ได้ไม่เท่าเสีย ....โดย สุนทร นาคประดิษฐ์ ( ความเห็น เกี่ยวกับ การฟ้องร้องแพทย์ )
ได้ไม่เท่าเสีย โดย
สุนทร นาคประดิษฐ์ //www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act02070352&am p;sectionid=0130&day=2009-03-07 ข่าวเรื่องแพทย์รักษาผู้ป่วยถูกร้องเรียนหรือถูกกล่าวหาว่า ทำการรักษาสะเพร่าหรือประมาทจนเกิดความเสียหายกับผู้ป่วย และ มีข่าวว่าจะมีการเรียกร้องให้รัฐ ออกกฎหมายจะฟ้องแพทย์ที่เป็นผู้รักษาผู้ป่วยให้รับโทษทางอาญา ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวในขณะนี้นั้น สร้างความปั่นป่วนให้กับวงการแพทย์พอสมควร
วิธีบริหารผู้ป่วย ผู้เขียนในฐานะเป็นผู้ที่เคยทำงานในสถาบันการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่บริการผู้ป่วย คือ โรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย คำว่าโรงเรียนแพทย์เป็นชื่อเฉพาะเรียกภายในหมู่ผู้ผลิตแพทย์ นั่นคือ มหาวิทยาลัยที่มีโรงเรียนแพทย์นั่นเอง
ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าข่าวที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงแพทย์ไทยที่ต้องติดคุก เพราะช่วยเหลือผู้ป่วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมเริ่มมองแพทย์ด้านเดียวคือความผิดพลาดทางการรักษา และพยายามจะให้แพทย์รับโทษ และชดใช้ค่าเสียหายเหมือนกับบางประเทศ
แต่ประเทศเราจะมีแพทย์สักกี่คน หรือมีผู้ป่วยกี่คนที่จ่ายเงินให้แพทย์ในอัตราสูงเหมือนต่างประเทศ
ผู้ป่วยในชนบทส่วนใหญ่โรงพยาบาลต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ป่วย โดยผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลก็มีมาก บางรายเป็นแสนหรือหลายแสนก็มี
จำได้ว่ามีผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลที่ผู้เขียนทำงานอยู่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดข ึ้นเมื่อนานมาแล้ว มีผู้ป่วยคนหนึ่งดื่มน้ำส้มยาง (น้ำกรด) มารักษาที่โรงพยาบาลต้องเสียค่ารักษาหลายแสนบาท เพราะต้องผ่าตัดหลายครั้ง
เรื่องนี้ต้องเข้าที่ประชุมใหญ่ฝ่ายบริหาร เพราะเป็นเรื่องที่ต้องปรึกษาว่าเป็นเรื่องที่ควรทำหรือไม่ควรทำ
ได้พูดกันมาก คำตอบว่าถูกหรือผิดมันอยู่ที่มองว่า เมื่อ เป็นแพทย์ผู้รักษาต้องช่วยคนให้รอดตาย ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของแพทย์แต่ละคนที่ฝังลึกอยู่ในใจ แม้ว่ารัฐจะเสียเงินเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยว เพราะตัวเองต้องรักษาคนให้หายและได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องของผู้บริหารที่ต้องรับผิดชอบ
ภายหลังกรรมการคณะจึงได้ตั้งกรรมการดูแลความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายแต่ละรายว่าคุ้มกับเงินที่จ่ายออกไป เพราะบางรายรักษาแล้วได้คนไม่สมบูรณ์กลับมาทำงานอะไรก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าคิดว่าการทำแบบนี้ถูกหรือผิด
นี่เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า แพทย์ก็ต้องดูแลผู้ป่วยที่ตัวเองรับผิดชอบให้ดีที่สุด
คำ ว่าแพทย์เลี้ยงไข้เราได้ยินบ่อยๆ แต่ผู้เขียนไม่เคยเห็นแพทย์คนไหนจะเลี้ยงไข้ เพราะการรักษาคนไข้ของแพทย์ถ้าคนไข้หายแพทย์ก็จะมีความสุขและดีใจ แต่ถ้าไม่หายหรือคนไข้ตายก็ท้อใจในฝีมือตัวเอง
