เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

เปิดหลักเกณฑ์คืนภาษี รถคันแรก ซื้อก่อนปี 49 ส้มหล่น!!!






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

ทันทีที่ มติ ครม.เมื่อวันที่ 13 กันยายน ไฟเขียวมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ก็ส่งผลให้ทั้งผู้ที่ฝันอยากจะมีรถคันแรกหลายคนถึงกับเฮ ที่จะได้รับสิทธิจากนโยบายนี้ ขณะที่ค่ายรถน้อยใหญ่ต่างก็ขานรับ และเร่งปรับกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายกันจ้าละหวั่น หลังจากก่อนหน้านี้นโยบายดังกล่าวยังสร้างความสับสนในรายละเอียด ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ใครจะเดินเข้าไปเลือกซื้อรถยนต์ เพื่อรับสิทธิ์คืนภาษีแล้ว ผู้ซื้อต้องตรวจสอบหลักเกณฑ์ของนโยบายนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน เพื่อพิจารณาให้ดีว่า เราเข้าข่ายได้รับสิทธินี้หรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์นโยบายรถคันแรก มีดังนี้

1. ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ

2. ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555

3. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน

4. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)

5.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)

6. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน

7. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

8. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์

9. การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน

10. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้

11. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย

สำหรับแนวทางการดำเนินงาน หลังจากซื้อรถยนต์ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นในช่วงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555 แล้วนั้น ผู้ซื้อรถคันแรกต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ดังนี้

- หนังสือยินยอมสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปี

- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ

- สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

จากนั้นกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ จะส่งหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ ก่อนที่กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน

เมื่อบันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ลงในคอมพิวเตอร์แล้ว กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด จะส่งหนังสือรับรองการครอบครองรถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ให้กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ เมื่อกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จะสั่งจ่ายเช็คเงินสดคืนให้แก่ผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบจากราคารถยนต์ และอัตราภาษีของรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ในท้องตลาด เพื่อคิดเป็นสัดส่วนเงินภาษีที่จะได้รับคืน จะพบว่า

- รถอีโคคาร์ ราคาประมาณคันละ 3.75-5.4 แสนบาท เก็บภาษี 17% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเฉลี่ย 45,000 บาท

- รถยนต์นั่งขนาดเล็ก (ไม่เกิน 1,500 ซีซี) ราคาประมาณคันละ 5-7 แสนบาท เก็บภาษี 25% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

- รถกระบะ 2 ประตู ราคาประมาณคันละ 3-5 แสนบาท เก็บภาษี 3% ผู้ซื้อจะได้รับเงินเฉลี่ย 10,000 บาท

- รถกระบะ 4 ประตู ราคาประมาณคันละ 7-8 แสนบาท เก็บภาษี 12% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเฉลี่ย 60,000 บาท

โดยมาตรการการคืนเงินภาษีดังกล่าวนี้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มั่นใจว่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้ทุกประเภท ทั้งภาษีรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นเงินที่มากกว่าจำนวนเงินที่จะต้องใช้คืนภาษีรถคันแรก โดยจะใช้งบประมาณราว 3 หมื่นล้านบาท และเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน

อย่างไรก็ตาม รมช.คลัง ยอมรับว่า ยังไม่ได้หารือแนวทางการป้องกันการสวมสิทธิ์ แต่ก็จะขอร้องให้ผู้ที่จะมาสวมสิทธิ์แสดงความเห็นใจบุคคลที่ยังไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองด้วย

ขณะที่ นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวถึงการดำเนินงานตามมาตรการรถคันแรก ว่า ทางกรมขนส่งทางบกจะเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายชื่อการยื่นจดทะเบียนการครอบครองรถยนต์ไปยังกรมสรรพสามิต เพื่อตรวจสอบว่า ผู้ที่ยื่นขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรถคันแรกเคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อนหรือไม่ หากพบว่ามีรายชื่ออยู่ก็จะถูกตัดสิทธิทันที

สำหรับโครงการนี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยอมรับว่า ยังมีปัญหาเรื่องฐานข้อมูลการยื่นจดทะเบียนรถยนต์ เพราะฐานข้อมูลมีบันทึกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ถึงปัจจุบันเท่านั้น แต่ช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ.2549 ยังไม่ได้มีการเชื่อมฐานข้อมูลให้ออนไลน์ทั่วประเทศ ทำให้ฐานข้อมูลไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ดังนั้น อาจต้องยกประโยชน์ให้กับผู้ที่เคยยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์ก่อนปี พ.ศ.2549 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน








 

Create Date : 14 กันยายน 2554   
Last Update : 14 กันยายน 2554 19:41:19 น.   
Counter : 1842 Pageviews.  

