสำนึกของการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ผู้นำของระบอบประชาธิปไตยที่ดี เมื่อเห็นช่องโหว่ของกฎหมายต้องรีบเข้าไปแก้ไม่ใช่กระโดดเข้าหาผลประโยชน์จากช่องโหว่ และนี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ พรรคชาติไทยต้องการเสนอให้มีการลงสัตยาบัน เพราะหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งเพื่อเลือกรัฐบาลเข้ามาบริหารและพัฒนาประเทศ แต่เป็นการเลือกตั้งที่จะเข้ามาปฏิรูปการเมือง แต่ขณะนี้ยังไม่มีพรรคไหนที่ยืนยันว่าจะเร่งรีบปฏิรูปการเมือง หรือประกาศว่าไม่เกินปีครึ่งหลังจากปฏิรูปการเมืองเสร็จจะคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ แต่ทุกพรรคกลับแข่งกันเสนอนโยบายประชานิยม

ขณะที่นายอรรคพล สรสุชาติ รองหัวหน้าพรรคมหาชน กล่าวว่า ขณะนี้หากเปรียบว่าระบอบประชาธิปไตยของประเทศเป็นเรือ ถึงแม้จะยังไม่จม แต่ก็เป็นเรือที่ผุกร่อน การแก้ปัญหาคือควรจะมามองว่าอะไรคือปัญหาของการผุกร่อนนี้ ถ้ามีปัญหาที่ทำให้ผุกร่อนก็ต้องโยนทิ้ง แล้วมาช่วยกันปะผุ อย่างตอนนี้การเมืองอยู่ในภาวะผุกร่อนทางจริยธรรม จนถึงขั้นที่ประชาชนไม่เชื่อในระบบ อย่างสิ่งที่เกิดขึ้นใครจะเชื่อว่าการเลือกตั้งของประเทศไทยสามารถเป็นโมฆะได้ หรือกกต.จะต้องติดคุก แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความไม่เชื่อในระบบ อยากเรียกร้องว่าหากจะมาลงสัตยาบันว่าจะมีการปฏิรูปการเมือง ขอให้ทุกพรรคการเมืองมาลงสัตยาบันว่าจะไม่ซื้อเสียงในการเลือกตั้งดีกว่า เพราะหากไม่มีการซื้อเสียงการเลือกตั้งก็น่าจะเชื่อถือได้ และการซื้อเสียงนี้ก็จะส่งผลร้ายแรงต่อระบบตามมา


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:50:40 น.  

 
สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีที่ไหนที่จะไปทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทดีๆบ้างคะ หมายถึงในประเทศไทยน่ะค่ะ พวกเราเป็นกล่มอาสาสมัครที่รวมตัวกัน ลองเข้าไปแวะดูที่ //www.dalaa-thailand.com ได้นะคะ


โดย: อุ๋ย IP: 125.24.103.25 วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:19:11:55 น.  

 
รบกวน เมล์มาที่ z_aui@yahoo.com ด้วยนะ


โดย: อุ๋ย IP: 125.24.103.25 วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:19:13:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.