กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
พฤศจิกายน 2567
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
3 พฤศจิกายน 2567
space
space
space

๑) มีศรัทธา


 
๒. ท่าทีของพุทธศาสนา ต่อเรื่องนรก-สวรรค์
 

     ทีนี้  พูดถึงการวางท่าที ซึ่งเป็นหัวข้อที่สอง การวางท่าทีเป็นหัวข้อที่บอกแล้วว่าสำคัญ
 
     การวางท่าทีสำคัญกว่าความมีจริงหรือไม่ ?   ตอบได้ว่าสำคัญกว่าแง่ที่พูดถึงนรก-สวรรค์หลังตาย แต่มันจะไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนรก-สวรรค์ระดับที่สาม เพราะการวางท่าทีว่าเราจะปฏิบัติอย่างไร จะสอดคล้องกับสิ่งที่ปฏิบัติได้ ซึ่งอยู่ในระดับที่สามหรือรองลงไป ก็ระดับที่สอง
 
๑)  มีศรัทธา
 
     ขอย้อนหลังหน่อย เมื่อพูดถึงท่าที ก็ต้องย้อนมาตั้งแต่ระดับที่หนึ่ง คือนรก-สวรรค์หลังจากตายแล้ว ที่เป็นแหล่งเป็นโลกเป็นภพ ซึ่งเราจะไปรับผลกรรม หรือพูดตามแบบศาสนาที่มีเทพเจ้าสูงสุดว่า จะไปรับโทษ รับรางวัล
 
     นรก-สวรรค์ระดับนี้  ได้บอกแล้วว่า เป็นเรื่องที่เราคนสามัญไม่อาจพิสูจน์ได้ ไม่ว่าในทางลบหรือทางบวก เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องขึ้นกับศรัทธา ว่าอันนี้ถ้าทางศาสนาสอนไว้ จะเชื่อไหม ?  อยู่ที่นี่เท่านั้นเอง
 
     ส่วนในทางพุทธศาสนานั้น  ก็บอกว่าให้เชื่ออย่างมีเหตุผลสำหรับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ในเมื่อจะต้องเอาทางศรัทธา ก็ต้องให้ได้หลักก่อน
 
     ศรัทธา   คือการไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น หรือพูดในแง่หนึ่งคือ เราฝากปัญญาไว้กับคนอื่น หมายความว่า เราไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง  จึงไปยอมรับความรู้ของคนอื่น  ไว้วางใจในความรู้ของเขา  เขาบอกว่าตรงนั้นมีของอย่างนั้น ๆ เราจะเชื่อไหม  ถ้าเราไว้ใจในความรู้ของเขา เราก็เชื่อ เราก็ฝากปัญญาไว้กับเขา
 
     แต่ถ้าเมื่อใดเรารู้เห็นด้วยตนเอง เราไม่ต้องฝากปัญญาไว้กับผู้อื่น เราก็ไม่ต้องเชื่อใคร แต่เราต้องรู้เห็นจริงๆ ซึ่งเลยขั้นศรัทธา
 
     ตอนนี้  เรื่องนรก-สวรรค์เรายังไม่รู้เห็นด้วยตนเอง ก็มีปัญหาว่า เราจะยอมฝากปัญญาไว้กับผู้อื่นไหม ? ทีนี้คนที่เราจะฝากปัญญาไว้ เราก็ต้องคิดว่าน่าเชื่อหรือไม่ ถ้าจะเชื่อ เราก็ต้องดูภาวะแวดล้อม
 
     โดยมากคนเราจะอาศัยสิ่งต่อไปนี้เป็นเครื่องช่วยชักจูง ให้มอบความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น คือ
 
        ๑. ด้านที่หนึ่ง ดูที่ปัญญา คือมองดูว่า  ตามปกติคนผู้นี้   เป็นคนมีความรู้ มีปัญญาจริงไหม ?   คำสั่งสอนของศาสนานี้ เช่นอย่างพุทธศาสนา  ก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนหลักธรรมโดยทั่วไปนี้ มีเหตุผลไหม ?   เป็นความจริงไหม ?
 
     ถ้าเห็นว่าคำสอนของท่านเท่าที่เรารู้และเข้าใจได้ คือเท่าที่ปัญญาของเราจะหยั่งถึงได้ และเท่าที่เราผ่านมา ล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น ก็ทำให้พลอยเชื่อสิ่งที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง
 
     เราคิดว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานั้น เท่าที่เรามองเห็นได้ก็เป็นความจริง  เราจึงเห็นว่าพระองค์มีปัญญาพอที่เราจะฝากปัญญาของเราไว้กับท่านได้  เราจึงเกิดศรัทธาขึ้น  เป็นขั้นที่หนึ่ง
 
        ๒. ด้านที่สอง  ดูที่เจตนา ซึ่งเป็นความปรารถนาดี อันนี้เป็นเหตุแห่งความไว้วางใจอีกด้านหนึ่ง ถ้าคนเขามีปัญญา แต่เขาไม่หวังดี เขาอาจจะหลอกเรา แต่ถ้าเขาต้องการช่วยเหลือเรา เขามีแต่เมตตา ปรารถนาดีต่อเราอย่างจริงใจ เราก็ศรัทธาได้เพราะน่าไว้ใจ
 
     เพราะฉะนั้น เรื่องของศรัทธา หลักใหญ่ก็อยู่ที่ว่า บุคคลผู้นั้น
 
        ๑. มีความรู้จริง  มีปัญญาจริง  สมควรเชื่อไหม ?
 
