ผู้เห็นแต่จะทะเลาะวิวาท..(คนในสังคมวันนี้ควรใคร่ครวญ)

ผู้เห็นแต่จะทะเลาะวิวาท๑
ภิกษุ ท. ! พอที ! พวกเธอทั้งหลาย อย่าหมายมั่นกันเลย, อย่า
ทะเลาะกันเลย, อย่าโต้เถียงกันเลย อย่าวิวาทกันเลย (ดังนี้ถึง ๒-๓ ครั้ง).
เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว มีภิกษุบางรูปทูลขึ้นว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นธรรมสามี !
ขอพระองค์จงหยุดไว้ก่อนเถิด พระเจ้าข้า ! ขอจงทรงขวนขวายน้อยเถิด พระเจ้าข้า ! ข้าแต่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ! ขอจงทรงประกอบในสุขวิหารในทิฏฐธรรม อยู่เถิด พระเจ้าข้า ! พวก
ข้าพระองค์ทั้งหลายจักทำให้เห็นดำเห็นแดงกัน ด้วยการหมายมั่นกัน ด้วยการทะเลาะกัน ด้วย
การโต้เถียงกันด้วยการวิวาทกัน อันนี้เอง” ดังนี้.
กาลนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองจีวร ถือบาตร เสด็จเข้าไปสู่เมือง
โกสัมพี เพื่อบิณฑบาต. ครั้นทรงเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพีแล้ว ภายหลังภัตตกาล กลับจาก
บิณฑบาตแล้ว ทรงเก็บบริกขารขึ้นมาถือไว้ แล้วประทับยืน ตรัสคาถานี้ว่า :-
“คนไพร่ ๆ ด้วยกัน ส่งเสียงเอ็ดตะโร แต่หามีคนไหนสำคัญ
ตัวว่า เป็นพาลไม่. เมื่อหมู่แตกกัน ก็หาได้มีใครรู้สึกเป็นอย่างอื่น
ให้ดีขึ้นไปกว่านั้นได้ไม่.
พวกบัณฑิตลืมตัว สมัครที่จะพูดตามทางที่ตนปรารถนาจะพูด
อย่างไร ก็พูดพล่ามไปอย่างนั้น หาได้นำพาถึงกิเลสที่เป็นเหตุแห่งการ
ทะเลาะกันไม่.”

พวกใด ยังผูกใจเจ็บอยู่ว่า ‘ผู้นั้นได้ด่าเรา ได้ทำร้ายเรา ได้เอา
ชนะเรา ได้ลักทรัพย์ของเรา’ ; เวรของพวกนั้น ย่อมระงับไม่ลง.
พวกใด ไม่ผูกใจเจ็บ ‘ผู้นั้นได้ด่าเรา ได้ทำร้ายเรา ได้เอาชนะ
เรา ได้ลักทรัพย์ของเรา’ ; เวรของพวกนั้น ย่อมระงับได้.
ในยุคไหนก็ตาม เวรทั้งหลาย ไม่เคยระงับได้ด้วยการผูกเวร
เลย, แต่ระงับได้ด้วยไม่มีการผูกเวร. ธรรมนี้เป็นของเก่าที่ใช้ได้
ตลอดกาล.
คนพวกอื่น ไม่รู้สึกว่า ‘พวกเราจะแหลกลาญก็เพราะเหตุนี้’ ;
พวกใด สำนึกตัวได้ในเหตุที่มีนั้น ความมุ่งร้ายกันย่อมระงับได้
เพราะความรู้สึกนั้น.
ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (ในการทำตามกิเลส) ยัง
มีได้แม้แก่พวกคนกักขฬะเหล่านั้น ที่ปล้นเมืองหักแข้งขาชาวบ้าน
ฆ่าฟันผู้คน แล้วต้อนม้า โค และขนเอาทรัพย์ไป ; แล้วทำไมจะ
มีแก่พวกเธอไม่ได้เล่า ?
ถ้าหากไม่ได้สหายที่พาตัวรอด เป็นปราชญ์ ที่มีความเป็นอยู่ดี
เป็นเพื่อนร่วมทางแล้วไซร้, ก็จงทำตัวให้เหมือนพระราชา ที่ละ
แคว้นซึ่งพิชิตได้แล้วไปเสีย แล้วเที่ยวไปคนเดียว ดุจช้างมาตังคะ
เที่ยวไปในป่าตัวเดียว ฉะนั้น.
การเที่ยวไปคนเดียว ดีกว่า เพราะไม่มีความเป็นสหายกันได้กับ
คนพาล. พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่ทำบาป ; เป็นคนมักน้อย
ดุจช้างมาตังคะ เป็นสัตว์มักน้อย เที่ยวไปในป่า ฉะนั้น”.
ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไปยัง พาลกโลณการคาม.

๑. บาลี พระพุทธภาษิต อุปักกิเลสสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๒๙๕/๔๔๐, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ทิ่มแทงกัน
ด้วยหอกคือปาก จนภิกษุรูปหนึ่ง ทูลขอร้องให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไประงับเหตุ ณ ที่โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี.
 ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์

พระสูตรนี้มีประโยชน์มาก หากใคร่ครวญด้วยปัญญา และแทงตลอดด้วยความเห็น...

1.คนไพร่เมื่อส่งเสียงด่าทอ ก็หามองเห็นว่าตนเป็นคนพาลไม่

2.คนมีการศึกษา เมื่อลืมตัวทำในสิ่งที่ไม่ควร ก็หามองเห็นว่าตนคือในการทำสิ่งนั้นไม่

3.พวกที่ผูกใจเจ็บ เวรย่อมระงับไม่ได้ ส่วนพวกที่ไม่ผูกใจเจ็บ เวรย่อมระงับลงได้

    เวรย่อมระงับด้วยการไม่ผูกเวร

4.ความกลมเกลียวยังมีได้กับคนพาล แล้วทำไมจะมีไม่ได้กับผู้มีการศึกษา

5.หากไม่มีเพื่อนที่ดีที่จะคบหา สู้ไปคนเดียวแล้วไม่ทำอกุศลยังจะดีกว่า.....

****ขอให้ใคร่ครวญด้วยปัญญานะครับ



Create Date : 14 มีนาคม 2556
Last Update : 14 มีนาคม 2556 10:10:35 น.
Counter : 782 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รู้ธรรม
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
ไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด
All Blog