Dead Man’s Shoes … ( 2004 )



พุทธคติ หรือ พระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า ตรัสสอนพระติสสเถระ และพระภิกษุทั้งหลาย ไว้ว่า

" ก็ชนเหล่าใดเข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า 'ผู้โน้นได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ทุบตีเรา ผู้โน้นได้ชนะเรา ผู้โน้นได้ลักของเราแล้ว' เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่สงบระงับได้ ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า 'ผู้โน้นได้ด่า(หรือปรามาส)เรา ผู้โน้นได้ทุบตีเรา ผู้โน้นได้ชนะเรา ผู้โน้นได้ลัก (หรือฉ้อโกงเอา) สิ่งของๆ เราแล้ว' เวรของชนเหล่านั้นย่อมระงับได้ " **

เปรียบดัง " เวรนั้น ย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวรต่อกัน แต่ย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร "
แต่หากเป็นคติที่ว่า " บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ " ที่มักคุ้นกันในหนังจีน "บุญคุณต้องทดแทน" นั้น เป็นคติของฝ่ายคุณธรรม แต่คติที่ว่า "ความแค้นต้องชำระ" นั้น เป็นคติข้างฝ่ายอธรรม ที่มีแต่จะนำโทษและความทุกข์เดือดร้อนมาให้ เหมือนที่เราเห็นความวุ่นวายคละคลุ้งคู่ไปกับกลิ่นคาวเลือดจากผลของการแก้แค้นอยู่ร่ำไปนั่นแหละ

มีภาพยนตร์หลายเรื่องสามารถเป็นตัวอย่างของ " การแก้แค้น " หรือ " การจองเวร " ที่เมื่อท้ายสุดแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปเหมือนกันอย่างใน Romeo + Juliet (Baz Luhrmann,1996) ที่เล่าถึงตระกูลใหญ่ 2 ตระกูลคือ ตระกูลมองตะคิวและตระกูลคาร์ปูเลต ที่มีความอาฆาตกัน อย่างถึงเป็นถึงตาย ชั่วลูกชั่วหลาน แต่เมื่อ โรมิโอ ลูกชายของตระกูลมองตะคิว กับ จูเลียต ลูกสาวของตระกูลคาร์ปูเลต หลงรักกันแทบคลั่ง ไฉนเลยจะได้รับการเห็นใจและยกเว้นเรื่องความบาดหมางเก่าที่บรรพบุรุษสร้างมา โศกนาฏกรรมจากการมีรักระหว่างแค้นจึงเกิดขึ้น หรือ Kill Bill: Vol. 1&Vol. 2 (Quentin Tarantino, 2003&2004) ที่ The Bride ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้วตามล้างแค้นคนในองค์กรของ Bill รวมทั้ง Bill คนรักเก่าของเธอด้วยเพราะ ทั้งหมดนั้นเคยตามล่าและตั้งใจไปฆ่าเธอก่อน

แต่อีกด้านหนึ่ง

เราชาวพุทธที่ยึดถือและปฏิบัติตนตามคำสอนของศาสดาว่า " เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร " นั้น ต่างก็เห็นด้วยว่าเป็นวิถีและหนทางที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข ไม่วุ่นวาย สงบทั้งภายในใจ สงบทั้งบ้านเมือง แต่…อย่างที่บอกไว้ว่าอีกด้านหนึ่ง ด้านที่แบบใกล้ตัวมากๆ คือหากผู้ที่ถูกทำร้ายปางตายคนนั้นเป็นพี่น้องเราหรือคนในครอบครัวเราล่ะ! ในวินาทีนั้น เราจะยังคงสงบนิ่งสงบใจไม่เคียดแค้นไม่อาคาตไม่เอาคืนได้หรือไม่ …

เชื่อว่า ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ทำได้ ก็..นับหนึ่งได้ที่คนแถวๆนี้เลย

และรวม ริชาร์ด หนุ่มต่างชาติที่ไม่ได้นับถือพุทธ คนที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ไปด้วยอีกเป็นสอง




