bloggang.com mainmenu search


หากจะพูดถึง Tatta Hitotsu No Koi หรือ Just one love
ต้องขอพูดถึงพระเอกของเรื่องก่อนเป็นอันดับแรก

Kamenashi Kazuya หรือ คาเมะ

รู้จักชื่อและรู้จักหน้าตาของหนุ่มคนนี้มาก่อนตั้งแต่ยังไม่เคยดูผลงานสักเรื่อง
เพราะอ่านเจอ เห็นรูปหน้าผ่านสายตาจากแวดวงอินเตอร์เน็ตนี้แหละค่ะ
แต่ก็แค่มองผ่านเฉยๆ เพราะเข้าข่ายหน้าสวย และยังดูตัวผอมเป็นไม้ซีก
ถึงจะหล่อดีก็ขอผ่านไปก่อนดีกว่า

จนกระทั่งเห็นภาพแบรนด์ ของซีรีย์เรื่อง Kami no Shizuku
อืม.. ผมสั้นก็เหมือนจะดูดีนะ และจากพล็อตเรื่องทำให้อยากดูเรื่องนี้อยู่พอดีเลย



ดูแล้วชอบคาเมะมาก หล่อจังแฮะ

ยังเสียดายที่ไม่ได้ทำบล็อคเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะถ้าเรื่องไหนดูจบแล้ว
ยังไม่ว่างพอจะทำจริงๆ ก็จำเป็นต้องตัดใจปล่อยให้ผ่านไปอย่างไม่เต็มใจนัก

ตามไปดูต่อ ที่ Sapuri แม้ว่าแนวโคแก่กินหญ้าอ่อน จะเป็นอะไรที่ไม่ถนัด
เอาซะเลย แถมคาเมะทำทรงผมยาวๆ หน้าผอมๆ ซะอีก แต่ถึงจะเป็น
อย่างนั้น ก็ยังเฝ้าจับตา "ตา" ของคาเมะด้วยความอดทน



แต่ต้องขอ ซาโยนาระกันไปชั่วคราว เพราะอ่านพล็อตเรื่องอื่นๆ ที่แสดง
แล้วรู้สึกว่า ไม่มีเรื่องไหนน่าสนใจ แม้กระทั่งเรื่อง One-pound Gospel
ที่เพิ่งเขียนบล็อกไปล่าสุด และ Just one love ที่กำลังจะเขียนถึงอยู่
ณ ตอนนี้ก็เถอะ

พอได้ดูเข้าแล้ว

One-pound Gospel พล็อตเรื่องแสนจะขัดจิต แต่ดันชอบ ผิดคาดแฮะ

------------------------------------

 คำเตือน

ต่อไปนี้ จะสปอยล์มากเลยนะคะ เพราะชอบโครงเรื่องโดยรวม
และประเด็นที่ชอบก็ดันเป็นส่วนสำคัญของเรื่องด้วย

-----------------------------------

Just One Love พล็อตเรื่องเหมือนเป็นแนวสุดจะระทมใจ ซึ่งเป็นเหตุให้
ปฏิเสธเรื่องนี้ของคาเมะอย่างไร้เยื่อใยมาก่อน ก็คิดผิดอีก ไม่ระทมอย่างที่คิด
แม้จะมองเห็นเชื้อรันทด อันเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่เป็นพิษต่อความรู้สึก
ในการดูซีรีย์เริ่มก่อหวอดตั้งแต่สองสามตอนแรก จนเกิดอาการไม่สบายใจ
ต้องแชตไปถามคนให้ยืมแผ่น

"พี่คะ บอกกันมาตรงๆ เลยดีกว่า นางเอกเรื่องนี้ตายมั้ยคะ"

สงสัยจะเคยชินกับซีรีย์เกาหลีมาไม่น้อย ประกอบกับเสียงเล่าเรื่องที่ออก
สำเนียงเศร้าสร้อยของพระเอกด้วย ขนาดชื่อเรื่องก็ยังฟังเหมือนรู้เห็นเป็นใจ
ทำให้ปักใจไปว่า "นางเอกตายชัวร์"

แต่ She will survive ไม่ตายแน่นอน

แม้เนื้อเรื่องจะพยายามรวบรวมความรันทดอัดเข้าไปจนแน่นแต่ก็ไม่ทำให้อึดอัดมากนัก

พระเอก คันซากิ ฮิโรโตะ ( คาเมะ ) เป็นคนที่มีคุณสมบัติรันทดล้นปรี่ คือ

"จน"

