เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

ซ่อมรถที่นี่ แถมฟรีเลือดกำเดา 18+

















 

Create Date : 11 มิถุนายน 2554   
Last Update : 11 มิถุนายน 2554 21:39:48 น.   
Counter : 1187 Pageviews.  

4 คำถามน่าคิดเมื่อต้องซ่อมรถคันเก่า

ในยุคที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ เรารู้ดีว่าหลายคนมีภาระมากมาย แม้ปัจจุบันรถยนต์จะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการเดินทางของคนไทย แต่วันนี้ถ้าคุณมีรถแล้วมันเกิดไม่สบาย การซ่อมมันกลับมาใช้ มั่นใจแค่ไหนว่ามันจะคุ้มค่า

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่คิด ซึ่งส่วนหนึ่งมันมาจากลูกเกรงใจของคนไทย ที่มักจะเออออห่อหมก โดยไม่คิดก่อนที่จะทำอะไร ทำให้บางครั้งกลายเป็นปัญหา แทนที่จะได้รถเก่าแสนดีมาใช้งานแบบเสียเงินครั้งเดียวแล้วลาจากช่างที่อู่ กลับกลายต้องเวียนว่ายไปทุกวัน วันนี้ถ้าคุณกำลัง มีปัญหาใหญ่กับรถคันเก่าสุดเก๋า ลองคิดตาม 4 ข้อ ต่อไปนี้ ว่าซ่อมแล้วมันจะคุ้มค่าหรือไม่

1.ปัญหานี้แก้ได้หายขาดหรือไม่ ปัญหา มากมายสามารถเกิดขึ้นได้กับรถเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกกลไกต่างๆที่ทุกอย่างมีอายุการใช้งานของมันเอง จนบางครั้งคุณต้องตกระกำลำบาก(นั่งทานข้าวลิงข้างทาง)อาจจะมาจากอายุการใช้ งาน

ปัญหาของรถนั้นมีหลายสาเหตุ ที่คุณสามารถเข้าใจได้แต่ที่สำคัญ คุณต้องรู้ว่ามันจะซ่อมให้หายขาดได้หรือไม่ด้วย โดยเฉพาะเมื่อเสียเงินแล้ว ต้องเสียให้คุ้มกับการใช้งานในอนาคตข้างหน้า อย่างเช่นเครื่องพัง การยกเครื่องใหม่อาจเป็นทางออกที่ดีกว่า หรือเป็นไปได้ลองศึกษาดูว่ามีอะไหล่รถรุ่นไหนสามารถทดแทนกันได้หรือไม่ แล้วลองคิดตามว่าถ้าทำมันจะหายจากอาการที่เป็นหรือเปล่า ซึ่งส่วนหนึ่งต้องปรึกษาผู้รู้ที่ไม่ใช่ช่างที่คุณนำรถไปซ่อม

2. ราคาค่าใช้จ่าย ทุกครั้งที่รถเสียมันหมายถึงเงิน และในยุคนี้มันก็หายากเสียด้วย ซึ่งคุณจำเป็นต้องศึกษาดูถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อม ว่าราคานี้เป็นราคาที่รับได้หรือไม่ อะไรที่จะถูกเปลี่ยนใหม่ อะไรที่จะยังใช้ของเก่า ของแบบนี้ต้องศึกษาให้ดี ที่สำคัญอย่าวางใจให้อู่ทำงานแล้วเช็คบิลทีหลัง

อู่ที่ได้มาตรฐานจะประมาณการงบประมาณได้ก่อนทำงาน ซึ่งตรงนี้อาจจะประวิงเวลาให้คุณคิดก่อนตัดสินใจซ่อมแซมรถสุดที่รัก และพยายามสอบถามจากผู้ใช้รถรุ่นเดียวกันกับคุณหรือเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์ ว่าราคาที่ได้มาสมเหตุผลหรือไม่

