บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2549
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
11 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
สู่วิสัยทัศน์ใหม่ : บทเรียนจากอินเดีย : ประชาธิปไตยผ่านการพัฒนา : ธรรมรักษ์ การพิศิษฎ์










สู่วิสัยทัศน์ใหม่ : บทเรียนจากอินเดีย:ประชาธิปไตยผ่านการพัฒนา

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 11 พฤษภาคม 2549 10:40 น.


ธรรมรักษ์ การพิศิษฎ์


ผมมีความคิดของผมเองจะผิดจะถูกก็ไม่ต้องการชี้นำใครเพราะมิใช่เป็นนักวิชาการ เป็นเพียงชาวบ้านคนหนึ่งที่อย่างน้อยก็จบ ป.4 มาแล้ว ในบรรดาประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายที่มีการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบเต็มใบทั้งหลาย อินเดียเป็นประเทศที่เรียนรู้พัฒนาการทางด้านประชาธิปไตยที่สามารถนำประเทศไปสู่ความเจริญได้อย่างมีเสถียรภาพในท่ามกลางความหลากหลาย

ถึงผมจะต้องพูดแบบพระเทศน์ผมต้องขอยืนยันในจิตสำนึกของตนเองในสัจธรรมที่ว่าชีวิตของคนเรานั้นถ้าไม่ยอมรับความหลากหลาย ความแตกต่างกันในความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนาฯลฯความเป็นเอกภาพไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้

อินเดียเป็นประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก มีความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ทางเชื้อชาติ ศาสนา แบ่งออกเป็นชนชั้นวรรณะมากมายทั้งคนรวยที่สุดและจนแบบสุดๆ

การเมืองของอินเดียไม่มีเสถียรภาพ เปลี่ยนรัฐบาลกันเรื่อยๆและในหลายๆครั้งก็จัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งขาดความมั่นคงต่อเนื่อง แต่ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า ประประชาธิปไตยที่มีความหลากหลายทางความคิด ร้อยพ่อพันแม่อย่างอินเดียมาบัดนี้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในเวทีเศรษฐกิจโลกร่วมกับสหรัฐและจีน

อินเดียในรอบ 15 ปีที่ผ่านมาเป็นประเทสที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงเป็นที่สองรองจากจีนเท่านั้น คือเติบโตในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าในปีนี้เศรษฐกิจอินเดียจะยังคงขยายตัวในอัตรานี้ต่อไปและอาจจะโตในอัตราสูงขึ้นอีกใน 10 ปีข้างหน้า

GOLDMAN SACHS ประมาณว่าในอีก 50 ปีข้างหน้าอินเดียจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูงที่สุดในโลกเพราะว่ากำลังแรงงานของอินเดียยังไม่เข้าสู่วัยสูงอายุเร็วเหมือนกับประเทศอื่น ในอีก 10 ปีข้างหน้าว่ากันว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะมีขนาดใหญ่กว่าอิตาลีและอีก 15 ปีข้างหน้าจะมีขนาดใหญ่กว่าอังกฤษ เมื่อถึงปี ค.ศ.2040 อินเดียจะเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและจะมีขนาดโตกว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็น 5 เท่าตัวภายในปี 2050 ในขณะที่รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบันถึง 15 เท่าตัวว่ากันว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียเป็นไปอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการวางแผนหรือการแทรกแซงจากภาครัฐแต่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ต้องการหาเงินหากำไร ผู้ประกอบการภาคเอกชนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่รู้จักหาวิธีการประกอบธุรกิจของตนเองหาทางแก้อุปสรรคแม้กระทั่งหาทางหลีกเลี่ยงการติดต่อธุรกิจกับภาครัฐ อดีตซีเอโอของ Procetr &Gamble ในอินเดียท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า "แม้รัฐบาลจะนอนหลับตอนกลางคืน เศรษฐกิจของอินเดียก็ยังเติบโตได้"

การพัฒนาจากข้างล่างมิได้เห็นอย่างชัดเจนจากบทบาทของผู้ประกอบการเท่านั้น ผู้บริโภคชาวอินเดียก็ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งโดยส่วนใหญ่แล้วความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียมาจากบทบาทของรัฐบาลในการวางมาตรการบังคับให้ประชาชนออมทรัพย์และก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการสะสมทุน รวมทั้งการลดการแทรกแซงในระบบตลาดแต่ในอินเดียนั้นผู้บริโภคคือราชา

ผู้ประกอบอาชีพหนุ่ม ๆ ชาวอินเดียเขาไม่รอออมเงินไว้ซื้อบ้านอยู่ในบั้นปลายชีวิต เขาซื้อบ้านแบบเช่าซื้อไปเลยอุตสาหกรรมบัตรเครดิตในอินเดียเติบโตในอัตราถึงร้อยละ 35 ต่อปี การบริโภคส่วนบุคคลคิดเป็นมูลค่าถึงร้อยละ 67 ของ GDPเมื่อเทียบกับจีนร้อยละ 42

มีเพียงสหรัฐเท่านั้นที่บริโภคส่วนบุคคลสูงถึงร้อยละ 70 ของ GDP ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจอินเดียนั้นเกิดขึ้นภายใต้ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่ยากจนมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก สามารถมีการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาร่วม 61 ปีแล้วและเป็นที่แน่นอนว่า การเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องมาตลอด 61 ปี เป็นจุดแข็งที่สุดจุดหนึ่งของประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายอินเดียเป็นประเทศที่ชาวโลกให้ความเชื่อมั่นในความยั่งยืนของระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงแน่นอนถ้าถามว่า อีก 25 ปีข้างหน้าการเมืองอินเดียจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือมันก็เหมือนวันนี้ยังเป็นประชาธิปไตย บางทีอาจเป็นรัฐบาลผสมก็ได้แต่ยังไงก็เป็นประชาธิปไตย

ระบอบประชาธิปไตยแม้จะต้องประชานิยมกันบ้าง ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง การตัดสินนโยบายล่าช้ากันไปบ้างเพราะต้องถกเถียงใช้เหตุใช้ผลกันแต่ก็สร้างหลักประกันในเรื่องความมั่นคง ความมีเสถียรภาพของประเทศในระยะยาวเห็นจะเป็นเพราะว่าอินเดียเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานานร่วม 200 ปี จึงได้มีการวางรากฐานทางด้านการเมืองและสถาบันการเมืองไว้อย่างมั่นคงทั่วประเทศ นอกจากนี้ผู้นำคนสำคัญๆในรุ่นแรกๆ เช่น เนรู ถึงแม้จะไม่เข้าใจเรื่องของเศรษฐกิจนักเพราะไม่ใช่นักธุรกิจแต่ท่านก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง

เล่ากันว่าระบอบประชาธิปไตยของอินเดียก็เป็นเฉกเช่นประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ไม่ได้สะท้อนความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ยากจนเสมอไป มักจะเป็นไปตามความต้องการของคนกลุ่มน้อยที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ เช่นกลุ่มนายทุนเจ้าของที่ดิน กลุ่มวรรณะที่มีอิทธิพล สหภาพแรงงาน กลุ่มผู้มีผลประโยชน์ด้านต่างๆ เป็นต้น

นิตยสารนิวสวีค เปิดเผย ว่าเกือบ 1 ใน 5 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอินเดียเคยถูกกล่าวหาในคดีอาชญากรรมต่างๆมาแล้วรวมทั้งคดีการฉ้อโกง ข่มขืน และฆาตกรรม

อย่างไรก็ตามการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยภายใต้กติกาที่วางไว้อย่างเคร่งครัดทำให้ประชาธิปไตยมีวิถีทางในการแก้ปัญหาในตัวของมันเอง อินเดียสามารถก้าวสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งสำคัญเมื่อท่าน แมนโมบาน ซิง( Manmoban Singh) เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากนาง Sonia Garhi นำพรรคพันธมิตรของเธอชนะการเลือกตั้ง

นางโซเนีย มีวิสัยทัศน์ยาวไกล มีสติปัญญาสูงมาก ยอมเสียสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมอบให้ท่าน ซิงรับตำแหน่งแทน ไม่ทราบว่าถ้าเป็นเมืองไทยเขาจะเรียกว่าดชเป็นนอมินีกันหรือเปล่า

ในที่สุดแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามธรรมชาติตามกรรมของมัน ระบอบประชาธิปไตยของอินเดียที่เต็มไปด้วยทั้งประเทศได้

บทเรียนจากประสบการณ์ของอินเดียทำให้ผมเรียนรู้ว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยต้องใช้เวลาและความอดทนเสถียรภาพภายใต้ระบอบประชาธิปไตย คงมิใช่แต่เสถียรภาพความมั่นคงต่อเนื่องยั่งยืนของรัฐบาล ซึ่งอาจขัดต่อสภาพความเป็นจริงในสังคมที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางความคิด แต่จะต้องเป็นเสถียรภาพของระบอบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย

เสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เสถียรภาพของรัฐบาล รัฐบาลจะล้มลุกคลุกคลานเปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมาผสมพันธุ์กันร้อยพ่อพันแม่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรประเทศก็พัฒนาไปได้ บางทีความไร้เสถียรภาพอาจจะนำมาซึ่งความมีเสถียรภาพก็ได้

ผมคิดว่าประชาธิปไตยแบบอินเดียน่าจะเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแบบไทยๆเรา ที่ต้องสร้างความเป็นเอกภาพในความหลากหลายมากกว่าแบบสิงคโปร์ที่มีการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจอยู่ในพรรคเดียวครับ








ลิ้งค์ บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่ครับ


เพื่อนท่านใดสนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมกับเด็กชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงที่จังหวัดกาญจนบุรี ลองไปอ่านรายละเอียดทั้งหมดตามลิ้งนี้ครับ



ลิ้งค์ บล็อกคุณลำน้ำ C คลิก



Create Date : 11 พฤษภาคม 2549
Last Update : 14 พฤษภาคม 2549 11:14:53 น. 27 comments
Counter : 876 Pageviews.