พ่อฆ่าตัวตายใช้หนี้ หนีความจน
แม่ นอกจากจะทำงานกลางคืนแล้ว สติก็ดูไม่ค่อยจะเต็มนัก
น้องชาย เป็นหอบหืด อวัยวะครบสามสิบสองก็จริง แต่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก
ในชีวิตประจำวันจึงต้องผลัดไปใช้รถเข็นนั่งร่วมกับการยืนเดินปกติด้วย

ยัง เท่านั้นยังน่าสงสารไม่พอ ยังต้องมีอาชีพเสริมด้วยการไปลักลอบ
ตกปลากับเพื่อนๆ ในเขตหวงห้ามที่ดันมีปลามาชุมให้ตก ส่วนโรงกลึงเหล็ก
ที่ฮิโรโตะรับช่วงดูแลต่อจากพ่อเป็นอาชีพหลักก็มีแต่ปัญหา ถูกลูกค้า
เลิกจ้าง ไม่ออเดอร์ให้ทำของส่งให้บ้างเอย ลูกน้องคนเก่าแก่ของพ่อที่มีอยู่
แค่สองสามคนไม่พอใจที่ไม่มีโบนัสจ่ายบ้างเอย ถูกยืม ถูกขโมยเงินเอย
อะไรเอิงเอย เท่านี้ รันทดพอไหม

ไม่พอหรอก ซิลเดอเรลล่ายังพบเจ้าชาย
ฮิโรโตะ ก็ต้องพบกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์บ้างซิ ...
(ตอกย้ำความน่าสงสารกันเข้าไป)

นาโอะ (แสดงโดย อายาเสะ ฮารุกะ) เจ้าหญิงแห่ง Star Jewery
ลูกสาวของบริษัทจิวเวอร์รี่ยักษ์ใหญ่ที่มีร้านสาขากว่า 36 แห่งทั่วประเทศ
รูปสวย รวยทรัพย์ และเป็น "คุณหนูจ๋า"

ความจริงแล้ว ไม่ชอบละครแนว "ดอกฟ้ากับหมาวัด" แบบนี้เลย ..มันหดหู่ค่ะ

กลับกันคือ ถ้าเป็นแนว "ซิลเดอเรลล่ากับเจ้าชายขี่ม้าขาว" คือ ผู้ชายรวย ผู้หญิงจน
และถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัด โดยมีเจ้าชายคอยช่วยเหลือดูแล นั่นจะเป็น
ความโรแมนติกแบบนิยายช่างฝันของสาว ๆ ที่มันไม่อยู่หรอกในชีวิตจริง
(อย่ามาแสดงความคิดอย่างคนมองโลกในแง่ร้ายแถวนี้นะยะ)

ส่วนดอกฟ้ากับหมาวัดน่ะนะ ต่อให้ผู้ชายลำบากแค่ไหนก็พึ่งพาผู้หญิงไม่ได้
สักนิดก็ไม่ได้ เพราะมันไม่เท่ห์ จะยากเข็ญยังไง ยังไง้ ยังไงก็ต้องยืนหยัด
ด้วยตนเอง ให้ดูน่านับถือ ถึงไม่มีจะกินก็ต้องหยิ่งในศักดิ์ศรีเข้าไว้ เพราะว่า
ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ แต่มันเท่ห์

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////



ในวัย ยี่สิบปี

ฮิโรโตะที่ต้องเป็นหลักของครอบครัวแบกภาระดูแลแม่และน้อง จนทำให้
กลายเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ได้บังเอิญมาเจอกับนาโอะ สาวน้อยไฮโซแสนสวย

เป็นการพบกันครั้งแรกที่ไม่โสภาเอาซะเลย ฮิโรโตะถึงกับพึมพำใส่นาโอะว่า

"กระแดะ"

คนแปล แปลได้ใจมาก ใส่คำนี้ลงไปได้อย่างเหมาะเจาะกับสถานการณ์จริงๆ
ถ้าบอกว่า "ดัดจริต" สามพยางค์ยาวไป จะไม่ได้อารมณ์เท่านี้

นาโอะคงเป็นแค่ไฮโซกระแดะ ที่ผ่านมาเจอและผ่านหายไป ถ้าไม่ได้พบกันอีก

แต่ฮิโรโตะก็มีโอกาสได้ถามเธอ

"คนที่บังเอิญเจอกันถึงสองครั้งในวันเดียว มันเป็นพรหมลิขิตใช่มั้ย"

ใช่แล้ว หนุ่มยาจกกับสาวไฮโซ ได้มาพบกันอีก พบกัน เพื่ออนุรักษ์ตำนาน
ความรักของดอกฟ้ากับหมาวัดให้คงอยู่ต่อไปอย่างไม่มีล้าสมัยในโลกของ
บทละคร

เมื่อเป็นการอนุรักษ์ตำนาน ย่อมรักษาไว้ซึ่งความเป็นขนบธรรมเนียมดั้งเดิม
นั่นคือ ...

