|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
พุทธบูรณารำลึก 100 ปี ชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส (ตอนที่ 4)
พุทธบูรณารำลึก 100 ปี ชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส (ตอนที่ 4) โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย //www.suvinai-dragon.com 23 พฤษภาคม 2549 16:02 น. ดร.สุวินัย ภรณวลัย //www.suvinai-dragon.com 4. ตามรอยพระอรหันต์ ทุกวันนี้ พระอริยบุคคลที่จะเป็นเนื้อนาบุญไม่มีแล้ว เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ การขบถและการแสวงหาโดยลำพังของพระหนุ่มอินทปัญโญ เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทแห่งความขัดแย้งระหว่างสองวัฒนธรรมของศาสนาพุทธในเมืองไทยวัฒนธรรมหนึ่งนั้น โน้มเอียงไปในทางเน้นความเป็นเหตุเป็นผล มีเนื้อหาชัดเจน มุ่งผลที่เห็นได้ในชาตินี้ ยึดอิงตำราว่าเป็นหัวใจของการเข้าถึงธรรมะและความจริง ขณะที่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่งนั้น ยังเชื่ออย่างฝังหัวในสิ่งที่อยู่เหนือเหตุผล โดยยอมรับว่ายังมีอีกโลกหนึ่งที่พ้นไปจากโลกนี้ เรียนรู้จากประสบการณ์และผ่านตำนานเรื่องเล่าเชิงอุปมาอุปไมยที่เป็นรูปธรรมหรือบุคลาธิษฐาน อีกทั้งยังเห็นว่าธรรมะกับความบันเทิงไม่ได้แยกออกจากกัน นี่คือความขัดแย้งทางโลกทัศน์ที่สะท้อนถึงความต่างของระดับจิตของคนเมืองกับคนชนบท ความต่างระหว่างโลกทัศน์แบบเหตุผลนิยม แบบเป็นวิทยาศาสตร์กับโลกทัศน์แบบปรัมปราคติ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของความขัดแย้งระหว่างพระปริยัติจากในเมืองกับพระท้องถิ่นในบ้านนอก ปัญหาของพระหนุ่มอินทปัญโญนั้นอยู่ที่ว่า ตัวเขาไม่สามารถนิยามตัวเองได้ว่าสังกัดอยู่กับกลุ่มใด จริงอยู่ แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์และไสยศาสตร์มาตั้งแต่ก่อนบวชแล้ว เขาจึงมีความโน้มเอียงที่จะไม่ยอมรับ พุทธธรรมแบบปรัมปราคติ ของพวกพระท้องถิ่นที่อยู่รอบข้าง นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัวเขาต้องดิ้นรนไปศึกษาต่อที่เมืองหลวงเพื่อค้นหา พุทธธรรมที่สูงส่งกว่านั้น เพื่อพบกับความผิดหวังว่า พุทธธรรมแบบเหตุผลนิยม ของพวกพระเมืองที่ย่อหย่อนในการปฏิบัติสมาธิภาวนานั้นน่าผิดหวังยิ่งกว่า การศึกษาอย่างใหม่ในทางโลกและทางศาสนา ทำให้นักเรียนดูถูกพ่อแม่ปู่ย่าตายายว่าโง่เขลาคร่ำครึ การครอบงำของโลกทัศน์แบบเหตุผลนิยมที่มีฐานจากในเมือง โดยได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีและรัฐทำให้ "ความศักดิ์สิทธิ์" ของพุทธศาสนา ซึ่งแต่เดิมมีชุมชนท้องถิ่นเป็นพื้นฐานหาที่ยืนได้ลำบากยิ่งขึ้นทุกที และนับวันก็จะยิ่งรุกล้ำเข้ามาล่วงเกิน แม้กระทั่ง ความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต...ของทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ อินทปัญโญรู้สึกปวดร้าว แต่มันเป็นความปวดร้าวของค้างคาวที่รู้ตัวเองว่าไม่ใช่ทั้งนกและหนู และไม่อาจสังกัดในกลุ่มหนูหรือกลุ่มนกอย่างยินยอมพร้อมใจได้ การมีชีวิตอยู่อย่างงมงายไปวันๆ โดยไม่คิดแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ใส่ตัว มิใช่ทางเลือกของพระหนุ่มอย่างเขา แต่การยึดถือพุทธศาสนาโดยยึดตำรา และการใช้เหตุผลล้วนๆ จนปฏิเสธ แม้กระทั่งการใช้สมาธิภาวนาเพื่อเข้าถึงความจริงก็เป็นสิ่งที่ตัวเขายอมรับไม่ได้เช่นกัน ตัวเขาจึงต้องออกแสวงหาและทดลองเดินบนเส้นทางแห่ง ทางเลือกที่สาม เพียงลำพัง...ทางเลือกที่ศึกษาปริยัติเพื่อรับใช้การปฏิบัติธรรม มิใช่ไร้ปริยัติเหมือนพวกปรัมปราคติ แต่ก็มิใช่ปริยัติเหมือนพวกเหตุผลนิยม พระหนุ่มอินทปัญโญได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่า จากนี้ไปเขาจะยึดถือ พระพุทธเจ้าเป็นคุรุหรือครูทางจิตวิญญาณของเขาโดยตรง ยิ่งเมื่อตัวเขากลายเป็นพระป่าที่พำนักอยู่คนเดียวตามลำพังในวัดร้างแห่งนี้ จึงมีเวลาอ่านพระไตรปิฎกอย่างละเอียดลึกซึ้ง โดยตัวเขาอ่านพระไตรปิฎกจากมุมมองที่มุ่งจะค้นหาร่องรอยแห่งการศึกษาค้นคว้า การปฏิบัติและการเป็นอยู่ประจำวัน ตลอดจนวิธีการอบรมสั่งสอนและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ของพระพุทธเจ้า โดยมุ่งจะนำเอาหลักเกณฑ์เหล่านี้มาใช้ในการที่จะทำความเข้าใจโลกภายใน หรือชีวิตด้านในของพระพุทธเจ้า เพื่อที่ตัวเขาจะได้เจริญรอยตามท่าน ความยากลำบากอยู่ตรงที่เรื่องราวเหล่านี้ในพระไตรปิฎก มิได้รวมอยู่ที่ตอนใดตอนหนึ่งทั้งหมด แต่ไปมีแทรกอยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง และบางแห่งก็มีนิดหน่อยและเร้นลับ ต้องตั้งใจเลือกเก็บกันจริงๆ ถึงจะค้นพบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับตัวเขาที่มุ่งจะสืบค้นหาร่องรอยการปฏิบัติธรรมของพระอรหันต์ที่ยังเร้นลับอยู่ในพระไตรปิฎก อินทปัญโญมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นไม่คลอนแคลนว่า ชีวิตแห่งความเป็นพระอรหันต์ ในพระพุทธศาสนาคือ บรมธรรมชิ้นเอกที่โลกต้องการ เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่อาจนำความสุขที่แท้จริงมาให้แก่โลกได้ เพราะนี่คือ วิถีแห่งการทำให้จิตมีอำนาจเหนือโลก เหนือโลกานุวัตร เพื่อไม่ต้องหมุนเวียนไปในกระแสแห่งความทุกข์ทรมานของโลก และเพื่อถึงที่สุดแห่งความสุขอันจะไม่กลับไปเป็นทุกข์อีกต่อไป วิถีแห่งพระอรหันต์นี้มีพระพุทธเจ้ากระทำสำเร็จเป็นคนแรก แล้วสอนให้ผู้อื่นทำตามบ้าง จนมีพระอรหันต์คือผู้ที่พ้นทุกข์เป็นจำนวนมาก การได้เห็นและศึกษาตัวอย่างจากผู้ที่พ้นทุกข์แล้ว มีใจที่เป็นอิสระจากธรรมชาติฝ่ายต่ำ ไม่ติดขัดดุจท้องฟ้ากลางหาว และสดชื่นเบิกบานได้ถึงที่สุดของใจ เป็นวิธีการเดียวที่จะนำความสุขมาสู่โลกได้แท้จริง โลกมีความจริงเป็นเช่นนี้ แต่มนุษย์ส่วนมากในโลก ไม่ได้ยึดเอาความจริงนี้เป็นหลัก จึงดำเนินชีวิตที่ขัดขวางต่อความจริงของโลกโดยไม่รู้ตัว อินทปัญโญไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความเชื่อของพวกพระผู้ใหญ่ทั้งหลายในกรุงเทพฯ ที่อ้างว่า พระอรหันต์ไม่มีในโลกแล้ว และจะไม่มีอีกต่อไป เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกนั้นจึงพยายามยกเหตุผลต่างๆ มากล่าวอย่างจริงจังเพื่อรองรับความเชื่อข้างต้นราวกับว่า พวกเขาจะได้รับผลดีอะไรบางอย่างจากการกระทำเช่นนี้ เช่น สมณศักดิ์กระนั้นหรือ ความเชื่อที่หลงผิดเช่นนี้ จะทำให้ไม่มีใครพยายามเพื่อเป็นพระอรหันต์อีกต่อไป และจะทำให้พุทธธรรมอันสูงสุดกลายเป็นคำพูดคำสอนที่เหลวไหล พระอรหันต์ไม่มีเครื่องหมายภายนอกแสดงให้รู้ จึงยากที่จะรู้จักพระอรหันต์ด้วยรูปร่างภายนอก คนที่เรียนเรื่องพระอรหันต์รู้แล้วแต่ไม่ทำจริงๆ ตามนั้นด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นโมฆบุรุษหรือคนว่างเปล่า การเรียนจบพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ทำให้พ้นจากข้อตินี้ ถ้าไม่ปฏิบัติดูบ้างตามที่เรียนมา ตัวพุทธศาสนาที่แท้จริง ไม่รู้จักคร่ำคร่าหรือเสื่อมสูญ เพราะพุทธธรรมเป็นกฎที่แท้จริงประจำอยู่ในโลก ย่อมไม่เหลวไหล แต่ผู้คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนานั้นไม่แน่นอน ผู้นั้นอาจเข้าไปเกี่ยวข้องเพื่ออาศัยประโยชน์ส่วนตัวหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝงก็เป็นได้ การเรียนรู้เชิงปริยัติก็ต้องใช้ความบากบั่นอย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่อย่าหยุดแค่นั้น จะต้องพยายามต่อไปในขั้นปฏิบัติธรรมด้วย ส่วนปฏิเวธธรรมหรือการเก็บเกี่ยวผลอันเกิดจากการทำจริงๆ นั้น ไม่ต้องบากบั่นอะไร เพราะเมื่อมีการทำจริงๆ แล้ว ก็ย่อมหวังได้แน่นอนว่า จะต้องได้รับผลจากความพยายามนั้น อะไรคือความยากลำบากในการตามรอยพระอรหันต์? อินทปัญโญเห็นว่า คือความไม่เข้มแข็ง กล้าแข็งของจิตใจของคนผู้นั้น การจะตามรอยพระอรหันต์ได้ คนผู้นั้นจะต้องกล้าที่จะใช้ชีวิตที่เรียบง่ายโดยเต็มใจ ยินยอมที่จะอดทนต่อความยากลำบากอันเกิดจากความพากเพียรค้นหาความจริง ยอมทนต่อการถูกหัวเราะเยาะ ถูกเย้ยหยันของผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องพระอรหันต์ ไม่หวั่นไหวต่อคำชักชวนของสังคมให้กลับทางเดินเพราะด้วยเหตุนี้กระมัง จึงไม่ค่อยมีใครจะสมัครใจเป็นผู้เดินตามพระอรหันต์ด้วยหัวใจอันแท้จริง ยิ่งพุทธธรรมเป็นปัจจัตลักษณะคือ ผู้มีปัญญาจะเห็นได้เฉพาะตน ด้วยแล้ว การจะทำให้สังคมคล้อยตามจึงเป็นเรื่องยาก แต่ไม่เป็นไรดอก อินทปัญโญปลอบใจตัวเองและให้กำลังใจตัวเอง ตัวเขาซึ่งได้ตั้งจิตปณิธานขอมอบชีวิตและร่างกายนี้ถวายแด่พระพุทธเจ้าดุจเป็นทาสรับใช้ของพระองค์ จนตัวเขายินดีเรียกตัวเองว่าเป็น พุทธทาส ในงานเขียนของเขาแล้ว ต่อโลกภายนอก เขายินยอมให้โลกชนะเขา แต่ภายในแห่งความจริง เขารู้ดีเสมอว่า ธรรมะย่อมเป็นฝ่ายชนะเสมอ และตัวเขาซึ่งเดินตามวิถีแห่งธรรมะนี้ จึงเป็นฝ่ายชนะเสมอเช่นกันในโลกภายในของตัวเขานี้! การตามรอยพระอรหันต์เป็น วิถีแห่งจิตของนักจิตศึกษา ซึ่งต้องเรียนรู้ธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งด้วยใจของตนเองโดยเฉพาะ จิตศึกษาคือวิชาแห่งความเป็นพระอรหันต์ที่ต้องพยายามทำจริงๆ ตามลำดับที่พระพุทธเจ้าได้ถ่ายทอดเอาไว้ให้ มันจึงเป็น ศิลปะแห่งจิต ที่ประณีตทำยาก แต่จะได้รับผลคุ้มค่าเป็นสุขอย่างแท้จริง อย่างที่ไม่มีวิธีการอย่างอื่นบันดาลให้ได้ ผู้ที่อยากทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นอย่างสูง จึงต้องหันมาร่วมมือกัน รื้อฟื้น ความสุขอย่างสูงสุดอันมีอยู่ในพุทธศาสนานี้แล้ว