 
อืม........ น่าคิดครับ


โดย: ชายคา วันที่: 11 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:55:51 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณคนเดินดินฯ

มาแอบฟังว่าวันนี้เปิดเพลงไหนน๊อ

เรือนแพ นี่เอง เพราะดีนะค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 11 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:02:41 น.  

 
สวัสดีครับคุณชายคา

พอดีหยิบหนังสือผู้จัดการรายสัปดาห์ขึ้นมาอ่าน เห็นว่าเป็นบทความน่าสนใจเลยเอามาโพสต์ให้อ่านกันครับ

สวัสดีครับคุณโอเล่

เปลี่ยนเพลงอีกแล้วครับ เปลี่ยนบรรยากาศเป็นเพลงร็อกบ้าง เดี๋ยวเพลงมันจะเก่าเกินไปครับ แต่เพลงเก่านี่เนื้อหาของเพลงต้องยอมรับในคุณค่าของมันเลยนะครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 11 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:41:29 น.  

 
เข้ามาทักทายค่ะ


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 11 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:37:13 น.  

 
Image Hosted by ImageShack.us


โดย: erol วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:2:40:30 น.  

 




สวัสดีตอนตีหนึ่ง ของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


ลากเส้นฝันด้วยหมึกสีขาว
เขียนเป็นข้อความบนท้องฟ้า
ให้ความรู้สึกเป็นปากกา
เขียนบอกว่า..คิดถึง ห่วงใย... เธอ



** ขอให้เป็นวันที่ดีของคุณนะจ้า **


นัทดีใจนะจ้าที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก้สุขภาพของคุณ คนเดินดิน ก้ดีขึ้นเรื่อยๆๆ
ยังงัยเสียช่วงนี้ก็ต้องพักผ่อนมากหน่อยนะจ้า อย่าคิดอะไรมากเหมือนอย่างที่เขียนที่บล็อกนัท
ทุกอย่างมีทางแก้ไข ถ้ามีสติและเหตุผล ...ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้เสมอนะจ้า

นัทเพิ่งกลับมาจากทำงานอะจ้า เดี๋ยวก้จะไปนอนแล้วละจ้า..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:6:35:24 น.  

 
จุว่า อะไรๆๆ มันแก้ปัยหาได้ด้วยการศึกษา

รัฐ แก้ปัญหาจริงๆ จังๆ จะดีกว่า พูดๆๆๆๆ เพราะพูดแล้วไม่ทำ ก็ เหมือนไม่มีอะไคลื่อนไหวไปในทางที่ดีหรอกค่ะ


โดย: กระจ้อน วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:48:31 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

ศักยภาพแข่งขัน"ศก." ไทยวูบ5อันดับ

หล่นอยู่ที่32จาก60ปท. มั่นคงการเมืองได้แค่5.3


"ไอเอ็มดี"ปรับศักยภาพการแข่งขันของไทยปี 2549 ลดลง 5 อันดับ หล่นไปอยู่ที่ 32 จาก 60 ประเทศ ระบุศักยภาพทางเศรษฐกิจหล่นวูบจากที่ 7 ไปอยู่อันดับที่ 21 ส่วนศักยภาพรัฐบาลก็ลดลงจากอันดับที่ 14 ไปอยู่ที่ 21 โดยคะแนนความมั่นคงด้านการเมืองจาก 8 เต็ม 10 เหลือแค่ 5.3 ด้าน"ชิดชัย"บอก รบ.ถังไม่แตก แค่มีปัญหาทางเทคนิคเรื่องการเบิกจ่าย

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ว่า สถาบันนานาชาติว่าด้วยการพัฒนาการบริหารจัดการ หรือไอเอ็มดี ที่จัดอันดับศักยภาพด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้ปรับลดศักยภาพการแข่งขันของไทยประจำปี 2549 ลง 5 อันดับ จากอันดับที่ 27 มาอยู่ที่อันดับ 32 จาก 60 ประเทศที่มีการสำรวจ การถูกลดอันดับครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม เพิ่งปรับลดอันดับของไทยลงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้

"ทั้งนี้ ความมั่นคงด้านการเมืองที่เคยเป็นจุดแข็งของไทยและได้คะแนนถึง 8 จากคะแนนเต็ม 10 ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 5.3 ในปีนี้ เช่นเดียวกับคะแนนเรื่องการให้สินบนและการคอร์รัปชั่น ความยึดมั่นในนโยบายของรัฐบาล การเป็นอิสระจากการเมืองของข้าราชการพลเรือน และประสิทธิภาพในการตัดสินใจของรัฐบาลถูกปรับลดลงเช่นกัน"

รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยเป็นประเทศที่ถูกปรับลดอันดับลงมากเป็นอันดับ 4 ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ถูกปรับลดอันดับศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากที่สุดถึง 9 อันดับ มาอยู่ในอันดับ 38 ตามด้วยไต้หวันลดลง 7 อันดับ อยู่ที่ 18 และนิวซีแลนด์ลด 6 อันดับ มาอยู่ที่ 22 และหากพิจารณาเฉพาะประเทศในเอเชียแปซิฟิก ไทยถูกปรับลดมาอยู่ที่อันดับ 10 จากอันดับที่ 8 เมื่อปี 2548 ประเด็นที่ถูกปรับลดคะแนนลงของไทยยังรวมถึงเรื่องบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย แต่ยังคงได้คะแนนสูงในเรื่องอัตราการว่างงาน นโยบายการเงิน การหมุนเวียนของเงินลงทุนโดยตรง ความน่าเชื่อถือเรื่องการบริหารจัดการ และการศึกษา

ทั้งนี้ การจัดอันดับศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่ไอเอ็มดี จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี แบ่งประเด็นพิจารณาหลักเป็น 4 สาขา คือ ศักยภาพทางเศรษฐกิจ ศักยภาพของภาครัฐ ศักยภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยดูจากข้อมูลสถิติประกอบกับการทำแบบสอบถามไปยังผู้บริหารกว่า 4,000 คน

"สำหรับไทยดัชนีชี้วัดศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยในภาพรวมปีนี้ ถูกปรับลดลงมาอยู่ที่อันดับ 21 จากอันดับ 7 ในปี 2548 ส่วนศักยภาพของรัฐบาลถูกปรับลดลงจากอันดับ 14 มาอยู่ที่ 21 สำหรับศักยภาพของภาคธุรกิจยังคงที่อยู่ในอันดับ 28 ขณะที่คะแนนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานลดลงเล็กน้อยจากอันดับ 47 มาที่ 48"

ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายสำหรับไทยคือ การปฏิรูปโครงสร้างของภาคส่งออกและนำเข้าสินค้า พัฒนาประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน เพิ่มศักยภาพให้กับภาคแรงงาน และการพัฒนาด้านกฎหมาย

ที่บ้านพักในซอยประชาราษฎร 10 พล.ต.อ. ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมัน ว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลงแล้ว เพราะความวิตกกังวลกรณีความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เบาลงแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องรณรงค์ให้ทุกฝ่ายประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะราชการเพื่อนำงบประมาณไปใช้จ่ายในการซื้อเชื้อเพลิงที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้น ส่วนงบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณูปโภคจะค้างจ่ายเหมือนที่ผ่านๆ มาไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้ส่วนราชการติดหนี้สิน

"ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลไม่มีเงินจ่ายผู้เหมาโครงการของหน่วยราชการจนต้องกู้เงินจากธนาคารกรุงไทยนั้น ผมไม่เคยได้ยิน แต่ยอมรับว่ามีปัญหาทางเทคนิคของระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (จีเอฟเอ็มไอเอส) หลายส่วนราชการยังเบิกจ่ายงบประมาณไม่ได้ตามเป้าหมาย จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปเร่งรัดแล้ว ยิ่งงบฯไหนมีผลกระทบมากยิ่งต้องเร่งรัดการเบิกจ่าย" พล.ต.อ.ชิดชัยกล่าว

พล.ต.อ.ชิดชัยกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้วิเคราะห์ว่าประเทศไทยต้องทำรายได้ให้มากขึ้นจากการท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งการเปิดใช้ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ หรือสนามบินสุวรรณภูมิ จะทำให้ตัวเลขการท่องเที่ยวดีขึ้น และในวันที่ 30 พฤษภาคม ตนจะไปตรวจความพร้อมในการเปิดใช้สนามบิน ก่อนจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารและพัฒนาท่าอากาศยานไทย (กทภ.) ในวันที่ 6 มิถุนายนต่อไป


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:44:53 น.  