เมื่อดอกฟ้ารักกับหมาวัด ถ้าหมาไม่พยายามเล่นของสูงโดยป่ายปีนขึ้นไป
ดอกฟ้าก็ต้องพยายามโน้มกิ่งลงมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นอย่างหลัง และเป็นธรรมดา
ที่ครอบครัวของดอกฟ้า จะไม่เห็นด้วยกับความรักต่างชนชั้น

เหมือนกันทุกตำนาน คือครอบครัวของดอกฟ้าย่อมกลัวลูกสาวถูกหลอกและ
ถูกปอกลอก แต่ของแบบนี้การเขียนบทมันอยู่ที่ชั้นเชิง ว่าตัวละครจะแสดง
ให้คนดูเห็นแบบไหน ระหว่าง"สมบัติ" กับ "ลูกสาว" หวงแหนอย่างไหนมากกว่ากัน

ละครเรื่องนี้ ครอบครัวของดอกฟ้า จึงมีคำพูดที่ทำให้หมาวัดเจ็บช้ำน้ำใจ
ไม่มากนัก แค่บอกให้สำนึกว่า แตกต่างกันมาก จึงไม่เหมาะ ไม่คู่ควร
แค่พระเอกจนสุดจน นางเอกรวยสุดรวย เรื่องมันก็รันทดพอแล้ว ฉะนั้น
ก็ถูกแล้วล่ะ ที่ไม่ต้องเสกสรรคำพูดก่นด่า ออกมาเหยียบย่ำให้พระเอก
ต่ำต้อยด้อยค่าไปมากกว่านี้ ไม่ต้องเสนอเอาเงินฟาดหัวด้วย แม้ว่าจะมี
ประเด็นเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยก็ตาม ...

พ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายมีหรือฝ่ายจน ต่างมีลักษณะที่เหมือนกัน

ฝ่ายแรก คือ กลัวลูกสาวจะถูกหลอกให้เสียใจ เพราะคนรวยมักมีนิสัย
หวาดกลัวคนไม่จริงใจ

ส่วนฝ่ายหลัง กลัวลูกชายจะต้องเจ็บและเสียใจ เพราะความแตกต่าง
ทำให้มองเห็นอนาคตอยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////



นอกจากนี้ การที่บทกำหนดให้นางเอกมีโรคประจำตัว ช่วยทำให้รู้สึกว่า
ความแตกต่างของพระเอกนางเอกมันแคบลงมาอีกนิดนึง คือ ไม่ว่ายังไง
ก็ไม่มีใคร เลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ มีเงินทองมากมายแต่ไม่ได้เติบโตมาอย่าง
มีความสุขนัก และต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน

ต่อให้ความรักของฮิโรโตะ ไม่หวังผลประโยชน์ใด นอกจากจริงใจบริสุทธิ์
และพอจะซื้อใจพ่อนางเอกเรื่องความจริงใจได้ แต่คนเป็นพ่อแม่ย่อมต้อง
เป็นห่วง ความรักของวัยรุ่นหนุ่มสาวอายุแค่เพียงยี่สิบ จะรักกันไปได้ถึงไหนเชียว

หากว่านาโอะเกิดล้มป่วยลงอีกครั้ง มันเป็นภาระที่หนักเกินไป
สำหรับเด็กหนุ่มอายุยี่สิบที่จะคอยอยู่เคียงข้างเธอ

คำพูดลักษณะนี้เหมือนกันเลยกับคุณพ่อของพระเอก "นิชิคิได เรียว"
ในเรื่อง "1 litre of tear" เลย

"มันเป็นภาระที่หนักเกินไป"

