กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
พฤศจิกายน 2567
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
4 พฤศจิกายน 2567
space
space
space

ตอบคำถาม ต่อ

 
     ถาม: กรณีที่คนตายไปแล้ว  เช่นตายไป ๓ วัน แล้วฟื้นขึ้นมาใหม่  แล้วก็เล่าว่าไปเที่ยวนรก-สวรรค์มา อธิบายว่าไปเห็นมาอย่างนั้น ๆ อย่างนี้  อยากกราบเรียนถามท่านว่า เขาตายไปจริงหรือเปล่า หรือว่าเขาเหมือนหลับไป เป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก  ถ้าเขาตายไปจริง  แล้วทำไมเขาถึงกลับมาอีกได้ ?
 
     ตอบ:  อาตมาว่าเขาตายไม่จริง หรือยังไม่ตายนั่นเอง  
 
     ถาม :  แต่หมอก็ลงความเห็นว่าตายแล้ว ?
 
     ตอบ:  หมอก็มนุษย์ปุถุชนเหมือนกัน หมอก็ว่าไปตามปรากฏการณ์เท่าที่ยอมรับกันทางหลักวิชาว่า ถ้ามีสภาพอย่างนี้เกิดขึ้น  เรียกว่าตายแล้ว  แต่มันอาจจะมีอะไรละเอียดอ่อนกว่านั้นอีก ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังรู้ไม่พอ   หมอเองก็ไม่ได้พิสูจน์ลึกซึ้งไปถึงขั้นนั้น ก็อาจจะเป็นไปได้
 
     ถาม แล้วกรณีที่เขาบอกว่าเขาไปนรก-สวรรค์มาละคะ ?
 
     ตอบ:  ก็มีข้อพิจารณาได้หลายแง่ แง่หนึ่งก็คือว่า คนผู้นี้  มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับนรก-สวรรค์ อย่างที่ได้รับรู้สืบต่อกันมาเหมือนเรานี่แหละ ในสังคมนี้  รับรู้กันมาอย่างนี้ มีประเพณีสืบทอดกันมาอย่างนี้ มันก็ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก  พอแกเข้าสู่สภาพจิตอย่างนี้  หมดความรู้สึกตัว  ก็เหมือนกับฝันไป  จิตนี้ ก็พาไปท่องเที่ยว ไปในภาพความทรงจำที่ได้สร้างขึ้นนั้น คือสร้างเองเที่ยวไปเอง ก็เกิดภาพอย่างนั้นขึ้นมาได้
 
     ทีนี้   ก็ต้องมาดูกันว่า ภาพนรก-สวรรค์ที่เขาไปเที่ยวมานั้นเหมือนนรก-สวรรค์ที่เล่ากันมาในประเพณีของเราไหม  ถ้าเหมือน  ก็มีทางเป็นไปอย่างนั้น
 
     อย่างไรก็ตาม   เรื่องนี้ก็เข้าหลักที่พูดมาแล้วว่า   เราคนธรรมดายังพิสูจน์ไม่ได้ ก็เหมือนอย่างคนที่บอกว่าตายแล้วฟื้นขึ้นมาเล่านั้น  ก็หมายความว่าต้องพิสูจน์ด้วยจิตของเขาเอง  คนอื่นไม่อาจไปรู้ไปเห็นด้วย  มันเป็นเรื่องยากตรงนี้  ที่บอกว่าพิสูจน์ไม่ได้เพราะอย่างนี้แหละ จะพิสูจน์ก็ต้องเอาชีวิตของเราพิสูจน์ อยากรู้ว่ามีจริงไหม  ลองตายดู  ทีนี้ใครจะสู้ มาตันตรงนี้ทุกที
 
     ที่พูดกันนี่  ก็คือจะพิสูจน์แบบไม่ใช่พิสูจน์แท้   จะมาพิสูจน์คนอื่นด้วยจิตคนอื่น  ก็รู้ไม่ได้  เราจะเอาสิ่งที่รู้ด้วยจิตมาให้เห็น จะพิสูจน์ด้วยตา ก็ทำไม่ได้
 
     เดี๋ยวนี้ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์ทำแบบโบราณ   คือ  เมื่อเร็วๆนี้   มีนักวิทยาศาสตร์พยายามใช้วิธีการพยายามพิสูจน์ว่า คนเราตายแล้ววิญญาณจะไปเกิดไหม ทำเป็นห้องกระจกปิดทึบ  เอาคนกำลังจะตายมาใส่ แล้วก็พยายามดู ช่วยกันสังเกตว่า คนเราพอตายแล้ว จะมีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ได้ใหม่เลย  ในพระไตรปิฎกก็เล่าไว้
 
     สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว   มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง ชื่อพระเจ้าปายาสิ  จะพิสูจน์เรื่องตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่  ก็ใช้วิธีการวิทยาศาสตร์เหมือนกัน   แต่เครื่องมือไม่ทันสมัย  ไม่มีห้องกระจกเหมือนในปัจจุบัน แต่ท่านก็พยายามใช้วิธีการโดยอาศัยอุปกรณ์เท่าที่มีในสมัยนั้น  เช่น  แทนที่จะใช้ห้องกระจก ก็ใช้ตุ่มน้ำแทน
 
     ท่านเอานักโทษประหารใส่ตุ่มเข้าไป  ก็ทารุณหน่อย  แต่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็มีอำนาจทำได้ พอใส่ตุ่มแล้ว ก็ปิดให้มิดแล้วก็ยาจนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีรูรั่วเป็นทางออกได้ แล้วก็ปล่อยจนกระทั่งให้นักโทษตายไปเอง แต่อย่างไรๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น
 
     การพิสูจน์อย่างนี้  ต้องเรียกว่าเป็นวิธีวิทยาศาสตร์  ในที่สุดพระเจ้าปายาสิก็สรุปออกมาว่า  การตายแล้วเกิดไม่มีจริง  ตายแล้วก็หมดสูญไป  เสร็จแล้วก็มาเจอกับพระกุมารกัสสปะ  พระกุมารกัสสปะก็ชี้แจงจนกระทั่งพระเจ้าปายาสิยอมเชื่อ  อันนี้มาในปายาสิราชัญญสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่  ๑๐ ข้อ ๓๐๑ หน้า ๓๕๒

 


Create Date : 04 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2567 16:12:06 น. 0 comments
Counter : 46 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space