 
ปรัชญาการทำงาน และ การดำเนินชีวิต (ดร.เทียม โชควัฒนา)

1. รู้น้อยไม่เกี่ยงงาน
คนเราหากมีความรู้น้อยต้องไม่ท้อถอย หรือ เลือกงาน เพราะการทำงานคือหนทางเพิ่มความรู้และประสบการณ์

2. เที่ยงธรรมและเยือกเย็น
ผู้บริหารที่ดีต้องปกครองคนด้วยความเที่ยงธรรม และ สุขุมเยือกเย็นเป็นสำคัญ

3. ขยัน อดทน รักษาเครดิต คบคนดี อย่าเอาเปรียบใคร และ ไม่สร้างศัตรู
คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องมีความขยัน อดทน ประพฤติตนน่าเชื่อถือ รู้จักคบคนดีเพราะคนดีย่อมนำพาไปสู่สิ่งดีๆ และที่สำคัญไม่ควรเอาเปรียบหรือเป็นศัตรูกับผู้อื่น

4. เป็นร่มเงาให้ประโยชน์สุข
ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและอุดมด้วยดอกผลอันเอื้อประโยชน์แก่ผู้ปลูกทำนุบำรุง และคนทั่วไปฉันใด องค์กรที่เจริญเติบโตมั่นคง ย่อมควรจะเอื้อประโยชน์และเกื้อกูลแก้บุคคลากรและสังคมฉันนั้น

5. รักตนเอง รักครอบครัว รักษริษัทฯ
บุคคลใดดำเนินชีวิตด้วยพื้นฐานจากพลังแห่งความรัก ในตนเอง ครอบครัว และองค์กรเป็นสำคัญ บุคคลนั้นย่อมประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนทั้งในชีวิตส่วนตัว และ ชีวิตการทำงาน


6. ความรู้เหมือนดาบ ยิ่งใช้ยิ่งคม
ผู้ใดมีความรู้แล้วนำความรู้ของตนมาใช้ และถ่ายทอดให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะยิ่งเกิดความชำนาญ และเป็นการเพิ่มคุณค่าแห่งความรู้นั้นด้วย เปรียบเสมือนดาบที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ และได้รับการเอาใจใส่ดูแล ให้คงไว้ซึ่งความคมตลอดเวลา

7. เรียนรู้สิ่งใด เรียนรู้จากคน
เรื่องราวทุกอย่างคนเป็นผู้สร้างขึ้น ดังนั้น ถ้าต้องการเรียนรู้สิ่งใดให้เรียนรู้จากคน ซึ่งล้วนเป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้ และประสบการณ์

8. การใช้โทสะ มีแต่สร้างความรุนแรง
การใช้โทสะเข้าตัดสินปัญหา ไม่เกิดผลดีกับใครเลย มีแต่สร้างความรุนแรงเพิ่มขึ้น

9. ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวกพ้อง
อดอยากแค่ไหน จงทำตัวเป็นเสือ ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวกเดียวกัน แต่ต้องพยายามเป็นผู้ช่วยเหลือผองเพื่อนจะดีกว่า

10. ทบทวนอดีต ศีกษาปัจจุบัน เพื่อวางอนาคต
การทบทวนประสบการณ์จากอดีต ทั้งของตนเองและผู้อื่น และการศึกษาเรื่องราวจากคนและสิ่งรอบข้างในปัจจุบัน เป็นแนวทางให้เราวางอนาคตได้ถูกต้อง แม่นยำยิ่งขึ้น


11. มากคน มากวาสนา
คนเราทุกคนล้วนมีวาสนาบารมี ถ้าทุกคนเอาวาสนาบารมีมารวมกัน บริษัทฯก็จะเจริญก้าวหน้า

12. อย่าปล่อยชีวิตให้หมดไปอย่างไร้ค่า
คนเราถ้าเข้าใจการจากไปอย่างไม่ย้อนกลับของเวลา ย่อมใช้ชีวิตในแต่ละช่วงอย่างมีค่า

13. เร็ว ช้า หนัก เบา
ในการทำงาน ควรหมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า งานไหนทำก่อน งานไหนทำทีหลัง งานไหนต้องจริงจัง และ งานไหนที่พอควร

14. ความสำเร็จย่อมเป็นของผู้มีความเพียร
อยากประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ต้องพาตัวเข้าหางาน อย่าคอยให้งานมาหาตัว เพราะงานคือทุกอย่างของชีวิต ที่เราต้องพากเพียรและพยายามทำตลอดไป

15. ไม่มีอะไรเกินความพากเพียรของมนุษย์
คนเราถ้าไม่นิ่งนอนใจ แต่เพียรพยายามใช้สติปัญญาต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว ในที่สุดเราก็จะเป็นผู้มีชัยชนะ


16. ความสำเร็จของงาน อยู่ที่คุณภาพของคน
หัวใจในการทำงานให้สำเร็จ มิใช่อยู่ที่การสร้างคนให้มีความเชี่ยวชาญในการทำงานเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการสร้างเสริมให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความรัก และความสามัคคีด้วย

17. แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลัง
นักธุรกิจต้องเป็นคนไม่หยุดนิ่งเพียงวันนี้ แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย ทันโลก พร้อมที่จะก้าวสู่วันพรุ่งนี้ได้เสมอ

18. ชมเกินจริงเป็นโทษ ดีเกินเหตุเสียน้ำใจ
การชมเชย อย่าให้เขาเกิดความหลงระเริง จนอาจลืมตัวกับความสำเร็จ ก่อให้เกิดความประมาท ที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลวในอนาคตได้ การติ ต้องทำด้วยจิตใจที่หวังดีและใช้คำพูดที่สร้างสรร

19. ผู้ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มักเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป
ความเป็นคนมีอารมณ์ดี ยิ้มแย้มมีชีวิตชีวานั้น เป็นเสน่ห์ของมนุษย์อย่างแท้จริง

20. ทำดีเปรียบการเดินทวนกระแสน้ำ ทำชั่วเปรียบการลอยตามน้ำ
การทำความดีเปรียบเหมือนปลาว่ายทวนน้ำ ขึ้นไปที่สูงจะพบแต่น้ำที่ใสสะอาดฉันใด คนที่พยายามทำความดีแม้จะลำบากยากเย็น ก็ย่อมพบชีวิตที่ดี สะอาดสดใส อันเป็นมงคลแก่ตนเองฉันนั้น


21. มนุษยสัมพันธ์ คือพื้นฐานของความสำเร็จ
องค์กรจะเจริญรุ่งเรืองได้ บุคคลในองค์กรต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความสุภาพอ่อนโยน รู้จักข่มอารมณ์และให้อภัยซึ่งกันและกันเสมอ

22. ความก้าวหน้าที่แท้จริง ย่อมเกิดจากฝีมือการทำงาน
ความก้าวหน้าที่ได้มาจากความสามารถในการทำงาน จะให้ผลที่จีรังยั่งยืน

23. งานสำเร็จได้ดี เพราะทีมงานดี
การประสานพลังใจและพลังความคิดของทีมงานที่ดี นำมาซึ่งความสำเร็จของงาน

24. อดทนและอดกลั้น นำไปสู่ความสำเร็จ
คนที่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้ดีกว่าคนอื่น จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

25. อยากขยายใหญ่ ใจต้องกว้าง ในการถ่ายทอดความรู้ให้ลูกน้อง
การขยายกิจการให้ใหญ่โต ต้องอาศัยพลังความสามารถ ความรู้ และความคิดจากทุกคน ฉะนั้น หัวหน้างานต้องใจกว้าง หมั่นสอนและฝึกฝนความชำนาญให้ลูกน้องเสมอ


26. คนคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลก
คนเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งของโลก แต่คนจะมีคุณค่ายิ่ง หากรู้จักประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม

27. ความรู้ต้องมองสูง ความเป็นอยู่ต้องมองต่ำ
ความรู้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ คนที่อยากก้าวหน้าต้องใฝ่รู้ เรียนรู้ให้มากขึ้นอยู่เสมอ แต่ความเป็นอยู่นั้นต้องเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ

28. ความรักและความเข้าใจกัน เป็นความสุขอย่างยิ่งของผู้มีภูมิปัญญา
คนที่มีภูมิปัญญา จะมีความสุขอย่างแท้จริง หากรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ด้วยความรักและความเข้าใจที่ดีต่อกัน

29. ศึกษาคนเพื่อมอบงาน ให้เหมาะกับความสามารถ
หัวหน้างานที่ดีต้องเป็นคนช่างสังเกตและใกล้ชิดลูกน้อง สามารถวิเคราะห์ได้ว่า งานใดเหมาะกับความสามารถของลูกน้องคนใด เพื่อมอบหมายงานให้ตรงกับความสามารถของเขา

30. ความประมาท ความหลงตัวเอง อาจนำไปสู่ความพินาศ
การกระทำสิ่งใดโดยขาดความระมัดระวัง และคิดว่าตนเองเก่งเหนือผู้อื่นเสมอ อาจนำมาซึ่งความล้มเหลว แต่หากกระทำสิ่งใดด้วยความรอบคอบ และอ่อนน้อม ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จ


31. เข็มเล่มหนึ่ง ไม่มีปลายแหลมสองด้าน
ทุกคนมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย คนเราจึงไม่มีใครเก่งทุกอย่าง เปรียบเสมือนเข็มที่มีปลายแหลม สำหรับเย็บ ปะ ชุน ได้เพียงด้านเดียว ฉะนั้น คนเราควรรู้และทบทวนจุดเด่น และจุดด้อยของตนอยู่เสมอ

32. หนังฉายซ้ำไม่ตื่นเต้น ตลกมุขเก่าไม่มีคนฮา
งานทุกงานควรต้องได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น และสอดคล้องกับวันเวลาที่เปลี่ยนไปเสมอ

33. ผู้เป็นพนักงานขายที่ดี ใช่ว่าจะเป็นซุปเปอร์ที่ดีได้เสมอไป
ผู้มีความสามารถสูงในงานอย่างหนึ่ง ใช่จะทำงานอีกอย่างหนึ่งได้ดีเสมอไป ดังนั้น ผู้จะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ นอกจากจะต้องทำงานเก่งแล้ว ต้องเข้าใจวิธีสอนและปกครองคนด้วย
(ซุปเปอร์ หรือ ซุปเปอร์ไวเซอร์ = Supervisor / หัวหน้างานขาย)

34. หมั่นเล่าสร้างความจำ หมั่นซักถามสร้างความรู้
เมื่อได้เรียนรู้สิ่งใดแล้ว หมั่นถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย จะช่วยให้เราจำได้ดีขึ้น และเมื่อไม่รู้สิ่งใดก็อย่าอายที่จะถาม เพราะจะช่วยให้เรารู้มากขึ้น ในขณะที่โอ้อวดว่ารู้หมดแล้ว แท้จริงคือคนที่ไม่รู้อะไรเลย

