Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
โดน tag เข้าแล้วสิเรา

จริงๆ มี่เคยเล่นแบบนี้มาตั้งแต่ปีก่อนโน้นอ่ะค่ะ แต่มันเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ เพื่อนๆ ที่เล่นเว็บบอร์ดหนึ่งด้วยกันเริ่ม tag กระจายกันมาก่อน เรื่องราวที่เล่าไปตอนนั้นจะเอามาเล่าต่อก็คงไม่เหมาะ อิอิ เก็บมันไว้เป็นความลับในโซนโน้นดีกว่า นึกๆ หาความลับอีก 5 ข้อที่จะมาเปิดเผยให้เพื่อนๆ ได้รู้กันใหม่ก็แล้วกัน

ตอนแรกก็ไม่รู้จะเขียนอะไร แต่พอเขียนไปเขียนมาแต่ละเรื่องยาวๆ ทั้งนั้นเลย จะมีใครทนอ่านเรื่องของมี่บ้างไม๊เนี่ย หุหุ จะค่อยๆ ทยอยอ่านไปหลายๆ วันก็ได้นะคะ

ใครถูกมี่ tag ต่อบ้าง ลงไปดู ล่างสุดเลยเน้อ

*************************
เรื่องที่ 1: เสียวนาว้อยยยย

เรื่องมันมีอยู่ว่า .. เมื่อเดือนเมษายนปี 2004 มี่ไปสิงคโปร์กับพี่ที่สนิทกันคนหนึ่ง ตั้งใจจะไปเยี่ยมเพื่อนๆ ชาวสิงคโปร์แฟนคลับเอฟโฟร์ที่รู้จักกันทางเว็บ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่จะได้เจอกันแบบตัวเป็นๆ เป็นที่รู้กันดีในหมู่คนชอบเอฟโฟร์ว่าเสี้ยวเทียนหรือนายเคน หนึ่งในสมาชิกเอฟโฟร์น่ะเค้าเติบโตในประเทศสิงคโปร์ เพื่อนๆ ก็เลยพามี่ตะลอนๆ ไปเยี่ยมเยียนสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวกับเค้าและอีก 3 หนุ่ม ทั้งร้านอาหารที่เค้าชอบไปทาน โรงแรมที่เค้าเคยพัก ย่านที่พักอาศัยที่เค้าและครอบครัวเคยอยู่ และสถานที่ถ่ายทำรายการพิเศษ ABCDEF4 บนห้างพลาซ่าสิงปุระ

ที่นี่แหล่ะค่ะที่เหตุการณ์สำคัญมันเกิดขึ้น สถานที่ถ่ายทำรายการนี้จะเป็นลักษณะร้านอาหารหรู ตกแต่งด้วย Snoopy และผองเพื่อน เป็นเหมือนร้านอาหารการ์ตูนอะไรทำนองนั้น เราสั่งอาหารทานกันไป คุยกันไปอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาทานของหวาน เพื่อนของมี่คนหนึ่งก็บอกกับพนักงานเสิร์ฟว่า "ขอดูอัลบั้มรวมรูปภาพดาราที่มาทานที่ร้านหน่อยสิ เอาเล่มที่มีรูปเคนเอฟโฟร์นะ" พนักงานก็ไปหยิบอัลบั้มรูปนั้นมา เพื่อนก็เปิดหน้าที่มีรูปเคนให้มี่ดู มี่ก็กรี๊ดแตกเลยสิคะ เป็นรูปโพลารอยด์พร้อมลายเซ็นต์ของเค้าค่ะ โห..มี่ยังไม่เคยได้ลายเซ็นต์เค้าเลยนะ (ตอนนั้น) แบบว่าตื่นเต้นมาก ก็หยิบกล้องถ่ายรูปมาพยายามจะถ่ายรูปนั้นเก็บไว้ แต่ปรากฎว่าถ่ายเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แสงแฟลชสะท้อนกับแผ่นพลาสติกที่กันไว้ (อัลบั้มกาวอ่ะค่ะ) เลยเลิกถ่าย

