ธรรมะประจำฤดู
ฤดูร้อน.... เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าธรรมชาติของฤดูร้อนคือ อากาศร้อน บางแห่งร้อนชื้น ในขณะที่บางแห่งร้อนอบอ้าว ร้อนแบบแห้ง ๆ
อากาศร้อน สถานการณ์รอบด้านวุ่นวาย ร้อนรุ่ม อารมณ์ร้อน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตประจำวันของเรา จิตของคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนในทางธรรมมาก่อน ก็มักจะปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองร้อนไปตามสภาวะอากาศ หรือสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว คนที่มีโทสจริตอยู่เป็นนิจมักจะมีอารมณ์อ่อนไหว เห็นอะไรที่ไม่ได้ดังใจก็อารมณ์เสีย บางคนอารมณ์เสียแล้วเงียบ ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่คนที่อารมณ์เสียแล้วออกอาการกระทบกระทั่งกับคนที่อยู่ใกล้ตัว อันนี้ไม่ดีเอาเสียเลย จะโมโหโกรธาด้วยเรื่องอะไร ด้วยเหตุผลใดก็ตาม สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักระงับอารมณ์อันพุ่งพล่านของตัวเองให้เหมาะสม
ถ้าเราลองนั่งมองคนที่โกรธจนลืมตัว จะได้เห็นภาพคนที่หน้าตาถมึงทึง ดวงตาลุกโพลงดั่งเปลวเพลิงที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่ทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้มอดไหม้เป็นจุณ ลักษณะอาการ หน้าตาอย่างนั้น ใครบ้างอยากจะอยู่ใกล้ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เลี้ยงแสนรัก มันก็สัมผัสได้ถึงรังสีแห่งความร้อนแรงนั้น อย่าคิดว่ามันไม่รู้เรื่องนะ ถ้าวันไหนอารมณ์เสีย ลองตวาดมันสักทีสิ ขี้คร้านจะวิ่งหนีหางจุกตูดไปเลย คนที่มีแต่ความร้อนรุ่มอยู่ในตัว ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคมอย่างนี้
ธรรมะที่ใช้สำหรับดับความร้อนรุ่มในอารมณ์คือ ขันติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในการควบคุมความโกรธ เรียกว่า อธิวาสนขันติ....คำว่า อธิวาสนะ แปลว่า ยับยั้ง อธิวาสนขันติ หมายถึงขันติที่ยับยั้งไว้ได้ เช่น ความทุกข์ที่เกิดจากสภาวะอากาศร้อน หิว กระหาย โกรธ คับข้องใจ ก็สามารถยับยั้งทุกข์ทั้งปวงไว้ได้ คือสามารถรับมือกับทุกข์เหล่านั้นได้ ไม่เกิดความหวั่นไหว หรือกลัว ดังคำกล่าวของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ว่า บุคคลก็เหมือนกัน จะต้องมีกำลังขันติที่เป็นเครื่องยับยั้ง เป็นเครื่องรับ อันเป็นเครื่องต้านทานปัจจัยที่เป็นเครื่องเบียดเบียนต่างๆ ทั้งทางร่างกาย และทั้งทางจิตใจ ร่างกายจึงดำรงอยู่ได้ และจิตใจนี้ก็ดำรงผาสุกอยู่ได้
ฤดูฝน.... ธรรมชาติคืออากาศชื้นแฉะ ไปไหนมาไหนลำบาก ฝนตก รถติด น้ำท่วม เป็นของคู่กับสังคมเมือง ในอเมริกา เมื่อจะออกจากบ้าน เขาต้องติดตามข่าวพยากรณ์อากาศก่อน จะได้เตรียมตัวได้ถูก แต่ในเมืองไทย ประชาชนไม่นิยมติดตามข่าวพยากรณ์อากาศสักเท่าไร บางคนก็ว่าพยากรณ์ไม่เห็นแม่นสักที ยิ่งมาเจอสภาวะโลกร้อนอย่างนี้ ทำให้การพยากรณ์อากาศเป็นไปด้วยความยากลำบาก คนที่มองอะไรไม่พ้นตัว เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง มักจะเกิดอาการหงุดหงิด รำคาญฟ้าฝนไปตามเรื่อง แต่คนที่เข้าใจในสภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวง ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขตามปกติ ไม่เดือดร้อน แม้ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง
ปัจจุบันนี้ สภาวะอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้เดี๋ยวนี้ฤดูฝนในบ้านเรา มักจะมีฤดูร้อนพ่วงติดไว้ด้วยเป็นช่วง ๆ ระยะเวลาไป ดังนั้น อาจจะมีทั้งฤดูฝนและฤดูร้อนในหนึ่งวัน ก็เลยทำให้มีคำพูดค่อนขอดคนอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ว่า
