bloggang.com mainmenu search



เพลง Hard to say I love you (Artist : Weaver)


หลังจากอารมณ์ค้างมาจากเรื่อง Tsuki no koiboto (Moon lovers) จึงหันไปหารักแบบสายเลือดพี่น้องใน Boku no Imoto เพื่อช่วยเยียวยาจิตใจ ยัง ยังไม่เข็ด โลกนี้จะน่าอยู่ไยถ้าปราศจากความรักความปรารถนาดี เช่นเดียวกันการดูซีรีย์อย่างน้อยย่อมอยากให้มีรักดีๆ คอยชโลมใจ จึงยังคงตามหาซีรีย์ความรัก เหมือนคนตามหารักแท้ ไปหากันต่อที่ Sunao ni Narenakute ที่จดจำในชื่อภาษาอังกฤษได้ง่ายกว่า

Hard to say I love you ชื่อเรื่องโดนใจ แต่เนื้อเรื่องจะโดนใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนดู


จากสังคมออนไลน์ในโลกของทวิตเตอร์ นำพาหนุ่มสาว 5 คน มาพบเจอกันในโลกของความเป็นจริง โลกที่พวกเขาและเธอต้องรู้จักกันใหม่ เรียนรู้ตัวตนลึกลงไปจาก "การกระทำ" ที่ส่งผลมาจาก "จิตใจ" ไม่ใช่แค่ข้อความทวีต รู้จัก รัก และเป็นเพื่อน นำมาซึ่งความช่วยเหลือและความปราถนาดี

"ความฝัน" ที่ทวีตหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นไว้อย่างสวยงามในทวิตเตอร์ รักแท้ เพื่อนแท้ ในโลกของความเป็นจริง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นจริงๆ เจ็บปางตาย (และถึงตาย) กว่าที่คิด


นาคาจิ (เออิตะ)

ทวิตเตอร์ - ช่างภาพมือโปร ผู้สร้างสรรค์ศิลปะแห่งภาพถ่ายให้กับนิตยสารชั้นนำ
ความจริง - ผู้ช่วยช่างภาพ และที่ถ่ายภาพคือนางแบบนุ่งน้อยห่มน้อยให้กับนิตยาสารที่มีจุดขายตรงนางแบบจึงไม่ได้ต้องการภาพศิลป์


ฮารุ (จูริ อุเอโนะ)

ทวิตเตอร์ - อาจารย์โรงเรียนมัธยม
ความจริง - สอบตกจากการเป็นอาจารย์จึงยังเป็นแค่อาจารย์จ้างชั่วคราว


ลินดา (เทตสึจิ ทามายาม่า)

ทวิตเตอร์ - ทำงานด้านโฆษณาเป็นพนักงานคนสำคัญของบริษัท
ความจริง - การจะได้เป็น"คนสำคัญ" ต้องจ่ายอะไรไป (ด้วยความปวดร้าว) เกินกว่าใครจะคาดคิด


คุณหมอ (แจจุง - ดงบังชินกิ)

ทวิตเตอร์ - นายแพทย์
ความจริง - เซลล์แมนขายเครื่องมือแพท์


พีช (เมงุมิ เซกิ)

ความจริง - โดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงา
ทวิตเตอร์ - ยังเหงาเหมือนเดิม แต่เรียกหาใครสักคนได้ง่ายขึ้น

กับ 2 เหตุผลที่เลือกเปิดซีรีย์เรื่องนี้ขึ้นมาดู

1. ชื่อเรื่อง Hard to say I love you เพราะปกติชอบซีรีย์แนวนี้มาก "เรื่องรักของคนปากแข็ง"
2. สองชื่อนักแสดงผู้เป็น "คู่นี้ที่รอคอย" นากายามะ เออิตะ และ อุเอโนะ จูริ
ในที่สุดก็มาพบกันในฐานะพระเอก-นางเอกได้ซะที



