All Blog
|
My 3rd Half Marathon@Khao Yai ![]() สวัสดีค่ะ ห่างหายไปนาน นานๆ ทีจะเข้ามาเขียนบล๊อกทีนึง ถ้าไม่ประทับใจอะไรจริงๆก็อาจจะไม่ได้แวะเข้าเขียนในนี้ ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องการวิ่งอีกแล้วล่ะค่ะ ที่ผ่านมา คือการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนครั้งที่ 3 ของฉัน ซึ่งคราวนี้ ไปวิ่งที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาค่ะ ในงาน Khao Yai Marathon 2018 ซึ่งงานวิ่งนี้เป็นงานใหญ่ที่มีแพลนต่อเนื่อง 5 ปี โดยวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนรักป่า และสิ่งแวดล้อม หาทุนสนับสนุนกิจกรรม และทุนการศึกษาในโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" ทุนสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ของมูลนิธิรักเมืองไทย และหาทุนประกันชีวิตให้กับลูกจ้างที่พิทักษ์อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ" ค่ะ (ออกจะยาวนิดนึงนะคะ ก๊อบเพจเค้ามา) ![]() สำหรับเส้นทางการวิ่ง มีอยู่ด้วยกัน 4 ระยะค่ะ เส้นสีม่วงคือระยะฮาล์ฟมาราธอนค่ะ จากแผนที่อันนี้ ความจริงคือเราไม่ค่อยรู้จักสถานที่เหล่านั้นเท่าไหร่เลยออกจะงงๆ ขออธิบายตามที่ได้วิ่งจริง คือ ส่วนที่เป็นจุดสตาร์ท และทางวิ่งส่วนใหญ่ จะอยู่บนถนนเส้นธนะรัชต์ เป็นเส้นการเดินทางสายหลักจากสระบุรีไป อ.วังน้ำเขียว จากนั้นจึงวกเข้าทุ่งนาของชาวบ้าน ผ่านรีสอร์ทและทุ่งข้าวโพด โดยมีภูเขาเป็นฉากหลัง จากนั้นจึงวกเข้าที่ถนนวังน้ำเขียว ไปบรรจบกับการวิ่งระยะอื่นๆ ก่อนเข้าจุดเส้นชัยบนถนนธนะรัชต์เส้นเดิม ![]() เวลาที่เช็คอินและออกสตาร์ท คือ 5.30 น. ค่ะ ตอนนั้นฟ้ายังมืด อากาศยังหนาว และมีดาวอยู่เลย ความจริงถ้าเลือกได้ก็อยากจะนอนอยู่บนเตียงในโรงแรมมากกว่านะ ซึ่งก่อนนอนในคืนนั้น ฉันสวดมนต์ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ด้วยความที่ฝึกซ้อมมาน้อยกว่าครั้งก่อนๆ เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับจากอินเดีย และในช่วงนั้น ฉันห่างหายจากการวิ่งไปพอสมควร แต่ก็พอมั่นใจว่า จะผ่านการวิ่งที่ระยะ 10 กม.แรกได้เหมือนกับทุกครั้ง และค่อยๆวิ่งจนครบระยะได้ (แบบไม่ลำบากเกินไปนัก) ที่ระยะนี้ แม้จะไม่ใช้มือสมัครเล่นเสียทีเดียว แต่ก็ต้องผ่านการวิ่งมาพอสมควร แต่ก็ประมาทไม่ได้นะคะ เพราะที่ 10 กม.หลัง อะไรจะเกิดขึ้นบ้างก็ยังไม่รู้ !? กลับมาที่การวิ่งค่ะ ช่วง 1-6 กม.