3. ผลที่ตามมาหลังซ่อม ใน ข้อแรกเราให้คุณถามว่าหายขาดหรือไม่ แน่นอนบางอย่างสามารถทำได้แล้วหายเป็นปลิดทิ้งแถมดีกว่าเสียอีก แต่ข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือว่า เมื่อมีงานแปลงบางอย่างอาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด และบางครั้งอาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายภายหลัง เช่น วางเครื่อง คุณอาจต้องเซทช่วงล่างเพิ่ม เพราะน้ำหนักเครื่องมากกว่าที่ช่วงล่างจะรับได้ เป็นต้น ซึ่งเรื่องแบบนี้อู่มักไม่บอก แต่เมื่อคุณทำการดัดแปลงไปแล้วรถคันนั้นจะราคาตกทันที เพราะฉะนั้นควรคิดรอบคอบถึงผลระยะยาวด้วย

4. คันนี้ใช้คุ้มพอรึยัง หลายคนมักจะคิดว่าตัวเองยังใช้รถไม่คุ้มค่า ที่บางคนรถหลาย 10 ปี ก็ซ่อมแล้วซ่อมอีก จนสุดท้ายเหนื่อยซ่อมนำไปสู่การขายทิ้งซื้อใหม่ในอนาคตอันใกล้อีกอยู่ดี แน่นอนเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วมากมาย เราเลยอยากให้มองว่ารถคันนี้คุ้มทุนแล้วหรือยัง โดยเฉพาะ ถ้ารถคันนั้นมีอายุ เกิน 7 ปี หรือมีระยะทางเกิน 1.5 แสนกิโลเมตร มันอาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถใหม่

หลายคนมักคิดว่าเพิ่งผ่อนหมดจบหนี้ทำไมต้องเร่งให้ซื้อรถใหม่ ทว่ารถเก่าก็เหมือนคนแก่ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นประจำสม่ำเสมอในทุกชิ้นส่วน และยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่ค่อยถนัดเกี่ยวกับรถยนต์นัก การนำมันไปแลกเปลี่ยนคันใหม่มาขับแบบสบายใจ แล้วคิดว่าไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายกับอู่ ที่อาจทดแทนด้วยค่าผ่อนรถรายเดือน มันน่าจะคุ้มกว่าไหม แถมรถใหม่ๆยังมีสมรรถนะที่ดีขึ้นและประหยัดมากขึ้นด้วย

4 ข้อนี้เป็น เรื่องที่ต้องคิดให้หนักมากๆ โดยเฉพาะเมื่อรถคุณต้องซ่อมหนัก ไม่ว่าจะระบบเครื่องยนต์หรืออื่นๆที่จะทำให้รถคันนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากคุณจะไม่ต้องเสียเวลา วิ่งเข้า-ออกอู่ให้วุ่นวายและรถใหม่ๆประหยัดมากขึ้นแล้ว คุณยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นจากสมรรถนะที่ดีขึ้นของรถคันใหม่

เราเองเจอหลายคนมีปัญหาเรื่องรถ โดยเฉพาะยิ่งรถเก่ายิ่งหนักใจ แต่บางคนไม่ศึกษาอย่างจริงจัง จนนำไปสู่ปัญหาเรื้อรัง ที่ทำให้ต้องขายรถในท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้เพียงแค่คุณมองให้ขาดแล้วคิดว่ามันคุ้มหรือเปล่า ซึ่งสิ่งสำคัญไม่ใช่คำถามข้างต้น แต่อยู่ที่การตัดสินใจที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2554   
Last Update : 9 มิถุนายน 2554 13:23:17 น.   
Counter : 1182 Pageviews.  

Mazda2 VS Suzuki Swift ...Hatch in your’s heart

ตั้งแต่ปลายปี 2008 เรื่อยมาจนถึงปีเสือโหย โซ้ยแหลกจนถึงขั้นวิกฤตกันไปหลายต่อหลายรอบในแวดวงยานยนต์...เล่น งานทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเองซึ่งต่างต้องกุมขยับไปตาม ๆ กัน แถมราคาน้ำมันก็ถีบตัวจนสูงโด่งจนกู่ไม่กลับ ทำเอาบรรดารถใหญ่เครื่องบิ๊กจากหลายแบรนด์ต้องชะลอโปรเจกต์แล้วส่งรถเล็ก พริกขี้หนูมาลุยตลาดแทน ซึ่งที่เห็นเข้าตาสุดในตลาดรถบ้านเราก็คงหนีไม่พ้น Mazda2 กับ Suzuki Swift ที่หลายคนคงอยากจะเห็นการดวลกันของทั้งคู่ว่าใครจะเผ็ดจี๊ดเข้าไส้มากกว่ากัน