ริชาร์ด ( Paddy Considine ) เดินทางกลับมายังหมู่บ้านเล็กๆแถบ Midland ในอังกฤษบ้านเกิดของเขาหลังจากปลดประจำการทหารแล้ว โดยตั้งใจว่าจะใช้วันเวลานับจากนี้เพื่อแก้แค้นและเอาคืนกับพวกกลุ่มค้ายาที่มักแกล้ง แอนโธนี่ ( Toby Kebbell ) น้องชายปัญญาอ่อนของเขาสารพัดชนิด ทั้งบังคับให้สูบกัญชา ทั้งทำร้ายร่างกาย บังคับให้พูดคำวิตถารและบังคับให้ xx เจ้าโลก หรือบังคับให้เมียของคนในกลุ่มคนหนึ่งมาร่วมหลับนอนกับแอนโธนี่ แล้วทั้งหมดในกลุ่มก็เข้ามายืนดู หัวเราะเยาะเย้ยหวังให้ แอนโธนี่ ได้อับอาย

ริชาร์ด ให้ แอนโธนี่ พาไปชี้ตัวเจ้าพวกที่กลั่นแกล้งเขา ที่ละคนทีละบ้านเพื่อเป็นข้อมูล ไม่ผลีผลามที่จะรีบจัดการ ทุกอย่างเขาจะวางแผนไว้เป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากระดับความอ่อนสุดในการแสดงตัว คือการ " ขู่ "

วันที่ 1 ที่ร้านพูล
เฮอร์บี้ ( Stuart Wolfenden ) หนึ่งในกลุ่มแก๊งค์ค้ายากำลังมาส่งยาและคุยล้อเล่นอยู่กับคนที่โต๊ะ ริชาร์ดนั่งรออยู่ก่อนแล้วและกำลังจ้องมอง เฮอร์บี้ อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เลยทำให้ เฮอร์บี้ นึกเขม่นเหม็นหน้าจึงพูดจาภาษานักเลงออกไป แต่ก็ถูก ริชาร์ด ปั้นหน้าขู่ฟ่อใส่ตอบกลับคืนราวกับคนบ้า เฮอร์บี้เลยรีบเผ่นออกจากร้าน กลับไปเล่าเรื่องให้กับ ซอนนี่ ( Gary Stretch ) หัวหน้าแก็งค์และคนในกลุ่มฟังว่าเขาพึ่งไปเจอพี่ชายของ แอนโทนี่ มา ส่วน ริชาร์ด ก็แอบสะกดรอยตาม เฮอร์บี้ เพื่อมาดูบ้านที่เป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่ม

วันที่ 2
ตกกลางคืน ริชาร์ด ไปขู่ข่มขวัญเล่นสงครามประสาทอีกครั้ง ด้วยการสวมหน้ากากชนิดกันแก๊สพิษ พ่นสีตัวอักษรคำขู่ไว้เต็มผนังห้องและซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังนั้น เพื่อรอเวลา " เชือดไก่ให้ลิงดู " ริชาร์ด จัดการไปหนึ่งคน การเลือกเก็บทีละคนก็เพื่อให้คนที่รอดอยู่เริ่มวิตกจริตว่าใครจะเป็นรายต่อไป …. ซึ่งก็ได้ผล




วันที่ 3
พอรุ่งเช้าวันใหม่ ซอนนี่, เฮอร์บี้, บิ๊กอัล ( Seamus O'Neill ) และอีก 2 คนในกลุ่ม ขับรถตามไปบ้านที่ ริชาร์ด พักอยู่ หวังไปฆ่าเพื่อให้เรื่องมันจบไปเสียที แต่ก็ด้วยการหลอกล่อทำทีเป็นเอาเงินมาให้ราวขอสงบศึก บิ๊กอัล เป็นคนถึอเงินเดินเข้าไปหา ริชาร์ด ที่ออกมาต้อนรับแขกด้วยการถือขวานเล่มใหญ่ติดมือออกมาด้วย ส่วนทั้งหมดรออยู่ที่รถ ซอนนี่ตั้งป้อมยิงจากหลังรถในระยะไกล แต่กลายเป็นว่ากลับยิงพลาดไปโดน บิ๊กอัล เสียเอง ! ขวัญของกลุ่มยิ่งกระเจิงและฝ่อไปกันใหญ่

ระหว่างที่ ริชาร์ด กำลังปฏิบัติการวางแผนขั้นต่อไปด้วยการใช้สารผงหลายอย่างผสมกันที่เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายคนแล้วมันจะมีฤทธิ์กดเส้นประสาท เกิดภาพหลอนและมึนเมา เขาและแอนโธนี่ ก็นั่งคุยถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ทั้งเรื่องเพื่อนสมัยในชั้นเรียนของแอนโธนี่เอง ทั้งเรื่องที่ทั้งสองเคยเตะฟุตบอลด้วยกัน แอนโธนี่ชมเขาว่าเขาเก่งที่สุดแล้ว