ยึดใบขับขี่ผิดหรือไม่??

เรื่องของใบขับขี่

ผมเพิ่งรู้มานะครับว่าใบขับขี่เป็นทรัพย์สิน ตำรวจไม่สามารถยึดได้ มีประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่

เมื่อเช้านี้ได้ฟังรายการ บัณทึกสถานะการณ์ ทางวิทยุแห่งประเทศไทย ตอน 8.00น.
วันนี้มีการสัมภาษณ์ คุณจาตุรงค์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนครี

เรื่องมาตรการความปลอดภัยในช่วงเทศกาล มีตอนหนึ่ง ที่ท่านพูดว่า
ใบขับขี่เป็นทรัพย์สิน ตำรวจไม่สามารถยึดได้ ตำรวจออกใบสั่ง
ให้ไปเสียค่าปรับ ถ้าหากยึดใบขับขี่ ถือเป็นการลักทรัพย์

แต่ความเป็นจริงทั้งในอดีตและในปัจจุบันนี้ เวลาตำรวจทางหลวง หรือตำรวจจราจร
และแม้แต่ตำรวจสายตรวจ หรือตามด่านต่างๆ เวลาเรียกรถเพื่อตรวจ
มักจะขอดูใบขับขี่ และยึดเอาไป แล้วหาข้อหาให้

ผมโดนยึดบ่อยครับบางทีไปหน้าปากซอยไม่ได้ใส่หมวกกันน๊อค พอโดนจับก็ยึดใบขับขี่

บางทีก็ยึดแล้วเดินเข้าป้อมเพื่อให้คนขับรถเข้าไปเจรจา
บางทีก็ยึดโดยไม่ให้ใบสั่งแต่บอกให้ไปเอาที่สถานี
บางทีก็ยึดไปพร้อมออกใบสั่ง เพื่อให้ไปเสียค่าปรับ

ประชาชนส่วนใหญ่งง วิธีการปฏิบัติของตำรวจ
ผมคิดว่าต่อไปถ้าตำรวจจะยึดใบขับขี่ ต้องไม่ยอมให้ไป ถ้าตำรวจเอาไปจริงๆ
ต้องแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ เวลาทำผิดกฏจราจร ตำรวจก็ให้ใบสั่งได้อยู่แล้ว

และใบสั่งมีความสำคัญมาก ผู้รับต้องไปเสียค่าปรับ ถ้าไม่ไป
ทางราชการก็มีมาตรการที่จัดการอยู่แล้ว เช่นไม่ต่อทะเบียนตัดคะแนน


ให้ไปอบรมกฏจราจรใหม่ จนถึงมีคำสั่งทางศาลให้ยึดใบขับขี่ได้
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องระมัดระวัง อย่าถือแต่อำนาจอย่าลืมว่า โลกไปไกลแล้ว

แต่พวกท่านยังทำงานอย่างเดิมๆไม่ได้แล้วนะครับ
อย่าคิดแต่ว่าประชาชนโง่ ไม่รู้กฏหมาย จะต้มยำยังไงก็ได้ ประชาชนเจ็บช้ำน้ำใจมามากแล้ว

อย่าแกล้งกันมากเกินไป เข้าใจว่าประชาชนจำนวนมากเจอมาตรการ
ถอดกุญแจ ยึดใบขับขี่ เดินเข้าป้อมกันมามากแล้ว
(ถามว่าจับข้อหาอะไร หาว่าหัวหมอ ให้ไปคุยกันในป้อม)

* ผมไม่ได้กล่าวถึงคุณตำรวจที่ประพฤติตนเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองนะครับ

แต่ผมเคยเจอมา เลยขอแชร์ประสบการณ์

ขอให้เป็นประโยชน์แก่ผู้พบเจอเหตุเช่นนี้นะครับ




 

Create Date : 13 กันยายน 2554   
Last Update : 13 กันยายน 2554 16:06:28 น.   
Counter : 1259 Pageviews.  