ต้องยอมรับว่าทั้งคู่เป็นมวยตรงรุ่นเป๊ะ การจับมันมาแยกเขี้ยวใส่กันจึงเป็นเรื่องสนุกแน่นอน ซึ่งถ้าให้พูดถึงความเก๋าเกมแล้วฝ่ายแดงอย่าง Suzuki Swift ถือว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนจนตัวเปื่อยกับปีเกิดที่เริ่มสตาร์ตอนุกรมที่ 5 ตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งในบ้านเราก็มีนำเข้ามาจำหน่ายเหมือนกันในเวอร์ชั่น CBU สำหรับลูกค้าคลั่งไคล้ความจื๊ดจ๊าดของมันที่วาดลวดลายไว้ในรายการทางฝุ่น ต่าง ๆ ระดับโลก โดยแลกมากับค่าตัวในหลักล้าน (ตอนนี้คงนั่งร้องไห้เสียดายตังค์) เพราะต้องช็อกเมื่อล่าสุด Suzuki เผยโฉม Swift อีกครั้งในช่วงปลายปี 2009 กับราคาที่ถูกลงกว่าครึ่งโดยรุ่น GA ราคา 5.99 แสน และตัวท็อป GL ราคา 6.49 แสนบาท และเป็นเกียร์อัตโนมัติทั้ง 2 รุ่น

ส่วนคู่ปรับหน้าใหม่ Mazda2 ก็ใช้เวลาสร้างกระแสอยู่พักใหญ่จนกระช่อนก่อนตัวเปิดผ้าคลุมอยู่เป็นปีๆ จนลูกค้าหลายรายทนรอไม่ไหวจับเอา Mazda2 บวกเพิ่มไปอีก 1 ถอย Mazda3 ออกมาวิ่งให้เกลื่อนพร้อมแคมเปญที่ยั่วใจแบบสุด ๆ จนมาถึงช่วงต้น 2010 ถึงกับกรี๊ดเมื่อตัวจี๊ดรหัส 2 ออกมาเปิดตัวยั่วน้ำลายหนุ่มสาววัยซนกันซะทีกับภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในเรื่อง ความคล่องตัวบนดีไซน์ที่ทันสมัยในราคาน่าลงทุน ซึ่งมาสด้าเองเคาะตัวล่างสุดรุ่น S เกียร์ธรรมดาไว้แค่ 5.35 แสนบาท หรือจะเพิ่มอีกแค่ 3.5 หมื่นเป็นเกียร์อัตโนมัติ แต่ถ้าอยากขับตัวท็อปต้องมี 6.9 แสนจึงเป็นเจ้าของได้

===========================================

Mazda2 หล่ออินเทรนด์ เจอกับ Swift ที่ดูดีแบบ Retro Style

===========================================

งานนี้ต่อให้เป็นคณะกรรมการจากกองประกวดไหน ๆ ก็คงชี้ขาดไม่ได้ง่าย ๆ ว่าใครสวยเด่นกว่า เพราะทั้งคู่เล่นมากันคนละแนว คันหนึ่งโฉบเฉี่ยวทันสมัย ส่วนอีกฝ่ายก็โชว์ความคลาสสิกสไตล์ Retro ที่ต้นสังกัดให้ชื่อเส้นสายแบบนี้ว่า Cubical Design ที่สังเกตได้จากโครงหลังคาที่ดูเหลี่ยมชันและกระจกบานใหญ่ ๆ แทบทุกบานให้ทัศนวิสัยได้ชัดเจนรอบทิศทาง ต่างกับ Mazda2 ที่ยกเค้าหน้าตาสายพันธุ์ Zoom มาจากหลาย ๆ รุ่น ทั้ง Mazda3 และ MX-5 ผสมผสานออกมาจนสปอร์ตเตะตา แถมมากับสีเขียว (Spirit Green) ประกอบกับเส้นสายที่โค้งมนให้อารมณ์ที่ลื่นไหลดูสะดุดตากว่า รวมถึงไฟหน้ากับไฟตัดหมอกดีไซน์ทันสมัยรับกับกันชนหน้าที่มีกระจังหน้าขนาด ใหญ่ ซึ่งพอผมหันกลับไปมองที่เจ้า Swift อีกครั้งกับรูปทรงเลขาคณิตที่ดูไม่สะดุดเอาซะเลย แถมล้ออัลลอยของเจ้า Swift ยังใช้ไซซ์ 15 นิ้ว ลายเชยสนิทเมื่อเทียบกับล้อขนาด 16 นิ้ว ที่ดูมีลูกเล่นกว่า ถึงตรงนี้ผมว่าเราข้ามเรื่องดีไซน์ไปเลยดีกว่า เพราะถ้ามองในเรื่องการใช้สอยแล้วทั้งคู่ยังไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบมาก นัก แถมยังมีหลายคนกระซิบบอกผมว่า Swift ดูเผิน ๆ เหมือน Mini อีกต่างหาก แต่ไม่ว่าจะบิลท์กันยังไงผมก็ยังเทใจให้กับ Mazda2 ที่ดูเปรี้ยวเผ็ดจนเข็ดฟันกลบเสน่ห์คลาสสิกของ Swift ไปเกือบหมด