ข้างฝ่าย ซอนนี่ และลูกน้อง ก็เตรียมอาวุธไว้ป้องกันตัวเท่าที่จะหาได้ในบ้าน ในเวลาเช่นนี้แม้เล่มเล็กในครัวก็มีความสำคัญ หน้าไม้คันเล็กๆก็ช่วยให้ใจชื้นขึ้นได้เมื่อมันอยู่ใกล้มือ

ในค่ำนั้น ริชาร์ด ก็แอบเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีก เทสารที่ผสมมาลงในกาน้ำชา และแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้าน รอเวลายาออกฤทธิ์แล้วจึงออกมาจัดการทั้ง ซอนนี่, เฮอร์บี้ และ ทัฟ ( Paul Sadot ) แต่ยังเหลืออีกคน คือ มาร์ค ( Paul Hurstfield ) ที่อาศัยอยู่อีกเมืองหนึ่ง




วันที่ 4
เขาและแอนโธนี่ ออกเดินทางไปหา มาร์ค แต่ไม่เจอ จึงฝากบอกกับภรรยาของ มาร์ค ว่า ริชาร์ด พี่ชาย แอนโธนี่มาหา


เช้ามืดวันที่ 5
ริชาร์ด แอบเข้าบ้าน มาร์ค แล้วพาขึ้นไปยังบ้านร้างบนเนินเขา เพื่อจัดการ

ข้อความตัวอักษร สี เ ขี ย ว ต่อไปนี้ เ ปิ ด เ ผ ย เนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์

อาจจะดูเหมือนสิ่งที่ ริชาร์ด ทำลงไปนั้นเกินกว่าเหตุไปโข ว่าอะไรกัน เพียงแค่แกล้งล้อเล่นกันแต่กลับเอาคืนแบบให้ถึงตายกันเลยเหรอ ดูไม่สมน้ำสมเนื้อเอาเสียเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนที่รุมกลั่นแกล้ง แอนโธนี่นั้น ล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบในการตายของ แอนโธนี่ … ใช่แล้ว … แอนโธนี่ ผูกคอตาย ด้วยเชือกเส้นใหญ่ ที่ทุกคนคนในกลุ่มเห็นดีเห็นงามและสนุกสนานในการนำเชือกมาผูกเป็นบ่วงและคล้องคอเขา แล้วพาลากเดินร้องรำทำเพลงอย่างกับขบวนแห่ขันหมาก ไปยังบ้านร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งก็น่าจะเป็นบ้านของแอนโธนี่เอง ทั้งลากทั้งดึงทั้งทึ้งเชือกเล่นอย่างไม่รู้สึกเลยว่าที่ถูกเชือกคล้องคออยู่นั้นก็เป็นคนเหมือนกัน

เมื่อทุกคนเล่นสนุกจนสาแก่ใจ ก็ปล่อยทิ้ง แอนโธนี่ ไว้ในสภาพนั้น

ไม่นานนัก แอนโธนี่ ก็ตัดสินใจลาโลกนี้ไป พิธีฝังศพของ แอนโธนี่ ริชาร์ด ก็กลับมาร่วมไว้อาลัยด้วย

ในวันสุดท้าย ที่ ริชาร์ด และ มาร์ค อยู่ในบ้านร้างบนเนินเขา ริชาร์ด ยื่นมีดให้ มาร์ค และขอร้องช่วยจัดการเขาเสีย เพราะเขาไม่สามารถจะทนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการแบกรับความรู้สึกเลวร้ายที่ตนทำลงไปทั้งหมด ตอนนี้เขาอยากจะไปอยู่กับแอนโธนี่น้องชายผู้เป็นที่รักของเขาแล้ว

ในทีแรก มาร์ค ไม่ยอมทำตามในสิ่งที่ ริชาร์ด ร้องขอ แต่เมื่อถูกขู่ว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่เขาอาจจะมาฆ่าลูกชายฆ่าภรรยาของมาร์คในสักวัน น้ำเสียงที่จริงจังของริชาร์ด ช่วยกระตุ้นให้มาร์ค จ้วงแทงไปเต็มแรง