35. มอง ฟัง คิด ถาม พื้นฐานของการเรียนรู้
พื้นฐานที่ดีของการเรียนรู้ต้องอาศัยทั้งการมอง ฟัง คิด ถาม ประกอบกัน อย่าเพียงแต่มอง ฟัง หรือ ถาม แล้วนำมาใช้โดยไม่มีการคิดไตร่ตรอง หาเหตุผลเสียก่อน


36. ความเป็นเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีงามที่มนุษย์จะพึงปฎิบัติต่อกัน
คนเราจะมีความสุขในชีวิต หากรู้จักมอบความเป็นเพื่อนให้แก่คนรอบข้าง รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างจริงใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

37. เป็นคนต้องรู้จักตัวเอง
การหมั่นสำรวจตัวเอง ย่อมทำให้คนเรารู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง สามารถแก้ไขข้อบกพร่อง และพัฒนาตนเองได้ถูกต้องเสมอ

38. พลังกายในวัยหนุ่มมีเหลือเฟือ ควรใช้ให้คุ้มค่า
เกิดเป็นคนต้องใช้ชีวิตคุ้มค่าต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม อย่าให้มีช่วงเวลาใดที่ต้องรู้สึกเสียดาย ที่ให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์

39. การแข่งขันบังคับให้ต้องใช้สมอง
การแข่งขันคือ การที่ทำให้คนเราต้องคิดและตื่นตัวเสมอ ทำให้เกิดการพัฒนาความสามารถตลอดเวลา

40. อารมณ์ชั่ววูบ อาจทำลายมิตรภาพที่ยืนยาวได้
การแก้ปัญหาโดยขาดสติ หรือใช้อารมณ์ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีระหว่างกัน และอาจลุกลามไปสู่ความบาดหมางกันได้


41. การพูดจาอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้คนยอมรับ
การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ช่วยให้เราครองใจผู้อื่นได้

42. ความคิดสร้างสรรค์ คือพื้นฐานสำคัญของผู้ประกอบการค้า
ในการทำธุรกิจ ต้องพัฒนาความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ เพราะการผูกติดกับความคิดเก่าๆ ในขณะที่เวลาเปลี่ยนไปนั้น เป็นการปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจ

43. อย่าหลงเชื่อคำกล่าวของผู้อื่น โดยขาดสติและความรอบคอบ
ก่อนที่จะเชื่อหรือคล้อยตามคำพูดใดๆ ของผู้อื่น ต้องใช้สติไตร่ตรองด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบเสียก่อน

44. เป็นคนต้องรักตัวเองในทางที่ถูก
คนที่รักตัวเองอย่างแท้จริง คือคนที่สร้างคุณค่าให้ตนเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการหมั่นศึกษาพัฒนาตนเอง ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีเพื่อนที่ดี และหลีกหนีให้ห่างไกลจากอบายมุข

45. หากอยากมีอนาคตที่มั่นคง จงอย่าห็นแก่ตัว
คนดีย่อมไม่เห็นแก่ตัว ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คนเช่นนี้สมควรได้รับการสนับสนุนให้ได้ดีมีอนาคต


46. การศึกษาข้อบกพร่องของตน ทำให้เรารู้จักตัวเองและผู้อื่นดีขึ้น
คนเรามีข้อบกพร่องในตนเองทุกคนไม่มากก็น้อย ฉะนั้น ให้เรารู้จักพิจารณาข้อบกพร่องของตนเองด้วยปัญญา จะทำให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง และช่วยให้เข้าใจผู้อื่น ที่เขาอาจมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับเรา

47. ไม่มีใครเก่งแต่เพียงผู้เดียว
ทุกคนภายในองค์กรเปรียบเสมือนเฟืองจักรกลแต่ละชิ้น ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ต้องทำงานประสานกัน ถ้าเฟืองชิ้นใดชำรุดหรือบกพร่อง เครื่องจักรก็ไม่สามารถทำงานได้ นั่นคือ งานใดๆ จะสำเร็จด้วยดีต้องอาศัย ความสามารถและการประสานงานของทุกคนในทีมงาน มิใช่สำเร็จได้ด้วยคนเพียงคนเดียว

48. ผู้มีความคิดวิจารณญาณ จะก้าวทีละขั้นอย่างมั่นคง
การขยายแนวธุรกิจอย่างมั่นคง ต้องอาศัยการพิจารณา อย่างรอบคอบถึงหลักการและกระบวนการ ปรับปรุงระบบการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

49. อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนขาดมนุษยธรรม
คนที่ทำธุรกิจแบบไร้คุณธรรมเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนย่อมจะหาความสุขใจและความเจริญในชีวิตได้ยาก

50. แม้นจะลำบากเพียงใดก็ย่อมฟื้นคืนเป็นดีได้
จงคิดเสมอว่า คนเรานั้นแม้จะประสบความล้มเหลว ก็ย่อมสามารถปรับปรุงให้กลับคืนดีได้ หากไม่ท้อแท้ต่อโชคชะตา และคิดเสมอว่า เมื่อล้มแล้วก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อยู่เสมอ


51. สร้างคนต้องใช้เวลา
การสร้างคนเหมือนปลูกต้นไม้ใหญ่ ต้องอดทนใช้เวลานาน ไม่เหมือนการปลูกถั่วงอก ซึ่งวันเดียวก็เห็นผล

52. เมื่อจะแหงนมองฟ้า ก็อย่าลืมว่าเท้าตัวเองสัมผัสดินอยู่
คนเราต้องเตือนตนเองไม่ให้ลืมตัว อย่าทะนงว่าตนนั้นเลิศเลอไปกว่าคนอื่น จงคิดเสมอว่าในโลกนี้มีคนที่ดีกว่าเราอีกมาก

53. จะให้ลูกน้องกล้าตัดสินใจ ผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบความเสี่ยง
เมื่อเห็นว่าลูกน้องสามารถทำงานได้ ต้องมอบให้เขาทำ ถ้าเขาทำผิดพลาด เราก็ต้องช่วยรับผิดชอบด้วย

54. ปลูกต้นไม้ใหญ่ อย่าเก็บผลไว้กินแต่เพียงผู้เดียว
การทำงาน เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ควรแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่นและส่วนรวมด้วย

55. ความรักเป็นความสุขเหนือทรัพย์สินเงินทอง
คนที่มีความรัก มีจิตใจดี และมองโลกในแง่ดี จะมีความสุขยิ่งกว่าสิ่งใดๆ


56. มองกระจกที่มีปรอท จะไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากตัวเอง
คำว่า "ปรอท" ภาษาจีนใช้คำว่า "สุ่ยหยิน" หมายถึง เงินเหลว คนจีนเปรียบคนที่เห็นแก่ตัวไม่เห็นใจผู้อื่น คิดถึงแต่ตนเอง เหมือนคนที่มองแต่กระจกฉาบปรอท ซึ่งไม่มีวันที่จะเห็นสิ่งอื่น นอกจากตนเองเท่านั้น

57. การล่าช้ามิได้หมายความว่าเป็นผู้ล้าหลัง
อย่ารีบร้อนเพราะกลัวว่าจะล้าหลังคู่แข่ง ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ จะได้ไม่ผิดพลาด

58. ชนะใจมิตรและศัตรูได้ คือผู้ชนะที่แท้จริง
ชนะสิ่งใดก็ไม่มีความหมายเท่าชนะใจ ทั้งมิตรและศัตรู

59. กินข้าวอย่างมังกร ทำงานอย่างเสือ
คนจีนมองมังกรเป็นสัตว์ที่สง่างาม ฉะนั้นถ้าจะทำอะไรรวดเร็วก็ต้องเร็วแบบสง่างาม ส่วนเสือนั้นคนจีนมองว่าปราดเปรียวในการล่าเหยื่อ และไม่กินลูกตัวเอง หมายถึงให้ทำงานอย่างคล่องตัว ทำงานเป็นทีม และไม่รังแกพวกเดียวกัน

60. ตักน้ำเต็มได้แค่ภาชนะบรรจุเท่านั้น
ในการดำเนินธุรกิจ ถ้ารู้จักเสียสละแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่นหรือสังคม รวมทั้งจ่ายภาษีให้รัฐได้พัฒนาประเทศอย่างเต็มที่ ธุรกิจก็จะเจริญรุ่งเรืองขยายกิจการใหญ่ขึ้นได้
อุปมาเหมือนภาชนะที่มีน้ำเต็มแล้ว ตักน้ำออกไปทำประโยชน์ที่อื่นบ้าง ก็จะมีโอกาสจะตักน้ำเติมเข้ามาได้อีก และมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนภาชนะ หรือขยายขนาดภาชนะให้ใหญ่ขึ้นได้


61. สะสมลาภ ยศ ความดี เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า
ถ้าจะให้ชื่อเสียงดี มีเกรียติยศ มีภาพพจน์ดี เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปในอนาคต ต้องกระทำความดีอย่างสม่ำเสมอ

62. เดินเร็ว ฝีเท้าย่อมไม่สวยและอาจหกล้มได้
จะก้าวให้มั่นคงและกิจการไม่ล้มเหลวต้องรอบคอบเสมอ

63. เกรียติที่สูง ไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองอวดอ้าง
ถ้าเราทำตัวเหมาะสมกับคนที่มีเกรียติแล้วไม่อวดอ้าง คนอื่นก็จะมอบเกรียติให้เราเอง

64. การช่วยเหลือผู้อื่น และมองคนในแง่ดี ทำให้เกิดสุขทางใจ
การทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือผู้อื่น มองหรือคิดถึงผู้อื่นในแง่ดี ทำให้จิตใจของตนดีและมีความสุขได้

