พระศาสดา ปราบชฎิล ๓ พี่น้อง.....ตอน 1


เรื่องชฎิล ๓ พี่น้อง



    [๓๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลอุรุเวลาแล้ว. ก็โดย
สมัยนั้นแล ชฎิล ๓ คน คือ อุรุเวลกัสสป ๑ นทีกัสสป ๑ คยากัสสป ๑ อาศัยอยู่ในตำบล
อุรุเวลา. บรรดาชฎิล ๓ คนนั้น ชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสป เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็น
หัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๕๐๐ คน. ชฎิลชื่อนทีกัสสป เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็น
ผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๓๐๐ คน. ชฎิลชื่อคยากัสสป เป็นผู้นำ เป็น
ผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๒๐๐ คน. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค
ได้เสด็จเข้าไปสู่อาศรมของชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสป แล้วได้ตรัสกะชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสปว่า ดูกร
กัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง.
    อุรุ. ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย
มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก.
    แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแก่ชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสปว่า ดูกรกัสสป ถ้าท่าน
ไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง.

อุรุ. ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย
มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก.
    แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแก่ชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสปว่า ดูกรกัสสป ถ้าท่าน
ไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง.
    อุรุ. ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย
มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก.
    ภ. ลางที พญานาคจะไม่ทำให้เราลำบาก ดูกรกัสสป เอาเถิด ขอท่านจงอนุญาตโรง
บูชาเพลิง.
    อุรุ. ข้าแต่มหาสมณะ เชิญท่านอยู่ตามสบายเถิด.
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่โรงบูชาเพลิง แล้วทรงปูหญ้า เครื่องลาด ประทับ
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่น.
 ปาฏิหาริย์ที่ ๑
    [๓๘] ครั้งนั้น พญานาคนั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปดังนั้น ครั้นแล้ว มี
ความขึ้งเคียดไม่พอใจ จึงบังหวนควันขึ้น. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า ไฉนหนอ
เราพึงครอบงำเดชของพญานาคนี้ด้วยเดชของตน ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
และเยื่อในกระดูก ดังนี้ แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารเช่นนั้น ทรงบังหวนควันแล้ว. พญานาค
นั้นทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที. แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงเข้ากสิณสมาบัติมีเตโชธาตุ
เป็นอารมณ์ บันดาลไฟต้านทานไว้. เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้น โรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลว
เพลิงดุจไฟลุกไหม้ทั่วไป. จึงชฎิลพวกนั้นพากันล้อมโรงบูชาเพลิง แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเรา
พระมหาสมณะรูปงามคงถูกพญานาคเบียดเบียนแน่. ต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงครอบงำเดชของ
พญานาคนั้น ด้วยเดชของพระองค์ ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อใน
กระดูก ทรงขดพญานาคไว้ในบาตร โดยผ่านราตรีนั้น แล้วทรงแสดงแก่ชฎิลอุรุเวลกัสสปด้วย
พระพุทธดำรัสว่า ดูกรกัสสป นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว
จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ จึงครอบงำเดช

ของพญานาคที่ดุร้าย  มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง ด้วยเดชของตนได้  แต่พระมหาสมณะ
นี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
    [๓๙] ที่แม่น้ำเนรัญชรา  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสป ว่าดังนี้:-
    ดูกรกัสสป  ถ้าท่านไม่หนักใจ  เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักวันหนึ่ง.
    อุรุ. ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ข้าพเจ้าหวังความสำราญจึงห้ามท่านว่า
ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย  มีฤทธิ์  เป็นอสรพิษ  มีพิษร้ายแรง  อย่าเลย  มันจะทำให้
ท่านลำบาก.
    ภ.  ลางที พญานาคนั้นจะไม่ทำให้เราลำบาก  ดูกรกัสสป  เอาเถิด  ท่านจงอนุญาตโรง
บูชาเพลิง.
    พระผู้มีพระภาคทรงทราบอุรุเวลกัสสปนั้นว่า อนุญาตให้แล้ว ไม่ทรงครั่นคร้าม ปราศจาก
ความกลัว  เสด็จเข้าไป.
    พญานาคเห็นพระผู้มีพระภาคผู้แสวงคุณความดี  เสด็จเข้าไปแล้ว  ไม่พอใจ  จึงบังหวน
ควันขึ้น.
    ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ประเสริฐ มีพระทัยดี มีพระทัยไม่ขัดเคือง  ทรงบังหวน
ควันขึ้นในที่นั้น.
    แต่พญานาคทนความลบหลู่ไม่ได้  จึงพ่นไฟสู้.
    ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ประเสริฐ ทรงฉลาดในกสิณสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์
ได้ทรงบันดาลไฟต้านทานไว้ในที่นั้น.
    เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้นแล้ว  โรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิง.  พวกชฎิลกล่าว
กันว่า ชาวเรา พระสมณะรูปงามคงถูกพญานาคเบียดเบียนแน่.
    ครั้นราตรีผ่านไป  เปลวไฟของพญานาคไม่ปรากฏ.  แต่เปลวไฟสีต่างๆ  ของพระผู้มี
พระภาคผู้ทรงฤทธิ์ยังสถิตอยู่.
    พระรัศมีสีต่างๆ  คือสีเขียว สีแดง สีหงสบาท สีเหลือง สีแก้วผลึก ปรากฏที่พระกาย
พระอังคีรส.
    พระพุทธองค์ทรงขดพญานาคไว้ในบาตรแล้ว   ทรงแสดงแก่พราหมณ์ว่า  ดูกรกัสสป
นี่พญานาคของท่าน  เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว.

