|
รายงานสถานการณ์ปัจจุบัน
วันนี้เป็นวันแรกในหลายๆ เดือนที่ฉันกล้าเดินขึ้นตาชั่ง (ตาชั่งนะ ไม่ใช่ขาหยั่ง ทำไมต้องรวบรวมความกล้าด้วย) ครั้งหนึ่งในชีวิต เคยควบคุมพฤติกรรมการบริโภคของตัวเองด้วย diet diary คือกินอะไรก็จดลงไป พร้อมกับค่า แคลลอรี่อย่างคร่าวๆ วันหนึ่งๆ ควรอยู่ระหว่าง 1200- 1500 กิโลแคลลอรี ( ถ้าอยากผอมลงน่ะนะ) ตอนเช้าๆ ก็จะกินไปได้แบบไม่กังวลมาก ตกบ่ายจะเริ่มสยอง เพราะบวกเลขค่าแคลอรีที่กินมาตั่งกะตอนเช้า ตอนนั้นเพื่อนๆ ฝรั่งคิดว่าฉันเป็นโรคเจ้าหญิงได กินแลเวไปล้วงคออ๊อกออก เพราะกลัวอ้วน ถึงขั้นวางแผนกันว่า จะเชิญฉันไปกินข้าว พอกินอิ่มก็จับมัดกะเก้าอี้ ป้องกันไปล้วงคอในห้องน้ำ รอจนอาหารย่อย และดูดซึมเสร็จถึงจะแก้มัด (ไม่รู้ว่ามันคิดได้ไง อัศจรรย์มาก) ไอ้ diet diary ทำอยู่ได้สักพักเลยเลิก เลิกเพราะรู้สึกว่า ทำแล้วประสาทแด๊ก ขืนทำต่อไป ชีวิตนี้ไม่ต้องทำแด็กอะไรกันพอดี จะกินอะไรก็กังวลไปหมด
หลังจากนั้นมาก็หันมาออกกำลังหักโหม ว่ายน้ำ วิ่ง สายพาน เต้นรำซอดแจ้ง ต่อมาก็เลิกหักโหม เพราะมันจะตายเอา และแล้ววันเวลาแห่งความผอมก็ได้มาถึงสมใจ เพราะถูกผู้ชายหักอกดังเป๊าะ โห แม่เจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ กินธรรมดา (แต่แค่เคล้าน้ำตา เท่านั้นเอง) แต่ว่ามันนอนไม่ค่อยจะหลับ ภายในเวลา 2 สัปดาห์ จาก 51 กิโล เหลือ 47.5 นรกมาก แตะเพดานต่ำสุดที่เคยเหี่ยวมาในรอบ 10 ปี ดังนั้น มองหน้าตัวเองในกระจกนึกว่าผีหลอก ทั้งเศร้า ทั้งโทรม นี่แหละ คำคมสเปนเขาว่า 'Donde hay amor, hay dolor' ครือกันกะคำพระท่านว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์" เห็นสัจธรรมแล้วจริงๆ (หญิงใดอยากผอม ให้หาชายสักคนมาย่ำยีหัวใจ เดี๋ยวได้ผอมสมใจแน่ 555)
หลังจากอาการอกหักหายขาดก็หันมาใช้ชีวิตตามปกติ คือกังวลเรื่องงาน แทนเรื่องช้ำรัก แต่พฤติกรรมการกินนี่ ตามใจปากเลยแหละ ปวดกบาลเรื่องแลปก็พอแล้วไม่อยากจะเอาเรื่องน้ำหนักมากังวล ดังนั้น กิน กิน กิน ในหนึ่งวันต้องกินข้าวครบ 3 มื้อ บวกแอปเปิ้ลวันละ 2 ลูก และขนมที่กินกะกาแฟนี่ไม่อั้น มี คุกกี้ 1 ห่อ กินหมดห่อในวันเดียว มีห่อเล็กก็กินหมดห่อเล็ก มีห่อใหญ่ก็กินหมดห่อใหญ่ ที่สิงสถิตย์ทุกๆ บ่ายสามโมง คือ ตู้กดชอคโกแลต เสาร์-อาทิตย์ ทำเค้กกินเอง (ชื่นชมฝีมือตัวเองมาก) ทำอย่างนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว (แต่ว่ายน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง นะ คะ เพื่อความผ่อนคลาย ไม่ใช่ลดน้ำหนัก) ไม่เคยกล้าชั่งน้ำหนักตัวเองเลย รู้สึกแต่ว่า ขากางเกงมันแน่นๆ ป่านนี้คงเข้าพิกัดหมูพะโล้ไปแล้ว
วันนี้รวบรวมความกล้า ลองชั่งน้ำหนักดู ขณะนี้ 51.5 ค่ะ เหอ เหอ เห็นแล้วก็โล่งใจ (กลัวมากว่ามันคงถึง 55 โลแล้ว แต่ก็พยายามปลงแล้วล่ะ อ้วน ล่ำ ดำ เตี้ย ก็ช่างหัวมัน) จะว่าไปแล้วนะ กังวลเรื่องกินมากๆ รู้สึกชีวิตมันตกต่ำอ่ะ เวลาอยู่กับคนที่จะกินอะไรก็แบบว่า "ไม่เอาอ่ะ อ้วน" มันน่ารำคาญ (เพิ่งจะรู้ค่ะ ว่าเมื่อก่อนตัวเองน่ารำคาญเพียงใด) จะกินก็กิน จะไม่กินก็ไม่ต้องกิน ไม่ต้องมาแสดงความกังวลว่า ตัวเองจะอ้วน ต่อหน้าคนที่กำลังจะกิน มันเสียอารมณ์เว๊ย
ความสุขเรียบง่ายใกล้ตัวก็การกินของอร่อยนี่แหละ ดีแค่ไหน ที่ปากยังหากินเองได้ ดีแค่ไหน ที่ลิ้นมันยังรู้รส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ถือว่ามันเป็น พรประทานจากสวรรค์ แล้วกันดังนั้นกินต่อไป
Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549 |
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 17:35:04 น. |
|
1 comments
|
Counter : 805 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนทับแก้ว วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:19:10:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
บ้านเมืองเขาก็ดีนะ เขาภูมิใจและอนุรักษ์วัฒนธรรมของเขาเอาไว้อย่างดี แต่ที่ผมอึดอัดที่สุดก็คือ เขาคุยภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้เลย นับหนึ่งสองสาม หรือแค่คำว่า water ก็คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว
แต่อยู่ไปๆ ก็ค่อยๆ ดีขึ้น เพราะผมเริ่มคิดได้ว่ามันบ้านเขา เราต่างหากที่ต้องหัดพูดภาษาเขา ซึ่งก็ได้ผลนะ เพราะพูดภาษาเขาไปเป็นคำๆ แบบกล้อมแกล้ม เขาจะพยายามคุยกับเราให้รู้เรื่อง มากกว่าที่เราเอาแต่พยายามจะให้เขารู้เรื่องภาษาอังกฤษ
จะทยอยลงเรื่องที่บล็อกนะครับ ใส่รูปแต่ละรูป เล่นเอาเหนื่อยเลยเพราะรอนาน