ช่วงจังหวะที่ริชาร์ดหายใจรวยริน ภาพของ แอนโธนี่ ที่นอนคุดคู้ตาเบิกโพลงอยู่ ก็หลับตา ปิดเปลือกตาลงพร้อมๆกับ ริชาร์ดนอนนิ่งสนิท จมกองเลือดตัวเองอยู่ตรงนั้น



ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นผลงานการเขียนบทของผู้กำกับ Shane Meadows ร่วมกันกับ Paddy Considine ( ตัวเอกของเรื่องในจอ และเป็นเพื่อนกับผู้กำกับนอกจอ ) และ Paul Fraser

ผลงานการกำกับของ Shane Meadows มีผลงานอย่างเช่นเรื่อง Once Upon a Time in the Midlands (2002) , Northern Soul (2004) และล่าสุดกับเรื่อง This Is England (2006) ที่ Thomas Turgoose เจ้าหนูเด็กชายวัย 12 ขวบตัวแสดงเอกของเรื่อง พึ่งคว้ารางวัล นักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม มาจากเวที British Independent Film Awards 2006 เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และได้รับรางวัลชนะเลิศ UK Film Talent Award จาก London Film Festival 2006 อีกด้วย





** ( ปรากฏในพระธัมมปทัฏฐกถา ฉบับแปลเป็นภาษาไทย หน้า ๕๓-๖๓ )


Create Date : 17 ธันวาคม 2549
Last Update : 17 ธันวาคม 2549 17:52:09 น. 20 comments
Counter : 1633 Pageviews.

 
เช้าๆ เปิดเข้ามาเจอธรรมะวันอาทิตย์เลย

เนื้อหาโหดร้ายจัง ท่าทางจะเครียดนะครับ

เห็นภาพสุดท้ายแล้ว บรรยากาศอังกิ๊ด..อังกฤษ


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:8:42:28 น.  

 
หนังน่าดูเช่นเคย
แต่ผมชอบหนังแบบนี้แฮะ มันลึกเข้าไปในก้นบึ้งดี
ปล. กำลังจะมาเย้วดีใจเรื่อง 3-0 เมื่อคืนเหมือนกันครับ


โดย: sTRAWBERRY sOMEDAY วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:12:12:04 น.  

 
ดูท่าทางจะเป็นหนังเครียดนะเนี่ย ฆ่ากันตั้งแต่วันแรกเลย หุหุหุ

หนังมักจะสะท้อนความเป็นมนุษย์ ส่วนที่เป็นก้นบึงของจิตใจจริงๆ นั่นคือชีวิตจริงและหนัง หากจิตใจมุ่งแต่การล้างแค้น บทสรุปสุดท้ายคงไม่ต่างกัน


โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:12:58:56 น.  

 
อ่านย่อหน้าแรกแล้วงงนิืดหน่อย ต่อมาก็ถึงบ้างอ้อ เข้าใจโยงนะคะ

หนังน่าดูมากเลยอ่านข้ามสีเขียวไป ร้านเฟมจะมีไหมหนอ


โดย: bright IP: 61.47.115.200 วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:13:08:17 น.  

 
รักมากและขาดสติอ่ะคะ เลยทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไปได้ ... แต่ก็พวกที่ลงมือทำก็ช่างกระไรเลย ทำไปได้งานนี้เลยโดนแก้แค้นซะเลย ...

ดูเป็นหนังรุนแรงแต่ว่าก็มีสาเเหตุ เรียกว่าน่าดูเชียวค่ะ ถึงจะอ่านตัวสีเขียวไปแล้วก็ตาม


โดย: JewNid วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:13:19:41 น.  

 
อ่านเรื่องแล้วมันส์มากเลยอะ (ผมซาดิสไปไหมเนี่ยะ) แอบอ่านบรรทัดแรกของตัวสีเขียวไปหน่อยนึง โหดร้ายจังแฮะ


โดย: strawberry machine gun วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:13:59:33 น.  

 
สุดยอดดด !!!
ผมล่ะชอบเรื่องเกี่ยวกับการแก้แค้นที่สุดเลย
55555

ตั้งแต่ Plot ล้างแค้นสุดคลาสสิก อย่าง The Count of Monte Cristo ล้างแค้นแบบโรคจิต-โรคจิต ก็ชอบ

อุว่าฮ่าฮ่า



อารมณ์เหมือนตอนอ่านคินดะอิจิแล้ว จะสงสารคนร้ายทุกครั้ง และแอบสะใจที่พวกนั้นมันตาย ๆ ไปได้


โดย: (เข้าสู่ด้านมืด) (ShadowServant ) วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:14:28:06 น.  