แต่การได้เห็นหนุ่มคนนี้แสดงใน Nodame Caltabile บทของริวทาโร่ เด็กหนุ่มสุดฮากับท่าสีไวโอลินสุดเฮ้ว ผู้มาพร้อมกับสโลแกน “เกิดมาเพื่อร็อคแต่ขอตายเพื่อคลาสสิก” เจอใน Supuri จึงต้องแสดงความนับถือเพราะเอตะดูเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ไม่มีเหลือคราบเงาของริวทาโร่สักน้อยนิด กับบทของทาเคชิใน Last Friend นี่ต้องเรียกว่าขอคารวะในความเก่งกล้าสามารถทางการแสดง และ Tokyo Friend หนึ่งในซีรีย์ความรักที่ประทับใจ แบ่งห้องหัวใจให้เลย ขอรับเอตะไว้ในอ้อมใจของแม่ยกคนนี้ด้วยอีกคน แม้จะประกาศข่าวแต่งงานก็มิทำให้พื้นที่สัมปทานตรงนี้ต้องเสียไป ส่วน Unfair ซีรีย์ที่ไม่มีคำใดชื่นชมให้และเป็นซีรีย์ "ไม่ชอบ" เรื่องแรกๆ ที่นึกถึง เอตะคนนี้ก็เป็นคนที่ช่วยประคับประคองให้ดูไปจนจบได้ ( แม้ว่าเอตะจะม่องเท่งอย่างไม่สมเหตุสมผล ) แต่ไม่ว่าแสดงในบทไหน หัวยุ่งๆ ตัวผอมๆ กับหน้ำคล้ำๆ ขาลีบๆ ของเขา ทนดูเอานิดหน่อยแป๊บเดียวก็ปลาบปลื้มขึ้นมาทันใจ ระหว่างบทที่ส่งเสริมนักแสดง กับ นักแสดงที่ส่งเสริมบท ตาชั่งในใจตัดสินแล้วว่าเอตะเป็นแบบหลัง จูริ อุเอโนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเธอคือหนึ่งในบรรดาลูกรักที่มีอยู่ไม่กี่คนในฟากของนักแสดงฝ่ายหญิงชาวญี่ปุ่น



เปิดเรื่องออกมาเรียกร้องความสนใจด้วยเสียงทุบประตู
เสียงร้องเรียกด้วยความร้อนรนของนาคาจิ
ทิ้งความสงสัยค้างคาไว้ กับรอยเลือดที่ไหลนองกับพื้น
แล้วหันไปเปิดฉากการพบกันของนาคาจิกับฮารุได้อย่างน่ารัก



ตามด้วยการพบกันของหนุ่มสาวทั้งห้า

หน้าฉาก - ทำความรู้จักแนะนำตัวด้วยเรื่องพื้นฐานคือหน้าที่การงานที่ดีๆ
หลังฉาก - ปมปัญหาชีวิตของแต่ละคน

แต่ละคนล้วนมีประเด็นให้น่าสงสัย

"นาคาจิ" กับชายแก่ลึกลับกับซองเงินที่มอบให้ทุกครั้ง เขาเป็นใคร ? มีข่มขู่แบล็คเมล์อะไรกันถึงต้องคอยจ่ายเงินให้? รอยสักบนหัวไหล่ของนาคาจิ กับสาวคนรักที่มีรอยสักเดียวกันที่ต้นคอ นั่นคือสัญลักษณ์อะไร ที่จะทำให้ความรัก Hard to be happy? ความสัมพันธ์อันน่าเคลือบแคลงระหว่างพ่อของนาคาจิ และแม่ของฮารุ อันนี้ยิ่งชวนสงสัยมาก

"ฮารุ" กับน้องชายที่มีอดีตติดยา และส่อแววว่าติดอยู่ในปัจจุบัน ครอบครัวของฮารุมีปัญหาอะไร? เด็กนักเรียนในชั้นที่เป็นมาเฟียน้อยขายยา กับสายตาอันตรายที่คอยเฝ้ามองฮารุ น่ากลัวแฮะ จะมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับฮารุหรือเปล่าเพราะเด็กนักเรียนคนนี้ขายยาให้น้องชายของฮารุด้วย ความลับๆล่อๆ เหล่านี้จะนำปัญหาอะไรมาให้?

รอยกรีดบนข้อมือของ "พีช" เธอมีอดีตอะไรที่ปวดร้าว? และมีความเยียบเย็นอันน่ากลัวซ่อนอยู่? "คุณหมอ" ที่เป็นคนเกาหลี กับชีวิตการงานที่ถูกกดขี่และเหยียบย่ำ เขาเป็นใครมาจากไหน ทำไมต้องมาลำบากลำบนอยู่ที่ญี่ปุ่น? ความขมขื่นของ "ลินดา" ที่ไม่กล้าเปิดเผยความจริงกับใคร อะไรทำให้เขาเป็นแบบนั้น?



ความเจ็บช้ำกล้ำกลืนในหัวใจของแต่ละคน จะมีผลกับเรื่องให้เป็นไปอย่างไรดูภาพรวมแล้วนึกว่าจะเป็นซีรีย์สีเทาที่จะกรีดเซาะอารมณ์ความรู้สึกให้สะเทือนใจจนขวัญหายซะอีก กลับกลายเป็นว่า

ชายลึกลับที่นาคาจิไปพบและจ่ายเงินให้อย่างน่าสงสัย ไม่เท่าไหร่ก็เฉลยด้วยวิธีการง่ายๆ แค่เลิกทำให้มันน่าสงสัยแค่นั้นแหละ



สาวคนรักของนาคาจิที่มีรอยสักเดียวกัน ลงทุนลงแรงทำตัวเป็นนางร้ายเหมือนในละครไทยมิมีผิด หยิบเศษแก้วปาดแขนตัวเองแล้วใส่ความว่าถูกนางเอกทำร้าย ( มามุขนี้ทำเอาอึ้งไปเลย มันมีอยู่ด้วยเหมือนกันล่ะในซีรีย์ญี่ปุ่น) หล่อนทำท่าจะเป็นจะตาย ทำท่าจะร้ายและไม่มีวันปล่อยนาคาจิไปจนกว่าจะข้ามศพกันไปก่อน แต่บทหล่อนจะไป หล่อนก็ไปซะเฉยๆ ความสัมพันธ์ล้ำลึกยาวนานกับรอยสักที่เป็นสัญลักษณ์แห่งรักแท้ไร้ความหมาย บอกตามตรง หล่อนทำให้เกิดอาการเซ็งลงตับ!

รอยกรีดบนข้อมือของพีช เป็นเครื่องแสดงความเหงาและความไม่เป็นสุขในใจ ให้เธอทำเก๋ด้วยการเปิดผ้าพันข้อมือและมองรอยแผลแบบเหงาๆ บทตอนต้นเรื่องเหมือนเธอจะเป็นคนที่เข้าไปเอี่ยวในตัวตนของลินดามากที่สุด แต่ก็เปล่าโผไปหานาคาจิซะงั้น(อะไรกันเนี่ย)

ลินดา เข้าใจความขมขื่นกับชีวิตที่ต้องปิดบังและกดดัน เพียงแต่ไม่ค่อยเข้าใจ มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือ กับแค่หน้าที่การงานในตำแหน่งหนึ่ง ไยต้องลงทุนถึงเพียงนั้น ในเมื่อไม่ได้เกิดมายากจนเข็ญใจไร้ความสามารถและขาดโอกาส (สังคมญี่ปุ่นงานเขาหายาก ถึงกับต้องให้คนๆ นึงขายจิตวิญญาณเพื่อรักษามันไว้อย่างนั้นหรือ ? ) ถึงจะเป็นเพราะรักด้วยส่วนหนึ่ง แต่กับคนคนเดียวต้องลงทุนกันขนาดนั้นมันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ



คุณหมอ รับบทโดยแจจุงนักร้องเกาหลี บทบาทเป็นคนเกาหลีที่เข้ามาอยู่ในญี่ปุ่น นิสัยก็แบบฉบับของพระรองเกาหลี คือถ้าไม่แสนดีก็สุดแสนจะน่ารำคาญ เพราะมีความรักที่ทำให้คนลำบากใจกันถ้วนหน้าเพราะต้องช่วยกันถนอมจิตใจของพระรองเอาไว้ แต่บทของคุณหมอที่แจจุงแสดงในเรื่องนี้ นอกจากจะไม่แสนดีเพราะมีพฤติกรรมใจแคบอยู่หลายสิ่งอย่าง ยังไม่มีอะไรให้น่าเห็นใจอีกด้วย เพราะไม่รู้สึกถึงความรักที่เขามีให้ฮารุ รักเริกอะไรกันเอาแต่นึกถึงความรู้สึกตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว

บทของนาคาจิขนาดมีสาวครองใจอยู่แล้วโทนโท่ ยังรักนางเอกได้เท่ห์กว่าคุณหมอตั้งเยอะ สายตาของช่างภาพที่มองเห็นรายละเอียดแง่มุม และการเป็นคนอ่อนโยนทำให้นาคาจิเป็นคนเข้าใจจิตใจคนอื่น



เนื่องจาก "ดงบังชินกิ" มีความหมายต่อผู้เขียนก็ต่อเมื่อมีลีดเดอร์ "ยูโน ยุนโฮ" เมื่อแจจุงแยกตัวมายืนเดี่ยวเขาจึงไม่ได้อะไรไปจากใจ แต่ก็ไม่เสียอะไรเลยเพราะชอบเสียงหัวเราะของแจจุงมาแต่ไหนแต่ไร (เป็นคนมีเสียงหัวเราะแบบที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความจริงใจ)