ระบบการรักษา การที่ผู้ป่วยรักษาไม่หาย หรือบางรายเสียชีวิตกะทันหันโดยไม่รู้สาเหตุตามที่มีข่าวอยู่เป็นระยะๆ
ซึ่งสังคมหรือกลุ่มสื่อต่างๆ ก็ผลักให้เป็นความผิดของแพทย์ เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริง
การโจมตีการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนควรจะดูให้รอบคอบ
เพราะความเสียหายไปเกิดที่แพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้เพียงคนเดียวทั้งๆ ที่ผู้ป่วย 1 คนมีผู้เกี่ยวข้องครึ่งโรงพยาบาลก็ว่าได้
แต่สื่อไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรื่องการบริหารผู้ป่วยเป็นระบบสลับซับซ้อนมาก
ไม่เป็นสองรองใคร ผู้เขียนไม่ใช่แพทย์แต่เป็นบุคลากรที่ทำงานในโรงเรียนแพทย์ ได้เห็นการทำงานและการตัดสินใจของแพทย์แต่ละสาขา ซึ่งไม่เหมือนกัน ที่นำเรื่องนี้มาเขียนเพราะเห็นว่าสังคมกำลังคิดทำลายระบบแพทย์ที่ถูกสร้างไว้อย่างดีมานานแล้ว
ขอเรียนข้อเท็จจริงให้ทราบว่า หลายคนไม่รู้ว่าแพทย์ไทยนั้นเป็นแพทย์ที่มีฝีมือในการรักษาผู้ป่วย ไม่เป็นสองรองใครในโลกนี้
เพราะระบบและวิธีการรักษาตลอดจนหลักสูตรการเรียนการสอนเอามาจากประเทศที่เจริญแล้ว คือ ยุโรปและอเมริกา แพทย์รุ่นเก่าๆ จะจบจากอังกฤษ เยอรมนี และอเมริกาเป็นส่วนใหญ่
การผลิตแพทย์ในประเทศไทยยังไม่เพียงพอเนื่องจากแพทย์ที่จบมาไปอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนและทำคลีนิคในต่างประเทศ ที่เหลืออยู่ในประเทศไทย
ขณะนี้มีแพทย์อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 26,380 คน
ทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชน
เฉลี่ยจำนวนแพทย์ต่อประชากร 1 : 2,350 คน
ค่าเฉลี่ยองค์การอนามัยโลก 1 : 1,500 คน คือ 1,500 คน ต้องมีแพทย์ 1 คน
ในขณะนี้เรายังผลิตไม่พอเพราะต้องผลิตเผื่อประเทศอเมริกา ยุโรป และประเทศอื่นๆ ที่ร่ำรวยด้วย
ผู้เขียนคิดว่าคนเป็นแพทย์งานหลักมาก ต้องทำงานเช้ามืดจนดึกดื่น
การเรียนการสอนแพทย์ ปัจจุบันมีโรงเรียนแพทย์หรือมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทย์ทั้งสิ้น 17 แห่ง สามารถผลิตแพทย์ได้ปีละ 2,282 คน ซึ่งการผลิตขณะนี้ถือว่าสูงสุด
การผลิตแพทย์หรือการสอนนักศึกษาแพทย์ บางวิชาเหมือนการสอนนักบิน เพราะต้องสอนตัวต่อตัว ค่าใช้จ่ายในการแพทย์สูงมาก ตกหัวละเกือบ 2 ล้านบาท/คน แต่เดิมแพทย์พอจบการศึกษาในประเทศไทยก็หาทางไปเรียนต่อเพื่อเพิ่มดีกรีจากต่างประเทศ
ในยุคปัจจุบันสังคมที่เต็มไปด้วยอุบัติเหตุทางจราจร และการทำร้ายร่างกาย รวมทั้งอุบัติภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นบ่อย สังคมปัจจุบันเป็นยุคที่มีสื่อเป็นตัวชี้ขาดความผิดถูกของสังคม ทำให้อาชีพแพทย์อยู่ยาก เพราะการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนมีเงื่อนไขหลายอย่างเพิ่ม ขึ้นจากเดิมมาก เป็นสาเหตุให้เกิดการฟ้องร้อง เพราะคนรู้กฎหมายจึงฟ้องร้องง่ายขึ้น
แพทย์มีสิทธิถูกฟ้องและติดคุกได้ทุกคน การรักษาผู้ป่วยต้องเสี่ยงตลอดเวลา ถ้าการฟ้องแพทย์ทำได้จริงๆ การแพทย์ของประเทศไทยเราต้องถอยหลังเข้าคลองและเสียหายอย่างยับเยิน