 
โฮ้ว... น่าดู
(เห็นภาพ One Down แล้ววิญญาณลาบเลือดพุ่งปรี๊ด)


โดย: nanoguy IP: 203.113.35.12 วันที่: 17 ธันวาคม 2549 เวลา:20:04:52 น.  

 
แวะมาเยี่ยมบล็อคจากลิงค์บนชื่อที่โผล่ไปให้เกียรติคอมเมนท์บล็อคผมครับ



เอาพุทธพจน์ มาโยงเข้าเนื้อหาของหนัง.. อืมม์.. น่าสนใจนะนี่


โดย: aston27 วันที่: 18 ธันวาคม 2549 เวลา:2:32:05 น.  

 
เนื้อหาและภาพท่าทางจะแรงน่าดู อยากดูแล้วซิครับเนี่ย


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 18 ธันวาคม 2549 เวลา:18:59:29 น.  

 
ใช่ที่ปกเป็นสีแดงใช่ไหมครับ อืมมไม่ได้สังเกตุเลยแฮะว่าดี
หรือป่าว เรนตั้นเอาหลักคำสอนกับหนังมาโยงกัน......ยอดเลย
นะเนี่ย

เพิ่งดูหนังเรื่องสุดท้ายของ Robert Altman จบ หนังดีมาก
รับรองว่าก่อนคริสมาสจะเขียนให้อ่านแน่นอนครับ


โดย: BloodyMonday On Da Move IP: 211.139.145.21 วันที่: 18 ธันวาคม 2549 เวลา:19:09:25 น.  

 
ดีจ้า เพิ่งหายเปื่อย...โรคภัยนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ เนอะ

อ่านรีวิวแล้วอยากดูจัง เสียเวลาดูหนังไปกับการนอนเปื่อยนี่มันย่าเบื่อจริง ๆ (บ่นเป็นป้าอีกละ) ทำไมอะไร ๆ ในนี้มันสีส้มไปหมดนะ ทั้ง background และตัวหนังสือ หรือพอป่วยแล้วมันเลยมองตาบอดสีฟะ (ป้าบ่นไม่เลิก)

เอ้อ..มีไรจาบอก เราฝันถึงเรนตั้นด้วย

ตอนแรกก็เหมือนจะรู้ว่าคนนี้แหละ แต่อีกใจนึง (ในฝัน) ก็ตั้งคำถามว่าแกรู้ได้ไงฟะ ว่าคนนี้เป็นเรนตั้น แล้วเราก็คุยกันถึงเรื่องที่เขียนกันใน blog ก็เลยรู้ว่า เออ ใช่แน่ ในฝันเราได้เจอกันตอนไปดูคอนเสิร์ตอะไรสักอย่างน่ะ

ฝันร้าย..เอ้ย ฝันดีเจง ๆ ก่อนนอนคิดถึงแต่หน้าหนุ่ม ๆ แท้ ๆ


โดย: unwell วันที่: 18 ธันวาคม 2549 เวลา:20:24:44 น.  

 
เขียนถึงหนังเรื่องนี้ได้น่าอ่านจริง ๆ นะครับ ภาพก็สุดโหดแต่มันก็สะท้อนภาพความเป็นจริงของชีวิตได้นะครับ เพราะมีมากมายที่ชีวิตก็โหดแบบนี้แหละ


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 18 ธันวาคม 2549 เวลา:21:16:04 น.  

 


น้าพล
ชอบภาพสุดท้ายเหมือนกันค่า มันดูอังกิ๊ดอังกฤษจริงๆ แถมทั้งในเรื่องก็บรรยากาศประมาณนี้เลยค่ะ อยากไปอยู่จริงๆ

คุณสตรอเบอร์รี่บางวัน
สามศูนย์ ม่วนซื่นโฮแซวเลยค่ะ ^_^

คุณTony KooN
หนังก็เครียดใช้ได้เลยอ่ะค่ะ ยิ่งบรรยากาศนิ่งๆ ทุ่งหญ้าโล่งๆด้วยล่ะก้อ ดูน่าหวั่นๆไปด้วยจริงๆ