ดังนั้น ถอนตัวไปตอนนี้ยังทันนะจ๊ะ ถอนตัวไปซะดีกว่า

จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ลากดึงประเด็นหวงลูกสาวของครอบครัวนางเอก
อ้อมไปได้ไกลอีกหน่อยจากเรื่องการหวงสมบัติ และความรังเกียจคนจน

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////



สิ่งที่ชอบอีกอย่างในซีรีย์เรื่องนี้ คือ บทของพระเอก
ฮิโรโตะ ที่มีความคิดอ่าน เป็นผู้ใหญ่ และทำตัวเป็นลูกผู้ชายหัวใจเกินร้อย

อ้างอิงจาก ตอนที่นาโอะ หนีออกจากบ้านมาหาฮิโรโตะ

เห็นแล้ว รู้สึกระแวงกับเรื่องที่จะดำเนินต่อไป จนต้องเริ่มเดาด้วยความคิดตื้นๆ

พระเอกจะทิ้งแม่ทิ้งน้อง และพานางเอกหนีไปด้วยกัน เหรอ ?

จะอยู่ด้วยกันและให้พระเอกหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนางเอกอีกคน
อยู่อย่างยากจนแต่มีความสุข และเอาชนะใจผู้ใหญ่ให้ทำใจยอมรับได้
ในภายหลัง เหรอ ?

หรือว่า จะขอแค่ได้อยู่ด้วยกันสักสองสามวัน ก่อนที่พ่อแม่จะส่งคนมา
ลากตัวนางเอกกลับไปแล้วพลัดพรากจากกัน เหรอ ? (เฮ่ย นั่นมันเจ้าพ่อกุ๊กแดฮวา
ส่งนักเลงลูกน้องมาลากตัวลูกสาวกุ๊กยองรัน กลับสำนักมาเฟีย ใน East of Eden แล้วล่ะ)

แล้วยังไงล่ะ พระเอกจะขยันทำมาหากินจนรวยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
จนสามารถขี่เมฆลอยไปสอยดอกฟ้ามาครองรักกันชั่วนิรันดร เหรอ ?

(รู้สึกในหัวจะคิดออกแต่เรื่องน้ำเน่าทั้งนั้นเลยนะ )

แต่ไม่ต้องคิดเพ้อเจ้อไปอีกหลาย เหรอ ? เพราะทันทีที่พบหน้าพระเอก

..แต่น แต๊น......

ชอบมากเลยนะฉากนี้ สีหน้าที่คาเมะแสดงออกมา คือไม่ต้องเอ่ยปากเป็นคำพูด
ก็รู้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร นั่นเป็นสีหน้าที่ตอบคำถามที่มี ได้ทุกเหรอ ...

และพอพระเอกเริ่มพูด สิ่งที่พูดเป็นความจริงแท้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
วัยรุ่นวัยแรกรักที่ไม่คิดไม่ฟังผู้ใหญ่ นอกจากจะเห็นความรักเป็นทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ต้องได้รักและอยู่ด้วยกันอย่างเดียวควรดูไว้เป็นตัวอย่าง

เพราะความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง

พระเอกจึงได้ใจไปเต็มๆ กับการกระทำในฉากนี้เลย



ความรักของนาโอะกับฮิโรโตะจะว่าไปแล้วก็ไม่ถืงกับเป็นทางตัน
ถ้าต่างคนต่างยอมไหลไปด้วยกันตามอารมณ์ไม่มีใครเป็นหลัก
มันก็มีทางให้ไปต่อได้ หนีไปอยู่ด้วยกันไงล่ะ

แต่อย่างที่บอก เพราะฮิโรโตะไม่ได้เป็นไม้หลักปักขี้เลนที่จะไหวเอนไปตาม
ความรักความต้องการ แต่มีความรู้จักคิด (ให้สมฐานะพระเอกหน่อย)
ถ้าจะต้องพาความรักไปในหนทางที่ไม่ถูกต้อง ก่อนจะอยู่ด้วยกันสองคนได้
ต้องทิ้งใครๆ ไปก่อนหลายคน เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ และไม่ควรทำ

แม้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักจะเสียใจและเรียกร้องอยู่ตรงหน้า
ฉันทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเธอได้ แล้วทำไมเธอไม่สละอะไรเพื่อฉันบ้าง

แต่คำตอบยังคงหนักแน่น "ฉันทำไม่ได้"

สำหรับฮิโรโตะการเอ่ยคำนี้ออกไป นั่นหมายถึงมันจบลงแล้ว
ความรักน่ะหรือ ก็ต้องปล่อยมันไป (และทำให้ใจหายเอาเรื่องเลย)