แสดงให้ประจักษ์แก่โลก โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส เพราะพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่า ฆราวาสก็อาจบรรลุมรรคผล คือความสุขทางใจอย่างสูงขึ้นไปตามลำดับได้ การตามรอยพระอรหันต์ คือการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ตามอย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้เคยกระทำมาแล้วและไม่เหลือวิสัยที่คนทั่วไปจะทำตามได้ถ้าตั้งใจจริง พุทธธรรมชั้นสูงมิได้มีไว้สำหรับหลอกคนเล่น เพราะหลักคิดในพุทธศาสนานี้สอนให้คนเราคิดจนเห็นจริงด้วยตนเองเสียก่อน แล้วจึงเชื่อไม่ต้องเชื่อสิ่งที่ไม่มีตัวตามผู้อื่นบอก พุทธธรรมสอนให้คนเราเก็บเกี่ยวผลอันเกิดจากการกระทำของตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่สุจริต ถูกต้องต่อภาวะของตนเองไม่ใช่ให้รอคอยรับผลจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้วิเศษ คำสั่งสอนในพุทธธรรมจึงมีบทพิสูจน์กำกับอยู่ด้วยในตัว เพื่อให้ผู้นั้นเห็นได้เองแล้วเต็มใจทำด้วยตนเอง ทำไปตามลำดับๆ ก็จะได้รับผลแห่งความดีนั้นโดยลำดับเช่นกัน เมื่อถึงที่สุดแห่งความดีเมื่อใด เมื่อนั้นก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ คือผู้ที่หมดความชั่ว หมดทุกข์อันเป็นผลจากความชั่วมีอวิชชา เป็นต้น เป็นผู้มีความดีเต็มที่ จนข้ามพ้นแม้แต่ความดีนั้น จัดเป็นคนหนึ่งในจำพวกคนที่ดีที่สุดในโลก แต่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลกพระอรหันต์ แม้คนทุกคนจะเป็นพระอรหันต์กันได้ในบัดนี้ ไม่ได้กันทุกคนก็จริง แต่คนเราทุกคนก็ควรพยายามเป็นพระอรหันต์เท่าที่ตัวเองจะสามารถเป็นได้ในชีวิตนี้มิใช่หรือ? คนเราควรมีชีวิตอยู่อย่างสดชื่นแท้จริงทั้งภายนอกและภายใน มีแววตาสุกใสแสดงนิมิตแห่งความเยือกเย็นอยู่เสมอ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่มนุษย์ผู้มีทุกข์อยู่เต็มอก มีแววตาขุ่นข้นเพราะภายในถูกแผดเผาด้วยอำนาจ ความโลภ ความโกรธ และความไม่ได้ตามใจหวัง คนเราควรทำตนเป็นตัวอย่างแห่งบุคคลที่มีใจเป็นสุขให้ผู้คนดูอยู่ทุกเวลาจนตลอดชีวิต อบรมผู้คนให้มีเมตตาอารีต่อกัน โดยทำตัวอย่างให้ดูเป็นแบบอย่างของความอดทน ความหนักแน่น และความเพียรที่มุ่งบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างสูงสุด โดยไม่หวังผลตอบแทน คนเราจึงต้องบำเพ็ญด้วยใจ ภายในห้วงแห่งความคิดอันละเอียด และตั้งใจทำจริงๆ ในการตามรอยพระอรหันต์ ซึ่งมีอยู่ 23 ขั้นตอนที่พระหนุ่มอินทปัญโญรวบรวมมาได้จากพระบาลี 3 สูตรคือ บาลีฉวิโสธนสูตร บาลีมหาอัสสปุรสูตร และบาลีสามัญญผลสูตร ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 กุลบุตรได้ฟังเทศน์ เกิดศรัทธา และปัญญา ขั้นที่ 2 ละสมบัติ และวงศ์ญาติ ออกบวช ขั้นที่ 3 ปาฏิโมกขสังวร หรือกาย-วจี-มโนสมาจาร ขั้นที่ 4 อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ทั้งหก ขั้นที่ 5 อาชีวปาริสุทธิ การหาเลี้ยงชีพบริสุทธิ์ ขั้นที่ 6 ปัจจยปัจเวกขณะ พิจารณาปัจจัยสี่ ขั้นที่ 7 หิริและโอตตัปปะ คือสมุฏฐานแห่งศีลทั้ง 5 ขั้นที่ 8 สันโดษ ยินดีด้วยสิ่งของเท่าที่จะหาได้ในที่นั้นๆ ขั้นที่ 9 สติสัมปชัญญะ รู้ตัวรอบคอบทุกอิริยาบถ ขั้นที่ 10 ชาคริยานุโยค ประกอบการตื่น ไม่เห็นแก่นอน ขั้นที่ 11 เสพเสนาสนะอันสงัด และละนิวรณ์ 5 ขั้นที่ 12 บรรลุปฐมฌาน ที่ 1 ขั้นที่ 13 บรรลุทุติยฌาน ที่ 2 ขั้นที่ 14 บรรลุตติยฌาน ที่ 3 ขั้นที่ 15 บรรลุจตุตฌาน ที่ 4 ขั้นที่ 16 ญาณทัศนะ ปัญญาเครื่องรู้แห่งสภาวธรรม ขั้นที่ 17 มโนมยอภินิมมนะ นฤมิตรูปทางใจ ขั้นที่ 18 อิทธิวิธี วิธีแสดงฤทธิ์ต่างๆ ตามปรารถนา ขั้นที่ 19 ทิพโสต หูทิพย์ ขั้นที่ 20 เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่นตามที่เป็นอยู่อย่างไร ขั้นที่ 21 บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้เป็นอันมาก ขั้นที่ 22 จุตูปปาตญาณ ตาทิพย์ ขั้นที่ 23 อาสวักขยญาณ เครื่องมือทำอาสวะให้สิ้น จะว่าไปแล้ว 23 ขั้นตอนแห่ง ตามรอยพระอรหันต์ ดังข้างต้นนี้เป็นแค่ โรดแมป หรือแผนที่นำทางชีวิตเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่พระหนุ่มอินทปัญโญตั้งเป้าว่าจะเดินตามเท่านั้น โรดแมปนี้มันทำให้ชีวิตของเขาเปี่ยมไปด้วยความหมายมากยิ่งขึ้น ต่อให้เขาจะทำตามโรดแมปนั้นได้จนถึงที่สุดหรือไม่ได้ก็ตาม
Create Date : 15 มิถุนายน 2549 |
|
5 comments |
Last Update : 15 มิถุนายน 2549 14:08:15 น. |
Counter : 572 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Malee30 15 มิถุนายน 2549 19:23:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 15 มิถุนายน 2549 21:17:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|
5. เมื่อธรรมมีอยู่ ก็ต้องมีการประพฤติตามธรรมนั้น
"ตถาคตเป็นอรหันต์ ผู้ประกอบด้วยธรรม อาศัยธรรมอย่างเดียว สักการธรรม เคารพธรรม นอบน้อมธรรม มีธรรมเป็นธงชัย มีธรรมเป็นยอดธง มีธรรมเป็นอธิปไตย ย่อมจัดการอารักขาป้องกันและคุ้มครองโดยธรรม"
จาก "พุทธประวัติจากพระโอษฐ์"
โดย พุทธทาสภิกขุ
ในสายตาของคนทั่วไป พระหนุ่มอินทปัญโญอาจเป็นผู้ล้มเหลวทางสังคมคนหนึ่งเท่านั้นก็เป็นได้ เพราะในด้านหนึ่งเขาจากกรุงเทพฯ มาอย่างหมดท่า เนื่องจากสอบเปรียญ 4 ตก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากตัวเขาเหลวไหลเอง เพราะตัวเขาอึดอัดใจกับการเรียนภาษาบาลีตามหลักสูตรสมัยนั้น ที่ต้องแปลตามระเบียบ แปลยกศัพท์ที่ชาวบ้านอ่านไม่รู้เรื่อง เขาจึงรู้สึกต่อต้าน เขามีความคิดของตัวเองว่า เขาอยากแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีออกมาเป็นภาษาไทยด้วยสำนวนของเขาเอง แปลอย่างอิสระตามความพอใจของเขา เพื่อให้เกิดความเข้าใจสื่อสารกันได้จริงสำหรับคนทั่วไป
เขาจึงต้องสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ด้วยลำแข้งของตัวเอง หลังจากล้มเหลวทางสังคมอย่างหมดท่า อย่างไม่มีอะไรน่ายินดี น่าพอใจ น่าพยายามปลุกปล้ำ เขาจึงคิดจะไปทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ เสียที โดยทดลองปฏิบัติธรรมวินัยที่ได้เล่าเรียนมาอย่างเป็นจริงเป็นจัง อย่างไปตายเอาดาบหน้า ยิ่งตัวเขาสิ้นหวังที่จะได้อะไรจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งคาดหวังจะได้อะไรจากป่าในวัดร้างที่ตัวเขามาพำนักอยู่คนเดียวมากเท่านั้น
