บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
22 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
ย้อนรอยการโค่นเผด็จการมาร์กอส(1)--สุทธิชัย หยุ่น




ย้อนรอยการโค่นเผด็จการมาร์กอส(1)--กาแฟดำ

21 กุมภาพันธ์ 2549 19:44 น.
เดือนนี้เมื่อ 20 ปีก่อน,พลังประชาชน ขับไล่เผด็จการจอมโกงกิน...ออกไป!


กุมภาพันธ์ เป็นเดือนครบ 20 ปีแห่งการรวมตัวเป็นเรือนล้านของคนฟิลิปปินส์ เพื่อขับไล่ประธานาธิบดีที่ชื่อเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส

มาร์กอสอ้างว่า ประชาชนเลือกเขามาอย่างท่วมท้น แต่ก็โกงกินบ้านเมืองอย่างไร้ยางอายเพราะมีอำนาจล้นฟ้า สร้างเครือข่ายรอบตัวอย่างน่ากลัว ครอบครัวของตัวเองมีบารมีคับบ้านคับเมือง, ภรรยาชื่ออีเมลดา สามารถสั่งงานด้านการเมืองแทนสามีได้อย่างน่าหวาดหวั่น, คนรอบข้างคอยบอกมาร์กอสว่า "ท่านเก่งที่สุดแล้ว, ไม่มีใครมาแทนท่านได้"

การชุมนุมของประชาชนคนฟิลิปปินส์เรือนหมื่นขยายเป็นแสนและเป็นล้านในที่สุด ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น People Power หรือ the Philippine Revolution of 1986 เป็นการรวมตัวของประชาชนผู้มองไม่เห็นหนทางว่าจะยับยั้งไม่ให้ผู้นำเผด็จการที่อ้างเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน มากินบ้านโกงเมืองได้อย่างไร, จึงต้องใช้วิธีรวมตัวกันอย่างอหิงสาเพื่อขับไล่ผู้นำอันไม่พึงประสงค์

การชุมนุมที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า EDSA (ชื่อถนนสายหลักกลางกรุงมะนิลาที่เป็นที่ชุมนุมของประชาชนผู้อึดอัดและงุ่นง่าน) Revolution ยืดเยื้อถึง 4 วัน

ด้านหนึ่ง ประชาชนตะโกนพร้อม ๆ กันให้ "มาร์กอส...ออกไป"

อีกด้านหนึ่งคนใกล้ชิดมาร์กอส ระดมประชาชนอีกส่วนหนึ่ง ตะโกน "มาร์กอส, มาร์กอสสู้ๆ" ขณะที่ผู้นำเผด็จการโกงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พยายามจะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอีกสมัยหนึ่ง

ผู้นำศาสนาและผู้นำทหารเข้าร่วมกับนักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย นักธุรกิจและชนชั้นกลางเข้าร่วมต่อต้าน และเรียกร้องให้มาร์กอสลงจากตำแหน่ง

มาร์กอสประกาศแข็งกร้าว ยืนยันว่าประชาชนส่วนใหญ่อยู่ข้างหลังเขา เมินเสียเถิดที่เขาจะลาออก เพราะเขาสั่งทหารได้ สั่งตำรวจได้ สั่งส.ส.ในสภาได้ สั่งได้แม้กระทั่งอัยการและผู้พิพากษา...

แต่เสียงประชาชนดังก้องกังวานไปทั่วประเทศแล้ว มาร์กอสไม่ฟังใครที่แนะนำให้เขาก้าวลงด้วยความสมัครใจ

เมื่อเขาไม่เชื่อคนฟิลิปปินส์เอง, มาร์กอสโทรศัพท์ไปหาวุฒิสมาชิกมะกันที่เคยเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่วอชิงตันชื่อพอล ลาซัลท์ ซึ่งแนะนำเขาผ่านทางโทรศัพท์ด้วยประโยคที่ยังจารึกในประวัติศาสตร์ว่า

"Cut and cut cleanly..."

หากแปลเป็นภาษาไทยก็ต้องบอกว่า "ตัด...ตัด...ให้ขาดเถิด" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือให้กระโดดลงจากตำแหน่งโดยปราศจากเงื่อนไข

มาร์กอสอึ้งไปพักใหญ่ บ่ายวันเดียวกันนั้น มาร์กอสคุยกับรัฐมนตรีกลาโหม ฮวน เอนริเล ขอให้ทางทหารช่วยให้เขาและครอบครัวออกนอกประเทศอย่างปลอดภัย

เวลา 3 ทุ่มของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1986 มาร์กอสกับเมียและลูกๆ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์มะกัน 4 ลำบินไปสู่สนามบินคลาก ก่อนที่จะมุ่งสู่เกาะกวม และท้ายสุดไปลงที่เกาะฮาวายเพื่อลี้ภัยทางการเมือง

กระบวนการยึดทรัพย์ที่มาร์กอสและครอบครัวปล้นไปจากประเทศชาติด้วยวิธีแยบยลแบบศรีธนญชัย ก็เริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะประชาชนต้อง "คิดบัญชี" กับเผด็จการผู้ทำร้ายประเทศชาติอย่างไม่มีข้อให้อภัยได้

ผมยังจำประโยคของคนนำเสนอข่าวชื่อ Bob Simon ทางสถานีโทรทัศน์ CBS เย็นวันนั้นได้อย่างดี

พออ่านข่าวเรื่องมาร์กอสหนีออกนอกประเทศจบ คนข่าวมะกันคนนี้หันมามองคนดูทั่วประเทศและบอกว่า

"พวกเราคนอเมริกันมักจะคิดว่าเราสอนคนฟิลิปปินส์ให้รู้จักเนื้อแท้แห่งประชาธิปไตย แต่คืนนี้คนฟิลิปปินส์พิสูจน์แล้วว่าพวกเขากำลังสอนชาวโลกทั้งมวลว่าประชาธิปไตยคืออะไรในภาคปฏิบัติกันแน่...."