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้ผู้อ่านได้เห็นภาพว่าแพทย์จะมีปัญหาตรงไหน ขอยกตัวอย่างคนไข้ฉุกเฉินก็แล้วกัน
ปกติการรักษาผู้ป่วยหรือการทำงานในโรงพยาบาลเป็นการทำงานเป็นทีม ไม่ใช่เป็นการทำงานแบบตัวใครตัวมันทุกอย่างจะต้องเชื่อมต่อกันเป็นวงจรเดียวกันหมด มีเป้าหมายรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคทุกคนจะต้องรู้วัตถุประสงค์นี้ ตั้งแต่ผู้อำนวยการไปจนถึงคนเข็นเปล ยามรักษาการและคนสวนก็ต้องรู้วัตถุประสงค์ กลไกแต่ละส่วนต้องเดินอย่างเป็นปกติไม่มีสะดุด หากมีปัญหาเกิดขึ้นจะกระทบกับคนไข้ทันที
ด้วย ระบบดังกล่าวเป็นต้นว่าห้องปฏิบัติการต่างๆ ห้องยา และงานอื่นๆ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหมด แพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้มีหน้าที่เพียงใช้ระบบที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์กับคนไข้มากที่สุด
เช่น การตัดสินใจว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ต้องอาศัยห้องปฏิบัติการต่างๆ ตั้งแต่ X-ray และผลของการตรวจแต่ละคน เมื่อได้ข้อมูลต่างๆ มาแล้วแพทย์จึงตัดสินใจสั่งการรักษา
จะเห็นได้ว่าคนไข้เข้าไป 1 คนมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากหลายหน่วยงาน ซึ่งแพทย์เป็นผู้บริหารคนป่วยให้หายจากโรคเท่านั้น
การฟ้องเรียกค่าเสียหายผู้เขียนเห็นด้วยแต่การฟ้องทางอาญาน่าจะไม่ถูกต้อง ควรจะได้มีการทบทวนและตรึกตรองให้ดี เพราะแพทย์ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ ผู้เกี่ยวข้องที่กล่าวถึงมีส่วนร่วมทั้งหมด
ปัญหาจะเกิดขึ้นกับโรงพยาบาล แน่นอนที่สุดที่หนีไม่พ้นคือ
1.แพทย์ที่อยู่ฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล จะดูแลคนไข้ฉุกเฉินอย่างรอบคอบเกินความจำเป็น ทางด้านการรักษา จะไม่เสี่ยงตัดสินใจถ้าไม่ได้ผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการมายืนยัน โดยเฉพาะด้านกฎหมาย จะต้องรอบคอบอย่างมาก กล่าวคือ จะตัดสินใจรักษาใครก็ต้องได้รับการยินยอมจากคนไข้หรือญาติเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ป่วยก็จะต้องนอนรอการรักษา จนกว่าแพทย์จะเชื่อมั่นว่าปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วย
ท่านลองคิดดูว่า คนป่วยฉุกเฉินจะได้รับการรักษาอย่างไร
ปกติ การรักษาฉุกเฉินเป็นการเสี่ยงกันทั้ง 2 ฝ่าย ผู้ป่วยก็เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพราะการมาโรงพยาบาลฉุกเฉินก็ต้องมาที่ห้องฉุกเฉิน บางรายเป็นตายเท่ากัน ด้านแพทย์ก็ต้องเสี่ยงรักษา โดยมิอาจรู้ได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคติดต่อหรือไม่ และถ้าผู้ป่วยตายลงก็ต้องเสี่ยงกับการถูกญาติว่า
แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีการฟ้องแพทย์ก็ยอมเสี่ยงช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉิน มุ่งแต่ให้ผู้ป่วยหายและมีความสุขกับการได้ดูแลรักษาผู้ป่วยจนหาย