เมื่ออินทปัญโญหันมาทบทวนตัวเอง เขาก็ค้นพบว่า ตัวเขาเองเป็นคนที่ศึกษาด้วยตนเองทุกประเภทวิชา เขาเรียนแค่มัธยม 3 ยังไม่ทันได้สอบไล่ก็ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพราะบิดาเสียชีวิตกะทันหัน จึงต้องออกมาช่วยงานบ้าน เขาจึงต้องเรียนเอาเองเรื่อยๆ จากหนังสือทั่วๆ ไป และจากหนังสือพิมพ์ ภาษาต่างประเทศอย่างภาษาอังกฤษ เขาก็ไม่รู้อะไรเลย เขาเพิ่งมาเรียนเอาโดยตนเอง เมื่อบวชแล้ว
แม้แต่ธรรมะ เขาก็เคยเรียนในโรงเรียนเพียงสองปีเท่านั้น จากนั้นก็เรียนลำพังเองแล้วไปขอสมัครสอบ จนได้นักธรรมทั้งสามชั้นแล้ว แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้สึกว่ามีความรู้ทางธรรมเลย แม้แต่ภาษาบาลีเองซึ่งตามหลักสูตรจะต้องเรียนถึง 12 ปี เขาก็ได้เรียนในโรงเรียนเพียง 6-7 เดือนเท่านั้น แล้วไปเรียนกับอาจารย์ของตัวเองในกุฏิอีก 1 ปี จึงไปขอสมัครสอบก็สอบได้เปรียญตรี 3 ประโยค ปีต่อมาเขาไปสมัครสอบเฉยๆ จึงสอบตกเปรียญ 4 เพราะตัวเขาเบื่อเรียน
อินทปัญโญหันมาศึกษา บาลีด้วยตนเองอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อเขามาเป็นพระป่าในวัดร้างตระพังจิกได้ไม่กี่เดือน เมื่อเขาเริ่มตระหนักว่า พอเขาเริ่มลงมือปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาอย่างจริงจังในวัดร้างในป่านี้ ก็พบว่า ความรู้ทางธรรมเขาไม่เพียงพอ เขาเลยต้องค้นหาหลักเอาเอง เขาจึงหันกลับไปสนใจสิ่งที่เรียกว่าปริยัติอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อไปเป็นนักปริยัติเหมือนพวกพระกรุงเทพฯ ที่เขารังเกียจจนจากมา แต่เขาเริ่มหันมาศึกษาพระไตรปิฎกภาษาบาลีอีกครั้ง เพื่อเก็บหลักธรรมมาสำหรับใช้ปฏิบัติในการตามรอยพระอรหันต์ เขาจึงต้องช่วยตัวเองด้วยการศึกษาจากพระไตรปิฎกด้วยตนเอง
เพราะในตอนนั้น ถึงจะมีพระไตรปิฎกแปลกันอยู่บ้าง แต่ก็น้อยมาก และก็ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ในสายตาของพระหนุ่มอินทปัญโญ พุทธศาสนาในเมืองไทยตอนนั้นเปรียบเหมือนบ่อน้ำใหญ่โตมหึมาที่ร้างหมักหมมมานาน จึงขาดความสะอาดและรสอร่อยไม่อวยผลให้ได้ดีอย่างเต็มที่ พุทธศาสนาในเมืองไทยกำลังต้องการความช่วยเหลือจากผู้ที่เสียสละและเด็ดเดี่ยว ซึ่งอินทปัญโญได้ตั้งจิตปณิธานอาสาที่จะแบกรับภารกิจอันยากลำบากนี้โดยเต็มใจ เพราะ ความสุขของเขาอยู่ที่การได้ศึกษาหาความรู้ทางธรรมใส่ตัว กับการได้ช่วยปลุกเขย่าให้เพื่อนร่วมโลกได้ตื่นตัว อามิสทางวัตถุและทางโลกไม่เคยช่วยให้ตัวเขามีความสุขเลย
ครั้นเมื่อตั้งต้นศึกษาพระไตรปิฎกภาษาบาลีด้วยตนเองอย่างจริงจัง อินทปัญโญก็พบว่า การจะค้นหาหลักธรรมเพื่อใช้ปฏิบัติในการตามรอยพระอรหันต์นั้น เป็นงานที่ยากกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากมายนัก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดแบบฝนทั่งให้เป็นเข็มก็ว่าได้ เพราะ พระไตรปิฎกที่มีอยู่ไม่ต่างไปจากคลังใหญ่ซึ่งปะปนซับซ้อนหมักหมมกันมานานมาก ผู้ที่มีเป้าหมายแน่วแน่อย่างเขาจึงต้องทำตนดุจ นักค้นคว้าที่คอยเลือกเฟ้น เก็บหอมรอมริบหลักวิชาต่างๆ ในพระไตรปิฎกตามวิธีการที่เป็นหลักวิชาการ เพื่อให้มีความรู้ที่ถูกต้องและชัดเจนจริง
