เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

โฟล์คสวาเกน ขึ้นเบอร์ 1 โลก ทำยอดขายแซงโตโยต้า





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          โฟล์คสวาเกน ทะยานขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์เบอร์ 1 ของโลก ทำยอดขายแซงหน้าโตโยต้า ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ

          เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐฯ รายงานว่า โฟล์ค
สวาเกน ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมัน เปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้ว
รถยนต์จากค่ายโฟล์คสวาเกน มียอดขายสูงถึง 8.156 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า
14 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2010 แซงหน้าค่ายรถยนต์คู่แข่งอย่าง
โตโยต้า มอเตอร์ จากประเทศญี่ปุ่น โดยโฟล์คสวาเกนนั้น
เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับหนึ่งมาตลอด
จนกระทั่งบริษัทโตโยต้าที่เข้ามาแย่งอันดับ 1 ไปได้ในปี 2008













          ทั้งนี้ บริษัท โตโยต้า ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ
และโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิม่า ซึ่งทำให้มีผลต่อยอดขายในปี 2011
ของโตโยต้า ที่ขายรถยนต์ได้เพียง 7.9 ล้านคัน ส่วนทางด้าน บริษัท เจเนอรัล
มอเตอร์ หรือ จีเอ็ม นั้น ยังไม่ได้แถลงผลประกอบการ แต่มีการคาดการณ์ว่า
น่าจะขายรถยนต์ได้ที่ประมาณ 9 ล้านคัน โดยอ้างอิงจากแผนงานใน 3
ไตรมาสแรกของปี

          สำหรับ
โฟล์คสวาเกน เป็นผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อ ออดี้  (Audi ) สโกด้า (Skoda) และ
ซีท (Seat) นั้น ตั้งเป้าหมายในการผลิตรถยนต์กว่า 10 ล้านคันต่อปี
และกำลังจะแซงหน้าโตโยต้าและจีเอ็ม ขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในปี
2018 ซึ่งผู้วิเคราะห์บางคน กล่าวว่า โฟล์คสวาเกน
ได้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากตัวเลขการผลิตรถยนต์จากทางจีเอ็มนั้น
ได้รวมถึงรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทร่วมทุนในจีนแล้ว










          นายคริสเตียน คริงเลอร์
ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของโฟล์คสวาเกน กล่าวว่า สินค้าทุกตัวของบริษัท
ได้มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ที่มีการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือว่า
นี่เป็นผลงานที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น ในปี 2012
ความเสี่ยงต่าง ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นในตลาดรถยุโรป เนื่องจากกว่า 17
ประเทศในยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร 
ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤษเศรษฐกิจที่เป็นหนี้สาธารณะ และมีความกลัวกันว่า
ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้จะเบี้ยวนัดจ่ายหนี้ และส่งผลเสียต่อระบบธนาคาร
ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจตามมา และเศรษฐกิจแบบยูโรโซน ก็หดตัวลงใน 3
เดือนสุดท้ายของปี 2011 อีกด้วย

          รายงาน
ระบุด้วยว่า ในปี 2011 นั้น
ค่ายรถยนต์จากประเทศเยอรมันดูเหมือนจะทำกำไรได้ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศจีน ค่ายโฟล์คสวาเกน ค่ายรถยนต์
เดมส์เลอร์ ผู้ผลิต รถยนต์อย่างเมอร์ซิเดส เบนซ์ (Mercedes- Benz)
บีเอ็มดับเบิ้ลยู (BMW) และปอร์เช่  (Porsche)
ต่างก็มียอดขายที่ดีในปีก่อนทั้งนั้น
โดยที่บริษัทเดมส์เลอร์
ผู้ผลิตรถยนต์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู กล่าวว่า รถยนต์อย่างบีเอ็มดับเบิ้ลยู ,
มินิ และ โรลรอยซ์ มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 14.2 เปอร์เซ็นต์ นับจากปี 2010
คิดเป็นยอดขายทั้งสิ้นกว่า 1.67 ล้านคัน โดยรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิ้ลยู
มียอดขายรถยนต์ที่มากกว่ารถตู้ เอสยูวี กว่า 12.8 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า
1.38 ล้านคัน ส่วนรถยนต์ระดับหรูอย่างโรลรอยซ์ มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 30.5
เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 3,538 คันทั่วโลก ทำลายสถิติยอดขายในปี 1978




 

Create Date : 11 มกราคม 2555   
Last Update : 11 มกราคม 2555 22:08:24 น.   
Counter : 1766 Pageviews.  

