★ Eastern Promises : ไม่มีร่องรอย ก็ไร้ตัวตน (2007)



Eastern Promises ทิ้งระยะห่างจากหนังเรื่อง A History of Violence (2005) ผลงานก่อนหน้าในการกำกับของ เดวิด โครเนนเบิร์ก เป็นเวลาถึง 2 ปี แต่ก็ไม่น่าจะนานพอสำหรับการลืมเลือนฉากความรุนแรงระยะประชิดจากการต่อสู้กันของ ทอม (วิกโก้ มอร์เทนเซ่น) และผู้ร้าย 2 คนที่ร้านอาหารด้วยการยิงเจาะกะโหลกแถมหน้าตายังเหวะหวะจากกากาแฟ

จะว่า โครเนนเบิร์ก พิสมัยความรุนแรงเลือดกระจายแบบจะจะก็ถูก หากเรามองแค่ฉากต่อฉาก อาทิ ฉากหัวระเบิด ใน Scanners (1981) หรือใน A History of Violence ดังกล่าวข้างต้น หรือกระทั่งในหนังเรื่องใหม่ของเขาที่จะกล่าวต่อถัดจากนี้ แต่ไม่ใช่ถูกทั้งหมด เพราะความผิดเพี้ยนวิปลาสของมนุษย์ที่มีต่อเทคโนโลยีก็เป็นอีกหนึ่งความหมายที่เขาให้ความสนใจเช่น ใน videodrome (1983), The Fly (1986) หรือใน eXistenz (1999)

ใน Eastern Promises หนังเปิดเรื่องด้วยเรื่องราวปลายเหตุจากการจบชีวิตของคน 2 คน คนหนึ่งเป็นลูกค้าชาวรัสเซียในร้านตัดผมที่ถูกเด็กหนุ่มจู่โจมปาดคอเลือดพุ่ง และเด็กสาวท้องแก่ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือในร้านขายยาแล้วล้มพับจมกองเลือดที่ไหลทะลักออกจากหว่างขา

แอนนา สูตินารีแพทย์สาวพยายามช่วยชิวิตและทำคลอดให้เด็กสาวท้องแก่จนคลอดได้ปลอดภัยแต่แม่ของเด็กเสียชีวิต และแอนนาเก็บไดอารี่ในกระเป๋าถือของผู้ตายไว้เพื่อช่วยตามหาญาติมารับเด็ก เธอจึงให้ลุง สเตพาน ช่วยแปลภาษารัสเซียให้ แล้วเรื่องราวในไดอารี่นั้นก็นำเธอและลุงเข้าพัวพันกับองค์กรอาชญากรรมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

นิโคไล มาเฟียรัสเซียหนุ่ม ลูกน้องของ เซเมี่ยน เจ้าของภัตตาคารอาหารรัสเซียหรูหราในย่านลอนดอน แต่เบื้องหลังคือมาเฟียรัสเซียที่ทำการค้าธุรกิจมืดหลากรูปแบบ นิโคไล มีหน้าที่เป็นคนขับรถและเป็น “คนทำความสะอาด” จัดการหลักฐานเพื่อปกปิดความมีตัวตนของเหยื่อ

เซเมียน มีลูกชายคือ คีริล ที่สนิทสนมกันดีกับ นิโคไล เสมือนหนึ่งเป็นพี่น้อง แต่ด้วยความที่มักทำตัวเหลวไหลไม่เอาอ่าว ส่วน นิโคไล ทำผลงานได้ดีจนได้รับความไว้วางใจ เซเมียนจึงขยับตำแหน่งให้ นิโคไลขึ้นเป็นระดับหัวหน้าแทนลูกชาย

แม้ความรุนแรงแค่ใน 2 ฉากแรกจะเป็นตัวชี้นำว่าให้เตรียมตัวให้ดีที่จะรับดีกรีความดุและโหดของส่วนที่เหลือ แต่คอหนังแอคชั่นเห็นทีต้องผิดหวังไปไม่น้อยหากอยากจะเห็นบทบู๊สะบั้นตามสไตล์หนังแก็งค์สเตอร์ เพราะอารมณ์ของหนังโดยรวมจะอยู่ในแนวนิ่ง แต่บีบหัวใจให้ระทึกด้วยการเสาะหาความกระจ่างในบางสิ่ง ท่ามกลางความดำทมึนและโสมมสกปรกของกลุ่มองค์กรมาเฟียที่สร้างความไม่ไว้วางใจให้ต้องหวาดระแวงอยู่ทุกขณะ

