::ความรัก น้ำตาและความไร้เหตุผล::
ฉันขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่ที่คุ้นเคย ดูดซับความอบอุ่นจากผ้าหนา ๆ สองชั้นที่ตากแดดตอนกลางวันมาทั้งวัน เหมือนจะพอให้ความหนาวเหน็บที่สะท้อนมาจากเครื่องปรับอากาศผ่อนคลายตัวลงได้บ้าง แต่ผ้าห่มสีฟ้าผืนหนากับกลิ่นกรุ่น ๆ ของตัวเองกลับทำหน้าที่ได้เพียงให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและผิวหนัง หาได้ทำหน้าที่อุ่น 'หัวใจ' ที่เหมือนจะหนาวเหน็บกว่าอุณหภูมิภายนอกให้อบอุ่นขึ้นได้เลยไม่ ทั้งยังมีน้ำตาหยดเล็ก ๆ ไหลรินเป็นทางจาง ๆ ที่ผ้าห่มผืนหนาไม่สามารถซับให้มันเหือดแห้งลงได้
ช่วงเวลาเช้าวันอาทิตย์ที่พระอาทิตย์ทอแสงแรงกล้าตามชื่อ ฉันมีนัดกับเด็กและครูอาสากลุ่มหนึ่งในย่านชุมชนราชพัสดุ แถวศรีย่าน วันอาทิตย์เวลาดี ๆ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ฉันใส่เสื้อสีชมพูสดใส แต่งตัวธรรมดา ๆ สะพายกระเป๋าใบเก่ง ออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมงเช้า รู้สึกพระอาทิตย์ยิ้มแย้มทักทายฉัน ลมเย็นพัดมาทักทายให้เย็นใจ ดูเหมือนว่าธรรมชาติรอบข้างจะเป็นใจและสวยสดใสกว่าทุกวัน
........
เป็นเวลาหลายปี มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกขานตัวเองว่า "ครูอาสากลางกรุง" รวมตัวกันและทำภารกิจตามชื่อ คือ สอนหนังสือในชุมชมใจกลางเมือง ให้แก่เด็กในชุมชนแออัดที่มีความสุ่มเสี่ยงในการก่อปัญหาสังคม ทั้งครูอาสาก็ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเด็กน้อยในชุมชนก็เอาเวลาว่างมาทำให้มีคุณค่าด้วยเช่นกัน
..........
.....................
เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเพลงผ่านลำโพงดังมาอย่างเบาที่สุดแทบจะไม่ได้ยินเนื้อหา มีแต่ทำนองเพลงช้า ๆ ที่ขับกล่อมให้ราตรีอันยาวนานและมืดมิดนี้ผ่านพ้นไปได้อย่างยากลำบากน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนที่เคยเป็นมาเช่นทุกคืน
ฉันพลิกตัวไปมาท่ามกลางความมืด แสงจากระเบียงทะลุม่านเห็นเป็นเงาสลัว ๆ ถึงกระนั้นก็ไม่อาจชัดเจนพอจะมองเห็นความเศร้าซึมและสับสนเคว้งคว้างที่กำลังลอยตัวและวนเวียนหลอกหลอนอยู่รอบตัวฉันขณะนี้ได้เลย แต่หากจะให้เอื้อมมือไปแตะโคมไฟเพื่อไล่สิ่งเหล่านั้นให้หนีหาย ฉันก็กลัวเกินไปว่าความสว่างจะทำให้เห็นชัดเจนเกินไป...ว่าฉันอยู่คนเดียว
ฉันเดินเข้าไปในบริเวณบ้านพักของคนในชุมชน ที่แบ่งเนื้อที่ส่วนหนึ่งพร้อมโต๊ะเก้าอี้และร่มผ้าใบ มาเป็นที่สอนหนังสือสำหรับครูอาสา ทักทาย "ครูจิ๊บ" ครูใหญ่ของโรงเรียน และเด็ก ๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างร่าเริงเมื่อเห็นครูอาสาที่คุ้นหน้าคุ้นตา พร้อมกับหยิบป้ายชื่อที่เขียนว่า "ครูปอย" มาห้อยไว้ที่คอ พร้อมจะทำหน้าที่ครูอาสา ให้ความรู้และความเฮฮากับเด็กกลุ่มหนึ่งตรงนี้
ช่วงเวลา 9 โมงเช้าถึงเที่ยงตรงที่มี เราจะแบ่งเป็นสามวิชา สองวิชาจะเน้นวิชาการ ส่วนวิชาสุดท้าย ปล่อยให้เป็นศิลปะหรือดนตรีตามอัธยาศัย โดยวันนี้เราตกลงกันว่า จะสอนภาษาไทยวิชาแรก ชั่วโมงที่สองคณิตศาสตร์และดนตรีเข้าจังหวะเป็นวิชาสุดท้าย...