อแวนซ่าปรับโฉมเริ่มต้น5.69แสน















       บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำ “อแวนซา” ใหม่ “Smart in Style....เติมสไตล์ล้ำ เต็มสไตล์คุณ” รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 5 ประตู 7 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานในเมืองด้วยรูปแบบรถอเนกประสงค์ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Dynamic & Spacious” ด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้มีความกว้างขวางมากขึ้น เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ภายนอกได้รับการดีไซน์ให้มีความทันสมัย
       
      
       ภายในห้องโดยสารดีไซน์สปอร์ต หรูหรา และ กว้างขวางยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถนะดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยระบบวาล์วอัจฉริยะ VVT-i ให้กำลังสูงสุด 101 แรงม้า ตอบสนองการใช้งานคล่องตัว ประหยัดน้ำมัน สามารถใช้น้ำมันแก๊ซโซฮอล์ E20 รวมถึงผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวด ยูโร ระดับ4 ก่อนการบังคับใช้จริงถึง 1 ปี นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงช่วงล่างใหม่เพื่อตอบสนองการขับขี่ที่นุ่มนวล และการทรงตัวที่ดียิ่งขึ้น








       นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าหลักของอแวนซา ได้แก่ คนหนุ่มสาว ช่วงอายุประมาณ 25-35 ปี หรือเพิ่งเริ่มต้นชีวิตครอบครัว ใช้เหตุผลในการใช้จ่าย ซึ่งเรามั่นใจว่า อแวนซา ใหม่ จะเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ 5 ประตู 7 ที่นั่ง ที่มีความคุ้มค่าและง่ายแก่การเป็นเจ้าของ ทั้งในด้านของราคาและความเปี่ยมอรรถประโยชน์ใช้สอย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยมีเป้าหมายการขายในช่วงแนะนำ 3 เดือนแรกประมาณเดือนละ 500 คัน







       อแวนซ่าเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยครั้งแรก เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2547 ในรูปแบบรถยนต์นั่งแนวใหม่ “Compact Multi - Purpose Vehicle” มียอดขายสะสมนับจากการเปิดตัวจนกระทั่งปัจจุบัน 24,133 คัน* (* ยอดจำหน่ายตั้งแต่เปิดตัวปี 2547 - เดือนพฤศจิกายน 2554) อแวนซ่ามีจำหน่าย 3 รุ่นคือ 1.5 S เกียร์อัตโนมัติ ราคา 699,000 บาท 1.5 G เกียร์อัตโนมัติ ราคา 659,000 บาท และ 1.5 E เกียร์ธรรมดา ราคา 569,000 บาท







      







      










 

Create Date : 10 มกราคม 2555   
Last Update : 10 มกราคม 2555 20:26:51 น.   
Counter : 1222 Pageviews.  

หลุด ว่าที่ 2013 Ford Fusion / Modeo งามมากจากเส้นสายใหม่

อาจจะไม่ใช่รถที่เข้ามาขายในบ้านเรา แต่ที่ผ่าน ford ก็เคยมีการนำรถยนต์เข้ามาจำหน่ายบ้าง แม้จะยังไม่โดนใจคนไทยอะไรมากมายนัก แต่ เส้นสายของว่าที่รุ่นต่อไปใน ซีดานขนาดกลางจากค่าย Ford อาจจะถูกใจก็ได้


Ford Fusion 2013 ยังไม่เคยมีข่าวประาฏกที่ไหนมาก่อน แต่ค่ายรถยนต์ Ford
นั้น กลับ เจอมือดีเผยภาพของ ว่าที่ 2013 Ford Fusion หรือ Mondeo
ใหม่ที่ต่างประเทศ โดยภาพชุดใหม่นี้
เป็นการเผยถึงใบหน้าที่มีความทันสมัยยิ่งขึ้น
และมันได้รับการถ่ายทอดมาจากต้นแบบเส้นสายใหม่ Ford Evos Concept
ที่เคยเปิดเผยตัวตนไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา



2013 Ford Fusion / Modeo

รายละเอียดต่างๆนั้น อาจจะยังไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นการแต่ 2013
Ford Fusion นั้นน่าจะมาพร้อมเครื่องยนต์ Ecoboost
ให้สมรรถนะเต็มกำลังพ่วงความประหยัดเหนือชั้นทั้งเครื่องยนต์ 1.6 และ 2.0
ลิตร ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ในรถหลายรุ่นในต่างประเทศ
ซึ่งอาจจะมีรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดที่น่าจะใช้ระบบกลไกแบบ Atkinson Cycle
ด้วย


ทั้งนี้ Ford Fusion 2013 อาจจะต้องรอเวลาการเปิดเผยรายละเอียด ที่มีความเชื่อว่าน่าจะเป็นในงาน Detroit auto show 2012





Sanook! Auto Comment >>
Ford Modeo นั้น อาจจะเป็นชื่อที่คุ้นหูในบ้าน
ที่เคยเข้ามาจำหน่ายก่อนหน้านี้ในหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะจางหายไปตามกาลเวลา
และน้อยคนนักจะทราบว่ามันเคยมีเข้ามาด้วย เส้นสายของ Ford Fusion
ใหม่นั้น บ่งบอกให้เห็นการพัฒนาต่อเนื่องของค่ายรถยนต์ เจ้านี้
ที่เราคงต้องจับตาต่อไป โดยเฉพาะในไทย
ที่มีการเปิดเผยในเรื่องการุกตลาดที่จะเปิดรถ 8 รุ่นในอนาคต





ที่มาจาก Car-scoop- Autoforum




 

Create Date : 09 มกราคม 2555   
Last Update : 9 มกราคม 2555 23:21:51 น.   
Counter : 1121 Pageviews.  

Volvo V60 Plug-in:ดีเซลไฮบริด-เสียบปลั๊กได้
































       เป็นต้นแบบยั่วน้ำลายบรรดาแฟนๆ
ของวอลโว่ที่มีหัวใจสีเขียวมานาน
ในที่สุดโครงการผลิตรถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก หรือ Plug-in Hybrid
ของวอลโว่ก็กลายเป็นความจริงแล้วเมื่อเปิดตัวรุ่น V60 Plug-in ออกสู่ตลาด ชูจุดเด่นในความเป็นไฮบริดแบบดีเซลที่สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าสำหรับแล่นในโหมด EV


      

       แน่นอนว่าผลผลิตนี้ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับวอลโว่
ในการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือก
และถือเป็นรถยนต์ไฮบริดแบบดีเซลรุ่นแรกของวอลโว่ คาร์ ที่ถูกส่งขายในตลาด
ซึ่งวอลโว่ชูจุดเด่นในแง่ของการผสมผสานสมรรถนะในการขับเคลื่อนที่สามารถ
เลือกได้ปลายนิ้วสัมผัสว่าจะเอาแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในแบบ EV
ความประหยัดน้ำมันในแบบไฮบริด
หรือเน้นสมรรถนะในการขับเคลื่อนอย่างสุดเร้าใจ


























       “โครงการพัฒนารถยนต์ไฮบริดของเราได้รับความสนใจและถูกจับตา
มองมาโดยตลอด นับจากการเปิดตัวต้นแบบในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011
เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา และในตอนนี้
เราพร้อมแล้วที่จะผลักดันโครงการนี้ให้เป็นความจริงสำหรับทำตลาด” สเตฟาน ยาโคบี้ ประธานและ CEO ของวอลโว่ คาร์ กล่าว


      

       การผลิตจะมีขึ้นล็อตแรกเพียง 1,000 คัน เท่านั้น และมากับสีเงินโทน Electric Silver เพียงแบบเดียว
โดยตัวรถแชร์พื้นฐานมาจากตัวถังแวกอนของรหัส 60 และใช้ชื่อในการทำตลาดว่า
V60 Plug-in และเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อแม็กขนาดใหญ่ 17 นิ้ว
ที่มีลวดลายการออกแบบสอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์
เช่นเดียวกับการติดตั้งสเกิร์ตและสปอยเลอร์รอบคันเพื่อลดแรงต้านทานขณะแล่น
ทะยาน


