The Bright'
อ่ะ อ่ะ งงอ่ะดี๊...เอ่อ..เป็นฟามสามารถพิเศษอ่ะค่ะ ที่เขียนให้คนอ่านงงได้ 5 5 5 (น่าดีใจตรงไหนหว่า )

คุณ Jewnid
อ่านสีเขียวไปแล้วแต่ยังอยากดูนี่ จขบ.ก็ปลื้มใจไปค่ะ มีโอกาสก็ลองดูนะคะ

คุณ strawberry machine gun
หุ หุ ถ้าสงสัยว่าตัวเองซาดิสต์อ่ะป่าว ก็...ขอเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ด้วยคนได้ป่าว...5 5 5

คุณ ShadowServant
The Count of Monte Cristo ก็ชอบค่ะ หนุกดี แต่ คินดะอิจิ ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ เราเองก็โรคจิตนิดๆมั๊ง ไปเจอที่ร้านเล่ม 6 เล่ม7 ก็ไม่ยอมซื้อมาอ่าน อยากอ่านเล่น 1 ก่อนอ่ะ.....เลยอดอ่านเลย...

คุณ nanoguy
ลาบเลือดซกเล็กเลยใช่มั๊ยคะ หุ หุ

คุณ aston27
หามิได้ค่ะ..ด้วยความยินดีและตั้งใจแวะไปอ่านไปคอมเม้นท์ค่ะ ^_^

คุณเจ้าชายไร้เงา
เห็นเลือดสาดแล้วอยากดูใช่ม๊า..อิอิ

BloodyMonday
ใช่แล้วจ้า ปกสีแดงนั่นแล ... แต่เราไม่ได้เอาปกมาให้ดูในบล็อค เกรงว่าจะเป็นภาพที่ชี้นำเกินไปน่ะฮ่ะ ... หนังของลุง Robert Altman หมายถึงเรื่อง A Prairie Home Companion ใช่ป่ะ ... ดีเลยจ้า เดี๋ยวจะตามไปอ่านแน่นอนค่า ^_^

แม่นางเหม่ยหลิง
แล้ว....หายดี ดีขึ้นละยังตอนนี้อ่ะ...ขอให้หายไวๆนะจ๊าสงสัยเรื่องสีส้มอ่ะดี๊..มีเขียวๆมาแต้มด้วย....มะ ป้าจะเล่าให้ฟัง...ก็..ปกOST ของ Trainspotting vol.1 อ่ะ เป็นสีส้ม vol.2เป็นสีเขียวน่ะเอง แถมชอบกินน้ำส้มด้วยอ่ะ ไบเล่แฟนต้าป้าชอบ..สีมันน่ากินดี แต่น้ำแบบนางเอกกินกลับไม่โปรดแฮะ อย่างมิต้องสงสัยเพราะป้าไม่ใช่นางเอกอ่ะจ่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เรื่องฝันนั้น สงสัยอยู่ว่า หายป่วยแล้วฝัน หรือ ฝันแล้วก็ป่วยเลยอ่ะ...5 5 5
เดี๋ยวส่งรูปไปให้ดู จะได้ไม่ฝันผิดตัวนะจ๊ะ อิอิ

คุณ Johann sebastian Bach
ขอบคุณค่ะ สำหรับคำชม ^_^ ... ชีวิตจริง มันก็โหดร้ายอย่างนี้จริงๆแหละค่ะ เพียงแค่คนทีเจอไม่เราเท่านั้นเอง...



โดย: renton_renton วันที่: 19 ธันวาคม 2549 เวลา:8:43:34 น.  

 
หายไปซะนานกลับมาแย้วดีใจจัง...

มนุษย์ในโลกนี้มักจะย่ำยี กดขี่ข่มเหงและรังแกคนที่อ่อนแอกว่าไร้หนทางต่อสู้กว่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นด้วย
คำพูดคำจาหรือการกระทำ หนังสะท้อนชีวิตมนุษย์ได้ดีจริงๆค่ะ แต่ถ้าเหตุแบบนี้เกิดในขีวิตเราจริงๆคงไม่มีใครยอมได้หรอกค่ะ ครอบครัวใคร ใครก็รัก จริงมั้ยค่ะ

ขนาดอ่านข้อความสีเขียวไปแล้วก็ยังอยากดู


โดย: i_am_redangel วันที่: 20 ธันวาคม 2549 เวลา:0:55:39 น.  