และที่สำคัญ อาวุธที่ใช้กันทั้งเรื่องคือมีดหลากรูปแบบ ทั้งแบบโบราณสไตล์ชาวเติร์ก มีดปลายแหลมธรรมดาและมีดโกนหนวด จึงสร้างความหวาดผวา หวาดสยองและหวาดเสียว เขย่าประสาทอย่างไม่โฉ่งฉ่างอึกทึก

เหมือนฉากการต่อสู้ของ นิโคไล และ ผู้ร้ายสองคนกับอาวุธมีดชาวเติร์ก ในห้องซาวน่า ที่ไร้การปรุงแต่งของท่วงท่าจังหวะการจู่โจมเกินจริง จึงให้ความรู้สึกดุดัน ดิบ และดูเป็นธรรมชาติ และเมื่อดูเป็นธรรมชาติสมจริงอย่างนั้น หนังก็ได้อารมณ์ร่วมจากคนดู เกิดการเอาใจช่วยและลุ้นไปกับตัวละคร แค่เพียงเท่านี้ หนังก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว




บท นิโคไล ของ วิกโก้ มอร์เทนเซ่น ตัวเอกของเรื่อง หากเทียบความเป็น นิโคไล กับสีแล้ว สีที่ได้จะเป็นสีเทา ไม่ดำจัด ไม่ขาวจัด ไม่ร้ายจนไร้เหตุผลและไม่ได้ดีแบบพ่อพระ แต่บทของเขา ทำให้เราเห็นว่าไม่ว่าอดีตจะพาคุณมายืนในจุดปัจจุบันที่เลวร้ายและแย่อย่างไร นั่นคือสถานะภายนอกที่คุณได้รับ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจให้ตกต่ำตามสภาพไปด้วย

ภาวะของการสูญเสีย หรือจะสูญเสียความเป็นตัวตนของ นิโคไล ถูกนำไปเกี่ยวร้อยกับหน้าที่ที่เขารับผิดชอบจากองค์กรมาเฟียอย่างแยบยล คือการทำลายหลักฐานของคนตายไม่ให้เสาะหาได้ว่าเป็นใครมาจากไหน และเป็นนั่นยังประเด็นที่ โครเนนเบิร์ก ให้ความสนใจอยู่มาก เหมือน ทอม สตอล จาก A History of Violence ที่เขาอยากเป็น “คนใหม่” เพื่อพ้นสภาพ “คนเดิม”

นาโอมิ วัตส์ ในบทของ แอนนา สูตินารีแพทย์ ที่ทำหน้าที่ช่วยให้การกำเนิดเกิดใหม่สมบูรณ์ อดีตของเธอทำให้เธอตั้งใจที่จะตามหาญาติของทารกน้อยนั้นให้ได้ เลยทำให้เธอได้พบกับ นิโคไล และได้พบความอบอุ่นที่ขาดหาย วัตส์ ได้ทำให้เราเชื่อว่าความเหงาที่ปกปิดมันทำลายทำร้ายใจเธอได้ขนาดไหน ดังเห็นได้จากฉากที่เธอยืนเฝ้ามองเปลเด็กอ่อน ที่เคลื่อนไหวแขนขาอย่างน่าชัง แล้วเธอก็ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง
และยังถือเป็นฉากประทับใจที่สุดแล้วของผู้เขียน จากหนังแนวแมนๆเรื่องนี้

บทหนังเขียนโดย สตีเวน ไนท์ คนเดียวกันกับที่เคยเอาอาชีพและเรื่องราวของผู้อพยพ กลุ่มคนลักลอบเข้าเมือง ทั้งชาวอัฟริกันและชาวเติร์กที่หลบอยู่ในมุมมืดของมหานครลอนดอนมาเปิดเผยจากเรื่อง Dirty Pretty Things(2002) และใน Eastern Promises เรื่องราวก็ยังเกิดขึ้นในลอนดอน แต่เน้นที่กลุ่มคนแวดวงอาชญากรรม อีกทั้งยังเป็นหนังเรื่องแรกที่ โครเนนเบิร์ก ยกกองถ่ายมาถ่ายทำนอกประเทศแคนาดาบ้านเกิดทั้งเรื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยใช้ประเทศอังกฤษเป็นโลเคชั่นอยู่บ้างจากเรื่อง Spider (2002)แต่ฉากที่เหลือส่วนใหญ่ก็ถ่ายทำในแคนาดา