       สิ่งที่น่าสนใจคือ รถยนต์รุ่นนี้จะมากับระบบที่เรียกว่า DIM หรือ Driver Information Monitor ซึ่งมาตรวัดที่คุ้นเคยจะถูกแทนที่ด้วยหน้าจอแบบ LED ที่
จะแสดงผลข้อมูลต่างๆ และสามารถเลือกเปลี่ยนการแสดงผลได้ตามความต้องการ
ขณะที่การเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ของตัวรถสามารถทำผ่าน Application ใน Smart
Phone ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนการชาร์จไฟ
หรือการปรับตั้งระบบปรับอากาศ


      

       การขับเคลื่อนเป็นงานของระบบไฮบริดซึ่งเป็นการจับคู่ของ
เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลในตระกูล D6 บล็อก 5 สูบเรียง 2400 ซีซี เทอร์โบ
ซึ่งมีกำลังสูงสุด 215 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 44.8 กก.-ม.
แต่เมื่อจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 70 แรงม้าแล้ว
แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริง
แต่วอลโว่เผยว่ามีสมรรถนะในการขับเคลื่อนไม่เป็นรองเครื่องยนต์เบนซิน
เทอร์โบในตระกูล T6 ส่วนหน้าที่ในการเก็บกระแสไฟฟ้าเป็นแบตเตอรี่ขนาด 20
เซลล์ 11.2 kWh โดยถูกติดตั้งอยู่ที่ใต้พื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย


























       ใน V60 Plug-in มีโหมดการขับเคลื่อนให้เลือก 3 แบบด้วยกัน คือ Pure, Hybrid และ Power

ซึ่งแบบแรกเป็นการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าที่อยู่ใน
แบตเตอรี่ ซึ่งถ้าชาร์จมาจนเต็มก็แล่นทำระยะทางได้ไม่เกิน 50 กิโลเมตร
เรียกว่ามาในรูปแบบ EV


      

       ส่วนแบบไฮบริดมีความประหยัดน้ำมันอย่างยอดเยี่ยมด้วยตัวเลข
52 กิโลเมตร/ลิตร จากการทดสอบตามมาตรฐานของ NEDC
และมีการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 49 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร น้ำมัน 1
ถังสามารถแล่นได้เกิน 1,000 กิโลเมตร ขณะที่โหมด Power
มาพร้อมกับความเร้าใจเมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
ซึ่งให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 6.2 วินาที


























       เช่นเดียวกันในแง่ของรูปแบบการขับเคลื่อนนั้น
ก็สามารถเปลี่ยนไปตามโหมดที่เลือก
โดยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลรับหน้าที่ขับเคลื่อนล้อหน้า
และมีมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งในโหมด Pure
ที่ขับเคลื่อนในแบบรถยนต์ไฟฟ้า
เท่ากับว่าจะแปลงร่างเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ 4 ล้อ
หรือล้อหน้าในโหมด Hybrid และ Power


      

       การทำตลาดจะมีขึ้นในปีหน้า
โดยในปีแรกมีการผลิตเพียง 1,000 คัน และจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 คันในปี
2014 ส่วนราคายังไม่มีการเปิดเผยออกมาในตอนนี้






















 

Create Date : 08 มกราคม 2555   
Last Update : 8 มกราคม 2555 21:16:02 น.   
Counter : 1129 Pageviews.  

มาสด้า บีที-50 โปร...นี่มันเก๋งยกสูงชัดชัด
















































      ใคร
มีโอกาสไปงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011ครั้งที่ผ่านมา
แล้วเดินดุ่มไปแถวบูธมาสด้าคงได้เห็นปิกอัพคันโต
หน้าตาสวยประหลาดจอดเด่นเป็นสง่าอยู่สองคัน โดยบริษัท มาสด้า เซลส์
ประเทศไทย จำกัด ขอโหนกระแสไปกับคู่แข่ง
และไม่ยอมเสียโอกาสในอารมณ์ซื้อขายช่วงปลายปี ซึ่งจริงๆแล้ว “บีที-50 โฉมใหม่” มีคิวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มกราคมนี้


























