ตะพาบตัวที่ ๑๐ ของปอป้าภาพสะท้อนใจพูดถึงภาพสะท้อนใจแล้ว ปอป้ามีความเชื่อส่วนตัวว่าในช่วงชีวิตของคนเรา ย่อมมีภาพสะท้อนใจมากกว่าหนึ่งภาพ และแต่ละภาพก็ให้ความรู้สึกในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป เหตุเพราะอาจจะต่างกรรม ต่างวาระ สำหรับปอป้า ภาพสะท้อนใจ ก็คือภาพประทับใจที่ยังอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา นานแค่ไหนก็ยังจำได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาพเหล่านั้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นภาพของสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะได้ไปเยือน แต่ก็ได้ไปมาแล้วถึง ๒ ครั้ง ดูภาพคราใดก็ให้สะท้อนใจ มองเห็นถึงความไม่แน่นอน ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด ไม่เว้นแม้แต่องค์พระศาสดา....ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ ทูลถามพระพุทธองค์ก่อนเสด็จปรินิพพาน ณ ที่สาลวโนทยาน ในกรุงกุสินารา ว่า เมื่อกาลก่อน พุทธบริษัทในทิศทั้งหลาย ต่างพากันมาเพื่อเฝ้าพระตถาคต ย่อมได้เห็น ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ใหญ่เจริญใจเหล่านั้น ก็แต่ว่าเมื่อกาลล่วงไปแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ใหญ่เจริญใจเหล่านั้นอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ด้วยระลึกว่า :-- พระตถาคตประสูติในที่นี้ ๑- พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ ๑- พระตถาคตยังธรรมจักรให้เป็นไปแล้วในที่นี้ ๑- พระตถาคตเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ ๑ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใด เที่ยวจาริกไปยังเจดียสถานเหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายมลายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนในมหาปรินิพพานสูตร ให้วิถีแก่เราได้เข้าใกล้พระองค์ทั้งกายและใจ เหมือนอย่างเมื่อทรงยังดำรงพระชนม์อยู่ โดยอาศัยสังเวชนียสถาน เป็นสื่อนำเข้าถึงสิ่งที่ควรจะดู ควรจะเห็น ควรให้เกิดสังเวช แก่ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย และพึงนมัสการด้วยความเคารพต่อที่ประสูติ ตรัสรู้ ประทานปฐมเทศนา และปรินิพพานสวนลุมพินีวัน คือ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า อยู่ในตำบล ลุมมินเด ก่อนนั้นยังอยู่ในเขตอินเดีย ครั้นเมื่อแบ่งปันเขตแดนหลังสงครามปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ก็ตกอยู่ในเขตปกครองของประเทศเนปาลพระมหาเจดีย์พุทธคยา สถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้สันนิษฐานกันว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้างขึ้นไว้ก่อน ขนาดคงย่อมกว่านี้ แต่ด้วยแรงศรัทธาต่อพระพุทธองค์ จึงมีผู้มาต่อเติมเสริมสร้างและบูรณะปฏิสังขรกันต่อมาตามยุคสมัยธัมเมกขสถูป เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์สถูปโบราณทรงบาตรคว่ำ ก่อด้วยหินทราย สถูปสร้างอุทิศแด่ผู้เห็นธรรม ( ธัมมะ + อิกขะ : อิขะ แปลว่า เห็น ธัมมะ แปลว่า ธรรม ) หมายถึง สถานที่แสดงธรรมที่นำพาให้ถึงความหลุดพ้น พุทธวิหารปรินิพพาน ที่ สาลวโนทยาน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ปางปรินิพพานพระพุทธประติมากรรม ดวงตาหรี่เกือบปิดสนิท สีหน้าแสดงความหมดกังวลทุกอย่างและนี่คืออีกหนึ่งภาพที่ชวนให้สังเวช สะท้อนใจเป็นยิ่งนักคนเหล่านี้ เป็นชาวอินเดีย ที่ถูกเหยียดหยามและจัดว่าเป็นพวกจัณฑาล ยากจน อดอยากพวกเขามารอรับอาหารและของใช้ ที่คณะของปอป้านำไปแจกโปรดดูภาชนะที่ใส่อาหาร ซึ่งทำมาจากใบไม้แห้งที่หาค่ามิได้สำหรับคนมีเงินมุมมองของแต่ละคน ต่อภาพแต่ละภาพ อาจจะแตกต่างกันออกไป ภาพภาพหนึ่ง สำหรับคนที่มีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติอย่างถ่องแท้ อาจจะมองเห็นลึกลงไปถึงความเป็นจริงหรือสัจธรรมของสิ่งที่ปรากฎอยู่ในภาพนั้น ในขณะที่คนอีกคนหนึ่ง หรือหลาย ๆ คน มองเห็นแต่สิ่งที่ปรากฎอยู่ในภาพเท่านั้น ดังนั้น ปอป้าจึงมีความเชื่อว่า ภาพทุกภาพสามารถเล่าเรื่อง หรือบอกความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ในทำนองเดียวกัน มุมมองของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของคนที่มองภาพนั้นด้วยเฉกเช่นเดียวกับการดำเนินชีวิตของเรา หากเรามีความเข้าใจในธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าปัญหาใด ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา จะไม่สามารถบั่นทอนความรู้สึกหรือพละกำลัง ทั้งกายและใจ ของเราไปได้ ความเข้าใจในธรรมชาตินั้น จะสอนให้เราอยู่กับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ทุกข์หนัก ก็จะกลายเป็นเบา และคลายไปในที่สุดความเข้าใจในทุกสรรพสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่เราสามารถแสวงหา เรียนรู้ และฝึกปฎิบัติให้เกิดขึ้น มีขึ้นในตนได้ พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ค้นพบสิ่งเหล่านี้ และได้บอกกล่าวถึงหนทางในการค้นพบ รวมทั้งหนทางในการหลุดพ้น ให้กับพวกเราไว้แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะสนใจ ใส่ใจศึกษา และปฏิบัติตามหรือไม่ เพราะหนทางเดินแห่งชีวิต พระองค์เป็นเพียงผู้ทรงชี้แนะ แต่เรา ผู้เป็นเจ้าของชีวิตของเราเอง คือผู้เลือก เลือกว่าจะเดินไปทางใด ไม่มีใครบังคับเราได้ นอกจากตัวของเราเองเพลง นางครวญ ถ้าจะโหวตให้ปอป้า...สาขา Dharma Blog...นะคะ ขอบคุณ...ค่ะ