อารมณ์แปรปรวนเหมือนอากาศ ...อารมณ์แปรปรวน ถือว่าเป็นสิ่งไม่ดี พูดง่าย ๆ ก็คือเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ดันไปเหมาโทษว่าเหมือนอากาศ นี่แหละหนา..มนุษย์..มักจะโทษโน่นนี่ไปตามเรื่อง ทำไมไม่มองดูตัวเอง โทษตัวเองบ้าง สังคมที่มีปัญหาอยู่ในทุกวันนี้ก็เพราะความไม่รู้จักตัวเอง ไม่พิจารณาตัวเองนั่นแหละ
อัตตัญญุตา คือธรรมว่าด้วยความรู้จักตน คือรู้ว่า ตัวเองมีความรู้ ความถนัด คุณธรรม ความสามารถ และฐานะ ฯลฯ อย่างไร แค่ไหน เพียงไร แล้วประพฤติปฏิบัติให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลดี การเจริญธรรมข้อนี้ไม่ต้องไปขวนขวายหาจากที่ไหน เริ่มจากตัวเอง รู้จักพิจารณาตนเอง ดี-ชั่ว-ผิด-ถูก อย่างไร ตัวเองย่อมรู้ดีกว่าคนอื่น ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาออกปากตำหนิ ติ ชม หมั่นเจริญธรรมข้อนี้ให้บ่อย แล้วนำมาปฏิบัติด้วยการวางตัวให้เหมาะสมในแต่ละโอกาส ย่อมเป็นที่นิยมชื่นชมจากผู้คนและสังคมที่ดำรงอยู่
มนุษย์เราถ้ามีความรู้ตัวพร้อมอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์อย่างไร รู้และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตนเอง ไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในกระแสของความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน สามารถควบคุมอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ได้ ชีวิตย่อมพบแต่ความสงบสุข เมื่อหน้าฝนมาเยือน ก็รู้ว่าตัวเองควรจะดำรงชีวิตอย่างไรให้เป็นสุข เตรียมตัวให้พร้อมไว้เสมอ อุปสรรคใด ๆ ผ่านเข้ามาก็จะสามารถแก้ไขไปได้ด้วยดี ดังกระแสพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงเน้นถึงการรู้จักตัวเอง ว่า คนเราต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะเผชิญปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต แต่การเตรียมตัวนั้นก็มีความรู้ประกอบด้วย มีการฝึกนิสัยใจคอของตนให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ด้วย สิ่งที่สำคัญในการฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตคือ ต้องรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวกำลังทำอะไร รู้ว่าตัวต้องการอะไร
ฤดูหนาว.... ฤดูแห่งการท่องเที่ยว สังสรรค์ เฮฮาปาร์ตี้ อากาศเย็นสบาย เทศกาลเฉลิมฉลองมีให้เลือกสนุกหลายรายการ
หน้าหนาว คนเมืองกรุงต่างพากันไปเที่ยวภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ ไปรับโอโซนความหนาวเย็นที่เมืองกรุงไม่เคยมีให้
หลาย ๆ คนไปพบรักที่นั่น เพื่อนฝูงได้ร่วมสรวลเสเฮฮากันอย่างสนุกสนาน จนบางครั้งมากเกินไป เกินความพอดี เกินความงามของสังคมบ้านเรา ก่อให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง เช่นฉลองไปเที่ยวไป กิน-ดื่มจนเมามายขาดสติ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุในการเดินทาง หรือเกิดเป็นคดีความทำร้ายร่างกายกันก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
มัตตัญญุตา คือธรรมของความเป็นผู้รู้จักประมาณ.. คำว่า ประมาณ หมายถึง รู้จักความพอดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ควรมีความพอดี พอเหมาะ พอควร เช่นการรับประทานอาหาร ถ้ารู้จักกินให้พอดีกับความต้องการของร่างกายจริง ๆ ก็ไม่ต้องมานั่งลดความอ้วนกันภายหลัง คนอ้วนส่วนมาก กินอาหารตามความต้องการของอารมณ์มากกว่า เรียกว่าปล่อยตัวให้เป็นทาสของอารมณ์ความอยาก แม้แต่การพูดจาก็เหมือนกัน พูดแต่พอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ก็ไม่มีปัญหา ไม่เกิดเรื่อง บางคนเกิดมาเพื่อบ่น เพื่อพูดจริง ๆ ถามคำเดียว ตอบมาเป็นร้อย อย่างนี้ก็ชวนให้น่าเบื่อได้เหมือนกัน โดนเบื่อบ่อย ๆ มาก ๆ เข้า ก็กลายเป็นที่รังเกียจไปในที่สุด ดังนั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกตนเองให้มีความพอดีในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การครองเรือน การคบหาสมาคมกับคนอื่น ทั้งชีวิตส่วนตัวและการงาน ทุกอย่างต้องให้พอดี คือมัชฌิมา ซึ่งแปลว่า ปานกลาง, ไม่ยิ่งไม่หย่อน
