|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
สังคมไทยในยุคโจรครองเมือง--ดร.ระพี สาคริก
สังคมไทย ในยุคโจรครองเมือง
โดย ระพี สาคริก
หวนกลับไปนึกถึงคำกล่าวของผู้ใหญ่สมัยก่อน นับเป็นเวลากว่า 60 ปีมาแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังจำได้ดี ที่กล่าวฝากไว้ในเชิงทำนายอนาคตของสังคมไทยไว้ว่า ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม กาขาวจะครองเมือง อีกทั้ง โจรจะครองแผ่นดิน
ข้อความดังกล่าว แม้ขณะนั้นเราจะยังไม่เชื่อเพราะยังไม่เห็นผลที่เป็นความจริง แต่ก็ใช่ว่าเราจะคิดดูถูกไม่
ผู้เขียนเป็นคนมีนิสัยสนใจเรียนรู้ อีกทั้ง ค้นหาความจริงจากทุกเรื่องบนพื้นฐานที่มาที่ไปของชีวิตตนเอง รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งดำรงอยู่ร่วมกันในสังคม โดยถือหลักว่า ไม่มีสิ่งใดที่เราจะเชื่อไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่ายังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
ดังนั้น จึงเฝ้าติดตามสังเกตผลของการเปลี่ยนแปลง
แม้แต่ประเด็นโลกาภิวัตน์ หากมองสองด้านเข้าไว้ ย่อมเป็นคนไม่ประมาท
ด้านหนึ่งซึ่งใช้เป็นพื้นฐานการค้าหาเหตุและผล น่าจะหมายถึง ด้านที่อยู่ในจิตใจเราเอง ซึ่งควรถือเป็นพื้นฐานสำคัญอยู่เสมอ
ส่วนอีกด้านหนึ่งหมายถึง สิ่งซึ่งอยู่บนพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลาย ภายในบรรยากาศรอบตัวเราเอง ซึ่งสิ่งนี้ควรเป็นผลจากการปฏิบัติ โดยถือความจริงภายในจิตใจเป็นที่ตั้ง
โลกาภิวัตน์ซึ่งในช่วงหลังๆ เรามักพูดถึงกันบ่อยๆ ก็มักมีสองด้านเช่นเดียวกัน
ด้านหนึ่ง คนส่วนใหญ่มักหมายถึง การที่มนุษย์ทุกมุมโลกมีการเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างกันและกันอย่างอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านที่กล่าวถึงนี้ คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจ อีกทั้งนำมาเน้นความสำคัญมากกว่าการถือความจริงภายในจิตใจตัวเองเป็นที่ตั้ง
ส่วนโลกาภิวัตน์ที่หมายถึงเหตุซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจคน หากสนใจค้นหาความจริง ย่อมเป็นผลดีกับตนเอง และทุกฝ่ายที่จะไม่คิดเอารัดเอาเปรียบแก่กันและกัน
ขณะนี้อิทธิพลการเปลี่ยนแปลงของวัตถุ ส่งผลทำให้คนส่วนใหญ่ลืมตัว ดังนั้น จึงมองเห็นเนื้อหาสาระที่อยู่ในใจตนเองได้ยากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
ประจักษ์พยานบนพื้นฐานประเด็นดังกล่าวที่สะท้อนออกมาปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันก็คือ กระแสความเห็นแก่ตัวของคนส่วนใหญ่ รวมกับการถือทิฐิมานะเป็นที่ตั้ง ซึ่งนับวันจะมีความรุนแรงยิ่งขึ้น
หากเป็นไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ย่อมมีแนวโน้มให้ความสนใจกับโลกาภิวัตน์ที่มองออกจากตัวเอง มากกว่าการหวนกลับมาทบทวนเพื่อค้นหาความจริงจากใจ
สิ่งที่ปรากฏเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงก็คือ การวางตัวของแต่ละคนที่อยู่ในสังคมมักนิยมยกตนข่มท่าน นอกจากนั้น การคิดแบ่งชนชั้นก็ดี การเพียรพยายามที่จะทำความเข้าใจ เรื่องคนเราเหมือนกัน ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน แม้ศาสนาไหนดูจะน้อยลงไปเรื่อยๆ หากกลับมาสู่การแบ่งชนชั้น