คุณหมอมีพ่อมีแม่และทำธุรกิจครอบครัวอยู่ที่เกาหลี จึงไม่เข้าใจพื้นฐานของคุณหมอว่าทำไมต้องมาต๊อกต๋อยให้คนกดขี่อยู่ที่ญี่ปุ่น แล้วตอนที่กลับไปช่วยธุรกิจครอบครัวก็ดูดีมีฐานะมิใช่น้อย อีกประการหนึ่งถ้ามีปัญหากับครอบครัว ทำไมน้องสาวต้องมาอยู่กับพี่ชายที่ญี่ปุ่นด้วย ไม่อยู่กับพ่อกับแม่หรือไง ดูแล้วงง หรือเป็นเพราะเราไม่เข้าใจซับอังกฤษดีดีพอ

ฮารุกับครอบครัว แรกเริ่มเหมือนปมติดยาของน้องชายจะมีผลต่อชีวิตของฮารุ แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องอะไรขึ้นมา เพราะการที่ฮารุตกอยู่ในอันตรายไม่ได้เกี่ยวกับน้องชายหรือเด็กนักเรียนที่คอยจับจ้องด้วยมีจิตอกุศลต่อคุณครูนำเหตุมาให้ก่อน แต่เป็นคุณครูรนหาที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง แล้วเด็กที่ว่าก็ระเห็ดไปอยู่ในคุก กลายเป็นนักเรียนน้อยเรียกหาความเห็นใจและความช่วยเหลือจากคุณครู เป็นถึงมาเฟียน้อยขายยาในโรงเรียน และทำสายตามีเงื่อนงำอันตราย ทำไมจ๋องง่ายขนาดนั้นก็ไม่รู้



ปูเรื่องด้วยการสร้างปมให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยเอาไว้มาก แล้วดำเนินเรื่องไปโดยที่ไม่ได้เอาปมมาใช้ให้หนักหน่วงเท่าไรนัก ที่สงสัยก็เฉลยง่ายๆ ที่คิดว่าจะยากเย็นก็ผ่านไปไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ แบบนี้ที่อุตส่าห์ตื่นเต้นก็เซ็งลี่ฮ่อน่ะสิ ซีรีย์เรื่องนี้จึงเสียอรรถรสบางส่วนไปแบบไม่น่าจะเสีย

ฉากบอกรักนางเอก การเพิ่งคิดได้ตอนจะจากไป ไม่ได้ช่วยทำให้ดู Hard to say หรอกนะคะ โดยรวมที่ผูกเป็นเรื่องราวมายังดูไม่ Hard สักเท่าไร ก็แค่เกรงใจเพื่อน และไม่มีหน้าจะไปบอกรักกับคนที่ตัวเองเคยปฏิเสธความรักไปแล้ว แต่ถ้ากล้าหักหน้าและกล้ากลับคำมันก็เป็นไปได้ใช่ไหมล่ะ

แต่ความรู้สึกที่มีต่อกับการปูพรมคาแร็คเตอร์เบื้องหน้าเบื้องหลังตัวละคร บวกกับการพยายามทำให้เรื่องราวน่าสงสัย บวกกับชื่อเรื่อง Hard to say I love you ชวนให้นึกถึงอะไรที่ร้ายแรงมากพอจะทำให้ "รัก"เป็นคำต้องห้าม ไม่ควรเป็นไปได้ และถึงเป็นไปก็ไม่ควรถูกยอมรับ

ฉากการไล่ตามกันที่แอร์พอร์ตน่ะนะ มันเป็นมุขที่ไม่ใหม่ และซ้ำกับเรื่องอื่นพอตัวแล้ว การที่เรื่องนี้มีซีนลักษณะนี้ถึงสองครั้งสองหนมันเยอะไปหรือเปล่า เอตะเองก็วิ่งตามไปบอกรักโอสึกะ ไอ ในเรื่อง Tokyo Friend ที่แอร์พอร์ตด้วยเหมือนกัน (ที่รักน่าจะเบื่อซีนนี้ได้แล้วนะ)



Hard to say I love you เป็นการพยายามผูกปมให้ดูซับซ้อนและน่าเป็นห่วง ซึ่งความจริงแล้วไม่มีอะไรต้องห่วงมากนัก ดูแล้วไม่มืดอย่างที่คิด และไม่ Hard อย่างที่ Hope แต่สำหรับคนไม่ชอบความเครียดหนักๆ ซีรีย์แนวความรักเรื่องนี้ก็เหมาะกันเลยค่ะ

