อึ้ง! วิจัยเผยคนไทยใช้ยาเกินจำเป็น 500ล.ต่อปี .... ( จริง ๆ น่าจะมากกว่านั้นเยอะ )
นำมาฝากจากเวบ ไทยคลินิก ...
อึ้ง! วิจัยเผยคนไทยใช้ยาเกินจำเป็น 500ล.ต่อปี ผลวิจัยเผย
โรงพยาบาล 14 แห่งทั่วประเทศ จ่ายยา 5 กลุ่ม ยาแก้ปวด-ยาลดความดัน-ยากระเพาะ-ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด-ยาลดระดับไขมันในเลือด ใช้ยาเกิน 139 .49 ล้านบาท หากทั่วประเทศใช้ยาเกินสูญเงิน 487.19 ล้านบาท เสนอให้ประชาชนร่วมจ่ายไม่ใช่ไห้ยาฟรี
มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา(วพย.) จัดการสัมมนาวิชาการ เรื่อง
ระบบประกันสุขภาพภายใต้สถานการณ์งบประมาณหดตัว โดย
ผศ.ดร.ภญ.ภูรี อนันตโชติ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการมูลนิธิวพย.
กล่าวว่า ได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง
การใช้ยาเกินของคนไทย ซึ่งการใช้ยาเกิน หมายถึง
ผู้ป่วยได้รับยาสะสมเกินกว่า 365 เม็ดต่อปี โดยทำการศึกษาในโรงพยาบาลจำนวน 14 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย 3 แห่ง โรงพยาบาลศูนย์ 5 แห่ง และโรงพยาบาลทั่วไป 6 แห่ง
พบว่ายา 5 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มยาแก้ปวด 2.ยาลดระดับความดัน 3.ยาสำหรับโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ 4.กลุ่มยาลดระดับน้ำตาลในเลือด 5.กลุ่มยาลดระดับไขมันในเลือด มีการจ่ายยาเกินเป็นมูลค่า 139.49 ล้านบาท หรือประมาณการณ์การจ่ายยาเกินในสถานพยาบาลทั่วประเทศมีมูลค่า 487.17 ล้านบาท
ผศ.ดร.ภญ.ภูรี กล่าวต่อว่า
1.กลุ่มยาแก้ปวด แก้อักเสบ มีมูลค่าการใช้ยาเกิน 56.96 ล้านบาท คิดเป็น 10.64 %ของมูลค่ายาชนิดนี้ที่โรงพยาบาลจ่ายไปในปีงบประมาณ 2549 แต่หากประมาณการในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ใช้ยาเกินประมาณ 78.59 ล้านบาท
2.กลุ่มยาลดระดับความดัน มีมูลค่าการใช้ยาเกิน 39.38 ล้านบาท หรือ 9.70 % ประมาณการทั่วประเทศ 187.92 ล้านบาท
3.ยาสำหรับโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ มูลค่าการใช้ยาเกิน 17.57 ล้านบาท คิดเป็น 13.59 % ประมาณการทั่วประเทศ 61.09 ล้านบาท
4.กลุ่มยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มูลค่าการใช้เกิน 17.32 ล้านบาท หรือ 10.92 % ประมาณการทั่วประเทศ 101.04 ล้านบาท
5.กลุ่มยาลดระดับไขมันในเลือด มีมูลค่าการใช้ยาเกิน 8.26 ล้านบาท คิดเป็น 4.35 % ประมาณการการใช้ยาชนิดนี้เกินทั่วประเทศ 58.53 ล้านบาท
การใช้ยาเกินจะทำให้สิ้นเปลืองเงินโดยไม่มีความจำเป็น ซึ่งผู้ป่วยสามารถมีส่วนช่วยในการใช้ยาอย่างเหมาะสมได้ โดย
ก่อนไปพบแพทย์ในครั้งต่อไป ควรจดบันทึกว่ายาแต่ละชนิดที่ได้รับไปเมื่อครั้งก่อนนั้นเหลืออยู่จำนวนเท่าไหร่ จะทำให้แพทย์ทราบว่าผู้ป่วยมียาชนิดใดเหลืออยู่บ้าง จะได้ไม่ต้องสั่งเพิ่มโดยไม่จำเป็น