แรก เป็นช่วงการออกสตาร์ท ฟ้ายังมืด อากาศยังถือว่าหนาว (แต่ก็รู้สึกค่อยๆอุ่นขึ้นเมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ) ฉันออกวิ่งผ่านกลุ่มโรงแรมริมทาง ซึ่งจะมีจุดให้น้ำเป็นระยะ ช่วงแรก แม้จะไม่เห็นแสงไฟ แต่ก็พอวิ่งต่อไปได้เพราะนักวิ่งยังเกาะกลุ่มกันอยู่ เราค่อยๆ เห็น Pacer วิ่งผ่านเราไป กลุ่มแรก 2.15 และกลุ่มที่สอง 2.30 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่าจะถึงเส้นชัยเมื่อเวลาผ่านไป 2 ชม. กับ 30 นาที ฉันวิ่งตามกลุ่มนี้พักใหญ่ เนื่องจากเป็นเพซที่ใกล้เคียงกับฉัน แม้ว่าจะต้องวิ่งเร็วกว่าปกติเล็กน้อยก็ตาม จากสถิติครั้งก่อน ฉันเข้าเส้นชัยที่ 2 ชม. 45 นาที การวิ่งให้ได้ 2.30 นั้นจึงเป็นการท้าทายให้ฉันพยายามมากขึ้น.. ![]() แต่พอพ้นระยะ 6 กม. เป็นช่วงที่เราวิ่งแยกกับระยะ 42 กม. ไปยังทางด้านข้าง ที่เป็นไร่ข้าวโพดและสวนดอกไม้ ฉันเริ่มรู้สึกว่าการวิ่งตามกลุ่มเพซเซอร์ผูกลูกโป่งสีม่วงเริ่มเหนื่อย ฉันปล่อยให้เค้าแซง และผ่อนฝีเท้าลงเพื่อรักษาสมดุลไว้ และชื่นชมธรรมชาติรอบตัวพร้อมกับฟ้าที่เริ่มสาง (เวลาขณะนั้นประมาณ 6 โมงเช้า) อันเป็นที่มาของภาพด้านบนค่ะ.. จากนั้นฉันวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เข้าสู่หมู่บ้านของชาวบ้าน มีวัดและแผงขายของบิณฑบาต มีควันไฟลอยมาจากบ้านเรือนเพื่อทำอาหาร (ช่างเป็นชนบทจริงๆ) ที่หน้าโรงเรียน ก็มีเด็กนักเรียนออกมาเชียร์นักวิ่งกัน บางครั้งชาวบ้านก็ออกมายืนดูนักวิ่งหน้าบ้านกัน.. เริ่มรู้สึกว่าเป็นดาราหน่อยๆ เอ..หรือว่าเป็นของแปลกก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆ ที่ระยะ 8-10 กม. ฉันเริ่มอ่อนแรง และรู้สึกหิว แม้ว่าจะมีจุดให้บริการน้ำดื่มทุก 2 กม. แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไป จึงสัญญากับตัวเองว่าถ้าพ้นระยะ 10 กม.แรกจะทานเจลเพิ่มพลังงานที่นำติดตัวมาด้วย และฮัมเพลงในใจไปเรื่อยๆ ในขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างมากขึ้น และนักวิ่งเริ่มแตกกลุ่มกัน ป้ายระยะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้วิ่งต่อไป..จนถึงระยะ 11 กม. ฉันจึงทานเจลที่นำมา แต่เป็นเจลแบบเหลวที่ไม่อิ่มเท่ากับแบบที่เคยใช้ จึงยังรู้สึกไม่อิ่ม แต่ก็รู้สึกดีขึ้น ที่ระยะ 12 กม. เป็นจุดแวะพักใหญ่ที่มีทั้งน้ำและอาหาร คือแตงโม สับประรด และกล้วย ซึ่งรู้สึกดีมาก พร้อมกับสตาร์ฟที่ส่งเสียงเชียร์ให้ "หยิบไปเลยค่ะ" ฉันยิ้มและหยิบสับประรดขึ้นมาชิ้นนึง ยืนทานและออกวิ่งต่อ..