พูดถึงภาพสะท้อนใจแล้ว ปอป้ามีความเชื่อส่วนตัวว่าในช่วงชีวิตของคนเรา ย่อมมีภาพสะท้อนใจมากกว่าหนึ่งภาพ และแต่ละภาพก็ให้ความรู้สึกในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป เหตุเพราะอาจจะต่างกรรม ต่างวาระ สำหรับปอป้า ภาพสะท้อนใจ ก็คือภาพประทับใจที่ยังอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา นานแค่ไหนก็ยังจำได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาพเหล่านั้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นภาพของสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะได้ไปเยือน แต่ก็ได้ไปมาแล้วถึง ๒ ครั้ง ดูภาพคราใดก็ให้สะท้อนใจ มองเห็นถึงความไม่แน่นอน ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด ไม่เว้นแม้แต่องค์พระศาสดา....ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ ทูลถามพระพุทธองค์ก่อนเสด็จปรินิพพาน ณ ที่สาลวโนทยาน ในกรุงกุสินารา ว่า เมื่อกาลก่อน พุทธบริษัทในทิศทั้งหลาย ต่างพากันมาเพื่อเฝ้าพระตถาคต ย่อมได้เห็น ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ใหญ่เจริญใจเหล่านั้น ก็แต่ว่าเมื่อกาลล่วงไปแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ใหญ่เจริญใจเหล่านั้นอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ด้วยระลึกว่า :-- พระตถาคตประสูติในที่นี้ ๑- พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ ๑- พระตถาคตยังธรรมจักรให้เป็นไปแล้วในที่นี้ ๑- พระตถาคตเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ ๑ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใด เที่ยวจาริกไปยังเจดียสถานเหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายมลายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนในมหาปรินิพพานสูตร ให้วิถีแก่เราได้เข้าใกล้พระองค์ทั้งกายและใจ เหมือนอย่างเมื่อทรงยังดำรงพระชนม์อยู่ โดยอาศัยสังเวชนียสถาน เป็นสื่อนำเข้าถึงสิ่งที่ควรจะดู ควรจะเห็น ควรให้เกิดสังเวช แก่ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย และพึงนมัสการด้วยความเคารพต่อที่ประสูติ ตรัสรู้ ประทานปฐมเทศนา และปรินิพพาน
มุมมองของแต่ละคน ต่อภาพแต่ละภาพ อาจจะแตกต่างกันออกไป ภาพภาพหนึ่ง สำหรับคนที่มีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติอย่างถ่องแท้ อาจจะมองเห็นลึกลงไปถึงความเป็นจริงหรือสัจธรรมของสิ่งที่ปรากฎอยู่ในภาพนั้น ในขณะที่คนอีกคนหนึ่ง หรือหลาย ๆ คน มองเห็นแต่สิ่งที่ปรากฎอยู่ในภาพเท่านั้น ดังนั้น ปอป้าจึงมีความเชื่อว่า ภาพทุกภาพสามารถเล่าเรื่อง หรือบอกความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ในทำนองเดียวกัน มุมมองของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของคนที่มองภาพนั้นด้วยเฉกเช่นเดียวกับการดำเนินชีวิตของเรา หากเรามีความเข้าใจในธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าปัญหาใด ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา จะไม่สามารถบั่นทอนความรู้สึกหรือพละกำลัง ทั้งกายและใจ ของเราไปได้ ความเข้าใจในธรรมชาตินั้น จะสอนให้เราอยู่กับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ทุกข์หนัก ก็จะกลายเป็นเบา และคลายไปในที่สุดความเข้าใจในทุกสรรพสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่เราสามารถแสวงหา เรียนรู้ และฝึกปฎิบัติให้เกิดขึ้น มีขึ้นในตนได้ พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ค้นพบสิ่งเหล่านี้ และได้บอกกล่าวถึงหนทางในการค้นพบ รวมทั้งหนทางในการหลุดพ้น ให้กับพวกเราไว้แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะสนใจ ใส่ใจศึกษา และปฏิบัติตามหรือไม่ เพราะหนทางเดินแห่งชีวิต พระองค์เป็นเพียงผู้ทรงชี้แนะ แต่เรา ผู้เป็นเจ้าของชีวิตของเราเอง คือผู้เลือก เลือกว่าจะเดินไปทางใด ไม่มีใครบังคับเราได้ นอกจากตัวของเราเอง
สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ..ปอป้า
ก็เป็นภาพสะท้อนใจของไทยพุทธทุกๆคนคะ
รักษาสุขภาพ แข็งแรงๆนะคะ
ตะพาบ 43 "ภาพสะท้อนใจ"