       ที่บอกว่าไม่ยอมเสียโอกาสในการขาย เพราะในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011
มาสด้าได้แย้มราคาบีที-50บางรุ่นออกมาเพื่อให้ลูกค้าที่สนใจได้จอง
ซึ่งมาสด้าแจ้งว่าหลังการเปิดตัว ก็จะมีรถพร้อมส่งมอบทันที
(เห็นว่ามีสต็อกล็อตแรกไว้ 2,000 คัน)

      

       โดยตัวถังฟรีสไตล์แค็บขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาเริ่มต้น 5.8 แสนบาท
ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสองล้อยกสูง “ไฮเรเซอร์” ราคา 6.5 แสนบาท
ขณะที่ตัวถังดับเบิลแค็บเริ่มต้น 6.2 แสนบาท และรุ่น“ไฮเรเซอร์”ราคา 7.4
แสนบาท ทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร

      

       อย่างไรก็ตามก่อนถึงวันที่ 24 มกราคม
มาสด้าพยายามสร้างกระแสให้ปิกอัพคันเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดพาสื่อมวลชนไปเข้าห้องเรียนทำความรู้จักกับ “บีที-50 โมเดลเชนจ์”
พร้อมลองขับระยะทางสั้นๆ ที่สนามทดสอบยางบริดจสโตน จังหวัดสระบุรี

      

       งานนี้ได้ “ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์”
ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
มาบอกถึงแนวคิดการพัฒนา และจุดเด่นจุดขายของ “บีที-50 โฉมใหม่”


























      

























       สำหรับบีที-50 โฉมใหม่ จะมีชื่อหรือ Sub-name ต่อท้ายว่า “โปร”
เพื่อให้ติดหูผู้บริโภค และสร้างความเข้มแข็งในการรับรู้มากขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างแชสซีส์
ตัวถัง การตกแต่งภายนอก-ภายใน เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก-ปลอดภัยต่างๆ

      

       โดยมาสด้าพยายามเน้นว่า “บีที-50 โปร”
จะเข้ามาลดช่องว่างระหว่างเก๋งกับปิกอัพให้น้อยลง หรือกล่าวคือ “บีที-50
โปร” มีรูปลักษณ์ทันสมัย พร้อมประโยชน์ใช้สอยอันสอดรับกับชีวิตสมัยใหม่
ทั้งยังขับไปได้ทุกที่ ตั้งแต่ห้างใหญ่ไปจนถึงโรงแรมหรู
ขณะเดียวกันยังมอบการขับขี่ที่เป็นเลิศ จากเครื่องยนต์ทรงพลัง
ช่วงล่างนิ่มนวล หรือไม่กระด้างเหมือนปิกอัพในอดีต

























       “บีที-50 โปร
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและบ่งบอกได้เลยว่านี่คือรถมาสด้าตั้งแต่แรกเห็น
สะท้อนการออกแบบในอนาคต ตลอดจนอุปกรณ์ทุกชิ้นส่วนมีความกลมกลืนสวยงาม
อันอยู่บนพื้นฐานความแข็งแกร่ง และมากด้วยประโยชน์ใช้สอยตามแบบฉบับปิกอัพ”
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ กล่าว

      

       ในส่วนของข้อมูลทางเทคนิคไล่เรียง
ตั้งแต่เครื่องยนต์ดีเซล DI THUNDER PRO 5 สูบ3.2 ลิตรและ 4 สูบ2.2
ลิตรที่มาสด้าย้ำว่าถูกปรับจูนโดยวิศวกรของตนเองเพื่อให้ได้บุคคลิกการขับ
ขี่ตามสไตล์มาสด้า (แต่แรงม้าแรงบิดยังเท่ากับพันธมิตรในการพัฒนา ฟอร์ด
เรนเจอร์)


      

       โดยดีเซลคอมมอนเรล บล็อก 5 สูบ 20 วาล์ว ขนาด 3.2ลิตร เทอร์โบแปรผัน
อินเตอร์คูลเลอร์ มีความกว้างกระบอกสูบ 89.9 มิลลิเมตร ช่วงชัก 100.7
มิลลิเมตร ปริมาตรเครื่องยนต์สุทธิ 3198 ซีซี รีดกำลังสูงสุดได้ 200
แรงม้าที่ 3,000 รอบต่อนาที แรงบิด 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500
รอบต่อนาที