จนกระทั่งถึงการแบ่งพรรคพวกรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะนี้เราจะเห็นได้ว่า ภายในบรรยากาศของสังคมไทย ใครจะนึกว่ามีคนต่างชาติที่ถูกสมมุติขึ้นมาเป็นกาขาวเข้ามาบุกรุกถือครอง แม้กระทั่งแผ่นดินถิ่นเกิดของคนท้องถิ่น อีกทั้งยังกอบโกยทรัพยากรไปบริโภคอย่างไม่ละเว้น
หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า จะกินแต่เพียงข้างปลาอาหารของคนในท้องถิ่นเท่านั้นไม่ หากยังคิดกอบโกยเอาไปเป็นประโยชน์ของตนและพรรคพวก จนกระทั่งทำให้คนท้องถิ่นจำต้องเดือดร้อนหรืออาจกล่าวว่า มีการเพียรพยายามเอารัดเอาเปรียบทุกแง่มุม โดยไม่คำนึงว่าคนท้องถิ่นจะสูญเสียของรักอันทรงคุณค่าของตนเท่านั้น
แม้กระทั่ง การคิดขับไล่กลุ่มคนดังกล่าวออกไปจากแผ่นดิน โดยสิทธิอันชอบธรรม ก็ยังถูกใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำร้ายร่างกายโดยไม่บันยะบันยัง
ช่วงที่ผ่านมา ใครจะคิดว่าเราต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งเยาวชนคนท้องถิ่น ซึ่งควรจะเป็นพลังในการพัฒนาตนเองของบรรพบุรุษ ที่ละทิ้งถิ่นฐานบ้านช่อง แม้กระทั่งงานในด้านเกษตรกรรม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบรรยากาศที่หล่อหลอมให้คนรู้จักรักแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง หันกลับเข้าเมือง เพื่อมาเป็นทาสรับจ้างงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีคนต่างประเทศเข้ามาเป็นนายไม่เพียงแต่เป็นนายโดยตรงเท่านั้น หากยังมาในรูปแอบแฝง
กลุ่มบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์เหล่านี้ ก็มาเป็นอาชญากรในเมือง ทำให้ถูกจับลงโทษในฐานะโจรปล้นแผ่นดิน ซึ่งภาพดังกล่าวเราจะเห็นได้โดยตรง หากเริ่มต้นจับตาดูเหตุการณ์เหล่านี้ มาถึงอีกช่วงหนึ่ง มันไม่เพียงเท่านั้น ในที่สุด สภาพการเป็นโจรปล้นแผ่นดินมันก็ลุกลามสูงขึ้น จนกระทั่งพฤติกรรมดังกล่าวแอบแฝงมาในรูปผู้บริหารอย่างหลากหลาย
อย่างที่เรามักพูดกันว่า ไฟลามทุ่ง ถ้าเราไม่คิดแบบตัวใครตัวมัน หากนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเชื่อมโยงถึงกันอย่างมีเหตุมีผลเช่นที่กล่าวกันว่า แบบบูรณาการก็น่าจะเข้าใจและหยั่งรู้ความจริงได้ ถึงเหตุและผลยิ่งกว่านี้ แต่นิสัยของคนที่เห็นแก่ตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีวันหยุดอยู่กับที่ หากลุกลามเรื่อยมาเช่นเดียวกับไฟไหม้ป่า ในที่สุดแผ่นดินผืนนี้มันก็ไม่มีป่าจะเหลืออยู่ในคนให้พึ่งพาอาศัยอีกต่อไป
ป่าไม้บนพื้นฐานวัตถุ ซึ่งเรามองกันด้วยภาพตรงย่อมเห็นได้ง่าย มันก็หมดไปแล้ว
ส่วนป่าไม้ในด้านจิตใจ ซึ่งควรจะให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ใจคนท้องถิ่นได้อาศัยความร่มเย็น บัดนี้มันกลายเป็นแผ่นดินที่กำลังลุกเป็นไฟ ซึ่งยากแก่การคิดดับให้สงบลงได้
ผู้เขียนไม่อยากพูดว่า มันยากหรือง่าย แต่ใคร่ขออนุญาตพูดว่า ควรจะหยุดได้แล้ว หากนึกถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้กับองคุลิมาลว่า เรานั้นหยุดแล้ว ส่วนท่านสิยังไม่หยุด
ความหมายตรงนี้ใช้ได้กับทุกคน อีกทั้งคนทุกกลุ่มเพื่อความสำเร็จของชีวิตสิ่งที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับสั่งฝากไว้ในเชิงปรัชญาว่า ให้รู้จักพอเพียง
หลายคนมักเข้ามาถามว่า หมายถึงอะไร