ครั้งนั้น  ชฎิลอุรุเวลกัสสป  เลื่อมใสยิ่งนัก  เพราะอิทธิปาฏิหารย์นี้ของพระผู้มีพระภาค
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่มหาสมณะ นิมนต์อยู่ในที่นี้แหละ  ข้าพเจ้าจักบำรุงท่าน
ด้วยภัตตาหารประจำ.
                ปาฏิหาริย์ที่ ๑  จบ

ปาฏิหาริย์ที่ ๒
    [๔๐] ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง  ไม่ไกลจากอาศรม
ของชฎิลอุรุเวลกัสสป.  ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม
ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว  แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มี
พระภาค  ได้ยืนเฝ้าอยู่ทั้ง ๔ ทิศ  ดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น.  ต่อมาชฎิลอุรุเวลกัสสป  เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคโดยผ่านราตรีนั้น  ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า  ถึงเวลาแล้ว
มหาสมณะ  ภัตตาหารเสร็จแล้ว  พวกนั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว มีรัศมี
งาม  ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปหาท่าน  ครั้นถึงแล้วอภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ทั้ง ๔ ทิศ
ดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น?
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรกัสสป พวกนั้นคือท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเราเพื่อ
ฟังธรรม.
 ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า  พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก  มีอานุภาพมาก
แท้  ถึงกับท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
    ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป  แล้วประทับอยู่ใน
ไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
                ปาฏิหาริย์ที่ ๒  จบ
                _____________

ปาฏิหาริย์ที่ ๓
    [๔๑] ครั้งนั้น  ท้าวสักกะจอมทวยเทพ เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยัง
ไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน. ต่อมา
ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยผ่านราตรีนั้น  ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มี
พระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว ผู้นั้นคือใครกันหนอ  เมื่อราตรีปฐมยาม
ผ่านไปแล้ว  เปล่งรัศมีงาม  ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาท่าน  ครั้นถึงแล้วอภิวาท
ท่าน  ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน?
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรกัสสป ผู้นั้น คือ  ท้าวสักกะจอมทวยเทพเข้ามาหาเรา
เพื่อฟังธรรม.
 ครั้งนั้น  ชฎิลอุรุกัสสปได้มีความดำริว่า  พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับท้าวสักกะจอมทวยเทพเข้ามาหาเพื่อฟังธรรม  แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
    ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป   แล้วประทับอยู่ใน
ไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
                ปาฏิหาริย์ที่ ๓  จบ
                _____________
ปาฏิหาริย์ที่ ๔
    [๔๒] ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยัง
ไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ดุจกองไฟใหญ่  งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน.  ครั้นล่วง
ราตรีนั้น  ชฎิลอุรุเวลกัสสป  ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มี
พระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว ผู้นั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยาม
ผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสนฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว  เข้ามาหาท่าน  ครั้นถึงแล้วอภิวาท
ท่าน  ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน?

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า  ดูกรกัสสป  ผู้นั้น  คือ  ท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเรา
เพื่อฟังธรรม.
ครั้งนั้น  ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า  พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก  มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
    ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป  แล้วประทับอยู่ใน
ไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
                ปาฏิหาริย์ที่ ๔  จบ
***ติดตามตอนต่อไปครับ





Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2556 10:18:42 น.
Counter : 971 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รู้ธรรม
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
ไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด
All Blog