..........
.....................
จะมีความจริงอะไรที่โหดร้ายมากไปกว่านี้อีกหรือไม่...ฉันไม่รู้ แต่ฉันยังไม่เจอเท่านั้นเอง ที่เจอ ที่รู้ ที่เห็น ที่สัมผัสมันคือความรู้สึกที่เปล่าเปลี่ยวอย่างยากจะกลืนกลั้นก้อนสะอื้นให้ลงไปในคอได้ มันคือความโดดเดี่ยวเดียวดายและเหงาจับใจจนเหมือนว่าดำรงชีวิตไปอย่างไร้จุดหมายและไม่มีค่าเพื่อใครสักคน
วิชาภาษาไทย ครูจิ๊บหยิบเอาเกมส์ 'hangman' หรือเกมส์แขวนคอ มาผสมเข้ากับสุภาษิตคำพังเพย แบ่งกลุ่มเด็กออกเป็นสองกลุ่ม ผลัดกันทายคำและให้คะแนน ซึ่งดูจะเป็นที่โปรดปรานสำหรับเด็ก และก็ให้ความรู้ไปพร้อมกัน .... วิชาคณิตศาสตร์ ครูหมอให้เด็กพับกระดาษเป็นรูปทรงเลขาคณิต สอดแทรกความรู้พร้อมอุปกรณ์ประกอบการเรียนที่จับต้องได้ เด็ก ๆ สนุกสนานกับการตัดกระดาษและลุ้นว่ารูปทรงในมือ จะพับออกมาเป็นรูปอะไร
ฉันเองก็พลอยอารมณ์ดีแจ่มใสร่าเริงเมื่อเห็นรอยยิ้มเด็ก ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเด็ก ๆ และรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้น

.....................
กี่คืนกี่วันแล้วก็ไม่รู้ ที่ฉันใช้ชีวิตยามค่ำคืนให้หมดไป แล้วรอเวลาฟ้าสางอรุณรุ่งเพื่อจะได้เข้านอนยามแสงอาทิตย์ส่องหน้าต่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีเสียงนกน้อยออกหากิน เสียงรถราขับเคลื่อน เสียงผู้คนพูดคุยจอแจ ดีกว่าเสียงเบา ๆ ของท่วงทำนองเพลงเดิมและเสียงเงียบ ๆ ของหยดน้ำตาอย่างหลายคืนที่ผ่านมาที่ฉันต้องจำใจผ่านมันไปให้ได้อย่างยากเย็น และตื่นขึ้นมาพร้อมกับคราบน้ำตาเปื้อนแก้มและลมหายใจขัด ๆ เพราะสะอื้นหนักในคอกับเศษกองทิชชู่มหาศาล เหมือนจะเตือนให้รู้ว่าสงครามอันโหดร้ายที่ฉันต้องต่อสู้...ฉันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แล้วในยามฟ้ามืดลงอีกครั้งใด ฉันก็เป็นอันต้องขดตัวหลบภัยจากสิ่งลี้ลับที่คอยคุกคามอารมณ์ให้รวนแร
เด็กชายอ้น...เด็กป.6 ตัวแสบที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของผองเพื่อน ตะโกนเรียกชื่อฉัน "ครูปอย ๆ ๆ" ฉันหันไปดุ "พูดกับผู้ใหญ่มีหางเสียงด้วยสิคะ" น้องอ้นยังยิ้มร่าไม่สะทกสะเทือนกับคำเตือนของฉัน "ครูปอยคร้าบบ..." เจ้าตัวแสบจงใจลากหางเสียงให้ยาวเป็นการเน้ย้ำ "อยากเรียนดนตรีแล้วคร้าบบบ..." ฉันยิ้มรับแววตาล้อเลียนกลับ "ก็ตั้งใจเรียนเลขกับครูหมอก่อนสิคะ เดี๋ยวจะให้เคาะขวดแบบที่ชอบนะ"
ฉันพูดจบ เด็กชายตัวเล็กก็วิ่งปร๋อไปนั่งที่เดิมและตั้งใจเรียนจริงจังกับปริซิมฐานสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ วันนี้ฉันรับหน้าที่สอนดนตรี โดยหาวัสดุใกล้ตัว เช่น ขวด กล่อง กระป๋องเปล่ามาทำให้เข้าจังหวะเพลง

.....................