คำตอบก็คือ ถ้าท่านไม่ต้องเข้ามาถาม หากสนใจที่จะนำปฏิบัติก่อนอื่น โดยหวนกลับไปพิจารณาความรู้สึกซึ่งอยู่ในใจตนเอง แล้วหยุดมันให้ได้ อย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความในอดีตแล้วว่า ขอให้หยุดความโลภโมโทสัน แล้วหันมาพิจารณาตัวเองทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะทำอะไร ขออย่าได้รู้สึกเป็นทุกข์ หากรู้จักปล่อยวาง ย่อมสามารถเข้าใจความหมายของคำว่าพอเพียงได้เอง
เคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีความดีความเลวในโลกแห่งความจริง หากมองเห็นว่าการปฏิบัติเท่าที่เป็นมาแล้วในอดีต มันเป็นความจริงซึ่งเราแต่ละคนควรจะรับสารภาพได้อย่างผู้กล้าหาญ นั่นแหละคือ คุณค่าของความเป็นคนที่แท้จริง
ทุกวันนี้ เราแห่หันไปรับการฝึกอบรมเกี่ยวกับบุคลิกภาพ ความจริงแล้ว คำว่า บุคลิกภาพมันอยู่ในใจเราเองโดยแท้ เพียงแต่ค้นหาให้พบแล้วนำออกมาปฏิบัติอย่างกล้าหาญ ย่อมเกิดผลซึ่งช่วยให้ตนอยู่อย่างสง่างามโดยไม่ต้องเอาภาพของคนนั้นคนนี้มาสวมใส่ อีกทั้งยังต้องควักเงินทองออกมาให้คนอื่น
แต่แล้วในที่สุด เราก็ต้องอยู่อย่างอ่อนแอให้คนอื่นเขาเอาเงินมาซื้อคุณค่าของชีวิตตัวเองได้ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ทุกวันนี้ แม้แต่ปริญญาที่อุตส่าห์ไปหอบเอาเข้ามาจากต่างถิ่นต่างแดน แล้วก็เข้ามายืนเอาป้ายแขวนคอว่า ฉันได้ปริญญาอย่างนั้น อย่างนี้ พอเวลาผ่านไปเงื่อนไขดังกล่าวมันก็ค่อยๆ เหี่ยวและร่วงโรยไปเหมือนกับดอกไม้ ซึ่งเราก็พูดกันว่า ภาษาดอกไม้ที่ใช้ประดับร่างกายตัวเอง
เราควรหันมาปลูกดอกไม้ที่มันไม่มีวันจะร่วงโรยไปไหน หากยังมีรากฐานหยั่งลงสู่พื้นดิน อันเป็นถิ่นเกิดของเราเองอย่างลึกซึ้งคู่ควรแก่การภูมิใจมิดีกว่าหรือ
ถ้าเราดำรงชีวิตอยู่อย่างรู้คุณค่าของแผ่นดินถิ่นเกิดของเราเอง โดยไม่ต้องให้คนชาติอื่นใดเข้ามาทำร้ายความซื่อสัตย์ซึ่งอยู่ในใจของเรามิดีกว่าหรือ นอกจากได้คุณค่าแล้ว ยังไม่ต้องสูญเสียเงิน ทำให้เสียเศรษฐกิจที่เราแต่ละคนได้มาจากหยาดเหงื่อแรงใจอันควรภูมิใจอีกด้วย
ทุกวันนี้นั่งพิจารณาพฤติกรรมของทุกคน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติแล้วอดห่วงไม่ได้ว่า ขออย่าให้แต่ละคนกลายเป็นโจรปล้นแผ่นดิน ไม่ว่าจะใช้ความคิดหรือใช้ความได้เปรียบในเชิงความรู้
แต่สิ่งนั้น มันไม่เป็นมงคลแก่ชีวิตตัวเองอย่างแน่นอน
|
|
|
|
Create Date : 01 กันยายน 2549 |
Last Update : 6 กันยายน 2549 14:08:10 น. |
|
12 comments
|
Counter : 2178 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 1 กันยายน 2549 เวลา:16:15:19 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:11:12 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:33:52 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:38:49 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.136.84 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:9:50:40 น. |
|
|
|
โดย: อุ๋ย IP: 125.24.103.25 วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:19:11:55 น. |
|
|
|
โดย: อุ๋ย IP: 125.24.103.25 วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:19:13:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|