New! BMW Series 3 ..เรนเดอร์นี้..ใช่เลย

แม้จะเงียบหายไปกับกระแสข่าวแต่คอมแพ็คคาร์จากค่ายตราพัดฟ้านี้ก็ยังเป็นที่เฝ้าติดตามของสาวกBMW ที่ล่าสุดก็มีสาวก BMW ทำการเผยภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิก โดยนำเอาความเป็นไปได้จากภาพแอบถ่ายที่โดนส่องไปก่อนหน้านี้มาเป็นต้นขั้วทางการออกแบบ

ภาพที่เห็นนี้ถูกโพสขึ้นในเว็บไซต์ F30post.com เมื่อไม่นานมานี้ โดยในภาพนี้เป็นการแสดงถึงใบหน้าของว่าที่ BMW Series 3 ใหม่ที่มีความเป็นไปได้ หลังจากเมื่อไม่นานมานี้มีภาพสปายช็อตที่จับรถรุ่นใหม่แบบไร้ผ้าคลุ่มเอาไว้ได้อย่างเป็นทางการ

จากภาพดังกล่าวทางทีมออกแบบของเว็บได้นำเอามาประยุกต์เป็นใบหน้าใหม่ของ BMW Series 3 ใหม่ ซึ่งยังคงเน้นในความเป็นคอมแพ็คคาร์สปอร์ตหรูดังภาพ มาพร้อมเอกลักษณ์จมูก Kidney Grill ยุคใหม่ตามสมัยนิยม ในขณะที่ไฟหน้าดูคมเข้มมากยิ่งขึ้น ฝากกระโปรงคล้าย BMW Series 5 และกันชนสปอร์ตที่ดูลงตัว

ทั้งนี้แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวว่า BMW จะเปิดผ้าคลุมรถรุ่นนี้อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า แต่เว็บ F30post.com ก็เชื่อว่าอาจจะมีการเปิดก่อนในช่วงเดือนตุลาคมหรือไม่ก็ช่วงพฤศจิกายนที่จะถึงนี้


ภาพประกอบจาก F30 post.com




 

Create Date : 12 กันยายน 2554   
Last Update : 12 กันยายน 2554 18:31:01 น.   
Counter : 1003 Pageviews.  

รู้เอาไว้ แล้วใช้ให้เป็นกับ Nissan CVT

ในยุคก่อน เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ถือเป็นของใหม่สำหรับนักขับในบ้านเรา และดูเหมือนว่าเป็นระบบที่หลายคนไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกันสักเท่าไรนัก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากจะเรียนรู้หรือว่าไม่มั่นใจกับของใหม่กันแน่

สำหรับบ้านเรา จากรถยนต์ไม่กี่รุ่นที่วางขายในตลาด ชนิดที่ยกมือขึ้นมาข้างเดียวยังอาจจะนับไม่หมด แต่ในตอนนี้เกียร์ CVT กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่สามารถพบได้ในรถยนต์มากมายหลายรุ่นตั้งแต่ซิตี้คาร์ไปจนถึงระดับไฮโซคาร์ และค่ายที่ดูเหมือนว่าจะเอาจริงเอาจังกับการทำตลาดด้วยเกียร์ประเภทนี้ก็เห็นจะเป็นนิสสันนี่แหล่ะ เพราะรถยนต์ที่ขายอยู่ในตลาดเกือบทุกรุ่น ยกเว้นพวกรถยนต์ในเชิงพาณิชย์ ล้วนมีเกียร์ CVT เป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้สัมผัสกัน

nissan CVT

แน่นอนว่า ถ้าอยากจะใช้ให้เป็น หรือขับแล้วประหยัดน้ำมัน คงไม่ใช่แค่กระโดดเข้าไปนั่ง สตาร์ทเครื่อง แล้วก็ขับกันตามยถากรรม ตามพฤติกรรมที่ทำกันมา เพราะเกียร์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นธรรมดา อัตโนมัติแบบมีจังหวะ หรืออัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง ล้วนต้องมีการเรียนรู้เทคนิคในการใช้งานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในด้านนั้นๆ

ดังนั้น แม้จะไม่ใช่แบรนด์แรกที่นำเกียร์ CVT เข้ามาขายในบ้านเรา แต่ด้วยเหตุที่เป็นผู้นำในเทรนด์นี้ ทางด้านนิสสันก็เลยจัดกิจกรรมอบรมและเรียนรู้เทคนิคการขับแบบ Eco-Drive ให้กับนักข่าว และลูกค้าภายใต้ชื่องาน Smart Drive Smart Save ขึ้นมา

จุดประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้คือ การถ่ายทอดความรู้ทางด้านเทคโนโลยีของระบบเกียร์ Xtronic CVT และเทคนิคการขับแบบ Eco-Drive เพื่อให้เข้าใจการทำงานของเกียร์ CVT ที่มีความแตกต่างจากเกียร์อัตโนมัติแบบมีจังหวะทั่วไปอย่างไร โดยทดลองขับผ่านทางรถยนต์ของนิสสัน เพื่อวัดพฤติกรรมการขับขี่ก่อนและหลังการเข้าอบรม โดยใช้เครื่องมืออิเลคทรอนิกส์พิเศษสำหรับการวัดผลโดยเฉพาะ

nissan CVT

บอกตามตรงว่าก่อนเข้าอบรมในคอร์สนี้ รู้แค่ว่าเกียร์ CVT ถูกออกแบบมาเน้นวัตถุประสงค์ในแง่ของความประหยัดน้ำมัน เพราะด้วยรูปแบบทางกายภาพที่ใช้การยืด-หดของพูเลย์เพื่อสร้างอัตราทดอย่างต่อเนื่อง และมีช่วงกว้างแล้ว ส่งผลให้รอบเครื่องยนต์มีความไหลรื่น เข็มวัดรอบไม่หล่นลงและต้องไล่รอบใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงเหมือนกับเกียร์แบบมีจังหวะ ซึ่งตรงนี้ทำให้สามารถรักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่ และเมื่อรอบฯ คงที่ สิ่งที่ตามมือ ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามมา

เมื่ออนุมานจากสิ่งที่เห็นและข้อมูลที่ได้รับ ขับยังไงหรือแบบไหน ก็คงจะประหยัดน้ำมัน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่คิดและได้ยินมาจะตรงกันข้าม เพราะบรรดานักขับหลายคนที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับเกียร์ประเภทนี้แล้วกลับบ่นว่าไม่เห็นประหยัดอย่างที่คิด ส่วนใหญ่จะโทษรถมากกว่าโทษตัวเอง

nissan CVT

ตรงนี้น่าจะเป็นที่มาของการจัดอบรมให้กับลูกค้าและสื่อมวลชนเพื่อรับทราบถึงแนวทางและวิธีในการขับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ CVT อย่างถูกต้องและวิธี เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ในแง่ของความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มที่

ในกิจกรรมนี้ ทางนิสสันเปิดโอกาสให้นักข่าวได้ทดลองขับกันแบบฟรีสไตล์ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าพฤติกรรมการขับรถยนต์ของแต่ละคนเมื่อต้องเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ที่มีเกียร์ CVT แล้วผลตอบรับจะเป็นอย่างไร

ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมการขับของนักขับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากในหลายๆ เรื่อง ซึ่งก็รวมถึงความประหยัดน้ำมัน ใครที่ทั้งชีวิตขับแต่รถยนต์ซึ่งใช้เกียร์อัตโนมัติแบบมีจังหวะ เมื่อต้องมาเจอกับเกียร์ CVT แล้วก็ยังติดพฤติกรรมการขับแบบเดิมๆ มาด้วย เช่น การกดคันเร่งหนักๆ เพื่อคิ๊กดาวน์เวลาต้องการแซง (กดยังไงเกียร์ CVT ก็ไม่มีคิ๊กดาวน์ นอกจากเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์ และรอบเครื่องยนต์ก็ไต่ขี้นเรื่อยๆ เหมือนเดิม) ก็อาจจะไม่บรรลุเป้าหมายในแง่ความประหยัดน้ำมันแน่ๆ

nissan CVT

ดังนั้นการอบรมครั้งนี้ก็เหมือนกับการให้ความรู้เพื่อที่จะได้นำข้อมูลไปปรับพฤติกรรมในการขับเพื่อที่จะได้ใช้งานเกียร์ CVT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่น่าสนใจคือ ในงานนี้นิสสันได้นำกล่องอิเล็กทรอนิกส์สำหรับตรวจวัดระดับความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้ด้วย ซึ่งกล่องนี้มีชื่อว่า DR-V Lite ซึ่งจะต่อพ่วงเข้ากับกล่อง ECU ของเครื่องยนต์ และดึงข้อมูลออกมาผ่านทาง Card แบบ Mini-SD ซึ่งจะถูกเสียบเข้าไปในตัวกล่อง จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้ไปคำนวนค่าต่างๆ เพื่อหาคะแนนออกมา เพื่อสรุปถึงพฤติกรรมการขับว่ามีผลต่อความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างไร