พอเช็คบิลเสร็จพนักงานก็หยิบอัลบั้มรูปไปวางไว้ตรงโต๊ะแคชเชียร์หน้าร้าน เราเดินตามไปค่ะ แล้วเพื่อนคนเดิมก็บอกกับแคชเชียร์ว่าขอถ่ายรูปรูปในนั้นหน่อยนะ แล้วก็หยิบอัลบั้มมา มี่ก็บอกเค้าว่ามันถ่ายไม่ได้อ่ะ เค้าก็ทำเสียงชู่วววว์ มี่ก็เลยเงียบ เค้าบอกให้เพื่อนอีกคนตั้งกล้องทำท่าถ่ายรูปแล้วก็พูดเสียงดังให้แคชเชียร์ได้ยินว่าถ่ายไม่ได้เลยแฟลชสะท้อน แล้วเค้าก็เปิดพลาสติกออก มี่เข้าใจว่าเพื่อจะไม่ให้แฟลชสะท้อนกลับ แต่ปรากฎว่าเพื่อนมี่ดึงรูปออกจากอัลบัมค่ะ พระเจ้า!! แล้ว she ก็ใช้ขาเตะเพื่อนอีกคนให้เปิดถุงของที่ถืออยู่แล้วหย่อนรูปลงในถุง วางอัลบั้มรูปไว้ที่เดิมแล้วก็เดินออกมาช้าๆ เป็นปกติ พอออกจากร้านมาได้ซัก 3 เมตรก็ลากกันวิ่งลงบันไดเลื่อนไปข้างล่างทีละชั้น จนออกมานอกห้าง มี่ได้แต่ร้อง "oh my god, oh my god" เพื่อนๆ หัวเราะกันใหญ่

แล้วเพื่อนคนนั้นเค้าก็หยิบรูปออกจากถุงมาส่งให้มี่ บอกว่าเป็นของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกของเรา มี่อึ้งค่ะ ไม่กล้ารับ (รับของโจรนิ สิงคโปร์ด้วยนา) เพื่อนก็บอกว่าเธอชอบเค้ามากนินา รับไปเถอะ รูปนี้มีใบเดียวในโลกนะ มี่รับมายิ้มแก้มแทบแตกแน่ะค่ะ เป็นประสบการณ์ที่มี่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย ตอนที่เพื่อนหยิบรูปใส่ลงถุงเพื่อนอีกคน มี่กับพี่ที่ไปด้วยกันได้แต่มองหน้ากัน มันเสียวมากๆ เลยนะคะตอนนั้น กลัวถูกจับได้แล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากมี่กลับเมืองไทยมาได้เดือนกว่าๆ เพื่อนก็บอกว่าร้านนั้นปิดบริการไปแล้ว คาดว่าคงขาดทุน เพื่อนบอกว่าโชคดีนะที่เราเอารูปนั้นมาก่อน ไม่งั้นเสียดายแย่

เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดที่มีคนอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ กลุ่มเพื่อนที่ไปด้วยกัน กับพี่คนนั้น ป่าป๊ากับหม่าม๊า เพื่อนสนิทกลุ่มเอฟโฟร์อีก 5-6 คน แต่ตอนนี้... ใครได้เข้ามาอ่านคงรู้ความลับนี้กันหมดแล้ว หุหุ

*************************
เรื่องที่ 2: จะไม่ทำอีกแล้ว

ความลับที่ 2 ก็ยังคงเกี่ยวเนื่องกับพ่อเทวดายาใจของมี่ อิอิ แต่เรื่องนี้เป็นการกระทำที่ไม่ดี ผู้ปกครองควรพิจารณาและให้คำชี้แนะนะคะ เรื่องมันเกิดที่ฮ่องกงค่ะ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2005 มี่กับเพื่อนสนิทศิษย์สำนักเอฟซื่ออีก 2 คนไปเที่ยวฮ่องกงกันค่ะ ก็สนุกสนานกับการเดินทางเที่ยวเล่น ช็อปปิ้งไม่ค่อยได้ของเท่าไหร่เพราะมันเป็นช่วงหน้าหนาวเค้าเซลล์กันแต่เสื้อแขนยาว เสื้อกันหนาว ซื้อมาเมืองไทยคงได้แค่เก็บไว้ดูต่างหน้าว่าข้าเคยไปฮ่องกง ว่าแล้วก็อย่าฉกมาเลยให้คนที่เค้าจะได้ใช้ซื้อกันต่อไปเต๊อะ