65. ผู้ที่เป็นผู้นำได้ ต้องผ่านความลำบากมาก่อน
คนที่เคยลำบากมาแล้วย่อมเป็นหัวหน้างานที่สามารถให้กำลังใจกับลูกน้องได้ดี


66. ทำงานมากก็ผิดพลาดมาก ทำน้อยก็ผิดพลาดน้อย
คนเราทำงานก็ต้องมีการผิดพลาดบ้าง คนที่ไม่มีความผิด ก็คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

67. หากดีแต่พูด ไม่ลงมือทำ ความคิดก็ไม่อาจเป็นจริงได้
เมื่อไม่ลองปฏิบัติก็ไม่รู้ว่าที่คิดนั้นทำง่ายหรือยาก งานบางอย่างอาจพูดง่ายแต่ทำยาก

68. การทำงาน ต้องมีเป้าหมาย
การทำงานโดยไม่มีเป้าหมาย เหมือนคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายของชีวิต

69. เราพูดด้วยความโมโหเพียงครั้งเดียว แต่อยู่ในใจของคนอื่นตลอดชีวิต
การพูดโดยใช้อารมณ์ ไม่ใช่สติไตร่ตรองเสียก่อน แม้เพียงครั้งเดียวก็อาจทำลายทั้งตนเอง และมิตรภาพได้ตลอดไป

70. ความใกล้ชิด ย่อมนำมาซึ่งความเข้าใจ และผลของงานที่ดี
การทำงานใกล้ชิดกับลูกน้อง หัวหน้านอกจากมีโอกาสศึกษาผลของงานแล้ว ยังได้ศึกษานิสัยการทำงานของลูกน้องด้วย


71. ทำการค้าต้องเดินสายกลาง ยึดหลักมั่นคงไว้ก่อน
ทำการค้าอย่าลงทุนเกินตัว ต้องเก็บส่วนหนึ่งไว้ เป็นความมั่นคงของตนเอง และครอบครัวด้วย

72. ผิดครั้งแรกเป็นครู แต่ผิดซ้ำสองนั้นถือว่าโง่
คนเราทำงานก็ต้องผิดพลาด แต่สิ่งสำคัญต้องจดจำความผิดนั้น นำมวิเคราะห์หาสาเหตุ ถ้าผิดซ้ำซากก็เหมือนคนที่หาบทเรียนจากประสบการณ์ไม่ได้

73. คนจะโง่ หรือ ฉลาด ดูได้จากคำพูด
คำพูดเปรียบเหมือนประตูของจิตใจ คนโง่จะพูดเรื่องที่ขาดหลักคิดและเหตุผล ในขณะที่คนฉลาดจะมีเหตุผลและหลักคิดที่ดี

74. ไม่มีใครเคยตายเพราะงานหนัก
ในการทำงาน ให้ยึดหลักว่าทำเข้าไปเถิดสิ่งที่ว่ายาก เพราะยิ่งทำสิ่งที่ยากมาก หรือหนักมาก ก็ยิ่งรู้มาก

75. ชีวิตการศึกษา ต่างจากชีวิตการทำงาน
ในชีวิตการศึกษา เราจะรับความรู้จากครูบาอาจารย์ คนที่จบการศึกษาใหม่ๆ มักจะยึดติดกับทฤษฏีที่ร่ำเรียนมา เปรียบเสมือนมีศรีษะและความคิดเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีด้านและมุมที่ตายตัว จึงเข้ากับผู้อื่นได้ยาก
แต่ในชีวิตการทำงาน เราต้องหาความรู้จากสิ่งรอบข้างและประสบการณ์ แล้วถ่ายทอดต่อให้ผู้อื่น จึงต้องปรับตัวเข้ากับผู้อื่นให้ได้ เปรียบเหมือนพัฒนาศรีษะและความคิดของตน จากรูปสี่เหลี่ยมให้เป็นทรงกลม ทรงรี และ ทรงแหลมในที่สุด เพราะรูปทรงแหลม สามารถสอดแทรกไปได้ง่าย หมายความว่าคนผู้นั้นมีความสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้


76. ตระกูลที่สะสมแต่กรรมดี ย่อมประสบแต่สิ่งสิริมงคล
ชีวิตของคนเราต้องทำแต่สิ่งที่ดีงาม จึงจะเจริญ

77. ความรู้มีอยู่ทุกหนแห่ง อยู่ที่เราจะรับรู้หรือไม่
เราหาความรู้ได้ทุกหนแห่งทุกเวลา อยู่ที่เราจะเก็บเกี่ยวอย่างไรและเมื่อไร บางคนมีความสามารถในการเก็บเกี่ยวซึมซับความรู้ จากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ อาจมีความรู้มากกว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยเสียอีก และบางครั้งความรู้ที่ได้จากสถานการณ์จริง และประสบการณ์นั้น สามารถทำมาใช้ในชีวิตได้ดีกว่า

78. หัวหน้าที่ดีต้องรู้จักชื่นชมลูกน้อง
หัวหน้างานที่ค้นหาจุดเด่นของลูกน้องแล้วชมเชย จะเป็นกำลังใจให้ลูกน้องหมั่นทำความดีต่อไป
แต่หัวหน้างานที่คอยแต่จะค้นหาจุดด้อยมาตำหนิ จะทำให้ลูกน้องหมดกำลังใจ กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มองไม่เห็นคุณค่าของลูกน้อง

79. ร่างกายต้องการอาหารกายฉันใด จิตใจต้องการอาหารใจฉันนั้น
ขณะที่ร่างกายของคนเราต้องการอาหารเพื่อเป็นพลังในการมีชีวิต
จิตใจของคนเราก็ต้องการความรู้และหลักคิดที่ดี เพื่อเป็นพลังในการเป็นคนดี มีจิตใจดีเช่นกัน

80. ปลูกต้นไม้ใหญ่ใช้เวลาร้อยปี สร้างคนใช้เวลาสิบปี
การจะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แข็งแกร่งมีคุณค่า ต้องใช้ความอดทน ใช้เวลา โดยเฉพาะการสร้างคนหนึ่งคนให้เก่ง ยิ่งต้องใช้ความอดทนและใช้เวลามาก ทั้งตัวผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง เพราะนั่นหมายถึง การสร้างให้คนคนนั้นเพียบพร้อมทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์


81. ทำคุณให้ผู้อื่นต้องลืม ผู้อื่นทำคุณให้ต้องจำ
หากเราเคยทำประโยชน์หรือช่วยเหลือใครไว้ อย่าจดจำหรือคาดหวังการตอบแทน เพราะอาจไม่ได้ดังที่หวัง หรือ เผลอไปทวงบุญคุณให้เขาเสียความรู้สึก แต่ถ้ามีใครช่วยเหลือเราต้องจดจำให้แม่น เพื่อหาโอกาสตอบแทนบุญคุณ

82. คนที่ชอบโยนความผิดให้ผู้อื่น เป็นคนที่ยากจะพัฒนาให้ดีได้
คนบางคนไม่ยอมรับความผิดของตน ชอบหาแพะรับบาป หมกมุ่นกับการหาวิธีโยนความผิดให้ผู้อื่น แทนที่จะใช้เวลาในการพัฒนางานของตน คนประเภทนี้ ยากที่จะพัฒนาได้

83. อยากเจริญก้าวหน้า ต้องทำตัวเหมือนคนกำลังขึ้นเขา
คนเดินขึ้นภูเขา จะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเสมอ เปรียบเสมือนคนอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งจะมีแต่คนรัก แต่คนเดินลงจากภูเขาจะเอนตัวไปข้างหลัง เปรียบเสมือนคนเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งไม่มีใครชอบ ดังนั้น ถ้าต้องการให้มีคนรัก และช่วยสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า ควรประพฤติตนเสมือนคนกำลังเดินขึ้นเขา

84. ผลักน้ำออกไป น้ำไหลเข้ามา วักน้ำเข้ามา น้ำไหลออกไป
คนที่เป็นผู้ให้ มักได้รับสิ่งตอบแทนเสมอ อย่างน้อยก็ต้องได้ความรักและความชื่นชมจากผู้อื่น เปรียบเสมือนผลักน้ำออกไปจากตัว น้ำก็ยิ่งจะไหลเข้ามา
แต่คนที่มีแต่ความโลภอยากได้จากผู้อื่น กลับต้องเป็นผู้สูญเสีย ไม่ได้รับแม้แต่ความรักและความศรัทธา เปรียบเสมือนคนที่พยายามวักน้ำเข้าหาตัว น้ำก็จะยิ่งไหลออกไป

85. มีคู่แข่งได้ แต่ต้องไม่มีคู่แค้น
การทำธุรกิจก็เหมือนการเล่นกีฬา ต้องมีคู่แข่ง มีผู้แพ้ผู้ชนะ แต่ต้องไม่มีคู่แค้น เพราะการมีคู่แค้นทำให้ธุรกิจนั้นมัวหมอง ไม่สดใส ไม่มีอนาคต


86. เกิดเป็นคน เงยหน้าต้องไม่อายฟ้า ก้มหน้าต้องไม่อายดิน
คนเราเกิดมาอย่ามุ่งแต่จะหาประโยชน์ใส่ตนจนกลายเป็นคนเอาเปรียบสังคม หรือ เบียดเบียนธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

87. คบคนดี ไม่สร้างศัตรู
การคบคนดีก็เหมือนการคบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาผล การยอมกันสักนิดเพื่อไม่ต้องเป็นศัตรูกันจะดี เพราะการมีศัตรูเป็นหนทางสู่ความหายนะ

...........................................................

คัดมาจากบล็อกนี้ครับ

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=kizasafari&group=2&date=12-05-2006&blog=1


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:20:43 น.  

 
มีเนื้อหาได้ขนาดนี้..แสดงว่าแข็งแรงแล้วใช่ไหมค่ะ

อย่าเพิ่งหักโหมนะค่ะ..



โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:45:00 น.  

 
บทความดีมากเลยค่ะ ....^^
บทความและปรัชญาดีๆ แบบนี้ ท่านผู้นำของเราน่าจะได้อ่านบ้างนะคะ

คุณคนเดินดินฯ ไม่ค่อยสบายเหรอคะ อ่านจากคอมเม้นท์เพื่อนๆค่ะ ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ...


โดย: ตะกร้าหวายสีขาว วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:42:48 น.  

 
คัดจากประชาชาติธุรกิจ

"อินเดีย" มาแรงจีดีพีปี"49 พุ่ง 8%

แม้ว่าการส่งออกของไทยไปอินเดียจะลดลง แต่ปัญหาไม่ได้เกิดจากตลาดภายในของอินเดีย เพราะรัฐบาลอินเดียคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2549-2550 จะขยายตัวร้อยละ 8.1 ซึ่งถือเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การเกิดของอุตสาหกรรมใหม่ การลงทุน อัตราเงินเฟ้อปานกลาง (modest inflation) การนำเข้าและส่งออกที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การวางรากฐานเพื่อรองรับการพัฒนาอย่างรวดเร็วด้านกายภาพโครงสร้างพื้นฐาน ความก้าวหน้าของความแข็งแกร่งทางด้านงบประมาณ และการดำเนินโครงการ national rural employment guarantee (NREG) เพื่อความเติบโตและมั่นคงทางสังคม

สินค้าสำคัญที่อินเดียนำเข้าจากไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็กสแตนเลส ผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ กาว เซรามิก เฟอร์นิเจอร์ และอินทรีย์เคมี สินค้าเกษตร น้ำมันปาล์ม น้ำตาล อาหารทะเล ส่วนผลไม้ที่น่าสนใจคือหมากแห้ง ซึ่งมีสัดส่วนในกลุ่มผลไม้สูงถึงร้อยละ 89 ของผลไม้ทั้งหมดที่อินเดียนำเข้าจากไทย

ทั้งนี้สินค้าไทยที่มีโอกาสขยายตัวได้ดีในตลาดอินเดียคือ อุปกรณ์รถยนต์ เนื่องจากอินเดียมีความต้องการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าอินเดียจะสนับสนุนให้ใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในประเทศ แต่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นอีกรายการที่ไทยมีประสิทธิภาพในการผลิตดีกว่า ขณะที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าอินเดีย อย่างไรก็ตาม สินค้าประเภทนี้อาจถูกจัดเป็นสินค้าอ่อนไหว (sensitive product) เนื่องจากผู้ผลิตอินเดียอาจร้องขอให้มีการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศหรือร้องขอให้รัฐปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับไทยในด้านภาษีนำเข้าวัตถุดิบ

ส่วนสินค้าสำคัญที่อินเดียส่งออกมายังไทย ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมประเภทเหล็ก เหล็กแผ่น ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เครื่องมือเครื่องใช้ และเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากอินเดียมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตได้อย่างมีคุณภาพและราคาถูก นอกจากนี้ไทยยังนำเข้าเพชร พลอยดิบปลายประเภทเพื่อนำมาเจียระไน และนำมาทำเครื่องประดับเพื่อส่งออก สำหรับสินค้าเกษตรที่ไทยนำเข้าจากอินเดีย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์จากนม หัวหอม และแตงกวา


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:4:25:28 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจรายวัน คอลัมน์กาแฟดำ สุทธิชัย หยุ่น

เราตื่นหรือยัง? เวียดนามมาแรง แซงไทยแล้ว...

11 พฤษภาคม 2549 18:25 น.



ผมมีกำหนดจะแวะเวียนไปเมืองจีนกับเวียดนามในเร็ววันนี้ กำลังเก็บข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสองประเทศเพื่อนบ้านที่น่าติดตามยิ่งอยู่ก็มีข่าวคราวเรื่องเวียดนาม

กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในหลายๆ ด้านขึ้นมา จึงต้องนำมาปูทางเอาไว้ก่อน ก่อนที่จะเจาะลึกลงไปถึงการเมืองและเศรษฐกิจของเวียดนามวันนี้

เวียดนามมาแรงนั้นไม่ใช่ประเด็นใหม่ มีสัญญาณบอกกล่าวมาหลายปีแล้ว เพียงแค่คนไทยไม่ได้ใส่ใจเพียงพอ และผู้นำไทยที่กำลังต้องการจะสร้างภาพว่าเป็น "ผู้นำแห่งภูมิภาค" ด้วยกิจกรรมโฉ่งฉ่างทั้งหลายก็กลบ "ของจริง" ไปหลายเรื่อง

ข่าวจากกระทรวงพาณิชย์บอกว่า การส่งออกของเวียดนามไม่ว่าจะเป็นข้าว, สิ่งทอ, เสื้อผ้าสำเร็จรูป, อาหารทะเล, หรือแม้สินค้าที่ไทยคุยว่าแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ กำลังตามไล่หลังไทยเรามาติดๆ และบางเรื่องก็แซงหน้าไทยไปแล้ว

วันนี้ เขาอาจจะขยับไม่แซง แต่ถ้าดูจากอัตราโตอย่างต่อเนื่องและสภาพ "นิ่ง" ของไทยเราทางด้านนี้, ก็เป็นไปได้ว่าต่อไปเวียดนามจะกลายเป็นประเทศที่ส่งสินค้าออกได้มากกว่าไทย และเพราะตลาดเกือบจะเหมือนกับไทย, เวียดนามจึงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

ไม่เพียงแต่เรื่องส่งออกเท่านั้น, การลงทุนจากต่างประเทศก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่เวียดนามแข่งกับเรา ล่าสุด ผลการสำรวจประจำปีของ "JETRO" หรือองค์การการค้าต่างประเทศญี่ปุ่นถามความเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่นประจำภูมิภาคเอเชียสำหรับปีที่แล้ว ได้ผลออกมาว่าพวกเขาเห็นพ้องว่าเวียดนามเป็นประเทศน่าลงทุนที่กำลังดีวันดีคืน และกำลังจะเทียบได้กับประเทศไทย

ที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งคือนักลงทุนญี่ปุ่นไม่น้อยมองว่าเวียดนามอาจจะเป็น "ทางเลือก" ใหม่สำหรับทดแทนตลาดจีนหากจำเป็นต้อง "กระจายความเสี่ยง"

ขณะที่ไทยอาจจะไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดของการที่จะเป็น "แหล่งลงทุนทางเลือก" เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในจีน

ผลสำรวจของเจโทรครั้งนี้น่าสนใจตรงที่ว่านักลงทุนญี่ปุ่น บอกว่า ในบรรดา 6 ประเทศอาเซียน (อินโด, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย, เวียดนาม) บวกกับอินเดีย นั้น ในระยะยาวแล้ว ไทยกับเวียดนาม จุดหมายปลายทางที่พึงปรารถนาที่สุด

เดิมไทยอยู่เหนือชั้นเวียดนามเพราะความสะดวกหลายด้าน และที่สำคัญประการหนึ่งคือบรรยากาศแห่งเสรีภาพและคล่องแคล่วของสังคมไทย แต่วันนี้ เมื่อการไหลเทของข่าวสารและเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดลง จุดแข็งด้านนี้ของไทยก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้โดดเด่นกว่าเวียดนามที่ยังปกครองด้วยระบอบการเมืองแบบรวมศูนย์

น่าสนใจว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ก็มีข่าวว่าไทยกับเวียดนามต่างก็เข้าไปแข่งขันในตลาดกัมพูชาอย่างเข้มข้น และสินค้าบริโภคหลายยี่ห้อของเวียดนามนั้น ก็อ้างว่า คุณภาพดีกว่า และที่สำคัญ คือ ถูกกว่า ของไทยอีกด้วย

ประเด็นการแข่งขันระหว่างสินค้าไทยกับเวียดนามในเขมรและลาวนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เพราะการแข่งขันดุเดือดมากยิ่งขึ้น และเพราะเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศรัดตัวมากขึ้น ต้องแย่งตลาดกันในทุกๆ ด้าน, เรื่องของคุณภาพกับราคาระหว่างของไทยกับของเวียดนาม จึงกลายเป็นเรื่องที่เป็นหนามยอกอกไทยเราตลอดมา

ต้องไม่ลืมว่าสินค้าบริโภคไทยเราไม่ได้แข่งแต่เฉพาะกับเวียดนามเท่านั้น แต่เงาทะมึนของสินค้าบริโภคจากประเทศจีน ก็กำลังเป็นภัยคุกคามต่อเราอย่างน่าหวาดหวั่นอีกเช่นกัน

รัฐบาลนี้พูดเรื่อง "ความสามารถในการแข่งขัน" มาหนักหนาแล้ว ถึงกับตั้งคณะกรรมการระดับชาติมีนายกฯ เป็นประธาน...แต่วันนี้ใครต่อใครต่างก็พุ่งแรงแซงหน้าเราไปเสียแล้ว

วันหน้า ยังมีข้อมูลและแนวทางวิเคราะห์ "ความสามารถในการแข่งขัน" ของไทยเรากับเพื่อนบ้านอีกหลายด้านที่จะมาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์นี้


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:39:50 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


ส่งความห่วงใยด้วยลำแสงเลเซอร์
แปรเป็นคลื่นไซเบอร์แห่งความคิดถึง
เปลี่ยนเป็นพลังงานไอน้ำแห่งความคำนึง
ส่งมาให้เธอด้วยความจริงใจ


** มีความสุขกับวันหยุดพักผ่อนนะจ้า **



โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:49:36 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจรายวัน--บทวิเคราะห์


ECO-NO-MISS : ห้าปีรัฐบาลไทยรักไทย: สอบได้หรือสอบตก?

21 กุมภาพันธ์ 2549 12:53 น.