คืนนั้น ไม่มีคนฟิลิปปินส์คนอื่นอยู่บ้าน ต่างออกมาเต็มท้องถนน ต่างจับไม้จับมือ สวมกอดกันทั้งน้ำตา...เป็นน้ำตาของผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านร้อนผ่านหนาว, ผ่านการถูกอำนาจรัฐคุกคาม, กลั่นแกล้ง, ปล้นสะดมมาด้วยกันอย่างมุ่งมั่นและเสียสละ

เป็นน้ำตาของเพื่อนร่วมชาติที่เสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิต เพื่อร่วมกันขับไล่เผด็จการผู้ปล้นสมบัติของชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

...........................................................


ย้อนรอยโค่นเผด็จการมาร์กอส (2) --กาแฟดำ

22 กุมภาพันธ์ 2549 17:26 น.



เมื่อทหารประชาชนตัดสินใจไม่ปกป้องผู้นำปล้นชาติ



ครบรอบ 20 ปีของการโค่นล้มจอมเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ อันเกิดจากการชุมนุมใหญ่อย่างอหิงสาของประชาชนนับล้านคน ที่เรียกว่า People Power นั้น มีเหตุจะต้องย้อนไปดูเพื่อประกอบการพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองไทยวันนี้ในหลายประการ

เพราะเหตุปัจจัยที่ละม้ายคล้ายกันหลายประเด็นเมื่อ 20 ปีก่อนกับวันนี้

ผู้นำมาจากการเลือกตั้ง อ้างว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเขา

ผู้นำถูกกล่าวหาว่าไร้จริยธรรม, และมีผลประโยชน์ทับซ้อนมหาศาล

ประชาชนทนภาวะการโกงกินบ้านเมืองอย่างกว้างขวางไม่ได้ ทนเห็นการไร้จริยธรรมในผู้นำไม่ไหวอีกต่อไป

ผู้นำดูถูกสติปัญญาชาวบ้าน, แก้ตัวไปวันๆ, ไม่ยอมตอบคำถามเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนอันรุนแรงของตัวเอง

มาร์กอส ประกาศเลือกตั้งใหม่ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1986 ฝ่ายค้านส่ง คอราซอน อคิโน เข้าแข่ง เธอคือภรรยาของผู้นำฝ่ายค้าน เบนิกโน อคิโน ซึ่งถูกลอบสังหารที่สนามบินมะนิลา เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1983 อันเป็นวันที่กลับจากการลี้ภัยการเมืองที่อเมริกา 3 ปี เพราะอำนาจมืดของมาร์กอส

การเลือกตั้งครั้งนั้นโกงกินกันมหาศาล เพราะมาร์กอส กุมกลไกรัฐ คณะกรรมการเลือกตั้ง (COMELEC) ก็กลายเป็นเครื่องมือของรัฐ ประกาศให้มาร์กอส ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเฉียดฉิว...10,807,197 ต่อ 9,291,761 แต่องค์กรกลางที่เฝ้าติดตามผลการเลือกตั้งประกาศว่ามาร์กอส ชนะอคิโน เพียงแค่ 7,835,070 ต่อ 7,053,068 หรือแค่เจ็ดแสนกว่าเสียงเท่านั้น

คณะผู้นำศาสนาออกแถลงการณ์ประณามการโกงคะแนนเลือกตั้งและวุฒิสภาสหรัฐ ก็ลงมติให้ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งเช่นกัน

การปฏิวัติประชาชนเพื่อโค่นเผด็จการผู้มีอำนาจเกือบเบ็ดเสร็จในประเทศ เริ่มด้วยการรวมตัวของประชาชนผู้สิ้นหวังใน "ระบอบมาร์กอส" ที่ปล่อยให้วงศ์วานว่านเครือใช้อำนาจรัฐเข้าไปทำมาหากินอย่างโจ๋งครึ่ม เป็นผู้นำไร้จริยธรรม

แม้ว่ารัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ ตอนนั้นจะกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่เกิน 2 สมัยๆ ละ 4 ปี แต่มาร์กอสก็หาทางแก้กฎหมายจนตัวเองสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศได้ยาวนานถึง 20 ปี (ด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉิน, ระงับการใช้รัฐธรรมนูญเก่า, ให้เนติบริกรของตัวเองเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการของท่านผู้นำ) ก่อนที่ประชาชนจะรวมตัวกันเป็น People Power เพื่อขับไล่ออกจากตำแหน่งและให้กับลี้ภัยต่างประเทศจนไม่มีแผ่นดินอยู่

มาร์กอส กุมอำนาจการเมืองเบ็ดเสร็จด้วยการใช้เงินทุ่มซื้อเสียงในการเลือกตั้งอย่างมหาศาล

มาร์กอส มีความสามารถเป็นพิเศษในการ "ปั่น" ความเห็นชาวบ้าน,สร้างภาพด้วยการเอาเงินภาษีประชาชนแจกเงินไม่อั้น,เป็นยอดนักบริหารให้เกิดการโกงกินอย่างไร้เทียมทาน, ใช้กลเม็ดแยบยลทั้งด้านกฎหมายและช่องว่างของระเบียบ เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัวของตน

มาร์กอส บริหารประเทศเหมือนสโมสรส่วนตัว สามารถควบคุมกองทัพ, สภา, ศาล, ข้าราชการประจำ, สื่อมวลชน และธุรกิจผูกขาดยักษ์ๆ ของประเทศทั้งหมด

มาร์กอสและ "พรรคพวก" สร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มของตัวเองอย่างมหาศาล ขณะที่ประเทศชาติและคนนอกสังกัดของมาร์กอส ยากจนลง

หลังการเลือกตั้งวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1986 อคิโนเสนอ "แผนต่อต้านแบบอหิงสาเจ็ดข้อ" เพื่อเชิญชวนประชาชนมาประท้วงเผด็จการ

แผนต่อสู้เผด็จการโกงกินนี้รวมถึงการหยุดงานอาทิตย์ละหนึ่งวัน และคว่ำบาตรไม่ใช้บริการของธนาคาร, ร้านรวงและหนังสือพิมพ์ของมาร์กอส และคนรอบข้างมาร์กอสทั้งหลายทั้งปวง

เธอประกาศให้ชาวบ้านที่มาชุมนุมว่า "หากยักษ์ใหญ่โกลีเอี๊ยดไม่ยอมลงจากตำแหน่ง, เราก็จะใช้ความอดทนมุ่งมั่นและสามัคคีของประชาชน เพื่อกระตุ้นให้การต่อสู้อย่างสงบของเราดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง...ไม่ชนะ, เราไม่เลิก..." นั่นคือจุดเริ่มต้นของขบวนการสู้กับเผด็จการมาร์กอสแล้ว

เมื่อประชาชนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงความไม่พอใจกับเผด็จการ, คอร์รัปชันและการขาดจริยธรรมอย่างรุนแรง กองทัพก็เริ่มพิจารณาจุดยืนของตัวเองที่จะต้องเข้าข้างประชาชน ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักการเมืองคลั่งอำนาจและทุจริต

จุดผันเปลี่ยนอันสำคัญของขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคราวนั้น คือการตัดสินใจของนายทหารสองคนที่เดินข้ามไปหาประชาชนผู้ประท้วงพร้อมกับประกาศว่า "กองทัพอยู่ข้างประชาชนผู้เรียกร้องความโปร่งใสและความสุจริต..."

คนแรกคือ รัฐมนตรีกลาโหมฮวน พอนซ์ เอ็นริเล่ และคนที่สองคือ รองเสนาธิการทหารในตอนนั้น นามว่า ฟิเดล รามอส (ซึ่งต่อมาเป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งและยังมีบทบาทสำคัญในการเมืองระดับชาติของฟิลิปปินส์ในวันนี้)

นายทหารผู้รักชาติกลุ่มนี้ตัดสินใจประกาศจุดยืนไม่ยอมปกป้องผู้นำที่สร้างความร่ำรวยจากการปล้นทรัพย์สมบัติของชาติและโกงกินภาษีประชาชน เพราะพวกเขาถือตนเป็น "ทหารของประชาชน"

พรุ่งนี้จะเล่าต่อว่าเมื่อ "ทหารของประชาชน" ตัดสินใจไม่ยอมปกป้องผู้นำการเมืองที่ไร้จริยธรรมและโกงบ้านโกงเมืองแล้วก็กลายเป็นส่วนสำคัญของ People Power เพื่อล้มล้างระบอบมาร์กอส อันฟอนเฟะได้อย่างไร

....................................................





รับฟังข่าวสารบ้านเมืองจากคลื่นประชาธิปไตย--FM 92.25 MHz



Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2549 9:38:54 น. 12 comments
Counter : 1950 Pageviews.

 
ลิ้งค์จากบทความของกาแฟดำและความคิดเห็นจากผู้อ่านบทความเพิ่มเติม

ความคิดเห็นผู้อ่านบทความ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:11:42:33 น.  

 
จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนคนเดือนตุลาในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
จดหมายเปิดผนึกจากกลุ่มเพื่อนคนเดือนตุลา

โดมรวมใจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ถึงเพื่อนคนเดือนตุลาในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๗

พวกเราที่มีชื่อท้ายจดหมายนี้ ครั้งหนึ่งเคยรู้จัก และยังนับตนเป็นเพื่อนร่วมอุดมคติและร่วมต่อสู้เพื่อสร้างสรรค์ประชาธิปไตยกับท่านทั้งหลาย ใคร่เรียนมายังเพื่อนคนเดือนตุลาทุกคน ไม่ว่าท่านจะยังนับเราเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับท่านหรือไม่ก็ตาม ว่าบัดนี้ประเทศไทยที่รักของเรากำลังประสบโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และถึงเวลาแล้วที่พวกเราควรจะทำจดหมายเปิดผนึกถึงท่านทั้งหลายเพื่อเรียกร้องให้ท่านทบทวน ตรึกตรองและใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจเพื่อประชาชนครั้งสำคัญ

พวกเราเห็นว่า การสลายการชุมนุมที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ ซึ่งนำไปสู่ความตายของประชาชน ๖ คน และการจับกุมคุมขังประชาชนอีก ๑๒๙๘ คน แล้วบานปลายกลายเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในเงื้อมมือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาไม่น้อยกว่า ๗๘ คนอีกนั้น เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของรัฐบาลที่ท่านให้การสนับสนุน และท่านมีส่วนร่วมรับผิดชอบรวมอยู่ด้วย

