เหมือนกันเลย เราดู Hana Kimi เรื่องแรกจากนั้นก็ติดหนึบ ซีรียส์เกาหลี ไต้หวัน ที่ดองไว้ก็มีเพียบแต่ว่าญี่ปุ่น มันกระชับเลยหยิบมาดูก่อนทุกทีเลย ตอนนี้เราบ้า ทักกี้อยู่หล่ะ โดย: MamLHC 20 มิถุนายน 2552 20:15:22 น.
บ้าโทโมยะ ก็นี่เลยแนะนำเรื่องนี้ Tiger & Dragon เรื่องนี้ฮาสุดๆ แล้วก็ได้รับรางวัลเพียบเลย My boss my Hero ก็ฮาไม่แพ้กันเลย กล่าวถึงยามะพี สุดที่รักก็แนะนำ Nobuta wo Produce กะ Kurosagi หนุกมากมาย
โดย: MamLHC 20 มิถุนายน 2552 20:15:22 น.
โดย: MamLHC 22 มิถุนายน 2552 12:21:23 น.
ก็แทบจะครบสูตรเร่งรัดได้อย่างรวดเร็ว
engine ก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
โดย: Mr.Chanpanakrit 22 พฤศจิกายน 2552 20:50:48 น.
จะขอบอกว่าตอนเปิดมาดูฉากแรกยังหวั่นใจว่ามันเป็นเรื่องการแข่งรถเหรอ? คนละฟิวล์กับเรารึเปล่า?
แต่ขอชมว่า ผู้กำกับเปิดฉากได้สวยมากๆ การลำดับภาพต้องยกนิ้วให้ เริ่มเรื่้องมาแม้จะเปิดตัวด้วยรถแข่ง แต่ผู้กำกับและลำดับภาพ แสดงให้เห็นถึงความอลังการทุ่มทุนสร้าง และเจ้าแมลงเต่าทองตัวน้อย
สีแดงบนตัวของมันเป็นเพียงจุดเล็กๆ เดินไต่ไปบนรถแข่ง จนกระทั่งพระเอกออกรถ มันถึงกางปีกออกปีนไปอย่างสวยงาม ประหนึ่งประกาศอิสระภาพประมาณนั้น เราอาตี้ก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะว่า มันจะมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นรึเปล่า? เพราะว่าตอนต้นเรื่อง และตอนพระเอกลงสนามแข่งตอนไคลแมกซ์ของเรื่อง เจ้าแมลงเต่าทอง ก็ยังคงโผล่มาเดินไต่บนรถ และออกโผลบินไปอย่างสวยสดเช่นเดิม ซึ่งเจ้าเต่าทอง อาจแทนสัญลักษณ์จุดแดงบนธงชาติของญี่ปุ่นรึเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ
ส่วนการลำดับภาพ ฉากแรกมีตอนที่พระเอกโดนฝรั่งต่อยหน้า ผู้ลำดับภาพได้นำฉากนางเอกตกจากรถจักรยานมาต่อท้าย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการบาดเจ็บ และเป็นการแนะนำตัวละครใหม่ (คือนางเอกของเรื่อง) ไปในตัว การลำดับภาพต่อเนื่องสัมพันธ์กัน
จะมีอย่างนี้อีกอยู่หลายครั้ง ซึ่งถือว่าเยี่ยม แต่ที่น่ารำคาญคือการทอดยาวของอารมณ์ ผู้กำกับจะปล่อยทิ้งช่วงให้ฉายสีหน้าท่าทางของตัวละครนานมากกกกกก คงตั้งใจทำให้ผู้ชมเข้าใจอารมณ์ของตัวละคร แต่อาตี้รู้สึกว่ามันทอดยาวเกินไป ทำให้ละครอืดดดด และผู้กำกับยังชอบฉายอารมณ์ตัวละครวนให้ครบทุกตัว เด็กๆ ก็15 คนเข้าไปแล้ว
คิดดูว่ากว่าจะครบคน มันจะกินเวลานานขนาดไหน แถมยังชอบเอามาฉายวนในตอนอื่นๆ ในเรื่องอีกหลายครั้ง เฮ้อออ ดูแล้วเหนื่อยยยยยยย