      

       ส่วนดีเซลคอมมอนเรล บล็อก 4 สูบ 2.2 ลิตร มาพร้อมเทอร์โบแปรผัน
และอินเตอร์คูลเลอร์ มีความกว้างกระบอกสูบ 86.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 94.6
มิลลิเมตร ปริมาตรสุทธิ 2199 ซีซี
ซึ่งเครื่องบล็อกนี้มีน้ำหนักและขนาดเบากว่า MZR-CD 2.5 ลิตรเดิม
แต่รีดกำลังได้ถึง 150 แรงม้าที่ 3,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 375
นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที (2.5 เดิม 330 นิวตันเมตร)

























      

























       ด้านระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และธรรมดา 6
สปีด โดยปรับอัตราทดในแต่ละเกียร์ให้สัมพันธ์กัน
คลอบคลุมการทำงานตั้งแต่รอบต่ำ
หรือการวิ่งทางไกลความเร็วสูงจะช่วยเรื่องการประหยัดน้ำมันดีขึ้น

      

       นอกจากนี้เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ยังมาพร้อมระบบ AAS - Active
Adaptive Shift เหมือนมาสด้า 3
ซึ่งจะประเมินข้อมูลต่างๆและสถานการณ์การขับขี่
เพื่อสั่งงานควบคุมการทำงานของเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับใจผู้ขับ ขณะเดียวกันยังมีฟังก์ชัน SSC -Sequential Shift
Control ให้ผู้ขับเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดาอีกด้วย

      

       ด้านช่วงล่างหน้าเป็นปีกนกสองชั้น
และเปลี่ยนจากทอร์ชันบาร์มาเป็นคอยล์สปริง
พร้อมปรับตำแหน่งยึดของเหล็กกันโคลงหน้า เพื่อช่วยลดการโคลงตัวของรถ
ส่วนช่วงล่างหลังเป็นคานแข็งและแหนบแผ่นซ้อน
โดยความยาวของแหนบเพิ่มขึ้นเป็น 1,330 มิลลิเมตร (เดิม 1,320 มิลลิเมตร)
รวมถึงพัฒนาจุดเชื่อม และยางซับแรงกระแทกต่างๆ
หวังลดแรงสะเทือนจากพื้นถนนให้ดียิ่งขึ้น

      

       ขณะที่พวงมาลัยหันมาใช้แบบแรคแอนด์พิเนียน
แทนความโบราณของบอลแอนด์นัทเดิม
ทั้งยังพัฒนาโครงสร้างการยึดชุดระบบบังคับเลี้ยวแบบ Rigid Mounting
ซึ่งไม่มีการใช้บุชยาง รวมถึงติดตั้งแดมเปอร์ วาล์ว
เพื่อการควบคุมที่ง่ายขึ้น

























      

























       ดังนั้นบีที-50 โปร ที่มีความยาวฐานล้อมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม
แต่ด้วยการเพิ่มมุมองศาการเลี้ยว ส่งผลให้ระยะวงเลี้ยวแคบสุด 11.8 เมตร
(เดิม 12 เมตร) ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 12.4 เมตร
ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ

      

       ขณะที่ระบบเบรกเป็นหน้าดิสก์หลังดรัม
พร้อมระบบเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ
ขณะที่เส้นผ่าศูนย์กลางของดิสก์เบรกหน้าใหญ่ขึ้นเป็น 16 มิลลิเมตร (เดิม 14
มิลลิเมตร)
และเปลี่ยนมาใช้คาลิปเปอร์เบรกแบบลูกสูบคู่อีกด้วย(เดิมเป็นคาลิปเปอร์
เดี่ยว)


      