การที่จะเจริญธรรมในข้อนี้ได้นั้น ต้องรู้จักคอยเตือนตัวเองบ่อย ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เมื่อใดที่รู้สึกตัวว่าจะมากเกินไปแล้ว ก็ต้องรีบเตือนตัวเองให้ลดน้อยถอยลงมา อย่างเรื่องของความรัก ไม่ว่าจะรักใคร ถ้ารู้จักรักให้พอประมาณ ไม่ลุ่มหลง ก็ไม่ทุกข์ ที่เห็นอกหักรักคุดกันอยู่นั้น เพราะไม่รู้จักประมาณตัวนั่นเอง รักแล้ว รักมากเกินไปก็เกิดความหึงหวง คอยตามล้างตามเช็ดไปเสียทุกเรื่อง แทนที่คนรักจะเข้าใจเห็นใจ กลับกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญไปเสีย สุดท้ายความรักก็ไม่ยืนยาว หดสั้นจุ๊ดจู๋กู่ไม่กลับ หรือรักจริง แต่ไม่แสดงออกถึงความรัก วางตัวเฉย ไม่สนใจใยดีคนรัก จะเป็นตายอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนรักอย่างเดียว ไม่เคยคิดมีส่วนร่วมใด ๆ ด้วย อย่างนี้ก็น้อยเกินไป ใครเขาจะทนอยู่กับคนที่บอกว่ารัก แต่ไม่เคยแสดงน้ำใจให้เห็นว่ารัก ห่วงหาอาทรกันเลย
ถ้าพิจารณาดูให้ดี จะเห็นว่า ธรรมที่ปอป้านำมาพูดในแต่ฤดูนั้น มีสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากแอบแฝงอยู่ในคุณธรรมทั้ง ๓ ประการ นั่นคือ สติ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญมาก เกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องได้รับการฝึกฝนให้มีขึ้น เกิดขึ้นอยู่กับตัวเสมอ คือทำให้เราตื่นตัว รู้ตัวอยู่เสมอ ไม่หลงเผลอไปกับกิเลสทั้งปวง การที่จะดำรงสติให้อยู่กับตัวได้ตลอดเวลานั้น สามารถฝึกหัดได้จากการทำสมาธิ สวดมนต์ ภาวนา ฝึกได้ในทุกอิริยาบถ พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน หรือทำอะไรก็ตาม ต้องรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นั่นเอง ตราบใดที่เรายังครองสติได้ดี ย่อมทำให้เราเกิดปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้ดีเช่นกัน
สุดท้าย ขออัญเชิญพระราชดำรัสอันมีค่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาไว้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเราทุกคนดังนี้..ค่ะ
ความคิดนั้นสำคัญมาก ถือได้ว่าเป็นแม่บทใหญ่ของคำพูดและการกระทำทั้งปวง กล่าวคือถ้าคนเราคิดดี คิดถูกต้อง ทั้งตามหลักวิชาและคุณธรรม คำพูดและการกระทำก็เป็นไปในทางที่ดีที่เจริญ แต่ถ้าคิดไม่ดี ไม่ถูกต้อง คำพูดและการกระทำก็อาจก่อให้เกิดความเสื่อม เสียหายทั้งแก่ตัวเองและส่วนรวมได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่บุคคลจะพูด จะทำสิ่งใด จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อนว่า กิจที่จะทำ คำที่จะพูดนั้น ผิดหรือถูก เป็นคุณประโยชน์หรือเป็นโทษเสียหาย เป็นสิ่งที่ควรพูด ควรกระทำ หรือควรงดเว้น เมื่อคิดพิจารณาได้ดังนี้ ก็จะสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พูดและทำแต่สิ่งที่จะสัมฤทธิผล เป็นคุณ เป็นประโยชน์ และเป็นความเจริญ
ขอบคุณ ภาพประกอบเรื่อง จากอากู๋ออนไลน์
เพลง กุหลาบเวียงพิงค์
นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
ความสุขที่ยิ่งกว่าความสงบย่อมไม่มี
มีความสุขกับความสงบกายเย็นใจ ตลอดไป..นะคะ
ใกล้งานวันแต่งลูกสาวแล้ว..ค่ะ
ปอป้า ก็เลยต้องห่างหายไปจากบล็อกบ้าง
แต่ก็ยังคิดถึงเพื่อน ๆ ทุกท่านเสมอ..นะคะ