คืนนี้ก็คงเป็นอีกคืน ที่หยดน้ำตาไหลเป็นทางอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง สัมผัสได้แต่เพียงความเศร้าและความหม่นหมองที่มาคอยประคองหยดน้ำตาฉันเอาไว้เสมอ แม้จะตระหนักรู้ดีว่าพรุ่งนี้เช้ายามแสงสาดทาบทาลงมา เหล่าบรรดาเรื่องร้าย ๆ มันจะหายไป แต่กลางดึกที่มองไม่เห็นอะไรและไม่รู้ว่าจะเช้าเมื่อไหร่ กลับเหงาลึกอย่างไม่รู้จะผ่านคืนเหงายาวนานนี้ไปได้อย่างไร คิดกลัวไปว่า...หรืออาจจะไม่มีตะวันขึ้นให้ได้เห็นอีกแล้วก็ได้
คำว่า "ทำเพื่อสังคม" กลายเป็นคำหรูหรา คนทำงานเพื่อสังคมได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชน และมวลชนจริง ๆ ทำให้คนหมู่มาก หันมาสนใจกับการทำเพื่อสังคมมากขึ้น อาสาสมัครที่ทำงานเพื่อสังคมก็มากขึ้นตามลำดับกระแสนิยม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม น้อยคนนักที่จะเอาจริงเอาจังกับงานอาสาสมัครและคิดจะแก้ไขปัญหาสังคมจริง ๆ น้อยคนนักที่จะตระหนักได้ว่า...การทำเพื่อสังคมในสาระสำคัญ คืออะไร .... สำหรับฉัน...การทำงานอาสาสมัคร ฉันเองไม่ได้วิเคราะห์ถึงปัญหาของสังคม แต่งานอาสาฯ ทำให้ฉันเห็นปัญหาคนอื่น รับรู้ความเป็นไปของโลกและสังคมมนุษย์อย่างเปิดกว้าง และทำให้มองเห็นตัวเองตัวเล็กลง เห็นปัญหาตัวเองเป็นเรื่องขี้ผง ใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิตมากขึ้น น้ำตาที่เคยร้องไห้ให้ตัวเองก็เริ่มไร้เหตุผลไปด้วย ฉันมีกำลังใจจะอยู่เพื่อคนอื่น และทำเพื่อคนอื่นในวันต่อไป

.....................
ฉันหลับตาลงอย่างฝืนฝืดที่สุดและปล่อยน้ำตาหยดที่ค้างอยู่ขอบตาให้หล่นไปตามทางแก้ม จะเหลือติดก็อยู่เพียงขนตาชุ่มเปียกและหมอนนุ่ม ๆ รองหัวทุกค่ำคืน อยากให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเหงา ๆ ตื่นมาตอนเช้าแล้วพบว่าฉันเพียงละเมอเพ้อพก อยากให้มันเป็นเพียงภาพมายาที่หลอกฉันว่าฉันโดดเดี่ยวและคิดไปเอง หรือแม้แต่บางที ก็อยากจะให้โลกนี้มีแต่เพียงกลางคืน เพียงเพื่อฉันจะได้ไม่ต้องตื่นมาใช้ชีวิตวนเวียนอย่างนี้อีกต่อไป.....