เมืองใหญ่สวยงาม สถานที่ท่องเที่ยวเจริญตาสะอาดสะอ้านอย่างลอนดอน ยังมีซอกหลืบที่ทำให้ถูกกลบลบบดบังสายตาไปได้ ไม่ต่างอะไรกับตัวละครหลักทั้งสามของหนังเรื่องนี้คือ นิโคไล เซเมียน และ แอนนา ที่ต่างก็มีมุมที่เรามองไม่เห็น ซ่อนอยู่ข้างหลัง ยังสัมผัสไม่ได้อยู่เหมือนกัน

อย่าว่าแต่ในหนังเลย ในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจอก็มีให้เห็นให้รับรู้อยู่บ่อยไป …


I'd like to hear your voice.

ขอเชิญ ทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็นต่อหนังหลากเรื่องหลายแนว ทั้งชนโรง ทั้งหนังแผ่น ได้ที่ //vreview.yarisme.com ค่ะ และ ในเร็วๆนี้ จะมีกิจกรรมให้ทุกท่านมีสิทธิลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท ฟรี!!!! จำนวน 8 ใบ ทุกเดือนด้วยน๊า ^_^
.
.







Create Date : 28 มีนาคม 2551
Last Update : 7 เมษายน 2551 12:17:11 น. 11 comments
Counter : 2361 Pageviews.

 
เรื่องนี้เราก็รีวิวไว้ในบล็อกเหมือนกัน...ชอบที่ตัวละครในหนังมันมีมิติ ไม่ดำ หรือ ขาว แต่อยู่ที่เทาๆ อย่างที่ว่า


โดย: DKRY วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:13:44:37 น.  

 
อยากดุจัง
มายั่วอีกรายแล้ว - -"


โดย: haro_haro วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:14:30:27 น.  

 
อืมม ยังไม่ได้ดูเลยแฮ่ะ

อย่างที่บอกว่าการสู้กันนั้นเถื่อน ดุ ดิบ นี้ประมาณเจสัน บอร์นใน
ภาค 2 กับ 3 ไหมอ่ะ (เฉพาะความดิบน่ะ ความโหดเรื่องนี้สงสัยจะกินขาด)

พูดถึง Dirty Pretty Things (2002) ชอบน่ะ ทำให้เราติดตามหนังของ Chiwetel Ejiofor ทุกๆเรื่องเลย (เรื่อง Talk to Me ที่เล่นกับ Don Chedle ก็ดีน่ะ)


โดย: BloodyMonday วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:17:00:57 น.  

 
+ ผมก็ชอบนะครับเรื่องนี้ แต่น้อยกว่า A history of violence ... ส่วนนึงคงเป็นเพราะ 'จุดเฉลย' ถึงที่มาของพระเอกมันดูชวนฝันเกินจริงไปหน่อยละมั้ง เลยทำให้ความดิบและความจริงจังที่ปูพื้นมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ถูกลดทอนลงไป ... ส่วนการแสดง เฮียวิกโก้ ก็สมควรได้เข้าชิงออสการ์แหละครับ ผมแอบเชียร์พี่แกอยู่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าปีนี้ใครก็กิน ทั่นพี่ แดเนียล เพลนวิว ไม่ลงแน่ๆ ... ฉากสู้ดิบๆ ในห้องอาบน้ำนั่น ก็ถึงเลือดถึงเนื้อ (และเอ่อ ... ) ได้อารมณ์เช่นเคย


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:19:15:25 น.  

 
โห ... หนังหวาดผวาเหวอะหวะแบบนี้ สงสัยพี่จะดูไม่ไหวอ่ะ
แก่แล้ว ... เด๋วไปลมคาโรงหนัง อิอิอิ


เอ่ออออออ สุขสันต์วันเกิดครับ
มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง
และขอให้ประสบความสำเร็จจ้า ....