       ด้านระบบความปลอดภัยถือว่ามาสด้าจัดหนักไม่แพ้ใคร ทั้ง
เทรคชันคอลโทรล ป้องกันล้อหมุนฟรี เบรกป้องกันล้อล็อก ABS
ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน EBA
ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง DSC รวมถึงระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
Hill Launch Assist และระบบควบคุมความเร็วเมื่อขับลงทางลาดชัน Hill Descent
Control เป็นต้น
ทั้งนี้แต่ละระบบอาจจะมาเป็นออปชันต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อย

      

       ในส่วนของความรู้สึกการขับขี่ ผู้เขียนมีโอกาสลองขับ 2
รุ่นทั้งตัวถังดับเบิลแค็บรุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ
ขับเคลื่อนสี่ล้อ และตัวถังฟรีสไตล์แค็บ เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร เกียร์ธรรมดา
ขับเคลื่อนสองล้อยกสูง

























      

























       โดยขับรุ่นละหนึ่งรอบสนามทั้งทางตรง โค้งยาว รวมถึงถนนแคบคดเคี้ยว
และทางขรุขระ หรือระยะทางรวมๆไม่น่าจะเกิน 6-7 กิโลเมตรต่อรอบ
ซึ่งความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้เหมือนกันทั้งสองรุ่นคือการเก็บเสียงภายใน
ห้องโดยสารค่อนข้างดี การสั่นแรงสะท้านของเครื่องยนต์น้อย
(ตอนดับเครื่องจะรู้สึกชัด)

      

       ส่วนช่วงล่างพัฒนาใหม่
ซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนนุ่มนวลให้อารมณ์เทียบเท่าเอสยูวี
(ที่ใช้พื้นฐานรถยนต์นั่ง) โดยขับผ่าน SPECIAL ROAD SURFACE
ซึ่งมีพื้นผิวขรุขระหลากหลาย (มีให้เลือกว่าจะวิ่งเลนไหน) ระยะทางประมาณ
500 เมตร รับรู้ถึงความนิ่งเงียบ
และอาการเด้งกระดอนสะท้อนเข้ามาในห้องโดยสารน้อย


      

       ส่วนการขับขี่ความเร็วสูง (ไม่มีโหลด)
แม้จะตัวถังจะมีการโยนตัวบ้างเล็กน้อย แต่ในภาพรวมถือว่าทรงตัวยอด
ตัวรถถ่ายเทน้ำหนักเยี่ยม

      

       พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดี
ยิ่งช่วงเข้าโค้งยาวหรือหักเลี้ยวในโค้งแคบตอบสนองการขับคล่องตัว
แต่ก็อาจมีอาการเหวี่ยงดึงตามสภาพรถยกสูงอยู่บ้าง

      

       ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร 200 แรงม้า ขับได้พลุ่งพล่าน
แรงบิดจัดให้ต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ
ส่วนเกียร์อัตโนมัติส่งกำลังฉับไวไร้การกระตุก ขณะที่รุ่น 2.2 ลิตร 150
แรงม้า เกียร์ธรรมดา พลังมาแบบสมเหตุสมผล
คันเกียร์สั้นแต่การสับเปลี่ยนค่อนข้างยาก(อาจไม่คุ้น)
ส่วนแป้นคลัทซ์ไม่หนักและจับไม่ลึกมาก
ทั้งยังติดระบบไฟเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ Shift Indicator
(ช่วยถนอมเครื่องยนต์)เหมือนรถสปอร์ตมาให้อีกด้วย

      

       รวบรัดตัดความ...ถือ
เป็นน้ำจิ้มเล็กน้อย ทั้งการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิค พร้อมลองขับสั้นๆ
แต่กระนั้นทำให้รับรู้ถึงบุคลิกใหม่ของ“บีที-50 โปร”พอสมควร
โดยเฉพาะช่วงล่างเซ็ทมานุ่มนวล หรือนิ่มกว่าพันธมิตร “ฟอร์ด
เรนเจอร์”แบบรู้สึกได้ ขณะที่การขับรวมๆก็ดีเข้าขั้นเอสยูวีแท้ๆ
หรือถ้าจะเปรียบ“บีที-50 โปร” เป็นรถยนต์นั่งยกสูง คงไม่เกินเลยนัก

























      

























      

























      

























      





















 

Create Date : 07 มกราคม 2555   
Last Update : 7 มกราคม 2555 18:54:31 น.   
Counter : 1415 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]