เพราะถ้าเป็นคู่กันแล้ว ย่อมไม่แคล้วกัน

เมื่อหวนกลับมาพบกันใหม่ หลายปีที่พระเอกของเรา ต้องทำงานหนัก
เพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ถึงจะทิ้งแหวน แต่ไม่ได้ทิ้งรักลงแม่น้ำ
ตามไปด้วย ยังคงฝังไว้ในใจไม่ลืมเลือน พร้อมกับคำถามคาใจคำถามหนึ่ง

"ที่ผ่านมา ผมรักเธอได้ดีพอหรือเปล่านะ"

เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง นาโอะบอกกับฮิโรโตะว่า "............................"



โห...เขียนบททำร้ายจิตใจพระเอกขนาดนี้ เขียนให้นางเอกตายๆ ไปเลย จะเศร้าน้อยกว่ามั้ย

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////

อีกฉากหนึ่งคือตอนที่นาโอะตัดพ้อใส่ฮิโรโตะว่า

"คนอย่างฮิโรโตะ รักใครไม่เป็นหรอก"

หืออออ ... โกรธนางเอกเม้งขึ้นสมองทันทีเลย หล่อนพูดออกมาได้ไงเนี่ย

สีหน้าแววตาของคาเมะในฉากนั้นมันสุโค่ยในความรู้สึก ได้อารมณ์มาก

ทำประหนึ่งว่า สวมวิญญาณเป็นฮิโรโตะซะเอง และบรรยายอารมณ์นี้ออกมา
เป็นตัวหนังสือได้ว่า .... มันจุกลิ้นปี่จนแทบกระอักเลือด เหมือนกับคำพูดนี้
ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ฮิโรโตะจึงพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
นอกจาก "ขอฉันไปสูบบุหรี่" ก่อนที่จะหันหลังจากไปอย่างคนหัวใจสลาย
(นี่ๆ เบรกตัวเองหน่อย บรรยายเว่อร์ไปแล้ว )

และฉากนี้ก็ชอบสีหน้าของฮารุกะด้วย เพราะคำที่พูดออกไปแล้ว
นึกเสียใจ ก็เอากลับคืนไม่ได้

เป็นฉากนี้เลยค่ะ (อินจัด)




///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////

จึงคิดว่า Just one love เป็นซีรีย์ที่มีทั้งอารมณ์สุขปนเศร้า
และหวานปนขมคละเคล้ากันไปในสัดส่วนที่พอดี ๆ

เศร้ากับความต่ำต้อยของพระเอกและความรักที่ถูกกีดกัน แต่ปัญหา
ทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาก็ไมไม่ได้คาราคาซังมากนัก ยังมีหนทางแก้
และรับมือได้เร็ว

ครอบครัวของนางเอกก็ไม่ได้กีดกันซะสุดจิตสุดใจ เพียงแต่กีดกันในเหตุผล
จากมุมมองของผู้ใหญ่ เพราะเป็นผู้ใหญ่จึงมีความเข้าใจและรู้จักยืดหยุ่น
แต่ด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่ ถึงจะบอกว่า เข้าใจนะ

แต่ไม่ได้ก็คือไม่ได้

ความสัมพันธ์ของคู่พระนางก็มีช่วงเวลา เข้าใจไม่เข้าใจ ใกล้ชิดและแยกห่าง
ไม่หวานเลี่ยนจนขัดใจ และไม่ขมขื่นซะจนทนดูไม่ได้

จุดที่ขัดใจก็มีบ้าง

เช่น สื่อของความรัก

สัญญาณไฟจากเจ้าตัวสีส้มที่ส่องแสงได้เมื่อบีบไปที่ตัวของมัน กับไฟฉาย
ของฮิโรโตะ ที่ถือเป็นสัญญาณรักของคนทั้งคู่ ซึ่งในเรื่องจะเปรียบกับการ
สื่อภาษาของปลาโลมาที่ถึงแม้จะอยู่ไกลกันมาก แต่เหล่าปลาโลมาจะสื่อ
ถึงกันได้ด้วยคลื่นเสียงที่มีความถี่ต่ำ เป็นคลื่นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน
นอกจากโลมาพวกเดียวกันเอง จึงอาจกล่าวได้ว่าปลาโลมาส่งภาษาถึงกัน
ด้วยกระแสจิต พระเอก-นางเอกจึงให้กำลังใจตัวเองโดยเปรียบกับปลาโลมา
ถึงจะถูกกีดกันและต้องแยกห่าง ก็ยังสื่อภาษาใจถึงกันได้