2.รากฐานการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์ไทยที่เจริญมานี้เนื่องมาจากสายพระเนตรอันยาวไกลของกรมหลวงสงขลานครินท ร์พระบรมราชชนก ได้เห็นว่าการแพทย์ของเราในสมัยนั้นล้าหลังประเทศตะวันตกและยุโรป จึงได้ทรงทุ่มเท เสียสละโดยพระองค์ทรงตั้งพระทัยไปเรียนแพทย์ด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเรียนการพยาบาลจากสหรัฐอเมริกามา ทั้งสองพระองค์ได้ทรงวางรากฐานการแพทย์ไทยที่เราเรียกว่าแพทย์แผนปัจจุบัน จนสิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนมายุ 36 พรรษา
แต่ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงวางรากฐานการแพทย์ไว้อย่างมั่นคงมาจนทุกวันนี้
เราจะเห็นได้ว่า โรคหลายอย่างที่เคยระบาด เช่น โรคห่า โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง และโรคอื่นๆ อีกมากได้หายไปจากประเทศไทย จนพระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย"
"ได้ไม่เท่าเสีย" หมายความว่าหากมีการฟ้องแพทย์ให้ได้รับโทษทางอาญา เมื่อเกิดรักษาผู้ป่วยผิดพลาดจะโดยประมาทหรือไม่ก็ตาม ย่อมทำให้กระเทือนวงการแพทย์และกระทบกับคนไทยทุกคน สร้างความเสียหายให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่มีเงินและต้องพึ่งแพทย์ให้ ดูแลชีวิตโดยเฉพาะกลุ่มคนในชนบท ต้องมารับเคราะห์กรรมจากการคิดควบคุมแพทย์โดยใช้กฎหมายอาญาให้แพทย์อยู่ในกติกาเหมือนกับอาชีพอื่น ความจริงก็ถูก ในแนวคิดที่แพทย์จะต้องรับผิดชอบต่อสังคม แต่สังคมมองเฉพาะกลุ่มแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลที่มีรายได้สูงและมองตัวเงินเ ป็นหลัก
สังคมไม่หันมามองกลุ่มแพทย์ที่ อยู่ในโรงพยาบาลของรัฐ โดยเฉพาะในชนบทต้องรับผิดชอบชีวิตคนสูงมากแต่มีแพทย์น้อย และต้องทำงานหนักตลอดเวลา บางวันแทบไม่ได้นอนก็มี แพทย์บางคนอยากจะพักผ่อนมากกว่าอยากจะได้เงิน
นอกจากแพทย์แล้วพยาบาลยังต้องทำงานหนักไม่มีเวลาหยุดพัก การเฝ้าไข้โดยการจ้างพยาบาลพิเศษจะหาได้ยากขึ้นทุกวัน การเรียนพยาบาลก็เริ่มลดลงทุกวัน
จากการที่ทำงานในโรงเรียนแพทย์ได้เห็นได้สัมผัสและได้รู้จักกับแพทย์ อาจารย์แพทย์ และนักศึกษาแพทย์ หรือรู้วิถีแพทย์อย่างดี และได้พบว่า
วงการแพทย์มีทั้งคนดีและไม่ดี แต่ที่ไม่ดีมีน้อยนิดไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของแพทย์ทั้งหมด
การจะฟ้องร้องแพทย์ให้ได้รับโทษทางอาญา ย่อมกระทบกับแพทย์ดีที่มีอยู่จำนวนมาก ย่อมไม่เป็นผลดีกับประเทศ แพทย์ บางสาขาจะไม่มีคนเรียน และแพทย์จะเฉยเมยต่อผู้ป่วยไม่กระตือรือร้นจะช่วยผู้ป่วย เพราะกลัวจะรับเคราะห์กับการทำงาน เช่นเดียวกับรถที่ช่วยเหลือผู้ถูกรถชนมาส่งโรงพยาบาล และถูกข้อหาว่าเป็นผู้ชนเอง เดี๋ยวนี้เลยไม่ค่อยมีคนอยากช่วยผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน
ที่เขียนมานี้เพียงจะบอกท่านผู้เกี่ยวข้องที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ให้มีการฟ้องแพทย์ได้ ควรจะรู้ว่าคนที่เรียนแพทย์จะต้องรู้จรรยาแพทย์และมีแพทยสภาควบคุมกลุ่มแพทย ์โดยตรงแล้ว แต่ละปีมีการทำโทษแพทย์มาก แต่สังคมไม่รู้
หวังอย่างยิ่งว่า บทความนี้ช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจแพทย์
แพทย์ ที่รักษาผู้ป่วยไม่หายจนถึงขั้นผู้ป่วยเสียชีวิตเขาก็เสียใจพออยู่แล้ว อย่าฟ้องเขาให้ต้องโทษทางอาญาอีก เลยเพราะสิ่งที่ได้ไม่เท่าเสีย
เอาไปแปะ ในห้องสวนลุม เช่นเคย จะได้มีคนแจมเยอะหน่อย ...