แบบมีกำลังวังชาสุดๆ ![]() ที่ระยะ 13-15 กม. เป็นทางยาวคดเคี้ยวที่มีเนินเขาอยู่ด้านหน้า ฉันและกลุ่มนักวิ่งข้างๆ ผลัดกันนำผลัดกันแซง จนมาถึงเนินเขาลูกใหญ่ที่ทำให้รู้สึกว่าขาไม่มีแรงอีกต่อไป.. ฉันค่อยๆก้าวขึ้นอย่างช้าๆ และปล่อยตัวไหลลงมาจากเนินนั้น ช่วงระยะนี้ ฉันหลับตาและทำสมาธิกับการวิ่ง โดยลืมตาขึ้นมาดูเป็นะระยะๆ เพราะการทำแบบนี้ช่วยให้ฉันเซฟพลังงานได้ บางครั้งก็ใช้การมองเนินเขาไกลๆ แทนแล้ววิ่งไปเรื่อยๆ ทางอันยาวไกล และฉันทำสมาธิกับการวิ่งต่อไป.. ความเหนื่อยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิ่งเท่านั้น แต่ลมหายใจที่สมดุลและสม่ำเสมอต่างหาก ที่ช่วยให้ฉันวิ่งได้ต่อไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ... มีบางคนพูดว่า "หลัง 10 กม.นี่แหละของจริง" ฉันก็ว่าอย่างนั้นนะ.. ที่จะวัดว่าวิ่งได้มีประสิทธิภาพจริงๆ ก็คือที่ระยะหลังนี้ล่ะ ที่ระยะ 16-18 กม. ฉันยอมรับว่าเหนื่อยสุดๆ แบบว่าขาเริ่มปวดแล้ว และแดดก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีที่เป็นการวิ่งหันหลังให้แดด ไม่อย่างนั้นคงต้องมีคนเป็นลมกันแน่ๆ แต่ขณะเดียวก็เริ่มนับถอยหลังในใจ อีกแค่ 6-5-4 กม. เท่านั้น เพราะมันเป็นตัวเลขที่ไม่มากเลยเมื่อวิ่งตอนสดชื่นๆ ฉันนับถอยหลังมาเรื่อยๆ จนมาถึงทางข้างหน้า ที่เป็นถนนเส้นยาว (ภายหลังรู้ว่า คือถนนวังน้ำเขียว) ฉันมองเห็นคนใส่เสื้อสีอื่นๆ อยู่ด้านหน้า เป็นทางที่มาบรรจบกันของระยะอื่นๆ นั่นเอง แต่ฉันก็สังเกตว่ามีคนจากระยะมาราธอนวิ่งปนอยู่ด้วยนานแล้ว (เสื้อสีเหลือง) พอดีกับที่แฟนส่งข้อความมาบอกว่าวิ่งถึงเส้นชัยแล้ว (ระยะมินิมาราธอน) ตอนนั้นเป็นเวลา 7.43 น. (ฉันวิ่งมาแล้ว 2 ชม. 13 นาที) ![]() ที่ระยะ 19-21 กม. ฉันวิ่งมารวมกับระยะมินิมาราธอน ที่ปล่อยตัวไปเมื่อเวลา 6.00 น. เท่ากับว่าเป็นช่วงท้ายๆของระยะมินิ จึงมองเห็น Sweeper ของระยะมินิอยู่ด้านหน้า (คนที่โดน Sweeper นำจะถูก Cut Off ออกไป หมายถึงวิ่งไม่ได้ตามเวลาที่กำหนด) ของระยะมินิมาราธอนคือ 2 ชม. และสำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน คือ 4 ชม. นั่นเอง (สำหรับฉันซึ่งผ่านมา 2 ชม. 20 นาที จึงยังห่างไกลจาก Cut Off ของฮาล์ฟอยู่) แม้จะเป็นอีกแค่ 3 กม.สุดท้าย แต่ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าขาปวดและแทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว ขณะที่นาฬิกาจับเวลาที่ข้อมือเตือนเรื่องแบตเตอรี่ใกล้หมด ทำให้ฉันกลัวว่ามันจะไม่บันทึกเวลาวิ่งให้ ฉันจึงพยายามวิ่งให้เร็วขึ้น แม้จะเหนื่อยมากๆ ในตอนนั้น เป็นจุดที่เส้นทางการวิ่งวกเข้าไปที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (เป็นจุดกลับตัวและ Check in ครั้งสุดท้าย) ซึ่งเป็นเส้นทางที่คณะผู้จัดภูมิใจบอกว่า ให้เหล่านักวิ่งได้มีโอกาสสักการะศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ แต่จะวิ่งออกนอกเส้นทางไปประมาณ 400 เมตร ในคราวที่ได้ยินก็รู้สึกยินดีเพราะไม่เคยมา แต่พอไปถึง ฉันมองไม่เห็นศาลที่ตั้งอยู่ไกลๆ แต่เห็นคนยกมือไหว้ จึงหันหน้าไปทิศนั้นและยกมือไหว้บ้าง..