แต่ที่โดนใจคือเรื่องราว ใครๆ ต่างคิดว่าพระเอกเป็นพวกเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบ ทุกครั้งที่เด็กๆ ในบ้านมีเรื่อง เขาจะไม่สนใจว่าเขาอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรจะหยุดฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนในบ้าน และช่วยกันแก้ปัญหา แต่เขากลับไม่เคยทำอย่างนั้น แต่เป็นเพราะจุดนี้แหละที่ทำให้เด็กกลับเห็นเขาเป็นกระโถนท้องพระโรงที่จะมาระบายเรื่องราวให้เขาฟัง เพราะคิดว่าเขาคงไม่สนใจหรอก เราก็แค่ไปหาที่ระบายออกแค่นั้น
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พระเอกไม่สนใจ ได้แต่ เออ ออ เห็นด้วยกับความคิดของเด็กๆ ซึ่งจุดนี้กลับให้ผลที่ดูเหมือนตรงกันข้ามกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในบ้าน ที่ต้องการให้เด็กเชื่อฟัง และอยู่ในความประพฤติที่เหมาะสม ผู้ใหญ่ในบ้านจึงไม่ค่อยชอบพระเอก มองเขาว่าเป็นคนแปลก
แต่ว่าจุดนี้เองที่ทำให้เด็กๆ กล้าเปิดใจกับพระเอกอย่างหมดเปลือก และเด็กๆ มองว่าเป็นที่พึ่งที่สำคัญ อาตี้คิดว่าในทางจิตวิทยามันคือการเข้าเป็นพวกนั่นเอง หรือก็คือพระเอกเป็นพวกของเด็กๆ ที่มีปัญหา ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างพวกเขา
แรกๆ เด็กๆ ตะลึงที่ผู้ใหญ่ในบ้านทุกคนไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดของเขา ยกเว้นผู้ใหญ่(พระเอก)คนนี้ ดังนั้นต่อมาพระเอกจึงกลายเป็นหนึ่งในดวงใจของเด็กๆ เป็นศูนย์กลางของพวกเขา ซึ่งพระเอกไม่รู้ตัวเลย ต่อเมื่อรู้ตัว เขาก็รู้สึกเหมือนต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกและการเป็นอยู่ของเด็กทุกคนที่ได้ให้ความไว้วางใจในตัวเขา
อย่างเช่นตอนของเด็กที่ชื่อมิซาเอะ เมื่อเธอไม่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย มีครั้งหนึ่งบังเอิญเธอนั่งรถไปกับพระเอกสองคน และได้คุยกัน ทำให้เธอทราบว่า เขาเองก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน มิซาเอะแปลกใจมาก (มิซะเอเริ่มรู้สึกว่าอย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่ 1 คน ที่เป็นพวกเธอแล้ว เพราะพระเอกไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน แต่ไม่มีใครในบ้านรู้เลย) ดังนั้นจากจุดนี้เองที่ทำให้พระเอกพูดอะไร เธอก็จะเปิดใจรับฟังเขาได้โดยง่าย มิซะเอเอาไปไตร่ตรองตลอดทางกลับบ้าน พอเธอกลับมาบ้านพร้อมพระเอก ก็บอกกับผู้ใหญ่ในบ้านว่าเธอยอมตามความเห็นของผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านแล้ว ทำให้ต่างคนต่าง งง ไปตามๆ กัน