        ๒. มีเจตนาของผู้ปรารถนาดี มีเมตตากรุณา จริงใจไหม ?
 
     การที่จะมีเมตตากรุณาและจริงใจหรือไม่ ก็อยู่ที่เหตุปัจจัยประกอบ เช่นว่า ท่านมีเบื้องหลังที่จะหวังได้อะไรจากเราไหม ?  ถ้าจะหลอกเรา  จะหลอกเราไปทำไม หรือตามปกติท่านเป็นผู้มีความประพฤติบริสุทธิ์ไหม ? ที่จะทำให้เราเห็นว่าเป็นผู้มีความหวังดีปรารถนาดีต่อเราอย่างแท้จริง
 
     เหมือนอย่างพ่อแม่ เมื่อเราเป็นเด็ก ๆ ยังมีความรู้ไม่พอ  ยังเล็กอยู่   เราก็ต้องทำอะไรๆ โดยอาศัยความเชื่อเท่านั้น โดยเฉพาะพ่อแม่เป็นผู้หวังดี เราเกิดความไว้วางใจ เราก็เชื่อ โดยเป็นไปเอง
 
     เราอยู่ในโลก เราอยู่ด้วยความเชื่อมากมาย   เรานั่งรถยนต์โดยสารมา   เราไม่เคยพิสูจน์เครื่องยนต์ว่ามันเรียบร้อยหรือไม่ เราเคยไปพิสูจน์ทุกอย่างไหม มันวิ่งๆ ไป เครื่องอุปกรณ์หรือส่วนประกอบอาจหลุดได้
 
     เวลานี้  เรานั่งกันอยู่บนกุฏิ  เอ เสากุฏินี่เขาหล่อไว้ดีหรือเปล่า เรายังไม่ได้ตรวจเลย คานไม้ที่ทำไว้อยู่ในที่ถูกต้องมั่นคงหรือเปล่า  เกิดนั่งๆ อยู่มันหล่นลงมาก็หมดน่ะสิ  อะไรอย่างนี้
 
     มนุษย์เราอยู่ด้วยความไว้วางใจ  ต้องอาศัยศรัทธา โดยบางทีไม่รู้ตัวเลย  มันเป็นไปเองในชีวิตประจำวันทั้งที่ความจริงเราไม่ได้พิสูจน์   เราไม่ได้รู้เห็นอะไรทุกอย่าง   เราเห็นว่าเขาไม่ได้มาหลอกลวงอะไรเรา  เพียงแค่นี้  เราก็เชื่อในขั้นพื้นฐานไปเสียแล้ว
 
     สำหรับในทางพุทธศาสนา ก็เป็นอันมาพิจารณากันว่า
 
        ๑. พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีปัญญามาก   เท่าที่แสดงออกเป็นคำสั่งสอนต่าง ๆ นั้นเป็นจริง  มีเหตุผลน่าเชื่อไหม ?
 
        ๒. พระองค์มีความปรารถนาดี  มีเมตตากรุณา  สอนเราโดยบริสุทธิ์พระทัย  ต้องการให้เราได้รับประโยชน์ใช่ไหม ?
 
     ถ้าหากเรามั่นใจในพระองค์โดยเหตุผลทั้งสองประการ เราก็โน้มไปข้างมีศรัทธา หรือมีศรัทธาได้
 
     พระองค์สอนเรื่องนรก-สวรรค์ว่าชาติหน้ามีจริง หรือเปล่า   ถ้าเรามีศรัทธา   เราก็น้อมไปทางที่จะเชื่อตามที่มีหลักฐานว่าพระองค์ได้ตรัสไว้ เรื่องก็เป็นอย่างนั้น
 
     เป็นอันว่า  นรก-สวรรค์ขั้นนี้  อยู่ที่ศรัทธา
 
     แต่ทั้งนี้  พึงทำความเข้าใจกันไว้ก่อนว่า   ในที่นี้   มุ่งเอาศรัทธาในความหมายแบบพุทธ คือ ศรัทธาหมายถึง เมื่อมีมูลฐานดังที่ว่านั้นแล้ว  ก็รับไว้ศึกษา เพื่อให้รู้จริงด้วยปัญญาต่อไป  (ศรัทธาเพื่อปัญญา ไม่ใช่ศรัทธาปิดปัญญา)


 


Create Date : 03 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2567 10:54:56 น. 0 comments
Counter : 161 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space