การที่นายกรัฐมนตรีแถลงแก่ประชาชนว่ารัฐต้องรักษาความสงบและรักษากฎหมายโดยเข้าสลายการชุมนุมและควบคุมตัวผู้ชุมนุม โดยอธิบายว่าเหตุที่ผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากต้องถึงแก่ความตายอย่างอเนจอนาถเพราะขาดอากาศหายใจถึง ๗๘ คน เป็นผลมาจากอุบัติเหตุ และเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น ถือได้ว่าเป็นการพูดที่ขาดความรับผิดชอบในฐานะผู้นำรัฐบาล เพราะมิได้แถลงความจริงแก่ประชาชนให้ครบถ้วน แต่กลับปกปิดซ่อนเร้นความจริงบางส่วน เพื่อที่จะปกป้องและปิดบังตัวผู้ต้องรับผิดชอบตามลำดับชั้นบังคับบัญชา รวมทั้งมุ่งปิดบังเหตุการณ์ที่จะแสดงให้ประชาชนชาวไทยและชาวโลกเห็นความจริงว่า แท้ที่จริงกรณีดังกล่าวมิใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นเหตุที่เจ้าหน้าที่และรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต้องระมัดระวังและสามารถระมัดระวังป้องกันมิให้เกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับผิดอย่างจริงจัง การกล่าวข้อความจริงเพียงบางส่วนเช่นนี้จะทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในหมู่วิญญูชนชาวไทยและชาวโลกอย่างร้ายแรง

ยิ่งข้ออ้างว่าคนเหล่านั้นเมายาเสพติดโดยปราศจากหลักฐาน และอาจตายเพราะขาดอาหาร ร่างกายอ่อนเพลียเพราะถือศีลอด ทั้ง ๆ ที่รู้กันอยู่ว่าการปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาดังกล่าว ไม่เคยเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติต้องถึงแก่ความตายมาก่อนเลย หรือข้ออ้างที่ว่าผู้ร่วมชุมนุมมีอาวุธร้ายแรงก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลดังกล่าวมีอาวุธร้ายแรงจริง ล้วนเป็นข้ออ้างที่ไม่อาจเชื่อถือได้ และไม่พึงออกจากปากของผู้นำของชาติหรือผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของเจ้าหน้าที่ของรัฐเลย

การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมตัวผู้ชุมนุมโดยมัดมือไพล่หลังและสั่งให้คลานด้วยท้อง บังคับให้นอนคว่ำหน้าซ้อนกันหลายชั้นบนรถบรรทุกอย่างแออัดยัดเยียดเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนเป็นเหตุให้คนเหล่านั้นถึงแก่ความตายด้วยความทุรนทุรายเป็นจำนวนมากนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ด้วยสามัญสำนึกว่า อย่างน้อยก็เป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้คนจำนวนมากถึงแก่ความตาย เป็นความผิดอาญาร้ายแรง ซึ่งเมื่อเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐบาลซึ่งท่านสนับสนุนอยู่ต้องรับผิดชอบ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบทุกลำดับชั้นมิได้ถือว่าผู้ถูกควบคุมตัวเป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนร่วมชาติที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายต้องปกป้องคุ้มครอง และปฏิบัติด้วยเยี่ยงมนุษย์ เยี่ยงคนชาติเดียวกันภายใต้กฎหมายเดียวกัน

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลนี้ก่อให้เกิดความผิดพลาด เป็นเหตุแห่งความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อเนื่องกัน ตลอดช่วงสมัยของรัฐบาลชุดนี้ นับตั้งแต่การปราบปรามการประท้วงท่อก๊าซที่จังหวัดสงขลา การฆ่าตัดตอนจนมีผู้ถูกฆ่าตายกว่า ๒,๕๐๐ คน การดำเนินนโยบายต่อปัญหาของสามจังหวัดภาคใต้ซึ่งล้มเหลวผิดพลาดต่อเนื่อง จนเกิดความรุนแรง ความระแวง และการแก้แค้นกันลุกลามไปเรื่อย ๆ จนมาถึงกรณีกรือเซะเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๗ และล่าสุดก็คือกรณีที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่ตากใบ

นโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลซึ่งมุ่งใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา จนเกิดความรุนแรงระหว่างคนในชาติซ้ำซากเหล่านี้ เพื่อนคนเดือนตุลาทั้งหลายควรได้ตระหนักมาแล้วแต่ต้น และควรช่วยกันหาทางแก้ไขป้องกัน หรือให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่นายกรัฐมนตรี ไม่ปล่อยให้บริหารงานและดำเนินนโยบายที่ก่อให้เกิดความแตกแยก เกิดอาณาจักรแห่งความกลัวและความเคียดแค้นภายในชาติอย่างกว้างขวาง กลายเป็นปัญหาหยั่งรากลึกจนยากแก่การเยียวยาดังเช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้

เราเห็นว่า นโยบาย คำพูด ท่าทีและการส่งสัญญาณของนายกรัฐมนตรีแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และการชักจูงประชาชนให้หลงเชื่อเพื่อให้เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงโดยปราศจากการควบคุมที่มีประสิทธิภาพเช่นที่เป็นอยู่นี้ เป็นสาเหตุให้เกิดการใช้อำนาจใส่ร้ายป้ายสี คุกคาม เข่นฆ่าประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐในวงกว้าง และในทางกลับกันก็ได้ก่อให้เกิดความเคียดแค้น และการแก้แค้นจากผู้ถูกกระทำที่เชื่อว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมขยายตัวออกไป จนเกิดการใช้กำลังปราบปรามด้วยอารมณ์แค้น เฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา และ ๑๗ พฤษภา ซึ่งท่านทั้งหลายล้วนเคยประสบและตระหนักดีในความเลวร้ายรุนแรงเช่นนั้นมาแล้วทั้งสิ้น