หรือตอนที่ชุนตะ เด็กชายอยู่อนุบาล กำลังมีคนมารับไปเลี้ยง เด็กชายแอนตี้มาก ทั้งที่ปกติเป็นคนยอมตามได้ง่าย วันที่ครอบครัวใหม่มารับชุนตะไปเลี้ยง เขาจึงหนีไปซ่อนในห้องนอนพระเอก พระเอกไม่บอกใครเลยทั้งๆ ที่ใครต่อใครต่างเดินมาถามพระเอกถึงในห้องนอน
(ชุนตะรู้สึกว่าพระเอกเป็นพวกของเขาแล้ว และทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากๆ) สุดท้ายชุนตะจึงกล้าเปิดเผยความรู้สึกว่า เขาไม่อยากไปกับครอบครัวใหม่ เพราะว่าพวกเขาพูดกับชุนตะว่า เขาเป็นเด็กที่น่าสงสาร (อันนี้ เราอาตี้ รู้สึกโกรธตั้งแต่ฉากที่ครอบครัวใหม่มาดูตัวชุนตะครั้งแรกแล้ว อาตี้อึ้งทันทีที่ได้ยินประโยคคำว่า "น่าสงสาร" ประโยคแรกแล้วล่ะ อาตี้อยากจะเขวี้ยงอะไรไปใส่หน้าจอเลยในตอนนั้น เพราะเข้าใจเลยว่า มนุษย์เราไม่ชอบให้ใครมาสงสาร ถึงจะสงสารก็อย่าได้พูดออกมา โดยเฉพาะกับเด็กที่ไร้ที่พึ่ง เพราะพวกเขาต้องการความเข้มแข็งที่มากกว่าคนอื่นมาตั้งแต่เกิดถึงจะอยู่รอดได้ในสังคม ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงต้องฝึกตัวเองให้แกร่งกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ถึงจะมีชีวิตอยู่ได้)
ชุนตะบอกพระเอกว่า "ผมไม่ได้น่าสงสาร" พระเอกเข้าใจในทันที จึงบอกชุนตะให้ไปบอกพวกผู้ใหญ่ เขาอุ้มชุนตะตัวน้อยไปที่ห้องกลาง และชุนตะก็ตะโกนความรู้สึกในใจออกมาเป็นครั้งแรก ซึ่งผู้ใหญ่ก็เข้าใจในทันทีที่ลำดับเหตุการณ์ได้ และนี่เป็นการพูดความรู้สึกของชุนตะเป็นครั้งแรกในชีวิต จึงมีน้ำหนักที่ทำให้ทุกคนฟังชุนตะ และทึ่งที่พระเอกทำให้ชุนตะบอกความต้องการของตัวเอง โดยเฉพาะเด็กๆ ในบ้านที่ยังไม่รู้จักพระเอกดี ก็เริ่มให้ความสนใจพระเอก แต่ตัวพระเอกเองกลับไม่รู้ตัวเองในจุดนี้เลย แทบจะตลอดเรื่องนั่นแหละ หุหุ
สรุป เรื่องนี้สอนความคิดในมุมของคนตรงกันข้ามว่า อย่ามัวคิดถึงแต่ตัวเอง ถ้าเราเป็นเขาบ้าง จะรู้สึกยังไง ไม่เพียงแค่นั่น ปัญหาหนึ่งไม่เพียงกระทบกับคนแค่ 2 คน แต่ยังกระทบต่อคนรอบข้างเป็นจำนวนมากยังไงบ้าง? เรื่องนี้จึงให้ข้อคิดกับทั้งผู้ใหญ่และเด็กได้เป็นอย่างดี แจ่มมากค่ะ น่ารักจริงๆ
โดย: อาตี้เจ้าเก่ามาบุกแล้ว IP: 119.46.167.30 23 พฤษภาคม 2554 10:43:03 น.
ไรต์แผ่นได้ไวมาก ขอบคุณนะคะ แล้วก็ตอนแรกคิดว่าแค่พิมพ์ผิดเลยไม่ได้ทัก แต่เห็นพิมพ์ ending มาสองรอบแล้ว ชื่อ ชื่อ Engine นะคะ (เครื่องยนต์) ไม่ใช่ Ending ช่างเปลี่ยนชื่อซีรีย์ของเราได้ เดี๋ยวงอนซะเลย ฮึ
ขอบคุณที่ดูซีรีย์ญี่ปุ่นนะคะ ( 55 มีพวกแล้ว)
โดย: prysang 23 พฤษภาคม 2554 19:10:33 น.