ส่วนในเรื่องของห้องโดยสารนั้น ทางฝ่าย Swift ดูเหมือนจะมีสิ่งที่เหนือกว่า Mazda2 อยู่บ้าง นั่นคือความกว้างขวางโดยเฉพาะที่เบาะแถวหลังที่นั่งได้สบายกว่าชัดเจนรวมถือ ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ชัดเจนกว่าเมื่อมองผ่านกระจกบานหน้าที่มีขนาดใหญ่ บวกกับตำแหน่งของเบาะคนขับที่สูงทำให้มีมุมมองที่กว้างและชัดเจนกว่าเมื่อ เทียบกับเบาะนั่งต่ำ ๆ สไตล์สปอร์ตของ Mazda2 ที่เน้นฟิลเรชซิ่งขับสนุกมากกว่าประโยชน์ในการขับขี่จริง ต่างกับประโยชน์ใช้สอยและสิ่งอำนวยสะดวกต่าง ๆ ที่ Mazda2 ไม่ยอมน้อยหน้า Swift แน่นอน เรียกว่าคุณมีผมก็มีได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน กุญแจรีโมตอัจฉริยะแบบ Smart Keyless Entry System พร้อมระบบสตาร์ตเครื่องยนต์แบบปุ่มกดที่ออกแนวทันสมัยกว่าเมื่อเทียบกับ สมาร์ทคีย์ของ Swift ที่ยังต้องใช้ลูกบิดตรงตำแหน่งรูกุญแจเดิมที่คอพวงมาลัยเป็นตัวสตาร์ต เครื่องยนต์ มาถึงระบบความบันเทิงแน่นอนขั้นมาตรฐานจะต้องเป็นเครื่องเล่น CD MP3 ที่ทั้งมีระบบปรับความดังเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ ALC มาให้ทั้งคู่เป็นไงครับ ยุคนี้สมัยนี้รถราคาไม่ถึงล้านก็มีของเล่นเหล่านี้มาให้ใช้งานจนทำให้พวกรถ แพง ๆ เขาต้องเดือดร้อนไปหาอะไรมาเพิ่มให้ดูสมราคามากขึ้น

สรุปแล้ว ในส่วนของห้องโดยสารถ้าในเรื่องของความสวยงามและทันสมัยของงานดีไซน์นั้น Mazda2 คงจะกวาดคะแนนตรงนี้ไปตามระเบียบ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ที่เลือกใช้ในเกรดที่ใกล้เคียง แต่เมื่อถูกจัดวางในตำแหน่งที่ถูกต้องและสามารถใช้งานได้อย่างสะดวก Swift ก็ยังตกเป็นรองอยู่ จะมีก็แต่เพียงในเรื่องที่มีผลต่อการขับขี่และความกว้างขวางเท่านั้นที่ Swift ทำได้ดีกว่า Mazda2 ที่ทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกว่าเราควรจะตัดสินใจเลือกรถที่อารมณ์หรือที่ เหตุผลกันแน่

