Kamakura : Wakamiya Oji Street
จากหน้าวัดเราเดินข้ามถนนพร้อมคนมากมาย เพื่อไปยังตัวเมือง Kamakura ตรงหน้าเราคือถนน Wakamiya Oji ส่วนด้านขวาคือถนน Komachi ซึ่งถนนทั้งสองสายนี้จะไปบรรจบกันที่สถานีรถไฟ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ถนน Komachi เป็นถนนคนเดินที่มีร้านค้าขายของอย่างมากมาย
เราเลือกที่จะเดินไปบนถนน Wakamiya Oji ซึ่งถูกสร้างในในปี 1182 ที่ Minamoto no Yorimoto ได้เลือก Kamakura เป็นเมืองหลวงของประเทศ เพื่อเลียนแบบถนน Suzaku Oji ที่เมืองหลวง Kyoto ชื่อของมันแปลว่า Young Prince Avenue เพื่อเป็นการอวยพรให้แก่บุตรชาย Minamoto no Yoriie
แรกสร้างมันมีความกว้างถึง 33 เมตร สองข้างเป็นต้นสน เรียงรายไปด้วยร้านค้า บุคคลสำคัญใช้เดินทางจากที่พักเพื่อไปสักการะศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดของเมือง บนถนนเส้นนี้มีเสาสามต้น ต้นแรกตั้งอยู่ในเมือง Ichi no Torri ต้นที่สองคือNi no Torri และ San no Torri คือต้นสุดท้ายก่อนที่เราจะเข้าสู่ตัวศาลเจ้า
เสาเหล่านี้พังทลายไปหลายครั้ง จนในปี 1934 เสาต้นที่สองและที่สาม ถูกก่อสร้างใหม่ด้วยคอนกรีต มีเพียงเสาต้นที่หนึ่งเท่านั้นที่ยังคงสร้างจากหิน ในสมัย Tokukawa Ietsuna ในช่วงศตวรรษที่ 17
ปัจจุบันแม้สองข้างของถนนจะมีการจราจรที่หนาแน่น แต่ในช่วงเทศกาลดอกซากุระ มันคงเป็นถนนที่งดงาม จนได้รับการยกย่องว่า เป็นถนนที่ดีที่สุด 1 ใน 100 ของประเทศญี่ปุ่น
เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง เราไปเดินในตรอกแคบๆ ซึ่งเชื่อมกับถนน Komachi ในอดีตถนนเส้นนี้คงเต็มไปด้วยบ้านเรือนของผู้มีอำนาจในยุคนั้น แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้า เรียกได้ว่าเป็นถนนสายชอบปิ้งของที่นี่ ตอนนี้เวลาป่ายโมงกว่าแล้ว เราตัดสินเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
วิธีการเลือกก็คือร้านที่มีรูปอาหารหน้าร้านพร้อมราคา ข้อดีของประเทศญี่ปุ่น ก็คือราคาอาหารนั้นขึ้นกับคุณภาพ ไม่ใช่ว่าขึ้นราคาเพราะอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เราสั่งชุดอาหารกลางวันที่มีเทมปุระกุ้งสองตัวและชุดเนื้อบด เซ็ทแรกราคาประมาณ 1800 เซ็ทที่สองประมาณ 1600 เยน
ความอร่อยไม่ต้องพูดถึง อาหารญี่ปุ่นที่ทำโดยพ่อครัวญี่ปุ่น ก็เหมือนกับที่เราดูในซีรี่ย์นั่นล่ะ เป็นกิจการในครอบครัว กลิ่นซุปญี่ปุ่นยังคงหอมติดจมูก ซึ่งยากนักที่ร้านอาหารในเมืองไทยจะทำได้ ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องวัตถุดิบ แต่รู้สึกได้ถึงความใส่ใจและความภาคภูมิใจ
หลังจากพลังงานเต็มกระเพาะอาหาร เราก็เดินออกจากร้าน เดินไปอีกนิดก็ถึง Kamakura Eki แผนการต่อไปก็คือการไปวัดอีก 2 แห่ง คือ Hase-dera และ Kotoku-in ซึ่งมีทางเลือกว่าจะขึ้นรถแมล์หรือนั่งรถไฟไปก็ได้ แน่นอนว่าผมต้องเลือกรถไฟ
ก่อนออกจากโรงแรมตอนเช้า มีรายการข่าวเค้าพาไปเที่ยวเมือง Kamakura ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะตรงกับที่ที่เราจะไปอย่าน่ามหัศจรรย์ มีทั้งร้านขายเค้กที่มองเห็นรถไฟวิ่งผ่าน ปลาข้าวสารตัวเล็กๆ ที่เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อ ขบวนรถไฟที่วิ่งเลียบจนมองเห็นชายหาด หรือแม้กระทั่งการไปนั่งพิซซ่ามองพระอาทิตย์ตกเย็นที่เกาะ Enoshima
เรากำลังจะได้สัมผัสกับรถไฟสายประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี
Create Date : 29 สิงหาคม 2554 |
|
2 comments |
Last Update : 31 สิงหาคม 2554 16:18:06 น. |
Counter : 2042 Pageviews. |
|
|