ทริปนี้ยังคงเกี่ยวเนื่องกับการตามล่าแกะรอย 4 หนุ่ม จำได้ว่าออเดอร์จากเพื่อนๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่มี 4 คนนี้อยู่ด้วย เช่น เสื้อผ้ายี่ห้อ S&K ที่พวกเค้าเป็นพรีเซนเตอร์ ซื้อกันมาสุมๆ กองๆ ไว้ ใส่ก็ไม่กล้าใส่ กลัวจะเก่า ใครจะใส่ก็ต้องซื้อลายเดียวกัน แบบเดียวกันไว้ 2 ตัว นิยมสุดๆ ด้วยการใช้เป็นเสื้อใส่นอนด้วยมีความเชื่อว่าเทวดาทั้ง 4 อาจจะมาเข้าฝัน เหอะๆ นอกจากเสื้อผ้าแล้ว บรรดาซีดี ดีวีดี รูปภาพ โปสเตอร์ ของสะสมต่างๆ อีกมากมายก็เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครในสำนักเราเมื่อได้ไปฮ่องกงต้องขนกลับมา ผลิตภัณฑ์น้ำดำยี่ห้อหนึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้ S&K ทั้งแบบกระป๋อง ขวด 500ml หรือแม้กระทั่งขวดลิตร บ่มียั่น ขนกันมาจนกระเป๋าเสื้อผ้าหนักอึ้งน้ำหนักเกินหลายกิโลอยู่ โชคดีที่เจ้าหน้าเค้าอะลุ้มอล่วยให้ มิเช่นนั้นอาจจะต้องเสียเงินค่าน้ำหนักเกินอีกตะหาก

เหตุการณ์ดำเนินไปราบรื่นปกติเช่นทุกวัน จนกระทั่งถึงวันที่เราทั้ง 3 จะไปเยือน Peak Tower อากาศในวันนั้นช่างสดใส ท้องฟ้าโปร่ง ลมหนาวพัดให้ได้รู้สึกเย็น แอบคิดไปเองว่าอยู่กันไม่กี่วันเราขาวขึ้นแฮะ อิอิ ขึ้นไปถึง The Peak อากาศหนาวได้ใจ คนเยอะแยะเดินกันขวักไขว่กว่าจะหาจุดถ่ายรูปกันได้ก็แทบแย่ ระหว่างทางจะกลับลงมาเราก็ผ่านร้านร้านหนึ่ง สายตาแว๊บแรกที่มองไปมี่เห็นเจ้าคิตตี้น้อย 2 ตัววางอยู่บนชั้น ขาทั้งสองทำตามคำเรียกร้องของหัวใจทันที คิตตี้จ้ามี่มาแว๊วววว สองมือคว้าหมับถามไถ่ราคาจากคนขาย ได้ความว่าตัวละ 15 เหรียญ ก็ประมาณ 80 บาท เพื่อนแอบตีแขน "แกจะบ้าป่าว ตุ๊กตาตัวแค่ 2 นิ้ว สองตัว 160 บาทเนี่ยนะ ใจมี่แอบคิดมานแพงที่ไหนกันเล่า นี่น่ะคิตตี้พี่สาวสุดที่รักของมี่นะ จะปล่อยให้ยืนหนาวอยู่บน Peak Tower ได้ไง ต้องพากลับบ้าน มี่ค้อนเพื่อนไป 1 ที