เพื่อนคนเดือนตุลาที่รัก เราทั้งหลายเห็นว่า แม้เราอาจจะมีความแตกต่างกันทางวิธีการบางประการ แม้เราจะเลือกวิถีชีวิตที่ต่างกัน แต่เราก็ยังถือว่าท่านเป็นเพื่อน และยืนอยู่บนหลักจริยธรรม และอุดมการณ์เดียวกัน ต่างก็มุ่งหวังที่จะต่อสู้ให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และฐานะเช่นเดียวกัน และเราก็คาดหวังเสมอมาว่า เพื่อนคนเดือนตุลาในรัฐบาลชุดนี้คงจะเป็นผู้มีส่วนมีเสียงแห่งความรู้ผิดชอบที่จะทัดทานความเลวร้ายและความรุนแรงที่รัฐก่อหรือมีส่วนก่อให้เกิดขึ้นไว้ได้บ้าง

แต่ความตายอย่างทุกข์ทรมานของคนจำนวนมากที่อำเภอตากใบเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ กำลังทวงถามความรู้ผิดชอบชั่วดี และอุดมการณ์ที่จะต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของพวกเรา เพราะความตายในครั้งนี้เป็นความตายของผู้มาชุมนุมเรียกร้องเพื่อขอความเป็นธรรม โดยที่ผู้ที่ถึงแก่ความตายเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้รับความเป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายบ้านเมือง หรือแม้ตามหลักศีลธรรมเยี่ยงที่มนุษย์พึงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอันเป็นสิ่งที่เราเคยยอมพลีชีวิตเลือดเนื้อเพื่อรักษาเอาไว้เลย ประชาชนที่ตายไปอย่างไร้ความเป็นธรรมเหล่านี้ แม้เขาจะมีความคิดทางการเมือง อุดมการณ์ และความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างจากเราทั้งหลาย แต่แท้จริงแล้ว เขาก็คือประชาชนคนไทยซึ่งเราทั้งหลายในวัยเยาว์ได้เคยปฏิญาณว่าจะรับใช้ และจะร่วมกันต่อสู้ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องเสรีภาพของเขา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในแผ่นดินไทยมาแล้วทั้งสิ้น

ความตายของประชาชนเหล่านี้กำลังบอกให้พวกเรา และเพื่อนคนเดือนตุลาที่ร่วมรัฐบาลชุดนี้ต้องตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องแสดงจุดยืนที่มุ่งมั่นให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม และความมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างหนักแน่น เพื่อให้รัฐบาลชุดนี้รับรู้ว่า ความตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้ เป็นผลมาจากการก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่ต้องมีผู้รับผิดชอบและถูกลงโทษตามกฎหมาย เพราะมีแต่ความเป็นธรรม และความเชื่อในความเสมอภาคเท่าเทียมกันเท่านั้นที่จะรักษาความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติไทยไว้ได้

พวกเราขอเรียกร้องให้เพื่อนคนเดือนตุลาร่วมกันแสดงจุดยืนให้เพื่อนร่วมรัฐบาลของท่านรู้ว่า อาชญากรรมที่รัฐได้กระทำต่อประชาชนจนมีคนตายอย่างอเนจอนาถเป็นจำนวนมากที่ตากใบนั้น เป็นทั้งความผิดต่อกฎหมาย และเป็นความผิดร้ายแรงต่อศีลธรรม ทำลายความรู้สึกเป็นปึกแผ่นของคนในชาติอย่างร้ายแรง แต่แม้บัดนี้รัฐบาลที่ท่านร่วมกันสนับสนุนกลับเพิกเฉยต่อการแสดงความรับผิดชอบอย่างแท้จริง เวลานี้จึงหมดความหมาย ไร้เหตุผล และสิ้นสุดความชอบธรรมที่ท่านจะร่วมงานหรือให้ความสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้อีกต่อไป และเราขอเรียกร้องต่อเพื่อนคนเดือนตุลาให้ท่านเลิกความร่วมมือและสนับสนุนระบอบทักษิณ และร่วมกันแสดงจุดยืนร่วมกันกับประชาชนไทยที่รักความเป็นธรรม และร่วมกับคนทั้งโลกประณามการก่ออาชญากรรมครั้งนี้ และยับยั้งการก่ออาชญากรรมต่อประชาชนเพื่อร่วมชาติที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตภายใต้นโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้จนถึงที่สุด

พวกเราหวังว่า ท่านซึ่งเป็นเพื่อนคนเดือนตุลาจะยังเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ร่วมสำนึกผิดชอบชั่วดี ในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชนร่วมกับเราต่อไป

กฤษฏางค์ นุตจรัส (อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ (อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ธงชัย วินิจจกุล (อดีตรองนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย)

เสาวนีย์ จิตรื่น (อดีตผู้ประสานงานสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย)

สมยศ เชื้อไทย (อดีตสมาชิกสภาหน้าโดม)

สุรัสวดี หุ่นพยนต์ (อดีตผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์อธิปัตย์)

วิไล ตระกูลสิน (อดีตกรรมการองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

นันธวัธน์ ธรรมเทิดไท (อดีตกรรมการองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

อุบลรัตน์ ตั้งจิตปิยะนนท์ (อดีตกรรมการองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

กิตติศักดิ์ ปรกติ (อดีตรองประธานสภานักศึกษา ธรรมศาสตร์ ๑๘)

เกษียร เตชะพีระ (อดีตกรรมการสภานักศึกษา ธรรมศาสตร์ ๑๙)

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (อดีตผู้ประสานงานกลุ่มอิสระ ๒๑ กลุ่ม ธรรมศาสตร์)

อนุพงศ์ พงศ์สุวรรณ (อดีตประธานชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร ธรรมศาสตร์)

ศุภวัฒน์ ตั้งจิตปิยะนนท์ (อดีตกรรมการชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร ธรรมศาสตร์)