ที่สำคัญ ผู้ป่วยต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับยาที่ใช้ ว่าสามารถรักษาได้ผลและลดอาการข้างเคียงได้อย่างไร และหากมีปัญหาให้ปรึกษาแพทย์และเภสัชกร ภญ.ผศ.ดร.ภูรี กล่าว
รศ.ดร.ภญ.เสาวคนธ์ รัตนวิจิตราศิลป์ เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา(วพย.) กล่าวว่า จากการศึกษาดูระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศต่างๆ 10 ประเทศได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ออสเตรเลีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟินแลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา สิงคโปร์ พบว่า
ส่วนใหญ่ประชาชนจะร่วมสมทบเข้ากองทุนประกันสุขภาพในกรณีที่ไม่ป่วย และหากป่วยก็มีการร่วมจ่ายที่สถานพยาบาลทำให้การใช้ยาเกินความจำเป็นลดลง เพราะมีส่วนร่วมจ่าย ไม่ใช่ได้ยามาฟรี รศ.ดร.ภญ.เสาวคนธ์ กล่าวต่อว่า การร่วมจ่ายในระดับกองทุน อาจเป็นรูปแบบการซื้อเบี้ยประกันเพิ่มเติม และรัฐบาลรับผิดชอบในส่วนเกิน เมื่อไปโรงพยาบาลก็ต้องร่วมจ่ายที่โรงพยาบาลด้วย โดยมี 5 แนวทางคือ
1 การร่วมจ่ายคงที่ต่อครั้ง
2 จ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ต่อครั้ง
3 การร่วมจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ตามประเภทของยาที่กำหนด
4 ผู้ป่วยจ่ายค่าบริการพิเศษ
5 ผู้ป่วยร่วมจ่ายเพียงส่วนแรก ส่วนที่เหลือรัฐบาลรับผิดชอบ
ทั้งนี้
ผู้ที่มีรายได้น้อย ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ควรให้มีบริการฟรีไม่ต้องมีส่วนร่วมจ่าย รศ.ดร.ภญ.เสาวคนธ์ กล่าวว่า
การที่ให้บริการฟรีโดยไม่มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะให้เกิดการร่วมจ่ายเพื่อคุณภาพบริการ เพราะประชานิยมดำเนินการง่าย หากมีนโยบายร่วมจ่ายอาจทำให้ประชาชนอาจไม่พอใจ ทำให้นักการเมืองก็ลังเลที่จะดำเนินการ แต่ผลที่ได้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่การบริหารงานมีแหล่งงบประมาณอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม คงต้องให้ความรู้เรื่องนี้แก่สาธารณชนทราบเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ส่งโดย: Mr.LOVE - GP .. ผู้ยิ่งใหญ่
เรื่องนี้ ก็รู้ ๆ กันอยู่ ... เหลือแต่ รอผู้กล้า มาจัดการ เท่านั้น ...
ปล. รู้สึกว่า ช่วงนี้ จะมีข่าวเกี่ยวกับ มูลค่าในการใช้จ่ายยา ออกมาเยอะเหมือนกัน ... มีอะไรแฝงอยู่หรือเปล่าน๊า
สรุปอภิปราย “มาตรฐานการกำหนดค่าใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ ใน สวัสดิการการ ของ ข้าราชการ”
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-02-2010&group=7&gblog=52
คลังตั้งทีมรื้อค่ารักษา ข้าราชการ 7 หมื่นล. ... คลังหน้ามืด! ค่ารักษาขรก. พุ่ง1.5แสนล.