เพื่อนอีกคนรีบสะกิด เฮ้ย.. ดูจิ มีดารามาทำเรซินรูปมือตัวเองที่ร้านนี้แยะเลยนะ มองๆ รูปที่เจ้าของร้านแปะไว้บนเสาด้านหน้าเรา ไล่ไปทางขวาก็ไม่รู้จักใครซักเท่าไหร่ ยกเว้นเจย์ โจวเจี๋ยหลุน หุหุ หันกลับมาทางซ้ายริมสุด กรี๊ดดดดดดดดดดด มี่แทบจะปล่อยพี่สาวตกจากมือลงในหม้อเรซินตรงหน้า คุณสามีกับพี่เจิ้นและพี่แวน รูปนี้มันเมื่อไหร่หว่า.. น่าจะหลายปีอยู่นะ สามียังหน้าละอ่อนอยู่เลย หุหุ มี่หันมองหน้าเพื่อนทางขวามือ ส่งสายตาเหมือนจะถามว่า "เอาไงดี" เพื่อนส่งสัญญาณตอบกลับมา "ชั้นจัดให้" ว่าแล้วมี่กับเพื่อนอีกคนก็ทำเป็นชวนเจ้าของร้านคุย พอดีเค้าก็มีลูกค้าอีก 2-3 คนอยู่ด้วย เลยวุ่นวายกันนิดหน่อย ระหว่างชุลมุนเพื่อนมี่คนนั้นก็จัดการดึงรูปออกมา ไม่ง่ายเลย เค้าแปะกาวสองหน้าไว้ซะแน่นเชียว เพื่อนมี่ดึงซะรูปงอ เหอเหอ แต่ก็ได้มา ว่าแล้วมี่ก็จ่ายตังค์ค่าคิตตี้สองตัว 30 เหรียญ แล้วเดินจากมา เพื่อนคนที่บอกว่าตุ๊กตา 2 ตัว 30 เหรียญหัวเราะชอบใจบอกว่าคุ้ม

แหะแหะ สรุปว่าไปสิงคโปร์ก็ไปเอาของเค้ามา ไปฮ่องกงก็ไปเอาของเค้ามา คิดๆ แล้วยังละอายใจไม่หาย สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วนะ ไม่ว่าจะเจอสิ่งของล่อตาล่อใจแค่ไหนก็ตาม กลัวบาปกรรมอ่ะค่ะ เดี๋ยวเราจะเสียของรักของเราบ้าง แต่คิดอีกที.. ของสองอย่างนี้อาจจะเป็นของมี่มาแต่ชาติปางก่อนก็ได้เนอะ ก็เลยได้คืน (คิดไปด้ายยยยย)

*************************
เรื่องที่ 3: ครูขาหนูปล่าวววว

เรื่องนี้น่าอายแต่สนุกสุดๆ ตอนที่เรียนจบ ม.3 ทางเดินชีวิตของมี่ก็หันเหเบนออกจากเส้นที่ป่าป๊าขีดเอาไว้ให้ มี่เลือกที่จะเรียนต่อสายอาชีพแทนที่จะต่อ ม. 4-5-6 อย่างน้องชาย (มี่กับน้องชายคนรองเรียนชั้นเดียวกันอ่ะค่ะ) มี่ปรึกษาน้าสาวแล้วตัดสินใจเลือกสอบเข้าโรงเรียนบพิตรพิมุข จักรวรรดิ เพราะเห็นว่ามีชื่อเสียงทางด้านวิชาภาษาจีน ตอนนั้นคิดง่ายๆ ค่ะว่าถ้าป๊ากับม๊าส่งให้เรียนไม่ไหว จบ ปวช. ก็ยังหางานทำได้ พอตอนสอบเข้ามี่ก็ดันเลือกเอกภาษาญี่ปุ่น ตอนเด็กๆ มี่จะรู้สึกว่าประเทศญี่ปุ่นน่าอยู่ ภาษาญี่ปุ่นเสียงน่ารัก คนญี่ปุ่นก็น่ารัก อิอิ

พอวันปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ มี่ก็ได้รู้จักเพื่อนๆ ที่จะต้องเรียนห้องเดียวกัน มีอยู่ 5 คนที่รู้สึกถูกชะตากันมาก พอวันเปิดเรียน 3 มิถุนายน 2534 เราก็ได้นั่งใกล้ๆ กันอีก เราก็เลยกลายเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรียนๆ ไปได้ซักพักเราก็เริ่มรู้ว่าที่โรงเรียนจะมีการตั้งเป็นกลุ่มเป็นแกงค์กัน มันเหมือนกับว่าเพื่อสร้างบารมี ความเท่ห์ อะไรอย่างนั้นเลย แก๊งค์เราก็เลยคิดหาชื่อกลุ่มบ้าง ที่มาที่ไปของชื่อกลุ่มมี่จำไม่ได้ค่ะ แต่ผลสรุปออกมาว่าเราได้ชื่อแก๊งค์ว่า "กระปุกถั่ว" สัญลักษณ์คือขวดโหลแก้วใบเล็กๆ ที่มีเม็ดถั่วเขียว 6 เม็ดอยู่ในขวด

