ยายกับเธอมีภาษาลับที่ใช้สื่อสารกันในเวลาที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้
ยายพาเธอไปยังดินแดนที่มีแต่เธอกับยายเท่านั้นจะรู้จัก...
ที่นั่นยายแต่งตั้งให้เอลซ่าเป็นอัศวิน
แต่แล้ววันหนึ่ง โลกของเอลซ่าก็สั่นสะเทือน...
เมื่อยายป่วยเป็นมะเร็ง แล้วจากไป...
แต่ราวกับยายจะรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเตรียมการอย่างไร
ให้เอลซ่าได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงโดยไม่มียาย
ยายเขียนจดหมายหลายฉบับ ถึงผู้คนหลายคนที่เคยผูกพัน
มีความสัมพันธ์กับยายไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง
แล้วฝากฝังสั่งเสียให้เอลซ่ารับหน้าที่เป็นผู้นำจดหมายเหล่านั้นไปส่ง...
"เอาจดหมายไปให้คนที่รออยู่ เขาจะไม่อยากรับ
แต่บอกเขาว่ามันมาจากยาย บอกเขาว่ายายของแกฝากความระลึกถึงมาให้
และฝากมาบอกว่าขอโทษ"
แม้จะโกรธที่ยายตายและหายไปจากชีวิตของเธอ
แต่เอลซ่าก็มุ่งมั่นที่จะทำตามคำสั่งของยาย...
นั่นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เอลซ่าได้ก้าวข้ามช่วงชีวิต ช่วงเวลาอันเลวร้าย
อย่างเรียนรู้ ยอมรับความจริงและเข้าอกเข้าใจทั้งตัวเองและผู้อื่น
เท่าที่เด็กเจ็ดขวบ(ใกล้แปดขวบ)คนหนึ่งจะเข้าใจและยอมรับได้
จะว่าไป หนังสือเล่มนี้ไม่อาจเรียกว่าวรรณกรรมเยาวชนได้
แม้จะดำเนินเรื่องผ่านเด็กหญิงเจ็ดขวบ
มันมีความเป็นคอเมดี้ จากพฤติกรรม'ดีดๆ'ของยาย
กับความไม่เหมือนใครของเอลซ่า
มีมุมทึมเทา มีร่องรอยเสียดสี ประชดประชัน
มีมุกขันปนขื่น มีปมโศกซึ้งรันทดผสมผสานคละเคล้ากันไป
โดยเฉพาะปมขมในใจของเอลซ่าเกี่ยวกับวันเกิดของเธอ...
เอลซ่าเกิดหลังวันคริสต์มาสสองวัน...แล้วก็ให้บังเอิญวันที่เธอเกิด
มีผู้คนนับร้อยต้องเสียชีวิตด้วยภัยพิบัติสึนามิในอีกซีกโลกหนึ่ง
และยายก็ดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของเอลซ่า
ยายจึงมักจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อวันเกิดของเอลซ่า
"มีหัวใจหลายดวงแตกสลายในวันที่เอลซ่าเกิด...
มีคนตายมากเกินกว่าที่หัวใจของคนจะรับได้ไหว"
..........
ตัวละครทุกตัวมีมิติ มีตัวตนชัดเจน แต่ละคนมีเรื่องมีราว
มีปูมหลังชีวิตที่กลายเป็นเหตุเป็นผลของการกระทำ...
ไม่มีใครดีแสนดี แต่ก็ไม่มีใครร้ายไปเสียทั้งหมด
"ไม่ใช่อสุรกายทุกตนที่เลวร้ายมาตั้งแต่แรกเริ่ม
บางตนกลายเป็นอสุรกายเพราะความเศร้าโศก"
โอยยย...ยังมีอีกมากมายหลายหลากที่อยากเล่า อยากพูดถึง...
ผู้เขียนเล่าเรื่องได้อย่างมีเสน่ห์อะ
เต็มไปด้วยภาษาสัญลักษณ์ สำนวนคารมคมคาย บาดลึก กัดกินใจ...
เช่น...มีตอนนึงเมื่อเอลซ่าคุยกับแม่
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับยายที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่น
อบอุ่นนัก เพราะยายเป็นหมอที่ต้องไปนู่นมานี่ตลอดเวลา
ไม่ค่อยมีเวลาให้แม่เท่าไหร่
เอลซ่ารู้สึกผิดหวังที่ยายเป็นแม่ที่ทิ้งลูกตัวเอง...
(แม้จะทิ้งไปช่วยคนอื่นก็เถอะ)
"คนเราไม่ควรมีลูก ถ้าไม่อยากดูแลลูกตัวเอง"
จุกนะ...
บางช่วงบางตอนก็กล่อมเกลาปลอบประโลมด้วยเทพนิยาย
ที่ปลุกเร้าความรัก ความหวังความฝันและจินตนาการ
แต่ในขณะเดียวกันก็คอยจับจูงให้เรามองโลกแห่งความเป็นจริง
อย่างเปิดใจ อย่างยอมรับในความเป็นไปในชีวิต
ยายบอกเอลซ่าตอนหนึ่งว่า...
"ถ้าลบความทรงจำแย่ๆไม่ได้ ก็ต้องเอาเรื่องดีๆ มาถมไว้"
ถือเป็นวรรณกรรมแนวสะท้านทรวงสะเทือนซางอีกเล่ม
ที่อ่านด้วยความซาบซึ้งตรึงใจมากกกก...
บทขำก็ขำกิ๊ก บทเศร้าก็ทำเอาน้ำตาไหลพรากๆ
แต่อ่านจบแล้วอิ่มเอม อบอุ่นในใจเป็นที่สุด
จากหน้าคำนำ
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับ
ใครก็ตามที่เป็นยาย เป็นแม่ เป็นหลาน
มียาย มีแม่ มีหลาน
เป็น เคยเป็น กำลังจะเป็น คนอายุเจ็ดสิบเจ็ด ย่างเจ็ดสิบแปด
ที่มีรายการคนที่อยากจะขอโทษยาวเป็นหางว่าว
ใครก็ตามที่เป็น เคยเป็น คนอายุเจ็ดขวบ ย่างแปดขวบ
ใครก็ตามที่มีซูเปอร์ฮีโร่เป็นของตัวเอง
ดีใจที่ได้อ่านค่ะ...😘
ป.ล.(1)เดี๋ยวต้องตามหา"ชายชื่ออูเว"มาอ่านมั่งแล้วล่ะค่ะ คนเขียนคนเดียวกัน
ป.ล.(2)อีกนิด...(ฝากถึงสำนักพิมพ์) เจอคำผิดเยอะอยู่เหมือนกันนะคะ
จุดเล็กจุดน้อย (อ้อ...อันนี้ไม่เกี่ยวกับจ.ม.ของยายในบทสุดท้ายนะคะ
จุดนี้เข้าใจว่า...'การสะกดคำของยายพังพินาศ'😏)
บางตนกลายเป็นอสุรกายเพราะความเศร้าโศก"
ประโยคนี้โดนใจจริงๆครับพี่
อ่านแล้วบางตอนนึกถึงหมิงหมิงครับ 555
เด็กมักจะมีใครสักคนเป็นไอดอล
คนๆนั้นมักจะอยู่ใกล้เด็กมากที่สุด
ของหมิงหมิงก็คงจะเป็นพ่อกับแม่นี่ล่ะครับ
ส่วนเอลซ่าก็มียายเป็นหนึ่งในดวงใจ
เป็นรีวิวที่อ่านสนุกมากๆครับพี่