ยามเย็นวันนี้เป็นเช่นที่เคยเป็นทุกวัน.. หลังจากปิดประตูล็อคห้องทำงาน..
ก็ได้เอาหนังสือที่ยืมมาคืนห้องสมุดให้ทันกำหนดส่ง กระเป๋าเป้ขึ้นหลัง กระเป๋าสะพายหนึ่งใบ และหนังสืออีกเล่ม ค่อนข้างหนา.. วันนี้อ่านเรื่องเอสทูรี่ในสมุทรศาสตร์.. พอมาถึงห้องสมุด แวะซื้อน้ำส้มหนึ่งแก้ว.. หามุมของตัวเอง..
แล้วจัดแจงท่าที่สบายที่สุด วางของไว้ข้างๆ และเริ่มเขียนบล็อก..
ซึ่งก็คือบล็อกนี้..
วันนี้ก็เหมือนทุกวันได้ช่วงหนึ่งแล้ว หนึ่งปีกับสิบเอ็ดเดือนที่ผ่านมา ไม่มีสักวันที่จะเอาเป้ที่แบกนี้วางไว้ที่ไหนโดยไม่นึกถึงมัน.. ข้างในนั้นมีโน้ตบุ๊คที่บรรจุข้อมูลทีสีส.. สมุดบันทึก แล้วก็ของจุกจิกสารพัด เรียกได้ว่าเป็นชีวิตจิตใจกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะไฟล์เพลงและรูปภาพ อันเป็นสมบัติที่เก็บเล็กผสมน้อยได้ทุกวัน.. เราอยู่กับข้อมูลพวกนี้ ในใจคิดถึงแต่ข้อมูลเหล่านี้.. เสมือนหนึ่งเพื่อนคนสำคัญ
บางครั้งถามตัวเองว่า เอากำลังใจมาจากไหนมากมาย เดินเส้นทางนี้ไม่ง่ายเลยที่จะสูญเสียกำลังใจ.. เราเคยมีเพื่อนที่ดีที่สุด เคยมีพี่ที่ดีที่สุด.. แต่เวลาก็ทำให้คนเหล่านั้นจากไป.. สิ่งที่เหลืออยู่คือความทรงจำ.. "นั่นแหละ" ความทรงจำนั่นแหละคือกำลังใจ... แต่วันนี้ก็ไม่ได้แตกต่าง.. เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเราจะทำอะไร
อะไรจะเกิดขึ้น.. อะไรจะคงอยู่.. อะไรจะจากไป..
เราอ่านบล็อกหนึ่งที่บอกให้เราเลิกยึดถือตัวตน.. ซึ่งนั่นคือเหตุผลของความทุกข์.. ไม่แน่ใจว่าบล็อกไหน.. แต่เดี๋ยวนี้คำสอนก็ออนไลน์ให้เห็นเรื่อยๆ มีแต่เรานั่นแหละ ถ้าหากไม่รู้จักรับมาปรับใช้ ก็มีค่าเท่ากับไก่ได้พลอย สักแต่ว่าอ่านเขียนเป็น มีความรู้.. แต่ไม่สู้ชีวิต เอาชนะตัวเองไม่ได้..
ยามเย็นนี้..นั่งแล้วมองออกไปเห็นแดดค่อยๆ ไล้ใบไม้จางหายไปทีละต้นๆ
ยามเย็นนี้ นึกถึงวิธีที่เราจะใช้เวลาให้มีความสุขและมีคุณค่า..ให้มากกว่าวันที่ผ่านมา..