ในใจบอกกับสิ่งศักดิ์สิทธิของสถานที่แห่งนั้นว่า "ฉันได้มีโอกาสมาถึงแล้วนะคะ" ขณะนั้น ได้ยินเสียงสตาร์ฟเอ่ยขึ้นทำนองว่า "บอกเจ้าพ่อเขาใหญ่ไว้คราวหน้าได้มาวิ่งฟูลมาราธอนกันเลยนะครับ" (ในใจแย้งว่า เอาจิงดิ) อีก 1 กม. กว่าๆเองครับ เสียงสตาร์ฟด้านหน้าให้กำลังใจ.. ซึ่งในตอนนั้น ฉันต้องสวดมนต์ในใจไม่ให้รู้สึกไขว้เขวกับความเหนื่อย ฉันเพียงก้าวเท้าซ้ายเพื่อจะแทนที่ด้วยเท้าขวา ส่วนเส้นชัยน่ะเหรอ..คงไม่ไกลหรอกมั้ง..ฮ่ะๆ แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่า 1 กม. ทำไมช่างไกลอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จนกระทั่ง..ฉันเห็นป้าย Start & Finish อีกครั้งในสายตา ตอนนั้นฉันจึงเชื่อว่าระยะทางนั้นใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ ด้วยกำลังขาที่มี.. ที่ลู่วิ่งทางเข้าเส้นชัย ฉันออกสปีดแบบที่ไม่คิดว่าขาตัวเองจะทำได้ และในที่สุด.. ก็มาถึงเส้นชัย !!! ![]() เมื่อมาถึงเส้นชัยแล้ว..ก็มาถึง มหกรรมการกินเท่านั้นค่า!! หาซุ้มของสปอนเซอร์ด่วนๆ ในวันนั้นที่ประทับใจคือ ชามะนาว เก๊กฮวย และโกโก้ ของ "กาแฟมวลชน" ค่ะ อร่อยทุกเมนูเลย นอกจากนั้นคือผัดหมี่โคราชของซุ้มผู้จัด (จำไม่ได้ว่าเป็นหน่วยงานอะไร) แล้วก็มี 100 พลัส นมเมจิ เกี๊ยวกุ้งซีพี น้ำดื่มสิงห์ นมแดรี่โฮม.. ฯลฯ แล้วก็เหล่านักกายภาพจากโรงพยาบาลกรุงเทพ BDMS ซึ่งก็ให้ที่พันหน้าแข้งเป็นของแถมมาด้วย.. จากนั้นจึงไปปรินท์ผลการแข่งขัน และรับเสื้อ Finisher ค่ะ ![]() ผลการแข่งขันแบบไม่เป็นทางการค่ะ ![]() สุดท้าย ขอขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ ^__^ อาจจะเป็นแค่การแชร์ประสบการณ์วิ่งของคนๆหนึ่ง อาจจะสนุกหรือน่าเบื่อก็แล้วแต่ แต่ถ้ามีประโยชน์กับใครก็รู้สึกดีใจนะคะ ![]() ![]() ปล. สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีค่ะ !! ![]() โดย: mossymoon
![]() |
mossymoon
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Hello Everyone!! Thank you for visit me here :) I've had enjoy in my life as I am.. aren't you? I would like you to have a great day in you life in everyday..!! Luv <3 <3 <3
Friends Blog
Link |