 
มาแล้วก็หายไป อิๆๆ
ไปหาHostโหลดเพลงมาครับ ทุกทีต้องลดคุณภาพเพลงเพราะไม่งั้นโหลดกันหลับแน่ๆ

อาทิตย์ที่ผ่านมาไปตระเวนหาซื้อCDใหม่มาครับ ไม่ได้ซื้อตั้งนานละทนฟังของเ่าๆมาเป็นปีละ ได้วงดีๆมาตั้งเยอะ เดี๋ยวไว้อัพคราวหน้าจะลงให้ฟังละกัน



โดย: แป๊กก วันที่: 20 ธันวาคม 2549 เวลา:7:41:06 น.  

 
อืม ปกติดูหนังแบบนี้ไม่ได้ คือไม่ชอบดูฉากต่อสู้หรืออะไรรุนแรง เพราะเป็นคนขี้กลัวอ่ะค่ะ
ถ้าดูก็จะใจเต้นแรงมาก แบบเหมือนตัวเองจะเป็นอะไรสักอย่างตลอดเวลา ฮ่าๆ

แต่เท่าที่อ่าน เนื้อหาน่าสนใจนะคะ


โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 20 ธันวาคม 2549 เวลา:19:36:24 น.  

 
นึกไม่ถึงนะครับ ว่าน้องเรนตั้นจะนำเรื่องธรรมะมาสอดแทรกในบทวิจารณ์ได้อย่างเหมาะเจาะและกลมกลืนมากๆ

หนังโหดจังเลย แต่คิดไปคิดมา เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงในสังคม
ริชาร์ดรักน้องชายมากเสียจนขาดสติยั้งคิด
แต่ว่า ... ลองคิดๆ ดู ริชาร์ดเขาก็มีสำนึกในส่วนดีเช่นกัน
แต่แล้ว ... โทสะเข้ามาครอบงำ ทำให้เขาต้องแสดงออกไปเพื่อความสะใจ
แต่แล้ว ... เหมือนว่าสำนึกผิดชอบชั่วดีจะทำให้เขาไม่ได้ฆ่ามาร์ค
แต่ว่า ... ขณะที่โทสะลดลง โมหะกลับเพิ่มมากขึ้น นั่นเองที่ทำให้เขาต้องบังคับให้มาร์คจบชีวิตของเขา

หากมองแบบพุทธ ก็คงเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม
และอีกอย่างนึงที่นึกขึ้นได้ สืบเนื่องจากที่น้องเรนตั้นเขียนทำนองว่า ...
"หากคนที่เรารักถูกทำร้าย แล้วจะไม่อาฆาตแค้นคนทำร้าย ... ทำได้ยาก"

ใช่ครับ ทำได้ยากจริงๆ หัวข้อธรรม พรหมวิหารสี่ ข้อที่ทำยากที่สุด
ก็คือข้อที่ 4 ... อุเบกขา


ป.ล. นี่อาจจะเป็นเมนต์ยาวสุดที่พี่เคยเขียนเลยมั้ง
คงเป็นเพราะว่า ... เนื้อเรื่องของหนังมันน่าสะเทือนใจมากครับ


โดย: สะเทื้อน วันที่: 21 ธันวาคม 2549 เวลา:9:48:06 น.  

 


คุณ i_m_red_angle
ถ้าชอบ และถ้ามีโอกาสก็ดูให้ได้นะคะ

คุณ แป๊กกก
แล้วเดี๋ยวจะแวะไปฟังเพลงจี๊ดๆแน่ๆค่า ^_^

คุณ DropAtearInMyWineGlass
หนังน่าสนใจจริงๆค่ะ เห็นด้วยๆ ^_^

พี่ สะเทื้อน
ขอบคุณค่าสำหรับคอมเม้นท์ยาวๆและความเห็นยาวๆต่อหนังเรื่องนี้ ^_^



โดย: หนาว หนาว หนาว แว้วว กอทอมอ... (renton_renton ) วันที่: 22 ธันวาคม 2549 เวลา:8:38:10 น.  

 
บล็อกนี้รวมพลคนโหดแฮะ


โดย: strawberry machine gun วันที่: 22 ธันวาคม 2549 เวลา:10:33:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

renton-renton
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photobucket.Just wait until night then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ “เด็ก” ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
17 ธันวาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add renton-renton's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.