การได้ดูผลงานการแสดงของเอตะ ที่ทำให้อินกับบทของพระเอกทุกครั้งไป เป็นอคติหรือเปล่านะที่รู้สึกว่าเขาแสดงดีขึ้นทุกครั้งที่ได้ดูและรักนักแสดงคนนี้มากขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็นผลงานของเขา ต้องถือเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่ทำให้หลงรักในทุกสายตาและอากัปกริยาแสดงออก และยังได้เปรียบตรงที่มี "เสียงพูด" ที่ถูกโฉลกกับหู ชอบเสียงพูดของเอตะมากๆ เลยล่ะค่ะ และการได้ดูหน้าใสๆ ของ จูริ อุเอโนะ ที่ดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นยิ่งสุดแสนจะปลื้มใจ (จูริก็สะสวยน่ารักไม่แพ้ใครเหมือนกัน)

จึงช่วยให้เรื่องรักของ Hard to say I love you ก็มีชัยหนือ Moon Lovers แบบขาดลอย เพราะสองคนนี้เข้าฉากด้วยกันทีไร ดูเป็นธรรมชาติ เนียนๆ ที่น่ารักสุโค่ย (เหตุเพราะอ่อนวัยกว่า) ดูฉากแล้วต้องรอดูฉากต่อไป รอคู่พระ-นางมาพบเจอกันอีกด้วยใจจดจ่อ ดูแล้วก็ต้องรอดูต่อไปเรื่อยๆ นี่แหละคู่แม่เหล็กของจริงที่ดึงดูดใจเอาไว้ได้แต่ต้นจนจบ เขาและเธอเป็นคู่ขวัญที่ดูแล้วทำให้มีความสุขในการชมซีรีย์จริงๆ

เล่าด้วยภาพ


พรหมลิขิตสองเรา



อ๊ะ ผู้หญิงคนนี้คือ ... (ยัยโรคจิตคนนั้น)



ถ่ายภาพการพบกันเป็นที่ระลึก





จูบที่อธิบายเหตุผลไม่ได้



"ตลอดไปเลยมั้ย ครั้งนี้ที่บอกว่าซาโยนาระ เธอหมายถึงตลอดไปด้วยหรือเปล่า"













ณ ที่เหล่านี้ พวกเรารักกัน





"ทำไม นาคาจิถึงทำกับฉันแบบนี้"





"แล้ว ..นาคาจิ ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า"



"อื้อ ได้ยิน" (ชัดเลย)





"ครั้งนี้ ฉันจะไม่ช่วยดึงเธอขึ้นมาหรอกนะ"





"ฮารุ"







"ฉันไม่รู้จะโทรหาใคร"




"อย่าโทษตัวเองนะ นี่ไม่ใช่ความผิดของนาคาจิหรอก"


"ผมจะรอคำตอบจากฮารุ"





"ฮารุ พยายามเข้านะ"



"โย่!"






"อยู่อย่างปลอดภัย ดูแลตัวเองให้ดีนะ "




"นาคาจิ เป็นอะไรไป"












"ฮารุ อย่าไปนะ




"ขอโทษนะ นาคาจิ"


และที่ประทับใจมากที่สุดคือซีนนี้
เป็นซีนอารมณ์ที่คนหมองหม่นทั้งสองมาพบกัน
ฮารุจากที่ไม่กล้าจะเล่าปัญหาของตัวเอง เริ่มเล่า
ระบายความรู้สึกท้อแท้ และกลายเป็นร้องไห้
นาคาจิหลังจากเป็นผู้รับฟังเงียบๆ
ลุกขึ้นมาหยิบกล่องกระดาษทิชชู่ยื่นส่งให้
ยืนเอียงๆ นั่งหันข้างเอียงๆ พยายามไม่มองคนร้องไห้
เพราะกลัวว่าฮารุจะรู้สึกอาย
นาคาจินั่งฟังแล้วมือก็แอบพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์

ฮารุได้รับข้อความยิ่งร้องไห้ เพราะอยู่ด้วยกันตรงนี้
กับแค่คำปลอบใจ ทำไมไม่ยอมพูดออกมาจากปาก
สักครั้งได้ไหม พูดออกมาจากปากของตัวเองสักครั้ง
นาคาจิทนดูน้ำตาไม่ไหวก็เลยกอดฮารุ
แล้วอ้างเหตุผลว่า "แทนคำปลอบใจ"

ซีนนี้ใช้เวลานานพอสมควร การปลดปล่อยอารมณ์ของทั้งสองฝ่าย
โดยที่ "ความในใจ" ยังถูกเก็บกดไว้ในใจ
ทั้งสองคนแสดงได้น่ารักมากๆ