===========================================

เครื่อง 1.5 ลิตรเท่ากัน...แรงม้ากับแรงบิดก็สูสี

แต่ Mazda2 ดูจะเผ็ดร้อนกว่า Swift ที่มาเรื่อย ๆ แต่ต่อเนื่อง

===========================================

ระหว่างขุมพลัง MZR 1.5 สังกัด Zoom Zoom กับเครื่องยนต์ของ Swift รหัส M15A ซึ่งถ้าเทียบตามสเปกในโบรชัวร์แล้วทั้ง 2 คัน มีความใกล้เคียงกันมาก ตั้งแต่ปริมาตรความจุของกระบอกสูบจนถึงแรงม้าที่เจ้าพริกเขียว Mazda2 มีมากกว่าแค่ 1 ตัว คือ 103 กับ 102 ม้าของ Swift ส่วนแรงบิดก็เช่นกัน Swift ให้แรงบิดสูงสุด 133นิวตัน-เมตร ซึ่งน้อยกว่า Mazda แค่สิว ๆ ที่ 135 นิวตัน-เมตร แต่เมื่อไล่เรียงมาดูกันที่ระบบส่งกำลัง ซึ่งตรงนี้เองทั้ง 2 คันก็จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์แบบเหมือนกัน แถมอัตราทดเกียร์ยังใกล้เคียงยังกับก๊อบปี้กันมา ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วพฤติกรรมการขับขี่ของทั้ง 2 คัน คงจะต้องขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่อิเล็กทรอนิกส์คอนโทรลยูนิต (ECU) ว่าค่ายไหนต้องการให้รถของตัวเองมีนิสัยอย่างไรก็จัดตามคอนเซ็ปต์ของรถไปก็ เท่านั้น

หลังจากที่ได้ลองขับทั้งคู่มาตะลุยอยู่กลางสายธารยานยนต์อันคับคั่งย่าน สาทร Mazda2 ขโมยซีนจาก Swift ไปเกือบหมด ทั้งสีแรง ๆ ของตัวรถและรูปร่างที่ทะมัดทะแมงแทรกตัวอยู่บนถนนจนทำให้สายตาหลายคู่ของ หนุ่มสาวออฟฟิศละทิ้ง Swift ให้เลือนหายไปกับรถราที่เบียดเสียดกันเต็ม 4 เลน และเมื่อสัญาณไฟแดงดับลงสีเขียวคือสัญญาณธงกับ Madda2 "ว่าไปเลยน้อง" ไปโชว์ให้เขาเห็นกันว่ามันไม่ได้เผ็ดร้อนแค่หน้าตา Mada2 ใช้วิธีเรียกรอบสูง ๆ และคันเร่งที่ตอบสนองไวเกินไปนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นอาจกะน้ำหนักเท้า ลำบากหน่อย แต่ปรับตัวสักพักก็จะสนุกขึ้นมาเอง Mazda2 สร้างความมันตั้งแต่ออกตัวทิ้ง Swift ให้ค่อย ๆ ตื่นจากการหลับไหลช่วงรถติดแล้วค่อยไต่รอบเครื่องอย่างละเมียดไม่แคร์ใคร "เดี๊ยนจะไปของเดี๊ยนแบบนี้ มีอะไรรึป่าว" ทำให้ Mazda2 ที่สปีดตัวได้ดีในช่วงต้นเข้าเส้นชัยก่อนในระยะ 0-100 กม./ชม. แน่นอนแล้วค่อยให้ Swift ไล่บี้ตามมาทันในช่วง 120 กม./ชม. ขึ้นไปจนตันที่เพดาน Top Speed ในระดับ 165-170 กม./ชม.ทั้งคู่

ความกระฉับกระเฉงตื่นตัวตลอดเวลาของ Mazda2 นั้น สร้างความเร้าใจเวลาขับได้ดีก็จริง แต่ไอ้ตอนที่ต้องวิ่งเข้าปั๊มนี่สิ คงสนุกแน่ถ้ามันซดแบบไม่เกรงใจ เครื่องยนต์ของมาสด้าดูจะทำงานหนักกว่า Swift ที่ไม่เร่งรีบอยู่นิด ๆ ไม่มากมายจนทำให้อัตราสิ้นเปลืองนั้นทิ้งห่างกันซะจนน่าเกียจทั้งคู่จัดอยู่ ในเกณฑ์ที่น่าพอใจในระดับ 11-12 กม./ลิตร

==============================

รอบเครื่องยนต์ที่ความเร็วต่าง ๆ (เกียร์ 4)

(km./h.@ Rpm.) Mazda2 Swift

80 2,200 2,000

90 2,450 2,400

100 2,700 2,800

120 3,100 3,000

140 3,900 3,500

160 4,500 4,000

อัตราเร่งที่ช่วงความเร็วต่าง ๆ

Top Speed (km/h.) 170 165

Consumption (km./l.)