หวานมั้ยล่ะคะ

แต่ดูนางเอกบีบเจ้าตัวสีส้มให้ส่องแสงทีไร ไม่ทันได้อินเลิฟกับความหวาน
ไปด้วยซักทีเพราะมัวแต่สงสัยว่า ถิ่นโกโรโกโสในย่านทรุดโทรมของ
โรงงานที่เป็นบ้านพระเอกด้วย เวลาแหงนหน้ามองไปจะเห็นตึกคอนโดสูง
ของนางเอก...ก็จริงอยู่

แต่จะมองเห็นแสงไฟของเจ้าตัวสีส้มขนาดนั้นเลยเหรอ ...ดูแล้วสงสัยทุกที
จนกระทั่งดูจบไปแล้ว และมีเวลามากินลมอยู่ริมหน้าต่าง มองไปเห็นแสงไฟ
สีแดงกระพริบเล็กๆ อยู่ที่ตึกสูงไกลออกไปพอสมควร (ไฟอะไรก็ไม่รู้
ไม่ใช่ไฟนีออนนะ นั่นมันชัดโร่อยู่แล้วล่ะ) มันเล็กมาก แต่ก็เห็นอยู่ว่ากระพริบแดงๆ

เลยเพิ่งถึงบางอ้อ... เออแฮะ น่าจะมองเห็นจริงๆ ด้วย รู้อย่างนี้จะได้รู้สึก
โรแมนติกไปกับพระเอกนางเอกเสียแต่แรก ไม่มัวนั่งสงสัยอยู่ว่านั่น
มันเป็นไปได้จริงเหรอ (ฮ่า ๆ ตลกตัวเองจัง)

ที่ขัดใจมีอีกอย่างคือ การมุ่งไปยังจุดจบของเรื่อง ที่ไม่ได้ใส่บทให้นางเอก
กลับไปแก้ไขการกระทำของตัวเอง คิดว่าอย่างน้อยตอนที่นาโอะกลับบ้าน
น่าจะมีฉากสำนึกผิดและเอ่ยปากขอโทษต่อพ่อแม่และพี่ชายสักนิดนะ

เพราะการหนีออกจากบ้าน โดยหันหลังให้กับแม่ที่ร้องไห้ แถมยังเอ่ย
ประโยคทิ้งท้าย "การที่หนูป่วย มันก็เป็นเรื่องของหนูนี่" เป็นคำพูดที่ออกจะ
ใจร้ายไปสักหน่อย เพราะนอกจากแม่ที่คอยประคบประหงมจะเสียใจแล้ว
พี่ชายที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเธอด้วยการสละไขกระดูกให้ ก็เข้ามาได้ยินพอดี

"การที่หนูป่วย มันก็เป็นเรื่องของหนูนี่"

อืม พอย้ำอีกที คำว่าใจร้ายนิดหน่อยคงไม่พอ ต้องบอกว่าใจร้ายมาก

แต่ถึงจะขัดใจอยู่บ้าง ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องของความรักที่พอดีๆเพราะไม่ได้
รักจ๋าจนเกินไป แต่มีจุดที่เห็นได้ชัดว่าความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง

คำพูดของตัวละคร ฟังเป็นคำถามง่ายๆ แต่ตอบยากอย่างเช่น

"ทำอย่างนี้มันยุติธรรมกับฮิโรโตะแล้วหรือ"

เป็นคำถามที่ยูโกะผู้เป็นเพื่อนสนิทถามนาโอะเรื่องที่เธอหนีออกจากบ้าน
เพรายูโกะคิดว่าการที่นาโอะหนีออกมา ก็เท่ากับเป็นการกดดันให้ฮิโรโตะ
ต้องรับเธอไป แล้วยังไงล่ะ ฮิโรโตะต้องยอมทิ้งแม่ ทิ้งน้อง เพื่อพานาโอะ
หนีไปอยู่ด้วยกันง้นหรือ ทำไมต้องเป็นแบบนั้น ในเมื่อความรักไม่ใชสิ่งที่
เกิดขึ้นได้แค่เพียงครั้งเดียว ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ ในอนาคตต่อไปก็ยังมีโอกาสพบ
และมีความรักครั้งใหม่กับใครสักคน