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7622921/L7622921.html
รวบรวมมาฝาก .. จะได้เข้าใจกันมากขึ้นว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ผลกระทบของ "หมอ" เท่านั้น
มีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม และ มีความสลับซับซ้อนกว่า คำพูดไม่กี่คำ ที่ยกขึ้นมาอ้าง
ถอดความ รายการสามัญชน คนไทย ตอน กฎหมายคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบทางสาธารณสุข ... ชเนษฎ์ ศรีสุโข //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-11-2016&group=7&gblog=208
ร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ... ปัญหา หรือ โอกาส ... //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=11-07-2010&group=7&gblog=61
เมื่อแพทย์และพยาบาลต้องล้มละลายเพราะถูกไล่เบี้ย
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=15-11-2016&group=7&gblog=207
การกระทำของแพทย์ในการรักษาโรค
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-09-2016&group=7&gblog=204
ประกันภัยภาระรับผิดชอบในวิชาชีพ (Professional Liability Insurance) ทางออกหนึ่งสำหรับคดีทางการแพทย์ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-04-2016&group=7&gblog=197
ได้ไม่เท่าเสีย ....โดย สุนทร นาคประดิษฐ์ ( ความเห็น เกี่ยวกับ การฟ้องร้องแพทย์ ) //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=13-03-2009&group=7&gblog=21
ฟ้องร้องแพทย์ ความยุติธรรมแก่ใคร ฤๅ???
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=28-01-2009&group=7&gblog=12
ปัจจุบันแพทย์พยาบาลสามารถถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย(คดีแพ่ง) โดยง่าย เหตุเพราะมีการตีความว่าการรักษาช่วยชีวิตคนไม่ต่างอะไรจากสินค้าหรือบริการที่มุ่งหวัง กำไรทั่ว ๆ ไป (ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค)ทำให้มีแนวโน้มการฟ้องร้องสูงขึ้น เรื่อย ๆ ที่ผ่านมาประเด็นนี้ ได้รับการปลอบขวัญจากรัฐเพื่อลดความวิตกกังวลของบุคลากรภาครัฐว่าไม่ต้องกังวล เพราะมีพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เป็นเกราะป้องกันการฟ้องร้องไว้ จึงทำให้แพทย์พยาบาล หลายคนชะล่าใจ คิดว่าไม่ว่าผิดถูกอย่างไร ไม่ว่าศาลจะทำคำตัดสินออกมาเช่นไรบุคลากรก็ไมได้รับผลกระทบ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วแพทย์พยาบาล อาจตกอยู่ในฐานะล้มละลายโดยง่ายได้เหตุเพราะแท้จริงแล้วบุคลากรยังคงมีความรับผิดชอบต่อเงินที่หน่วยงานต้นสังกัดต้องทดรองจ่ายให้ไปก่อนควรเข้าใจเสียใหม่ว่า กฎหมายนี้เป็นเพียงเกราะป้องกันมิให้แพทย์พยาบาลตกเป็นจำเลยโดยตรง แต่ความรับผิดทางอ้อม (การโดนไล่เบี้ย )ยังคงอยู่