เฉลี่ยรวม 12.21 11.03

==============================================

Mazda2 พวงมาลัยแม่นกว่า แต่ Swift ก็เกาะถนนได้ดีไม่แพ้กัน

==============================================

พวงมาลัยที่แม่นยำอัตราทดสั้นโยกเพียงนิดเดียวหัวรถของเจ้าเขียวหัวเป็ด ก็พร้อมส่ายไปมาเพื่อทำเวลาในช่วง Rush Hour ได้ชัดกว่า Swift คันดำเงาที่เสียเปรียบทั้งรูปร่างและการควบคุมอันเชื่องช้า จนผมนึกในใจว่า "เอ...หรือ Swift เขาจะโชว์ทีเด็ดได้แต่ในสนาม" พวงมาลัยแบบปรับน้ำหนักด้วยไฟฟ้าของ Mazda2 ให้ความเฉียบคมในการบังคับทิศทางให้เป็นไปได้ดังใจสร้างความคล่องแคล่วว่อง ไวได้มากกว่า Swift ส่วนระบบกันสะเทือนที่ให้ฟิลกระเด้งนิด ๆ ของ Mazda2 ก็สร้างความมั่นใจทุกพื้นที่สัมผัสของหน้ายางว่าจะอยู่เคียงคู่กับพื้นถนน ได้เต็มร้อยในช่วงความเร็วไม่เกินร้อย แตกต่างจากอารมณ์นุ่มนวลที่ได้จาก Swift ครับ ใช่เมื่อบวกกับพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างกว่าทำให้ Swift ดูเหมาะกับกุลสตรีที่ถูกพับเก็บไว้ในตู้เรียบ ๆ ไม่กระตุ้นอารมณ์ให้ผมอยากตะบันคันเร่งมันต่อสักเท่าไร จนปล่อยให้ Mazda2 เขาโชว์หล่อต่อไปเพียงผู้เดียว

========================================

ราคาและสมรรถนะคงยังไม่พอตัดสินมวยคู่นี้ได้

อารมณ์ต่างหากที่จะบอกได้ว่าคันไหนกันแน่ที่อยู่ในใจ

========================================

บอกตามตรงว่าในสายตาผม Swift ดูจืดชืดไร้รสชาติ เหมือนกับเหล้าขวดเก่าที่เอามาลดล้างสต็อกแล้วเพิ่มของแถมเข้าไปก็เท่านั้น ต่างกับ Mada2 ที่ เผ็ดเข้าไส้เหมือนต้มยำร้อน ๆ หม้อเล็ก ๆ ตามร้านข้าวต้มรอบดึกซึ่งราคาย่อมเยาแต่ให้รสชาติถึงใจไม่แพ้ภัตตาคาร ซึ่งถ้าลองมามองกันเรื่องราคาที่ตั้งไว้ 5 แสน ปลายทั้งคู่ในรุ่นท็อปสุด เทียบกับความคุ้มค่าต่าง ๆ แล้วทั้งคู่เหมือนกับใช้ทีมการตลาดเดียวกัน ซึ่งมีชั้นเชิงในการวางออพชั่นและราคาที่ไม่สามารถกินกันได้ลง รุ่นท็อป Swift จะถูกกว่า 5 หมื่นแต่ถ้ามองที่รุ่นเกียร์ออโต้ตัวต่ำสุด Mazda2 จะถูกกว่าอยู่ 2 หมื่น ถือว่าไม่ทิ้งกันมาก เช่นเดียวกับสมรรถนะที่สูสีจะต่างกันก็แค่ฟิลลิ่งในบางจุดซึ่งให้อารมณ์ที่ แตกต่างกันเท่านั้น สรุปแล้วถ้าใช้หลักการและเหตุผลเป็นตัวตัดสินผลก็น่าจะออกมาเสมอ งานนี้จึงต้องให้อารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเป็นตัวชี้ขาดว่า Mazda2 หรือ Suzuki Swift กันแน่ที่จะได้รับการอนุมัติวงเงินจากคุณได้อย่างเป็นเอกฉันท์

อ่านเิ่พิ่มเติมได้ที่ //www.ecareasy.com




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554   
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 9:10:48 น.   
Counter : 1709 Pageviews.  