เวลาเที่ยงตรง...หลังจากเคาะจังหวะประกอบเพลงอย่างสนุกสนานจบลง เด็ก ๆ และครูต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน พระอาทิตย์สาดแสงร้อนแรงขึ้นตามเวลา แต่กระนั้นก็ยังมีลมพัดมาให้เย็นใจ และรอยยิ้มบนหน้าก็ยังไม่จางหายไป ฉันว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การอยู่บนโลกอย่างนับถือตัวเองและเจือจานผู้อื่นร่วมกันไป เพราะมันทำให้การดำรงอยู่เป็นไปอย่างมีคุณค่า และอยากตื่นลืมตาขึ้นมาเพื่ออะไรสักอย่าง
....
ฉันหยิบป้ายชื่อ "ครูปอย" ที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนคอขึ้นมาพลิกดู บรรจงถอดออกจากคอและเก็บเข้ากระเป๋าใบเก่งเป็นอย่างดี รอวันอาทิตย์ถัดไปอีกครั้ง ที่ป้ายชื่อป้ายนี้จะได้ทำหน้าที่บอกชื่อ...และฉัน จะได้ทำหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่าง 'เพื่อสังคม' เพื่อ 'ความรัก' ในเพื่อนมนุษย์ที่ฉันเห็นคุณค่าตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เป็นความรักที่ฉันนิยามให้ใหม่เดี๋ยวนี้เองว่า
เป็นความรักที่ไม่เคยต้องเสียน้ำตา แม้ความรักที่ว่า จะเป็นความรักที่ไม่มีเหตุผลก็ตาม...
*หมายเหตุ : ขอบคุณภาพประกอบจากครูจิ๊บค่ะ
ย้อนอ่าน ::ถนนสายนี้...มีมิตรภาพ:: และ ::ครั้งแรก...หนังสือเปลี่ยนชีวิต:: ::แฟนฉัน...กับรักครั้งแรก:: ::ของขวัญ...ชิ้นแรก:: ::จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไป...มีความลับ(อะไร)จะบอก:: ::โตขึ้น หนูอยากเป็น...:: ::เขาหนึ่งคน...บนเส้นคั่นเวลา:: ::ฤดู(นั้น)...ที่ฉันรัก:: คลิกได้ค่ะ
ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางเส้นทางสายมิตรภาพเส้นนี้ด้วยกันทุกคนนะคะ สำหรับถนนเส้นต่อไป จะมาในหัวข้อว่า "หลอน" ค่ะ
หากสนใจร่วมถนนสายมิตรภาพโรยตัวอักษรเส้นต่อไปกับพวกเรา ทำตามกติกาง่าย ๆ เหมือนเคย ดังนี้ค่ะ -ลงชื่อบอกกล่าวกันไว้ -เขียนเรื่องอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ และอัพบลอคในหมวดงานเขียน/บทประพันธ์ -อัพบลอคในวันจันทร์ที่ 6 กรกฏาคมนี้ เวลาใดก็ได้ -เมื่ออัพบลอคแล้ว กรุณามาแจ้งอีกครั้งในบลอคของคนใดคนหนึ่ง และเราจะทำการรวบรวมลิงค์อีกทีค่ะ
รายชื่อผู้เข้าร่วมโครงการ ::BeCoffee:: ::nikanda:: ::กะว่าก๋า:: ::แพนด้ามหาภัย:: ::ภาวันต์:: ::Paulo:: ::inmemoir:: ::Sweety PB:: ::ปลาทองแก้มยุ้ย:: ::Unravel:: ::แมงโกซิดเด:: ::บุยบุย::
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ หวังว่าจะได้ร่วมเดินทาง ในถนนสายมิตรภาพโรยตัวอักษรนี้ด้วยกันนะคะ
Create Date : 22 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 10:08:35 น. |
|
57 comments
|
Counter : 1661 Pageviews. |
 |
|
อ่านแล้วรู้สึกสุขใจจังเลยค่ะ