หลังจากที่ได้ฟังและได้เห็นถ้อยแถลงของรัฐบาลเกี่ยวกับผลงานในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับครับว่าการนำเสนอตัวเลขผลการดำเนินงานของภาครัฐบาลนั้นสมบูรณ์แบบจริงๆ ในการนำเสนอผลงานในเชิงบวก

***ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

--------------------------
แต่สำหรับผลงานในเชิงลบไม่ได้มีการนำเสนอมากนัก


หลายคนคงจะเห็นด้วยกับผมว่าผลงานของรัฐบาลที่นำเสนอมานั้นฟังแล้วเคลิ้มครับ ฟังแล้วพร้อมที่จะเออออห่อหมกพร้อมใบ (เยิน) ยอไว้ด้วยว่า “ผลงานเยี่ยมจริงๆ” ตามที่นำเสนอมา ซึ่งเรื่องที่รัฐบาลนำเสนอนั้นคือ ผลผลิตหรือผลงาน (output) ของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้หมายความว่า ผลลัพธ์หรือผลสำเร็จ (outcome) ได้เกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของการดำเนินนโยบายที่รัฐบาลได้

การดำเนินงานของรัฐบาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอาจจะพูดได้ว่าเป็นการตอบโจทย์ที่สำคัญ 2 ข้อคือ

ข้อหนึ่งในช่วงต้นปี 2544 รัฐบาลต้องมุ่งมั่นตอบโจทย์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นได้อย่างไรหลังจากที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นต้นมา ซึ่งในคอลัมน์ครั้งที่แล้วผมแสดงความเห็นแล้วว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในการตอบคำถามข้อนี้ ทั้งผลงาน (output) และ ผลสำเร็จ (outcome) กล่าวคือเศรษฐกิจไทยมีการเจริญเติบโตดีขึ้นในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มีมูลค่าสูงขึ้นจาก 4.9 ล้านล้านบาทในปี 2543 เป็น 7.0 ล้านล้านบาทในปี 2548 หรือเพิ่มประมาณ 40% หรือประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่วัดได้ชัดเจน

ขณะที่ผลสำเร็จคือเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้คนไทยและเกษตรกรไทยมีรายได้ต่อคนต่อปีสูงขึ้นจาก 79,100 และ 32,120 บาทต่อคนต่อปี ตามลำดับ เป็น 109,700 และ 52,320 บาทต่อคนต่อปี ตามลำดับ และการจ้างงานมีมากขึ้น ส่งผลให้การว่างงานปรับตัวลดลงจาก 3.6% ในปี 2543 เป็น 1.9% ในปี 2548

การที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความมั่นคงมากขึ้น โดยปัญหาหนี้สาธารณะได้ลดลงจากเดิมอยู่ที่ 57% ของจีดีพี เหลือ 45.9% ของจีดีพี ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 32,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 53,370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการเป็นหนี้ต่างประเทศปรับตัวลดลง จากเดิมที่หนี้ต่างประเทศของไทยมีมูลค่าสูงถึง 79,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปลายปี 2543 ลดเหลือเพียง 51,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2548 ดังนั้น ภาระต่างประเทศลดลงไปมากและประเทศได้เปลี่ยนจากผู้กู้มาเป็นผู้ให้กู้มากขึ้น

นอกจากนี้ การกระจายรายได้ที่ดีขึ้นก็จัดเป็นผลงานของรัฐบาลที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น

กล่าวคือ ในปี 2548 คนที่มีรายได้สูง รายได้ปานกลาง และรายได้ต่ำมีรายได้รวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 48.4% 45.2% และ 6.4% ของรายได้ของคนไทยทั้งประเทศ ตามลำดับ แสดงว่า ชนชั้นกลางในเมืองไทยมีรายได้มากขึ้นและน่าจะมีจำนวนมากขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2543 ที่คนที่มีรายได้สูง รายได้ปานกลาง และรายได้ต่ำมีรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 57.8% 38.0% และ 4.2% ของรายได้ของคนไทยทั้งประเทศ ตามลำดับ

สำหรับคนยากจนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน (หมายถึงรายได้ขั้นต่ำที่เพียงพอในการดำรงชีวิต) มีจำนวนลดลงจาก 12.8 ล้านคนในปี 2543 เหลือเพียง 7.5 ล้านคนในปี 2548

จากผลงานและผลสำเร็จของรัฐบาลที่กล่าวมาถือว่า การตอบโจทย์ในข้อแรกของรัฐบาลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นได้อย่างไรหลังจากที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 นั้นต้องบอกว่ารัฐบาลทำได้อย่างดีเยี่ยมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ถ้าคะแนนเต็ม 10 ผมก็จะให้ 9 คะแนนครับ ที่ไม่ให้คะแนนเต็มเพราะการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลหลายเรื่อง เป็นการแทรกแซงกลไลราคามากเกินไปครับ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิตของประชาชน การตรึงราคาน้ำมันและราคาพลังงานนานเกินไปทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมากเกินความจำเป็น ตลอดจนทำให้พฤติกรรมการบริโภคพลังงานของคนไทยเปลี่ยนไปใช้น้ำมันดีเซลมากเกินไป

นอกจากนี้การแก้ไขปัญหาบางเรื่องของรัฐบาลในการฟื้นเศรษฐกิจ เป็นการฟื้นเศรษฐกิจโดยการใช้เงินนอกงบประมาณและใช้เงินของสถาบันการเงินของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา เช่น ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคาร SME ธนาคารกรุงไทย เป็นต้น

โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากขึ้นและง่ายขึ้นเป็นจำนวน 329,592.34 ล้านบาท

แบ่งเป็นกองทุนหมู่บ้านให้กู้ เป็นเงิน 2.36 แสนล้านบาท ธนาคารประชาชน 2.56 หมื่นล้านบาท และธนาคารเอสเอ็มอี 1.57 หมื่นล้านบาท และนโยบายแปลงทรัพย์สินเป็นทุนอีก 5.2 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้จำนวนหนี้สินต่อครัวเรือนสูงขึ้นจากประมาณ 68,405 บาทต่อครัวเรือนในปี 2543 มาเป็น 104,571 บาทต่อครัวเรือนในปี 2548 ซึ่งยังไม่สามารถตอบได้ว่าการที่ประชาชนมีหนี้เพิ่มมากขึ้นจะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจต่อไปในอนาคตหรือไม่ เพราะคนไทยอาจก่อหนี้มากขึ้นเพื่อการลงทุนและสร้างอาชีพในอนาคต หรือก่อหนี้มากขึ้นเพื่อการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ ซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องเหล่านี้

สำหรับโจทย์ข้อสองที่รัฐบาลมุ่งตอบโดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไรในอนาคต ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว มีการเคลื่อนย้ายทรัพยากร (โดยเฉพาะเงินทุน) ระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง และมีการแข่งขันระหว่างประเทศอย่างรุนแรงในตลาดโลก

ดังนั้น จะเห็นแนวทางการบริหารงานของรัฐบาลในการมุ่งเน้นเกี่ยวกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสองด้านสำคัญ คือ ประการที่หนึ่ง ด้านการผลิตหรืออุปทาน ได้แก่การลดต้นทุนการผลิต เช่น ลดภาษีวัตถุดิบจากต่างประเทศ โครงการด้าน logistics ต่างๆ และการสนับสนุนเครือข่ายวิสาหกิจ (cluster) เพื่อดูแลต้นทุนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

นอกจากนี้ ในด้านอุปทานยังมีนโยบายปฏิรูปการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและทักษะของคนไทยในการเรียนรู้และประกอบอาชีพในยุคสมัยหน้า ตลอดจนการฝึกอบรมอาชีพให้กับแรงงานและผู้ประกอบการต่างๆ นอกจากนี้รัฐบาลยังเน้นการลงทุนขนาดใหญ่หรือ Mega project เพื่อเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเช่น ระบบพลังงาน การชลประทาน ตลอดจนการคมนาคมขนส่งให้กับประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

สำหรับ ประการที่สอง ด้านอุปสงค์หรือความต้องการซื้อสินค้าไทย เพื่อขยายตลาดในต่างประเทศ รัฐบาลพยายามส่งเสริมการเปิดการค้าตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบความร่วมมือทางการค้า เช่น ACMECS GMS หรือ BIMSTECS เป็นต้น

นอกจากนี้ การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ ก็คือแนวทางในการสร้างตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าไทย สำหรับแนวคิดเรื่องการสร้างสินค้าไทยใหม่ในตลาดโลกนั้น รัฐบาลได้สร้างแนวคิดในการพัฒนาสินค้า OTOP หรือสินค้าแฟชั่น นวดแผนไทย ร้านอาหารไทย เป็นต้น ซึ่งในเรื่องนี้ยังถือว่ายังอยู่ในการดำเนินการให้ประสบความสำเร็จอยู่

สำหรับผลงานรัฐบาลในรอบ 5 ปีในการตอบโจทย์ข้อสอง ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์ หรือการปรับตัวเพื่ออนาคตนั้น หากคะแนนเต็ม 10 ผมให้ 8-9 คะแนนในแนวความคิดหลัก แต่ในเชิงปฏิบัติขอให้เพียง 6 คะแนน เพราะเม็ดเงินใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆ เช่น การพัฒนาสินค้า OTOP และสินค้าต่างๆ ยังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นผลชัดเจนว่าสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในระยะยาวได้หรือไม่

นอกจากนั้น เกษตรกรยังต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศอยู่ โดยระบบชลประทานที่แก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืนยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ขณะที่การจัดทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) นั้นยังมีข้อถกเถียงว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์สุทธิในระยะยาวหรือไม่ กอปรกับประชาชนและนักธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะปรับตัวอย่างไร

นอกจากนี้ระบบการศึกษาและการวิจัยของไทยยังไม่ได้รับการปรับปรุง สนับสนุนและปฏิรูปอย่างมีประสิทธิภาพ

ในความเห็นของผมนั้น หากเด็กไทยยังต้องเรียนพิเศษทุกวันหรือทุกเสาร์อาทิตย์ แสดงว่า การเรียนของไทยยังต้องการการปฏิรูป หรือแสดงว่าการปรับสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยนั้นยังต้องปรับปรุงอีกครับ



โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:13:12 น.  