แอบดูญี่ปุ่นตรวจ Nissan March ..เล่นกันแบบนี้เลยทีเดียว

แม้จนถึงตอนนี้ค่ายรถยนต์คู่แข่งจะเปิดตัวรถอีโค่คาร์ออกมาชนโรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนว่า Nissan จะยังครองความเป็นผู้นำอยู่ หลังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวรถของคู่แข่งเอง จนถึงการไม่สามารถตอบสนองได้จากภัยร้ายสึนามิ

เรื่องหนึ่งที่เราได้ยินกันมานานเกี่ยว Nissan March นั้นคงไม่พ้นการผลิตในไทยส่งออกไปยังบ้านเกิดของแบรนด์ในญี่ปุ่นที่จวบจน วันนี้ก็ผ่านมาเกือบปี ที่ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปีที่ผ่านมาเราได้ข่าวมาว่ า Nissan โดนสอบเข้มรถที่ส่งกลับไปขาย ด้วบริษัทแม่ตั้งทีมเฉพาะขึ้นมาตรวจสอบที่เรียกว่า "เนนิริ"


มาวันนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการเผยวีดีโอถึงการตรวจสอบของรถ Nissan March ที่ต้องเข้มงวดถึงอัตราส่วน 1/100 มิลลิเมตร ในความถูกต้องในการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ จากโรงงาน ที่ยังต้องแสกนด้วยเลเซอร์เข้าคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ที่คงทำให้หลายๆคนวางใจในคุณภาพได้

ทั้งนี้มาตรฐานการตรวจสอบนี้คุณสามารถดูได้จากวีดีโอใหม่ล่าสุดจากค่ายรถยนต์ Nissan ที่อัพโหลดขึ้น Youtube ที่มันช่างทำให้เราฉงนที่ไม่อยากเชื่อว่าบ้านเราจะมีมาตรฐานงานประกอบรถยนต์ดีมากขนาดนี้..

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้รู้ขั้นตอนเช่นกัน และมันน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อนี่คือ การตรวจสอบรถที่ออกจากสายการผลิตในบ้านเรา ซึ่งวันนี้นิสสันก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นอีกหนึ่งรถดีทีคุณภาพที่มองข้ามไม่ ได้..




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2554   
Last Update : 6 มิถุนายน 2554 21:33:39 น.   
Counter : 1099 Pageviews.  

Opel Zafira Tourer : ร่างใหม่คงความอเนกประสงค์เหมือนเดิม

เป็นอีกผลผลิตที่ถูกพัฒนามาจากต้นแบบ โดยในตอนนี้โอเปิลเผยโฉมคันจริงของซาฟิร่าใหม่ออกมาแล้ว โดยมีขื่อทัวเรอร์ต่อท้ายเหมือนกับรุ่นต้นแบบที่เผยโฉมในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2001 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และแม้ว่าจะยังไม่มีข่าวคอนเฟิร์มว่าโฉมใหม่ที่เห็นอยู่นี้เป็นตัวแทนของซา ฟิรา บี หรือรุ่นที่ 2 หรือว่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เข้ามาเจาะตลาดในระดับที่สูงกว่าตามที่มี ข่าวออกมาก่อนหน้านี้

ชื่อของซาฟิราเป็นที่รู้จักกของคนทั่วโลกรวมถึงนักขับชาวไทย เมื่อปี 1999 เมื่อโอเปิลเผยโฉมรถยนต์อเนกประสงค์ในคลาสคอมแพ็กต์ที่แชร์พื้นฐานร่วมกับแอ สตราออกสู่ตลาด โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ระบบ Flex7 ซึ่งเป็นการพับเบาะนั่งทั้ง 3 แถว 7 ที่นั่งให้สามารถปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่างๆ เพื่อความอเนกประสงค์ในการใช้งาน โดยในบ้านเราซาฟิราถูกเปลี่ยนมาสวมเป็นชื่อเชฟโรเลตเพื่อทำตลาด เช่นเดียวกับในอังกฤษ ที่เปลี่ยนมาเป็นวอกซ์ฮอลล์แทนที่จะเป็นโอเปิล