สุเทพ สุริยะมงคล (อดีตเลขาธิการพรรคพลังธรรม ธรรมศาสตร์ ๑๘)

วันทนี สาสนรักกิจ (อดีตเลขาธิการพรรคพลังธรรม ธรรมศาสตร์ ๑๙)

พรรวี สุมโนจิตราภรณ์ (อดีตกรรมการพรรคยูงทอง ธรรมศาสตร์)

วีรวงศ์ วริทร์กิตติกุล (อดีตกรรมการพรรคยูงทอง ธรรมศาสตร์)

ประสาท ลีลาเธียร (อดีตกรรมการพรรคแนวประชา ธรรมศาสตร์)

แสงชัย รัตนเสรีวงศ์ (อดีตกรรมการพรรคพิทักษ์ธรรม ธรรมศาสตร์)

อรวรรณ นารากุล (อดีตสมาชิกสภานักศึกษา ธรรมศาสตร์ ๑๘)

ยุวดี เจริญสุข (อดีตสมาชิกสภานักศึกษา ธรรมศาสตร์ ๑๘)

ไพรินทร์ พลายแก้ว (อดีตกรรมการกลุ่มผู้หญิง ธรรมศาสตร์)

วัชรี เผ่าเหลืองทอง (อดีตกรรมการกลุ่มผู้หญิง ธรรมศาสตร์)

สุชาดา พฤกษานิยม (อดีตกรรมการกลุ่มผู้หญิง ธรรมศาสตร์)

วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มผู้หญิง ธรรมศาสตร์)

กาญจนลักษณ์ รัตนเสรีวงศ์ (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มผู้หญิง ธรรมศาสตร์)

สุวิมล เชื้อชาญวงศ์ (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มผู้หญิง ธรรมศาสตร์)

วารุณี ภูริสัมบรรณ (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มอิสระ ๒๑ กลุ่ม ธรรมศาสตร์)

สงบ อนันคภัณฑ์นันท์ (อดีตกรรมการกลาง กลุ่มเศรษฐธรรม ธรรมศาสตร์)

สมบูรณ์ ศิริประชัย (อดีตกรรมการวิชาการ กลุ่มเศรษฐธรรม ธรรมศาสตร์)

สมศักดิ์ จิรบุญฤทธิเลิศ (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มกิจกรรม ธรรมศาสตร์)

ศุภลักษณ์ สุวรรณประสบ (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มกิจกรรม ธรรมศาสตร์)

พัฒนจรินทร์ สวนแก้วมณี (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มกิจกรรม ธรรมศาสตร์)

พรชัย นันทวีชัยกุล (อดีตผู้ปฏิบัติงานพรรคพลังธรรม ธรรมศาสตร์)

สกันธน์ พฤฒินันท์ (อดีตกรรมการชุมนุมถ่ายภาพ ธรรมศาสตร์)

จงเพียร ส่งกิติสุนทร (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มกิจกรรม ธรรมศาสตร์)

สุภาภรณ์ อัษฎามงคล (อดีตผู้ปฏิบัติงานกลุ่มกิจกรรม ธรรมศาสตร์)







จดหมายเปิดผนึกของเพื่อนคนเดือนตุลาของธรรมศาสตร์นี้มีไปถึงบุคคลตามรายชื่อข้างท้ายนี้

๑. นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช (อดีตเลขาธิการพรรคแนวร่วมมหิดล)

๒. นายจาตุรนต์ ฉายแสง (อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

๓. นายสุธรรม แสงประทุม (อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย)

๔. นายพินิจ จารุสมบัติ (อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง)

๕. นพ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล)

๖. นายสมาน เลือดวงศ์หัด (อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

๗. นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ (อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย)

๘. นายภูมิธรรม เวชยชัย (อดีตเลขาธิการพรรคจุฬาประชาชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

๙. นายวัชรพันธ์ จันทรขจร (อดีตหัวหน้าพรรคแนวประชา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

๑๐. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์(อดีตวีรชน ๑๔ ตุลาคม)

..................................

คัดมาจากกระทู้ในเวบไซต์ //www.thaioctober.com

แถลงการณ์เครือข่ายพิทักษ์เจตนารมณ์ 14 ตุลา


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:12:03:53 น.  

 

คำประกาศ

นายกต้องลาออก ปฏิรูปการเมืองไทย สร้างกติกาใหม่ เพื่อระบอบประชาธิปไตย

..............

กระแสการเมืองในปัจจุบัน ความขัดแย้งของกลุ่มพลังต่างๆในสังคมไทยที่มีมาแต่เดิมและแฝงเร้นอยู่ภายในของระบอบทุนนิยมได้ปะทุและขยายตัว โดยมีแนวโน้มในอัตราเร่งที่เร็วขึ้นและก่อให้เกิดผลกระทบที่ลึกซึ้งทั่วด้านถึงขั้นยากที่จะเยียวยา

เป็นปรากฏการณ์ที่แน่นอนในวิถีพัฒนาของการเคลื่อนไหวในระยะผ่านของการพัฒนา สู่สังคมประชาธิปไตยของประชาชนซึ่งแสดงให้เห็นถึงกฏทั่วไปข้อหนึ่งของการเคลื่อนไหว คือลักษณะที่ไม่สม่ำเสมอของวิถีพัฒนาของสังคมไทย

ปรากฏการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่เกิดวิกฤติอย่างทั่วด้านเกิดจากเหตุมูลฐานจากการรุกคืบ ช่วชิงพื้นที่ เข้าครอบงำอำนาจทางเศรษฐกิจ ทางการเมืองของทุนนิยมเสรีที่กระทำกับกลุ่มทุนอนุรักษ์ ซึ่งไม่ประสงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อเกิดการขัดแย้งหนักหน่วงขึ้นของกลุ่มทุนได้ปะทุถึงขั้นเผชิญหน้าแตกหักทางการเมือง ส่งผลให้ภาคประชาชนได้ตื่นตัวลุกขึ้นมาคัดค้านและต่อต้านระบอบทักษิณอย่างกว้างขวางและขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อในแนวทำงานการเมืองในระบบรัฐสภา...ได้ร่วมกับพรรคไทยรักไทยในฐานะเป็นผู้สนับสนุนบางระดับโดยใช้ประสบการณ์ในอดีตและสติปัญญาอันน้อยนิดเข้าร่วมกิจกรรมของพรรคเพื่อหวังว่าจะต่อเชื่อมและผลักดันกลไกของอำนาจรัฐไทยภายใต้การบริหารงานของพรรคให้มีการจัดการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปแนวคิด หลักนโยบายยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีในการจัดการประเทศไทยใหม่ ภายใต้หลักคิดประชาธิปไตยต้องกินได้ อันหมายถึงนโยบายพรรคที่จะแปรเป็นการปฏิบัติต้องมาจากรากฐานของปัญหา ที่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมกำหนดและเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้แก้ปัญหาของตัวเอง

2 ปีแรกดูเหมือนเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์สดใส บรรยากาศฟ้าสีทองผ่องอำไพ ด้วยการจัดการที่ฉับไวต่อเนื่อง นโยบายพรรคได้รวบรวมจากกลุ่มก้อนปัญหาที่ประชาชนหลายภาคส่วนเข้ามรส่วนร่วมกำหนด ได้รับการตอบสนองอย่างจริงจัง

ภาพของนายกทักษิณเป็นสัญญลักษณ์ของผู้นำที่กล้าทำกล้าแก้ปัญหา กล้ารื้อระบบโครงสร้างครอบสังคมไทยมายาวนาน เสียงชื่นชมไม่เพียงในประเทศไทย หากได้รับการยอมรับในระดัสากล

ในขณะเดียวกัน สัจจธรรมที่ว่า อำนาจนั้นหอมหวนทำให้คนเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเห็นเค้าโครงการเปลี่ยนแปลง ขณะที่นายกกำลังสนุกกับการบริหารประเทศด้วยองค์ประกอบขนาดใหญ่ของพรรคซึ่งมีหลายกลุ่มก๊วนการเมือง นักเลือกตั้งหลายคนวิ่งเข้าหาแวดล้อมนายกทักษิณหลายแนวคิด หลายนโยบาย กลับตอบสนองต่ออำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มก๊วนตนเอง หลายนโยบายเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มบริวารของตนเอง หลายนโยบายก่อผลประโยชน์ต่อแวดวงคณาญาติ หลายนโยบายผลิตออกมาอย่างฉาบฉวย เพื่อหวังผลชนะการเลือกตั้ง

ขณะที่เพื่อนรุ่นพี่เดือนตุลาจำนวนหนึ่งใกล้ชิดและมีส่วนกำหนดนโยบายของพรรค เริ่มมีระยะห่างจากภาคสังคม บางคนมีทรรศนะหลายด้านที่ดูถูกพลังของประชาชน บางคนมีความจำกัดไม่อาจนำเสนอแนวคิดของตนเองได้อย่างจริงจัง บางคนถูกการเมืองในพรรคกีดกันกันเอง ฯลฯ จนสังคมตีตราว่าเป็นตุลาชิน ซึ่งหมายรวมถึงผมด้วยคนหนึ่ง

ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาขยายใหญ่ก่อให้เกิดปัญหาซึ่งขยายวงกว้างมาจนถึงทุกวันนี้

จากประสบการณ์ของผมในสมัยเข้าไปดูแลกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ความตั้งใจที่เข้าไปขับเคลื่อนองค์กร ถือได้ว่าเป็นองค์กรต้นแบบในการปฎิรูปราชการ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มปัญหาได้เข้ามามีส่วนจัดการแก้ไขโดยตรง กลับถูกถ่วงรั้งและไม่มีความจริงใจต่อการดำเนินงานอย่างแท้จริง ถึงวันนี้ผมอดเป็นห่วงพี่ชายเดือนตุลาคนหนึ่ง คือ พี่ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ซึ่งเข้าไปทำหน้าที่บริหารกองทุนอยู่จะดำเนินการอย่างไร ในขณะที่ธงของรัฐยังไม่ชัดเจน การแก้ปัญหาหนี้สินและการฟื้นฟูของรัฐมีหลายแนวทาง ไม่มีความเป็นเอกภาพ ขัดแย้งกันเอง นโยบายถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองกับกลุ่มเกษตรกร ภาพเช่นนี้สะท้อนถึงความล้มเหลวนโยบายแก้ปัญหาความยากจน

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูด คือ การสร้างพรรคให้เป็นสถาบัน วันนี้พิสูจน์แล้วว่า พรรคคือนายก นายกคือพรรค ผมเองครั้งหนึ่งเคยมีส่วนร่วมในการพัฒนาพรรค ศรัทธาที่กำลังจะหมดก็ฟื้นคืนเป็นความหวังสุดท้ายเพราะมันคือป้อมปราการที่เข้มแข็ง เป็นหลักประกันของสถาบันพรรคที่ประชาชนสมาชิกพรรคกระจายทุกหมู่บ้าน อยู่ทุกตำบล ความหวังดูเหมือนจะเป็นจริง แผนถูกกลั่นกรองและสรุปว่าจะต้องทำทันทีอย่างไม่รีรอ แต่ผลสรุปสุดท้ายคือ หยุดไว้ก่อน ไว้ทำช่วงเลือกตั้ง นี่เป็นบทพิสูจน์สุดท้ายที่ทำให้ผมต้องถอยห่างออกมาจากพรรค เพราะการสร้างพรรคต้องถือเป็นยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ยุทธวิธีที่ใช้กลยุทธทางการเมือง

