[๒๗๘] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมมีประเภทละ ๕ๆ ที่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้
ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้วมีอยู่แล พวกเรา
ทั้งหมดด้วยกัน พึงสังคายนา ไม่พึงแก่งแย่งกันในธรรมนั้นการที่พรหมจรรย์นี้พึงยั่งยืน
ตั้งอยู่นานนั้น พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่อความอนุเคราะห์
แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลเพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมมีประเภท
๕ เป็นไฉน
ขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปขันธ์ [กองรูป]
๒. เวทนาขันธ์ [กองเวทนา]
๓. สัญญาขันธ์ [กองสัญญา]
๔. สังขารขันธ์ [กองสังขาร]
๕. วิญญาณขันธ์ [กองวิญญาณ] ฯ
[๒๗๙] อุปาทานขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ รูป)
๒. เวทนูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ เวทนา)
๓. สัญญูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สัญญา)
๔. สังขารูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สังขาร)
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ วิญญาณ) ฯ
[๒๘๐] กามคุณ ๕ อย่าง
๑. รูปที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจักษุ ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ฯ
๒. เสียงที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยหู ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ฯ
๓. กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจมูก ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ฯ
๔. รสที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยลิ้น ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ฯ
๕. โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยกาย ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ฯ
[๒๘๑] คติ ๕ อย่าง
๑. นิรยะ [นรก]
๒. ติรัจฉานโยนิ [กำเนิดดิรัจฉาน]
๓. ปิตติวิสัย [ภูมิแห่งเปรต]
๔. มนุสสะ [มนุษย์]
๕. เทวะ [เทวดา] ฯ
[๒๘๒] มัจฉริยะ ๕ อย่าง
๑. อาวาสมัจฉริยะ [ตระหนี่ที่อยู่]
๒. กุลมัจฉริยะ [ตระหนี่สกุล]
๓. ลาภมัจฉริยะ [ตระหนี่ลาภ]
๔. วัณณมัจฉริยะ [ตระหนี่วรรณะ]
๕. ธัมมมัจฉริยะ [ตระหนี่ธรรม] ฯ
[๒๘๓] นีวรณ์ ๕ อย่าง
๑. กามฉันทนีวรณ์ [ธรรมที่กั้นจิต คือ ความพอใจในกาม]
๒. พยาปาทนีวรณ์ [ธรรมที่กั้นจิต คือความพยาบาท]
๓. ถีนมิทธนีวรณ์ [ธรรมที่กั้นจิต คือความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม]
๔. อุทธัจจกุกกุจจนีวรณ์ [ธรรมที่กั้นจิต คือความฟุ้งซ่านและรำคาญ]
๕. วิจิกิจฉานีวรณ์ [ธรรมที่กั้นจิต คือความสงสัย] ฯ
[๒๘๔] โอรัมภาคิยสังโยชน์ [สังโยชน์เบื้องต่ำ] ๕ อย่าง
๑. สักกายทิฏฐิ [ความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน]
๒. วิจิกิจฉา [ความสงสัย]
๓. สีลัพตปรามาส [ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยเข้าใจว่ามีได้ด้วย
ศีลหรือพรต]
๔. กามฉันทะ [ความพอใจด้วยอำนาจแห่งกาม]
๕. พยาบาท [ความคิดแก้แค้นผู้อื่น]
[๒๘๕] อุทธัมภาคิยสังโยชน์ [สังโยชน์เบื้องบน] ๕ อย่าง
๑. รูปราคะ [ความติดใจอยู่ในรูปธรรม]
๒. อรูปราคะ [ความติดใจอยู่ในอรูปธรรม]
๓. มานะ [ความสำคัญว่าเป็นนั่นเป็นนี่]
๔. อุทธัจจะ [ความคิดพล่าน]
๕. อวิชชา [ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง]
[๒๘๖] สิกขาบท ๕ อย่าง
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์]
๒. อทินนาทานา เวรมณี [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์]
๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิด
ในกาม]
๔. มุสาวาทา เวรมณี [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ]
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความ
ประมาท] ฯ
[๒๘๗] อภัพพฐาน ๕ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุขีณาสพไม่สามารถที่จะแกล้งปลงสัตว์จากชีวิต
๒. ภิกษุขีณาสพไม่สามารถที่จะลักทรัพย์ อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย
๓. ภิกษุขีณาสพไม่สามารถที่จะเสพเมถุนธรรม
๔. ภิกษุขีณาสพไม่สามารถที่จะพูดเท็จทั้งรู้อยู่
๕. ภิกษุขีณาสพไม่สามารถที่จะกระทำการสั่งสมบริโภคกามเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นคฤหัสถ์
อยู่ ฯ
[๒๘๘] พยสนะ ๕ อย่าง
๑. ญาติพยสนะ [ความฉิบหายแห่งญาติ]
๒. โภคพยสนะ [ความฉิบหายแห่งโภคะ]
๓. โรคพยสนะ [ความฉิบหายเพราะโรค]
๔. สีลพยสนะ [ความฉิบหายแห่งศีล]
๕. ทิฏฐิพยสนะ [ความฉิบหายแห่งทิฐิ] ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ญาติฉิบหายก็ดี เพราะเหตุที่โภคะฉิบหายก็ดี เพราะ
เหตุที่ฉิบหายเพราะโรคก็ดี สัตว์ทั้งหลายย่อมจะไม่ต้องเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ศีลพินาศ หรือเพราะเหตุที่ทิฐิพินาศ สัตว์ทั้งหลาย
ย่อมจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ฯ
[๒๘๙] สัมปทา ๕ อย่าง
๑. ญาติสัมปทา [ความถึงพร้อมด้วยญาติ]
๒. โภคสัมปทา [ความถึงพร้อมด้วยโภคะ]
๓. อาโรคยสัมปทา [ความถึงพร้อมด้วยความไม่มีโรค]
๔. สีลสัมปทา [ความถึงพร้อมด้วยศีล]
๕. ทิฏฐิสัมปทา [ความถึงพร้อมด้วยทิฐิ] ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งญาติสัมปทาก็ดี เพราะเหตุแห่งโภคสัมปทาก็ดี
เพราะเหตุแห่งอาโรคยสัมปทาก็ดี สัตว์ทั้งหลาย ย่อมจะไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่
ตายเพราะกายแตก ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งสีลสัมปทา หรือเพราะเหตุแห่งทิฐิสัมปทา
สัตว์ทั้งหลาย ย่อมจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ข้อที่ ๒๗๘-๒๗๙ หน้าที่ ๑๙๔-๑๙๘