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-12-2009&group=7&gblog=43
“ความจริง” ที่เกี่ยวกับระบบการบริการด้านสุขภาพของประเทศไทย .. พญ. เชิดชู
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-11-2009&group=7&gblog=39
อึ้ง! วิจัยเผยคนไทยใช้ยาเกินจำเป็น 500ล.ต่อปี .... ( จริง ๆ น่าจะมากกว่านั้นเยอะ )
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2009&group=7&gblog=27
เสนอเลือกเบิกจ่ายยาให้ข้าราชการบางกลุ่ม ??? .... ข้าราชการ ก็เตรียมตัวไว้บ้าง
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=18-05-2009&group=7&gblog=26
หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หลักการดีแต่ต้องรีบ“ปฏิรูปวิธีดำเนินการ” ... พญ. เชิดชู
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=14-04-2009&group=7&gblog=23
โดย: หมอหมู 28 กุมภาพันธ์ 2553 11:03:19 น.
คลังจับทุจริตยา ขรก.เพิ่มเติม 11 ราย เบิกยาพุ่งจากปีละ 5 หมื่น เป็น 5 แสน
https://www.hfocus.org/content/2016/06/12319
Fri, 2016-06-24 11:59 -- hfocus
กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตรวจพบข้าราชการและบุคคลในครอบครัว 11 ราย มีพฤติกรรมเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่อทุจริต เบิกค่ายาสูงกว่าปีก่อนๆ เช่น ปี 56 เบิกค่ายา 5 หมื่นบาท ปี 57 เบิกค่ายาพุ่งขึ้นเป็นกว่า 5 แสนบาท สั่งระงับสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษา ตั้งแต่ 1 พ.ค. 59 พร้อมดำเนินคดีอาญา
นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงของข้าราชการและบุคคลในครอบครัว พบว่า ข้าราชการและครอบครัว จำนวน 11 ราย มีพฤติกรรมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลส่อไปในทางทุจริต ขณะนี้ได้ดำเนินการระงับสิทธิเบิกจ่ายตรงทั้ง 11 รายแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2559
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ สมัครขอใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงไว้หลายโรงพยาบาล และตระเวนไปใช้บริการเพื่อขอรับยาด้วยโรคเดียวกัน ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น นาง ก มารดาของข้าราชการ ได้สมัครจ่ายตรงไว้ 5 โรงพยาบาล เมื่อไปโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะขอรับยากลุ่มความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง โดยแจ้งต่อแพทย์ผู้รักษาว่า ขาดยาบ้าง ต้องไปต่างจังหวัดบ้าง เป็นต้น ซึ่งจะพบข้อมูลการเบิกจ่ายผิดปกติไปจากเดิม เช่น เบิกค่ายาสูงกว่าในปีก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด จากเดิมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เบิกจ่ายค่ายา จำนวน 58,981 บาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 เบิกจ่ายค่ายา 527,893 บาท
ขณะนี้มีหลักฐานเพียงพอที่จะสามารถดำเนินการคดีอาญาได้จำนวน 2 ราย จากทั้งหมด 11 ราย ซึ่งกรมบัญชีกลางจะแจ้งให้โรงพยาบาลฯ ในฐานะผู้เสียหายร่วม ไปร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวด้วยกัน ส่วนอีก 9 ราย ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารหลักฐาน
นายมนัส กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้กรมบัญชีกลางได้ดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิดในลักษณะนี้ไปแล้วจำนวน 8 ราย ศาลมีคำพิพากษาจำนวน 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจำนวน 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการและพนักงานสอบสวน 4 ราย และเสียชีวิตจำนวน 2 ราย
"การดำเนินการในเรื่องนี้ ได้เน้นย้ำว่า แม้ว่าการใช้สิทธิที่ส่อไปในทางทุจริตจะมีจำนวนไม่มาก แต่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบสวัสดิการข้าราชการ จึงต้องดำเนินการให้เด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคนที่ใช้สิทธิโดยสุจริต" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
.............
ปล. หลังจากเงียบหายไปหลายปี .. มีผู้ต้องหา ๘ คดี แต่ออกข่าวใหญ่เยอะ
โดย: หมอหมู 24 มิถุนายน 2559 22:46:30 น.