โดย: สะเทื้อน วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:14:07:25 น.  

 
เค้าว่าคนเกิดเดือนมีนาคมเป็นคนอ่อนไหวน่ะ อิอิ

สุขสันต์วันเกิดจ้า ขอให้มีความสุข และขอให้คนเกิดเดือนนี้ทุกคนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยมหาศาลเลยเลย (เข้าตัวๆ)


โดย: บลัดดี้มันเดย์ วิชยูอะแฮ็ปปี้คริสต์มาส เอ้ยเบิร์ดเดย์ IP: 124.122.132.29 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:02:07 น.  

 
DKRY
^_^

haro_haro
^_^

BdMd
Dirty Pretty Things (2002) เราก็ชอบ แต่ Talk to Me ยังไม่ได้ดูเลยอ่ะ ^_^"

บลูยอชท์
" ฉากสู้ดิบๆ ในห้องอาบน้ำนั่น ก็ถึงเลือดถึงเนื้อ (และเอ่อ ... )" ...เราว่ามันก็ได้อารมณ์ตามที่ว่าเหมือนกันค่ะ..
อารมณ์ดิบอ่ะนะ...หุหุ

พี่หนุ่ม
เห็นเลือดแล้วจะเป็นลมใช่มั๊ยคะ 555
อย่างนี้ต้องพกยาเขียวไปชงด้วย อิอิ

ขอบคุณค่ะสำหรับคำอวยพรและของผู้ใหญ่บ้าน+กำนัลลลล


BdMd อีกครั้ง
ขอบใจน๊า สำหรับคำอวยพรจ้า
งั้นเราก็แบ่งกันไปคนละครึ่งละกัน ในฐานะคนบ้านเดียวกันเอ้ย..เดือนเดียวกัน...


โดย: renton_renton วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:9:10:24 น.  

 
หนังเรื่องนี้กลิ่นแบบเดียวกับ A History of Violence มากเลยเคยอ่านเจอว่าวิกโก้ทุ่มเทให้กับการแสดงเรื่องนี้มากลงทุนไปศึกษาท่าทางจากคนยุโรปตะวันออกจริง ๆ สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะครับคุณ renton_renton


โดย: Johann sebastian Bach IP: 118.172.58.117 วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:16:15:06 น.  

 
ชอบนาโอมิ วัตต์ ในเรื่องนี้มาก
ดูเป็นผู้หญิงธรรมดาดี ขี่มอไซค์เท่อีกต่างหาก

ถ้าเทียบกับ history of violence ผมชอบเรื่อง history มากกว่า
คงเพราะเป็นอเมริกามั้ง เลยเข้าถึงง่ายกว่า

ว่าจะหาดูแบบไม่เซ็นเซอร์อีกสักรอบ

ปล.อ.ธเนศเพิ่งเขียนถึงเรื่องนี้ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ เริ่มตอนแรกสัปดาห์นี้


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:17:07:03 น.  

 
ชอบการแสดงของ Cassel นะครับ
ส่วนน้า วิกโก้ หายห่วงละ เล่นดีโคดๆ เหมือนเดิม


เรื่องนี้ ได้ดูทางบิตฯ เหอๆ(บอกกันอย่างไม่ละอาย อิอิ)
ค่อนข้างดูสนุก แต่ความรู้สึกคือ มันจบแล้วก็จบกัน ไม่มีอะไรให้พูดถึงต่อเหมือนตอน A History of Violence อ่ะครับ

แต่โดยส่วนตัวผมชอบงานของโครเนนเบิร์กพอควรนะ
และงานของเค้าเหมาะเหลือเกินที่จะชมในโรงภาพยนตร์
(ดันโหลดบิตซะเนี่ย กำจริงๆ)


โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:2:43:17 น.  

 
ชอบ A History of Violence มากกว่าเหมือนกับคนอื่นๆครับ
เสียดายดีวีดีแผ่นแท้บ้านเราดันตัดไปเสียหลายฉาก เซ็งจิต

แต่เรื่องนี้ต้องยกนิ้วให้ วิกโก้ จริงๆ


โดย: nanoguy IP: 125.24.79.39 วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:0:47:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

renton-renton
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photobucket.Just wait until night then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ “เด็ก” ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
28 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add renton-renton's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.