ที่สำคัญคือในการอภิปรายและการประชุมในหลายๆ ครั้ง ผู้บริหารระดับสูง ในกระทรวงก็ยอมรับว่าท่านไม่มีอำนาจสั่งห้ามการไล่เบี้ยได้ เพราะเมื่อกระทรวงต้องนำเงินหลวงออกไปจ่ายให้กับโจทก์ตามคำพิพากษาท่านมีหน้าที่ตั้ง กรรมการสอบเพื่อพิจารณาการ ไล่เบี้ยและรายงานผลให้กระทรวงการคลังที่เป็นเจ้าของเงินที่แท้จริงซึ่งส่วนใหญ่แล้วกระทรวงการคลัง จะดูคำพิพากษาศาลเป็นหลักหากศาลตัดสินว่ามีความผิด การไล่เบี้ยนั้น เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก !!ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านี้คือขณะนี้มีคดีแพ่งที่กระทรวงตกเป็นจำเลยและรอฟังคำตัดสินของศาล อยู่อีกประมาณ ๕๐ คดีคิดเป็นทุนทรัพย์ประมาณ ๓,๐๓๙ ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ ๙กรกฎาคม ๒๕๕๙ กลุ่มกฎหมาย กระทรวงสาธารณสุข)
ที่น่าวิตกยิ่งไปกว่านี้คือหากรัฐยอมผ่านพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขจะมีคดีฟ้องร้องเพิ่มขึ้นอีกกี่ร้อยเท่าเพราะเดิมพันตามร่างกฎหมายใหม่นี้เป็นเงินจำนวนหลายล้านบาทต่อการร้องเรียนหนึ่งรายและเมื่อจ่ายเงินไปหลายล้านบาทออกไป กระทรวงการคลัง จะยอมมิให้มีการไล่เบี้ยอย่างที่ผู้ผลักดันกฎหมายออกมาโฆษณาชวนเชื่อ จริงหรือ !?!
แนะนำให้อ่านอย่างยิ่งยวด .. โดยเฉพาะ แพทย์พยาบาล ที่ยังรับราชการอยู่
เมื่อแพทย์และพยาบาลต้องล้มละลายเพราะถูกไล่เบี้ย
ผศ.นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กรรมการแพทยสมาคม
ดาวน์โหลด วารสารเมดิคอลโฟกัส MedicalFocusปีที่ 8 ฉบับที่ 94 ตุลาคม 2559
//www.luckystarmedia.co.th/download/medical_focus_vol_94.pdf
...............................
ตัวอย่างคดีที่แพทย์พยาบาลโดนไล่เบี้ย
- คดีแรก Drug allergy ศาลเห็นว่าแพทย์กระทำการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจึงมีคำพิพากษาให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องชดใช้สินไหมเป็นเงินจำนวน ๓,๖๘๘,๖๓๐ บาท เมื่อคดีนี้ เข้าสู่คณะกรรมการพิจารณาไล่เบี้ยคำตัดสินที่ได้ออกมาคือแพทย์ต้องควักเงินส่วนตัว เพื่อชำระในอัตรา ๕๐% คิดตกเป็นเงินทั้งสิ้นที่แพทย์ต้องจ่ายคืนให้กับรัฐ๑,๘๔๔,๓๑๕ บาท
- คดีที่สอง Compartment syndrome ศาลจึงมีคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องชดใช้สินไหมพร้อมค่าเสียหายเป็นเงิน ๔,๒๕๑,๓๗๗ บาท โดยมีการไล่เบี้ยให้แพทย์ต้องชดใช้เงินคืนรัฐจำนวน ๗๐% และพยาบาล ๓ คนอีก ๓๐%
- คดีที่สาม Snake bite ศาลจึงตัดสินให้จำเลยมีความผิดและต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท คดีนี้ มีคำสั่งให้ไล่เบี้ยแพทย์คิดเป็น ๖๐% พยาบาล ๔๐%
- คดีที่สี่ Extubation ศาลจึงมีคำพิพากษาว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง!! ต้องชดใช้เงินรวมทั้งสิ้น ๕,๑๒๕,๔๑๑ บาท กระทรวงสาธารณสุข ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการไล่เบี้ย มีคำสั่งให้ไล่เบี้ยเป็นจำนวนเงิน ๕๐% ของเงินที่จ่ายไป โดยให้แพทย์รับไป ๗๐% พยาบาล ๒ คน ๓๐%
- คดีที่ห้า Pulmonary tuberculosis คำพิพากษาให้จำเลย ที่เป็นกุมารแพทย์มีความผิดฐานประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องจ่ายเงินประมาณ ๓,๘๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดย: หมอหมู 21 พฤศจิกายน 2559 14:34:12 น.