ถึงวันนี้ ความสัมพันธ์ในฐานะพรรค ผมได้ยุติมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของความเป็นพี่น้องเดือนตุลา ผมยังรักพี่เคารพทุกคน ถึงแม้ความคิดอาจต่างกัน

หากเป็นไปได้ ผมอยากเรียกร้องถึงพี่ๆและพื่อนๆทุกคน ถอยห่างออกมาหากยังศรัทธาในการเมืองระบบรัฐสภา ผมเชื่อว่าพี่ๆและเพื่อนทุกคนมีศักยภาพพอที่เราจะทำพรรคการเมืองของเราเองได้

สายธาร ธงธรรม และเจตนารมณ์ของวีรชนเดือนตุลา และพฤษภาที่อยู่ในวิญญาณของเราทุกคนจะหล่อหลอมให้พวกเราเป็นหนึ่งได้ ขอเพียงตัดสินใจเริ่มลงมือทำวันนี้

ในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งอาจบานปลายเป็นความรุนแรง ผมมีเสนอดังนี้

1.นายกทักษิณลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยทันทีเพราะหมดความชอบธรมในฐานะเป็นผู้นำประเทศแล้ว

2.คณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยต้องประกาศยุบพรรคทันทีเพราะมิได้มีฐานะเป็นพรรคการเมืองอย่างแท้จริง

3.พรรคการเมืองทุกพรรคต้องร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ ด้วยการจัดตั้งสภาอาชีพ โดยมีผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร ประชาชนสาขาอาชีพต่างๆประกอบส่วนเป็นองค์คณะขึ้นมาสร้างและแก้ไขรัฐะรรมนูญเพื่อเอื้ประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนของสัมคม

4.รัฐสภาต้องผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 วาระรวด คืนอำนาจให้ประชาชนภายใน 6 ดือน

5.รัฐไทยต้องไม่ใช้ความรุนแรง หยุดพฤติกรรมท้าทายยั่วยุ เลิกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ เปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้โดยทันที

6.หากสถานการณ์พัฒนาสู่ความรุนแรง เลือดประชาชนบริสุทธิ์จะตกนองแผ่นดินไทย ผู้สั่งการถือว่าเป็นทรราชย์ ต้องขับไล่มิให้อยู่แผ่นดินไทย

7.เบื้องหน้าที่ท้าทาย สังคมไทยจะไปทางไหน ถึงเวลาหรือยังที่ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจะสลัดพ้นความเจ็บปวด สรุปบทเรียน ยืนหยัดตนเองขึ้นมาเป็นกองหน้าเพื่อสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศไทยให้เป็นของประชาชนไทยอย่างแท้จริง เป็นคำถารมสุดท้ายที่ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยต้องช่วยกันโดยไม่รีรอ

มีแต่แนวทางนี้เท่านั้น การพัฒนาของประชาธิปไตยไทยจึงพัฒนาต่อไปได้

ศรัทธาในพลังประชาชนระบอบประชาธิปไตย

อมร อมรรัตนานนท์

อดีตเลขาเครือข่ายเดือนตุลา


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:12:15:25 น.  

 
ขออย่าให้เหมือนฟิลิปปินส์เลย ประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อเรียนรู้และแก้ไข ไม่ใช่ ทำตาม


โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:12:44:14 น.  

 
ไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายๆ เลย

=)


โดย: hunjang วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:16:58:00 น.  

 

ในความคิดของเค้าคนนั้นก้กำลังจะทำให้เหมือนอย่างที่เขียนข้างต้น
นั่นแหละนัทว่าอะ..

จะยังงัยก้ช่าง..ขอชาวไทยทุกคนร่วมใจกันเป็นหนึ่ง ..อย่าให้เค้าเปลี่ยนแปลงระบบประชาธิปไตยของเราได้เลย..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:17:21:50 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ขออนุญาติยืมรูปใบปลิวไปใช้นะคะ


โดย: rebel วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:19:27:12 น.  

 
แวะมาทักทายคะ


โดย: Angel Tanya วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:2:02:27 น.  

 
ยังไม่ได้อ่านเลยนะคะ
แวะมาสวัสดีตอนเช้าก่อน ^^




...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:8:24:06 น.  

 
เคยได้รับ fw.mail เรื่องนี้มาก่อนแล้วค่ะ


โดย: ยัยบี๋ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:22:58:34 น.  

 
Good Topic,Thanks


โดย: Tom IP: 202.63.118.146 วันที่: 13 สิงหาคม 2551 เวลา:18:51:26 น.  

 
search หาความรู้เรื่อง มาร์กอส ใน Google ปรากฎว่า Blog นี้ขึ้นมาอันดับแรก นึกว่าเป็น Blog ให้ความรู้ธรรมดา อ่านไปอ่านมาเป็นเลือดรักชาติเยี่ยงกันนี่เอง ผมไม่เคยสนใจเรื่องบล็อกแต่ผมขอบอกจิงๆว่า นี่เป็นบล็อกที่น่าภูมิใจจิงๆครับ เราต้องช่วยกันทุกๆคน อย่าให้คนชั่วนักการเมืองเลว มันทำร้ายทำลายชาติของเรา และ พ่อหลวงของลูกหลานไทยได้อีกต่อไป สู้ๆ...ฮิ๊ว


โดย: wolfeyeview@hotmail.com IP: 124.121.105.165 วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:9:10:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.