มันจึงมิใช่เรื่องของการท่องจำได้แบบนกแก้วนกขุนทอง แต่ เป็นเรื่องของการแปรเปลี่ยนพระคัมภีร์ให้กลายเป็นหัวใจของพุทธธรรม ซึ่งเป็นงานที่ต้องกระทำอย่างประณีตช้า อย่างอดทนอย่างใจเย็นดุจงานศิลปะชั้นเลิศ ซึ่งการจะบรรลุความสำเร็จในงานชิ้นนี้ได้ ความตั้งใจจริง การทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน และความแม่นยำหมดจดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งอินทปัญโญคิดว่าตัวเขาเองมีคุณสมบัติเช่นนั้นครบถ้วน เพราะ เขาเชื่อมั่นว่า ตัวเขาสามารถบังคับตัวเองให้ปลุกปล้ำอยู่กับพระไตรปิฎกตามแนวทางขั้นต้นได้เป็นปีๆ หรือหลายสิบปี ปล้ำปลุกกับพระไตรปิฎกนี้จนแหลกละเอียด จนกระทั่งพุทธธรรมอันแท้จริงสถิตอยู่ในตัวเขาอย่างมั่นคงถาวรได้
อินทปัญโญคิดต่างจากคนทั่วไป ขณะที่คนทั่วไปคิดแสวงหาอำนาจหรือความมั่งคั่ง แต่ ตัวเขากลับคิดแสวงหาตำแหน่งแห่งที่ที่ตัวเขาจะสามารถบรรจุตัวเองอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ หรือของโลกได้ เขาไม่สนใจตำแหน่งอันดาษดื่นที่คนทั่วไปใฝ่ฝันกัน ไม่ว่าตำแหน่งผู้บริหาร นายพล เศรษฐี ดารา นักร้องมีชื่อ เป็นต้น
เขาเฝ้ามองหาช่องที่ยังว่างอยู่ ตำแหน่งที่ยากๆ แต่งดงาม อันเป็นตำแหน่งที่ยากเกินกว่าที่คนทั่วไปเขาจะเป็นได้จึงยังว่างอยู่ และตัวเขาได้พบช่องที่ยังว่างอยู่นั้นแล้วในพุทธศาสนาในเมืองไทย ซึ่งเป็นวิชาที่เขาเห็นว่ามีค่าสูงที่สุดเท่าที่จะเลือกเรียนได้แม้ว่าจะต้องใช้เวลาศึกษาเกือบทั้งชีวิต จนแก่เฒ่าถึงจะคว้าตำแหน่งนั้นมาได้ก็ตาม แต่ตัวเขาได้เห็นโอกาสนั้นแล้ว และไม่ลังเลใจที่จะคว้าโอกาสนั้นเพื่อ สถาปนาตัวตนของเขา ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของประเทศนี้ โดยเริ่มต้นจากงานเขียน "ตามรอยพระอรหันต์" ในปี พ.ศ. 2475 เดือนสิงหาคม ด้วยวัยเพียง 26 ปี และเริ่มแปล "พุทธประวัติจากพระโอษฐ์" จากภาษาบาลีในปี พ.ศ. 2477 เมื่ออายุ 28 ปี
ทิศทางของ "ตามรอยพระอรหันต์" กับ "พุทธประวัติจากพระโอษฐ์" ของอินทปัญโญนั้น เป็นทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ เพื่อค้นหาร่องรอยแห่งการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าโดยตรง เพื่อที่ตัวเขาและคนอื่นๆ ที่ได้อ่านงานเขียนงานแปลของเขาจะได้เจริญรอยตาม และประพฤติตามธรรมนั้น อินทปัญโญใช้งานเขียนงานแปลของเขา และการศึกษาพระไตรปิฎกเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเขาควบคู่ไปกับการฝึกเจริญสมาธิภาวนาของเขา เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเขา เขาคือผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากงานเขียนงานแปลของเขาเอง เขาอยู่ในป่าตามลำพังก็จริง แต่มีกองหนังสือท่วมหัว จนแทบเรียกได้ว่ามีหนังสือมากกว่าที่ผู้อื่น
เขามีกันทั้งอำเภอที่เขาอยู่เสียอีก ถึงแม้เขาจะเก็บตัวอยู่ในที่ห่างไกลจากความเจริญทางวัตถุก็จริง แต่สายตาความรอบรู้ของเขากลับกว้างไกลอย่างยากที่จะหาผู้ใดเปรียบในยุคสมัยเดียวกัน เขาไม่จำกัดตัวเองแค่การศึกษาพุทธศาสนาเท่านั้น เขาศึกษาวิชาต่างๆ อย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ จิตวิทยา วรรณคดี วิทยาศาสตร์ ปรัชญา แต่ศูนย์รวมจิตใจและความสนใจของเขาก็ยังคงเป็นพุทธศาสนาอยู่ดี