ซาฟิราทำตลาดมา 2 รุ่น คือ รุ่นแรก หรือ A และรุ่นที่ 2 หรือ B ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2005 ส่วนรุ่นใหม่นี้ยังไม่มีคำตอบที่เคลียร์ว่าเป็นรุ่นที่ 3 หรือเปล่า เพราะว่าก่อนหน้านี้สื่อมวลชนในยุโรปตีข่าวว่าซาฟิรา ทัวเรอร์เป็นการอัพเกรดตัวรถให้ขยับขึ้นไปอยู่ในกลุ่ม D-Segment เพื่อแข่งกับโฟล์คสวาเกน ชาราน และฟอร์ด เอส-แม็กซ์ ส่วนในกลุ่ม C-Segment ยังเป็นซาฟิรารุ่นเดิมทำตลาด

อย่างไรก็ตามโอเปิลไม่ได้เปิดเผยออกมาถึงเรื่องนี้ และเมื่อดูจากสเปกตัวถังแล้ว ซาฟิรา ทัวเรอร์ก็ไม่ได้ถูกขยายขนาดเสียจนใหญ่ใกล้เคียงกับคู่แข่งที่เอ่ยชื่อข้าง ต้น โดยมีระยะฐานล้อในระดับ 2,760 มิลลิเมตร หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมเพียง 57 มิลลิเมตรเท่านั้นเอง ก็เลยทำให้สงสัยว่าจะเป็นแค่ข่าวลวงหรือเปล่า

สำหรับซาฟิรา ทัวเรอร์มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากตัวต้นแบบ และพกความอเนกประสงค์บนความสปอร์ตมาเต็มพิกัด โดยพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังมีความจุ 710 ลิตรเมื่ออยู่ในโหมด 5 ที่นั่ง หรือที่นี่ง 2 แถว แต่จะเพิ่มเป็น 1,860 ลิตรเมื่อพับเบาะแถวที่ 2 ลงมา ส่วนเบาะนั่งมากับแนวคิด Flex 7 เหมือนเดิม สามารถพับได้หลากหลายแบบเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย

โอเปิลเผยสเปกของเครื่องยนต์ที่จะทำตลาดในช่วงแรกคร่าวๆ ว่าจะมีด้วยกัน 4 แบบแต่เน้นไปที่เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเพราะมีให้เลือกถึง 3 รุ่นทีเดียวบนพื้นฐานของ 4 สูบ 2,000 ซีซี โดยมีกำลังสูงสุดที่ 110, 130 และ 165 แรงม้า ขณะที่รุ่นเบนซินเป็นแบบ 1,400 ซีซีเทอร์โบ 140 แรงม้า โดยเลือกได้ทั้งเกียร์แบบธรรมดา หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ

นอกจากรุ่นที่ใช้น้ำมันแล้ว ตามธรรมเนียมของซาฟิราจะต้องมีเวอร์ชันพลังงานทางเลือกมาให้สัมผัสด้วย และในรุ่นนี้มีให้เลือก 2 แบบเหมือนเดิม คือ CNG และ LPG พร้อมกับเสริมด้วยรุ่นประหยัดน้ำมันที่เรียกว่า EcoFlex ด้วย ซึ่งในรุ่นนี้จะมีการติดตั้งระบบ Start/Stop ซึ่งจะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดติดอยู่กับที่ ช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และการปล่อยไอเสียออกสู่อากาศ

แม้จะเผยภาพให้เห็นหน้าตาของคันจริงแล้วก็ตาม แต่คันจริงๆ แบบสัมผัสได้ด้วยมือยังไม่มีการนำออกมาจัดแสดง เพราะโอเปิลเผยว่าจะนำออกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน IAA หรือแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2011 ซึ่งจะมีขึ้นที่ประเทศเยอรมนีในช่วงเดือนกันยายนนี้ และจะขายในยุโรปช่วงปลายปีทันที ส่วนตลาดกลุ่มอื่นก็ต้องรอสักระยะ




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2554   
Last Update : 5 มิถุนายน 2554 22:10:43 น.   
Counter : 1321 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]