 


มาสวัสดีไว้ก่อนค่ะ คุณคนเดินดิน

ว่างเมื่อไหร่จะมาอ่านละเอียดๆ อีกทีนะคะ


โดย: มัชฌิมา วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:47:50 น.  

 
วันนี้แมงขยันเข้าสิงคุณ...คนเดินดินฯ (ของจริงต้องมี ฯ )
แม่หนิงอ่านยังไม่จบนะคะ
ตอนนี้มึน ๆ ค่ะ

( แอบหลับกลางวันที่ทำงาน แล้วมันมึน ๆ 55 )

ชอบ ปรัชญาการทำงาน และ การดำเนินชีวิต (ดร.เทียม โชควัฒนา) ค่ะ

ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีดีให้กันนะคะ
เลยมีความรู้สึกว่า BLOG ตัวเองไร้สาระไปเลย 55


โดย: run to me วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:28:50 น.  

 
ไม่ค่อยอยากจะยอมรับว่าเราโดนเวียตนามแซงแล้ว


โดย: ป้ามด วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:22:35 น.  

 
นั่งอ่านอย่างละเอียดแล้วครับ กำลังนึกถาพของอินเดียในหัวตาม ค่อนข้างทึ่งที่อินเดียมาถึงวันนี้ได้ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
ในแง่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ว่าจะกลายเป็นหมาอำนาจอย่างแท้จริงๆได้ในอนาคต

ในกรณีของญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นๆที่ทำได้เพราะที่นั่นมีเอกภาพทางวัฒนธรรมสูงในขณะอินเดียความแตกต่างสูงมาก อีกอย่างดูจากบทความเศรษฐกิจอินเดียโตในระดับเร็วผิดปกติมากเกินไป มากจนกลัวว่าจะฟองสบู่แตกแทน ยังไม่นับเรื่องช่องว่างระหว่ารายได้ของประชากร ซึ่งตอนนี้ที่เมืองจีนเป็นอย่างรุนแรงมาก

พัฒนการของอินเดียเป็นสิ่งน่าสนใจแต่ผมมองว่าอินเดียยังไปไม่ได้เร็วขนาดนั้น


โดย: นายเบียร์ วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:57:55 น.  

 
- ตอนนี้บ้านเมืองไทยกำลังสบสน กำลังนำความดีกับความชั่วมาผสมปนเปกัน ขอให้ทุกคนสำนึกพระราชดำรัสในหลวงที่ให้ศาลเป็นองค์กรที่แก้ปัญหาบ้านเมือง และให้เคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเป็นดีที่สุด......และหากเกี่ยวพันถึงองค์กรใดต้องปฏิบัติตาม ไม่อาจบิดพลิ้วได้
......ดังมาตรา 158 ดังนี้ “ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเข็ดขาด มี ผลผูกพันรัฐสภาคณะรัฐมนตรีศาล และองค์กรอื่นของรัฐ “
- พรรคเล็กที่ถูกไทยรักไทยจ้าง......ถูกสั่งยุบไปเรียบร้อยแล้ว 3 พรรคครับ....แต่พรรคที่จ้างคือไทยรักไทยยังอยู่....ทำไมองคืกรที่เกี่ยวข้องละเมิดกฎหมายซึ่งหน้า ไม่เกรงอำนาจศาลกันเลยหรือไง.........ดังนั้น
- ขอเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายและคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด ….คือ ต้องยุบพรรคไทยรักไทยตามผลการสอบสวนเรื่องจ้างพรรคเล็กลงสมัคร ( ของ อนุกรรมการ กกต. ที่สรุปแล้ว ) และคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญข้อ 3 .....ยุบพรรคไทยรักไทยก่อน.....แล้วจะเลือกตั้งหรืออย่างอื่นค่อยคิด.....

++ ลองไปอ่านผลการสอบพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กที่ :
//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0107210449&day=2006/04/21

++ แล้วลองดูคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญข้อ 3 ที่ :
//www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000060310

- ไม่มีอะไรให้ตีความ ไม่มีเหตุผลที่จะยืดเวลาการยุบไทยรักไทยไว้ หลักฐานสอบสวนและคำพิพากษาของศาลชัดเจนในตัวแล้ว....ทำไมถึงไม่สั่งยุบพรรคไทยรักไทยซักที.......ถ้าถ่วงเวลาแบบนี้จะต้องมีการฟ้องในช่องทางเดิม คือ ช่องผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ ให้ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าให้ กกต.เร่งประกาศยุบพรรคไทยรักไทยตามผลสอบและคำพิพากษาของศาล ฯ

++ ไทยรักไทยทำดีก็ชื่นชมด้วยเกียรติยศ และค่าตอบแทนพร้อมสวัสดิการจากภาษีของคนทั้งประเทศไปแล้ว แต่พอทำผิดกฎหมายก็ต้องลงโทษครับ....อย่าเอามาปนกัน.....ไม่งั้น
- พระที่เทศน์ให้คนเป็นคนดีมาทั้งชีวิต พอมามั่วสีกา....จะอ้างได้ว่าความดีมากกว่า ผิดแค่นี้ไม่ได้หรือไง.....
- อาจารย์ที่สอนวิชาความรู้ในเด็ก แล้วข่มขืนลูกศิษย์....จะอ้างว่าเพื่อแลกกับความรู้ที่สอนไม่ได้หรือไง....
- พ่อที่เลี้ยงลูกมาจนโต และทุบตีลูกจนตาย.....จะอ้างว่าบุญคุณเลี้ยงลูกมีมากกว่า.......
++ สังคมจะสับสนครับ.....ปฎิบัติตามผลสอบสวนและคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญข้อ 3 ดีที่สุด........คือยุบพรรคไทยรักไทย อย่างอื่นค่อยว่ากัน
++ พอยุบไทยรักไทยแล้ว ก็ต้องให้ กกต.รับผิดชอบความเสียกับประเทศจากการเลือกตั้ง ตามคำพิพากษาของศาล ฯ เรื่องวิธีการจัดการเลือกตั้ง คือให้ กกต.ช่วยกันจ่ายความเสียหาย 2,500 ล้านบาท และลาออกเพื่อรับผิดชอบความผิดของตนเอง.......ศาลพิพากษาว่าผิด.....แล้วจะมาเป็นผู้จัดการเลือกตั้งใหม่ได้ไง
++ เมื่อลงโทษยุบไทยรักไทยและ กกต.ลาออกแล้ว ก็ดำเนินการสรรหา กกต.ใหม่ใน 45 วันโดยการเสนอชื่อของศาลฎีกา ให้วุฒิสภารับรอง.....บ้านเมืองวิกฤติไม่มีใครกล้าถ่วงเวลาหรอกครับ
++ แล้ว กกต.ชุดใหม่ออก พรฎ.กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วันตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

++ เมื่อไทยรักไทยถูกยุบไปแล้ว.......ส.ส.ที่สังกัดพรรคเก่าที่ถูกยุบนี้จะสมัครใหม่ก็ไม่ได้ เนื่องจากยังสังกัดพรรคใหม่ไม่ครบ 90 วัน พรรคที่มีสิทธิ์ส่งผู้สมัครคือ ปชป. , ชาติไทย , มหาชน , ประชาราษฎร์ , และพรรคเล็กต่าง ๆ เท่านั้น
++ รัฐบาลใหม่จากพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมจะได้เข้ามาตรวจสอบข้อกล่าวหาเรื่องการโกงกินต่าง ๆ ของไทยรักไทย ว่าใครบ้างที่ต้องรับผิดและติดคุก ( เหมือนคุณรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมต.สธ. ที่ติดคุก 15 ปีจากข้อหาทุจริตยา )


++ อย่าละเมิดคำพิพากษาของศาลรับธรรมนูญข้อ 3 อีกเลยครีบ.....องค์กรที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการยุบพรรคไทยรักไทยโดยด่วน......ทำตามรัฐธรรมนูญคือทางออกประเทศไทย


โดย: zzz IP: 61.19.54.238 วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:19:58:14 น.  

 
Image


โดย: zzz IP: 61.19.54.238 วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:20:01:17 น.  

 
แวะมาชวนไปลุ้นบอลด้วยกันครับ


โดย: ชายคา วันที่: 13 พฤษภาคม 2549 เวลา:20:56:58 น.  

 
หงส์แดง

แชมป์ FA Cup










โดย: ชายคา วันที่: 14 พฤษภาคม 2549 เวลา:0:09:31 น.  

 



กุลีชั้นเลวของไอ้กุ๊ยสนธิ


โดย: zzz กุลีของไอ้กุ๊ย สนธิ IP: 221.128.96.205 วันที่: 14 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:38:11 น.  

 
อหังการ์มากนักนะ มรึงงงงงง


โดย: เกลียดไอ้คนแซ่ลิ้ม IP: 221.128.96.205 วันที่: 14 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:41:44 น.  

 



เมื่อไหร่นรกจะเอาสัตว์พวกนี้ไปอยู่ใต้นรกเสียที หนักแผ่นดินจริงๆ


โดย: อันธพาลครองเมือง IP: 221.128.96.205 วันที่: 14 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:45:17 น.  

 



สู้ต่อไปครับท่านนายกฯ อย่าไปถอยให้พวกมารถ่อยๆ


โดย: อย่าถอยให้มาร IP: 221.128.96.205 วันที่: 14 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:48:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.