โลกของอินทปัญโญจึงเป็นโลกแห่งนามธรรมยิ่งกว่าโลกแห่งรูปธรรม แม้ในโลกรูปธรรมทางวัตถุ เขาจะขัดสน แต่ในโลกนามธรรมซึ่งครอบครองชีวิตจิตใจของเขาเป็นส่วนใหญ่ กลับเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งไปด้วยธรรมะ เพราะ ธรรมะแต่ละข้อและเรื่องราวแห่งพุทธประวัติที่เขาได้ศึกษา และแปลออกมานั้น ตัวเขาได้ใช้พลังแห่งจินตนาการอันสูงส่งของเขา จำลองมันขึ้นมาราวกับว่าเหตุการณ์นั้นๆ ตัวเขาได้ประสบมาด้วยตัวเอง โดยเริ่มจาก ชีวิตความเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตาม อย่างเช่น
(1) การไม่ติดทายก ต่อให้มีผู้คนห้อมล้อมเวียนติดตามก็ไม่ผูกใจใคร่
(2)ไม่ยินดีเกี่ยวข้องกับลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ
(3) พอใจกับการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติอันเงียบสงัด
(4) พอใจกับความสามัคคีในหมู่คณะ
(5) เสวยสุขอย่างเดียวล้วนตลอดเวลา ด้วยการทำกายมิให้หวั่นไหว ทำวาจาให้สงบเงียบ ทำจิตให้อยู่ในเจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต
(6) ใช้อานาปานสติสมาธิเป็นวิหารธรรม
(7) หลีกเร้นเป็นพิเศษบางคราว
(8) เป็นผู้นอนเป็นสุข
(9) เป็นพุทธะเสมอทั้งในขณะทำและไม่ทำหน้าที่
(10) มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์โดยไม่จำแนก เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดของประสบการณ์ภายใน และชั่วโมงบินในการเจริญสมาธิภาวนาของพระหนุ่มอินทปัญโญ เนื้อหาของ "ตามรอยพระอรหันต์" จึงไม่สมบูรณ์เพราะจบลงห้วนๆ แค่บทที่ 5 คืออาชีวปาริสุทธิศีลเท่านั้น แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้อินทปัญโญลงมือเขียน "ตามรอยพระอรหันต์" ออกมาประการหนึ่ง น่าจะมาจากการที่เขาเห็นว่า ที่ปักษ์ใต้บ้านเกิดของเขาไม่มีสำนักกรรมฐานที่ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยอย่างจริงจังเหมือนอย่างทางอีสานสายอาจารย์มั่น ที่เขาพอได้ยินชื่อมาบ้าง เขาจึงดำริที่จะก่อตั้งสำนักกรรมฐานเช่นนี้ด้วยตัวของเขาเอง จึงลงมือเขียน "ตามรอยพระอรหันต์" เพื่อวางแนวทางการปฏิบัติให้ลุ่มลึกและสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพื่อค้นคว้าไว้ใช้เองกับตัวเอง และเพื่อคนอื่นด้วย แต่ก็เขียนได้เฉพาะภาคศีลเท่านั้น พอจะเริ่มเขียนภาคสมาธิภาวนา เขาก็เขียนไม่ออกเพราะยังขาดประสบการณ์ภายในที่จะมารองรับอย่างเพียงพอ เขาจึงต้องทิ้งระยะไว้หลายปีกว่าจะศึกษาฝึกฝนค้นพบระบบสมาธิภาวนาอย่างละเอียด จนเอามาเขียนเป็นหนังสือเรื่อง "อานาปานสติฉบับสมบูรณ์" ได้ ก็ต้องยอมให้เวลาผ่านไปอีกถึงยี่สิบห้าปีหลังจากนั้นเลยทีเดียว เส้นทางของนักปราชญ์ช่างเป็นเส้นทางที่ยาวไกลเหลือเกิน และหน่วยวัดเวลาที่เขาใช้วัดเส้นทางของนักปราชญ์นั้น คือหน่วย "สิบปี" มิใช่หน่วย "ปี" หรือหน่วย "เดือน" เหมือนเส้นทางสายอื่น ฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ที่เลือกเดินบนวิถีแห่งนักปราชญ์นี้สมควรได้รับการคารวะจากผู้คนทั้งแผ่นดิน