ฟังความคิดของยูโกะแล้ว ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเรื่อง "Just one love" สักเท่าไร
แต่นั่นก็เป็นความจริงนะ

ปัญหา อุปสรรค และความคลี่คลายของเรื่อง ได้ปูทางไปสู่การจบให้ประทับใจ
ในแบบพอดีๆ เพราะดูแล้วก็มีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้ ไม่เทพนิยายจนเกินไป

จบน่ารักแบบพอดีๆ ตามชื่อ Just one love "เพียงรักครั้งนี้" ที่จะไม่มีครั้งอื่น ครั้งใด กับใครอีก


นักแสดงสมทบ :



Tanaka Koki - แสดงเป็น "โค" เพื่อนของฮิโรโตะ
-เคยดูผลงานที่แสดงเป็น ยากูซ่าที่ชอบงานเย็นปักถักร้อย
ลูกน้องคนสนิทของโทโมยะ นางาเสะ ในเรื่อง my boss my hero

Toda Erika - แสดงเป็น "ยูโกะ" เพื่อนของนาโอะ

- เคยดูผลงานของเอริกะเยอะเหมือนกันคือ Liar game , สายสัมพันธ์ดาวตก ,
Love & Farm , Code Blue และในเรื่องนี้ก็หน้าใสน่ารักมาก

Hiraoka Yuta - แสดงเป็น อายูตะ เพื่อนของฮิโรโตะ - ยูตะ เป็นเพื่อนพระเอกอีกคน
ซึ่งป็นคนดีมากๆ และไม่ว่าอยู่ในบทไหนยูตะก็น่ารักเสมอจ้า

และนักแสดงเด็ก ไม่กล่าวถึงไม่ได้

Saito Ryusei - Kanzaki Ren (น้องชายของฮิโรโตะ) -
คุ้นหน้ากับคุ้นชื่อจังเลย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นจากเรื่องไหน





**********

ย้อนกลับมาพูดถึงคาเมะอีกครั้ง

ถ้าสมมติตัวเองมีหน้าที่แคสติ้งนักแสดงมารับบทพระเอกเรื่องนี้
หน้าของ "ยามะพี" จะลอยลำเข้าวินอย่างไร้คู่แข่ง หน้าอย่างนั้น
กับบทอย่างนี้จะเข้ากันมาก

เปรียบดัง พี่เต๋า สมชาย ที่ได้รับบทแสดงเป็น
นายไม้ (โลกทั้งใบให้เธอคนเดียว) เฮียเมษ (ข้าวเปลือก)
ล่องจุ๊น (ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน) นัต (เวลาในขวดแก้ว)

ไม่ได้หมายความว่า หน้าตายามะพี เหมือนพี่เต๋านะคะ (เดี๋ยวพีจังเสียใจแย่)
แค่จะบอกว่า ยามะพีเป็นคนที่เหมาะกับบทซีเรียส เครียดขรึม ลองไปดู
Code blue 2 ตอนนี้สิคะ รู้สึกจะอาการหนักว่า season 1 อีกแน่ะ
หน้าเก๊กเครียดจนกู่ไม่กลับแล้ว

แต่พอเห็นคาเมะที่ดูหน้าตาผิวพรรณดูผู้ดี๊ผู้ดี กับบททายาทไวน์ในเรื่อง
Kami no มาแสดงอยู่ในบุคลิกที่เซอร์ แบบช่างเชื่มโลหะมอมแมม ทั้งยัง
ต้องแสดงความเครียดขรึมกับปัญหาชีวิต และเศร้าซึมกับความรักที่มอง
ไม่เห็นทางสมหวัง และต้องเก๊กแมน "จนแต่เท่ห์" ให้ได้ซะด้วย

และคาเมะก็ทำได้ดีนะ ยิ่งถ้าเอาไปเปรียบความแตกต่างสุดขั้วกับเรื่อง
One-pound Gospel ด้วยแล้วล่ะก็



( หึหึ ทีนี้รู้แล้วสินะว่า ผม...คาเมะนาชิคนนี้ ก็เป็น "หนึ่งในตองอู" กับเค้าเหมือนกัน )

ภาพและข้อมูล :

mylovecd.com
dvd4u.biz
R-U-Indy.com
//topicstock.pantip.com/cha...182.html
Create Date :06 กุมภาพันธ์ 2553 Last Update :22 กุมภาพันธ์ 2558 8:46:21 น. Counter : Pageviews. Comments :10