การตรวจวัดเพื่อให้คะแนนจะถูกแบ่งออกเป็นความต่อเนื่องและนุ่มนวลในการกดคันเร่ง หรือ Smooth Acceleration, การรักษาความเร็วให้คงที่ หรือ Maintain a steady speed และสุดท้าย คือ การเบรกอย่างเหมาะสมก่อนถึงจุดที่ต้องการ หรือ Brake at an early stage ซึ่งแต่ละหัวข้อจะมี 100 คะแนน และนำคะแนนทั้ง 3 ส่วนมารวมกันแล้วหาร 3 เพื่อหาค่าในการจัดระดับความสามารถในการขับเกียร์ CVT และทั้ง 3 ส่วนถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในแง่ของการขับอย่างประหยัดน้ำมัน ไม่เฉพาะแค่ในเกียร์ CVT เท่านั้น

nissan CVT

ถ้าคิดในเชิงที่ไม่เคยเข้าอบรมมาก่อนและขับตามสไตล์ที่ตัวเองเป็นอยู่ แน่นอนว่าเมื่อเจอกับเส้นทางที่วางเอาไว้ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 1.7 กิโลเมตรโดยใช้สนาม BRC หลังห้างซีคอนสแควร์เป็นพื้นที่ในการขับทดสอบ และขับด้วยกัน 2 รอบสนาม ผลที่ได้ ก็แตกต่างไปตามทักษะและความเข้าใจต่อทั้ง 3 หัวข้อที่นักขับแต่ละคนมี

ทีมงาน worldwheelsweb ลองขับด้วยพฤติกรรมที่ปกติเหมือนกับการขับในชีวิตประจำวัน พบว่า ผลออกมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแย่ (ระดับการวัดแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ Beginner, Intermediate, Advanced และ Master) โดยผลรวมออกมาได้แค่ 59 คะแนนจากเต็ม 100 คะแนน และจัดอยู่ในระดับ Intermediate โดยทักษะของคนขับที่ดูแล้วน่าจะปั้นขึ้นที่สุดคือ การกดคันเร่งให้ต่อเนื่อง เพราะว่าได้ถึง 76 จาก 100 คะแนน อยู่ในระดับ Advanced

หลังเสร็จสิ้นการทดสอบครั้งแรก เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของนิสสันได้เข้ามาพูดคุย จากนั้นคุณปาจารย์ ตันติวณิชย์ วิศวกรจากนิสสัน มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก ก็ได้เข้ามาอธิบายถึงแนวทางที่ถูกต้องในการใช้งานเกียร์ CVT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

nissan CVT

แนวทางการใช้งานเกียร์ CVT เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดถูกเรียกว่า Eco Drive ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ขอแค่ได้เรียนรู้ และรับทราบถึงเทคนิคในการขับ เพราะด้วยคุณลักษณะของระบบ CVT ที่เอื้อประโยชน์ในด้านการประหยัดน้ำมันแล้ว การขับแบบ Eco Drive ก็จะเป็นวิธีการขับที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพของระบบ CVT ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเทคนิคหลักๆ ของการขับแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ด้วยกัน

1.การควบคุมน้ำหนักเท้าเมื่อเริ่มต้นเหยียบคันเร่ง เทคนิคง่าย ๆ คือ หลังจากปล่อยเท้าออกจากเบรค ให้เว้นช่วงประมาณ 1 วินาทีก่อนที่จะเริ่มเหยียบคันเร่ง และกดคันเร่งไล่รอบอย่างนุ่มนวลแต่ฉับไว โดยใช้เวลาสัก 5 วินาที (รวมจังหวะการเว้นช่วง 1 วินาที) ในการขยับความเร็วจากจุดหยุดนิ่งให้ไปถึงระดับความเร็ว 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง

2.การควบคุมคันเร่งให้รักษาระดับความเร็วอย่างคงที่ อย่ากดคันเร่งแบบกด ๆ ปล่อย ๆ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน และหากลงเนินก็ควรปล่อยคันเร่ง ซึ่งรถยนต์นิสสันจะตัดการจ่ายน้ำมันทันที ทำให้ช่วยประหยัดน้ำมัน

nissan CVT

3.การผ่อนคันเร่งตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อทราบว่าจะต้องเบรค และเบรครถเมื่อรอบต่ำกว่า 1,000 รอบ/นาที จะช่วยประหยัดน้ำมันเช่นกัน สำหรับในสภาพการขับตามปกติแล้ว ทางนิสสันบอกว่าความเร็วที่ถือว่าอยู่ในระดับที่มีความประหยัดน้ำมันสูงสุดคือ การใช้ความเร็วคงที่ หรือ Cruising ที่ระดับ 60-70 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ความเร็วที่ใช้ในการขับในสนามอยู่ที่ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แน่นอนว่าหลังจากที่ได้รับทราบแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าต้อง 'ฝืน' กันพอสมควรในการปรับพฤติกรรมการใช้คันเร่งและเบรกที่ฝังรากลึกมานาน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางที่ถูกต้อง สุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป และผลการขับก็ออกในแบบที่น่าพอใจ เพราะคะแนนรวมทำได้ 79 คะแนนจัดอยู่ในขั้น Advanced และการควบคุมคันเร่งทำได้ 100 คะแนนเต็ม

เทคนิคทั้ง 3 ข้อถือว่าเป็นกฎมาตรฐานที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับการขับรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นเกียร์อะไรก็ตามได้ เพราะกฎเหล็กของเทคนิคการขับให้ประหยัดน้ำมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากกันมากเท่าไร

nissan CVT

คันเร่งและเบรก คือ ปัจจัยสำคัญสำหรับรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ

การควบคุมคันเร่งทั้งเรื่องการออกตัว และการรักษาระดับความเร็วให้คงที่ ลดความเร็วด้วยการถอนคันเร่งไม่ใช่เบรก การคาดการณ์เส้นทางข้างหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นหลักพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักขับ เพราะไม่ใช่เกี่ยวพันแค่เรื่องความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยในขณะขับขี่ด้วย

แต่เหนืออื่นใด พฤติกรรมการขับ คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะถึงจะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ที่มีความประหยัดน้ำมันขนาดไหน แต่ถ้ายังไม่ปรับพฤติกรรมการขับ ชีวิตนี้ก็คงยากที่จะได้รู้จักกันคำว่า 'ประหยัดน้ำมัน'

ขอขอบคุณบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัดสำหรับกิจกรรมในครั้งนี้




//auto.sanook.com/item/2674-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-Nissan-CVT.html




 

Create Date : 11 กันยายน 2554   
Last Update : 11 กันยายน 2554 20:13:02 น.   
Counter : 1265 Pageviews.  

จูราสสิค รีเทิร์น! คอสตูมของน้องหมาลวดลายไดโนเสาร์

Honda Civic Type R

Honda Civic Type R จาก Mugen ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นได้เคยผลิตออกมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2010 โดยเสริมความแรงให้กับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และความสวยงามตามแบบ Mugen ที่ไม่เป็นรองใคร แต่ในครั้งนั้น ได้ผลิตออกมาเพียงแค่ 20 คัน ซึ่งตามข่าวก็มีการรายงานกันว่าจำหน่ายไม่หมด ตอนนี้เหลืออยู่ 4 คันในสต๊อก

ดูท่าทางว่ารถคูเป้สุดสวยอย่าง Honda Civic Type R คันนี้จะไม่ร้อนแรงตามคาด ทางค่าย Mugen สำนักแต่งรถยนต์คู่ใจของ Honda จึงได้เตรียมตัวปล่อยเวอร์ชั่นใหม่ของ Civic Type R ออกมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ทาง Mugen ได้เลือกใช้งานเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.2 ลิตร ที่ให้กำลัง 260 แรงม้า และแรงบิดที่มากขึ้นกว่าเดิมในเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรอีก 30 เปอร์เซ็นต์ โดยการตกแต่งภายนอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย ซึ่งก็สวยงามมากอยู่แล้ว

กำหนกการผลิตและจำหน่ายของ Honda Civic Type R by Mugen นั้นยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัดครับ ซึ่งอาจจะเป็นปลายปีนี้ ก่อนที่ Honda Civic 2012 จะออกจำหน่าย

Honda Civic Type R

Honda Civic Type R

Honda Civic Type R




//www.getonecar.com/news/2011/honda-civic-type-r-mugen.html




 

Create Date : 10 กันยายน 2554   
Last Update : 10 กันยายน 2554 19:27:58 น.   
Counter : 1469 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]