ในโรงเรียนเราจะมีแก๊งค์หนึ่งซึ่งดังมากเป็นของรุ่นพี่ ปวช. 3 รอบบ่าย ชื่อแก๊งว่า "เกาเหลา" พี่ๆ กลุ่มนี้จะมีความสามารถเฉพาะตัวในด้านการเรียน คือ โดดเรียนประจำแต่ทำข้อสอบได้เอทุกที แล้วน้าระหัสของมี่ก็เป็นหนึ่งหัวโจกในแก๊งค์ น้าระหัสของมี่ไม่ธรรมดานะคะ เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งโรงเรียนเลยทีเดียว หน้าตาเฮียแกจะแบบอิงค์ อชิตะ+โจ นูโว งั้นเลย อิอิ มี่ล่ะปลื๊ม... ปลื้มมีน้าระหัสหล่อๆ เนี่ย แต่ขอโทษตรูปรึกษาเรื่องเรียนมะเคยได้เรย ให้ตายสิ T__T"

หลังจากเราได้รู้จักหนิดหนมกับพี่ๆ แก๊งค์เกาเหลา ไม่นานชื่ออย่างเป็นทางการของแก๊งกระปุกถั่วจึงได้ถือบัญญัติขึ้น "กระปุกถั่ว โตงาราชิ จอ-ปอ-ตอ-เอ-ออ น้องสุดท้อง" แหะแหะ อย่าถามความหมายคำว่าโตงาราชินะคะ จำไม่ได้แล้วล่ะ พริกขี้หนูมั้งถ้าไม่พลาด ส่วน จอ-ปอ-ตอ-เอ-ออ ก็เป็นตัวอักษรย่อของกิ๊กเรา 6 คน น้องสุดท้องก็หมายถึงเป็นน้องสุดท้องและท้ายสุดของแก๊งค์เกาเหลานั่นเอง

กระปุกถั่วน่ะไม่ธรรมดานะ ใครๆ ในโรงเรียนต่างก็รู้จัก แต่ออกจะดังในแง่ลบซะมากกว่า เช่น โดดเรียนยกแก๊งค์ อยู่รอบเช้าแต่กลับบ้านมืดเหมือนเรียนรอบดึก ชอบกินเกี๊ยวทอดไม่ใส่ไส้หมู เป็นต้น แต่ถึงจะดังขนาดนั้นเราก็ยังทำตัวได้น่ารักจนอาจารย์ทุกท่านต่างก็ต้องปรบมือให้ มี่อ่ะได้เป็นนักเรียนตัวอย่างในด้านการแต่งตัวเลยนะคะ หุหุ อาจารย์ไม่รู้อะไรซะแล้ว ตอนเรียนปริญญาตรี (เอ่อ.. มี่เรียนที่นั่น 7 ปีอ่ะค่ะ ปวช. ปวส. แล้วก็ ป.ตรี) ปกติเราต้องใส่รองเท้าคัชชูหนังสีดำไปเรียนใช่ไม๊คะ มี่ใส่รองเท้าส้นตึกสีขาวไปเรียนอ่ะค่ะ (ตอนนั้นกะลังฮิต) กระเป๋าให้ใช้สีดำ อ้ายมี่สะพายเป้สีแดง แง๊วววว ทรงผมต้องเรียบร้อยผมยาวรวบหางม้าผูกโบว์ อ้ายมี่ผูกแกละ 2 ข้างไปเรียน ชาวบ้านเค้าเลียนแบบโดนหักคะแนนกันเป็นแถว แต่อ้ายมี่ไม่โดน เหอเหอ

เลยเถิดไปไกล กลับมาที่เรื่องราวที่ 3 กันดีกว่าค่ะ เหตุเกิดตอนเรียนอยู่ ปวช. ปี 1 หรือ 2 ไม่แน่ใจ แต่ด้วยความซ่าส์ของแก๊งค์ วันหนึ่งหลังเลิกเรียนประมาณบ่ายกว่าๆ เราก็นั่งสามล้อไปที่ริเวอร์ซิตี้ตรงท่าเรือสี่พระยา บนนั้นจะมีร้านอาหารร้านหนึ่งที่เรามักจะไปกันเป็นประจำ จำได้เลยวันนั้นใส่ชุดพละ เสื้อสีเขียว กระโปรงนักเรียนนี่แหล่ะ พ่วงเขยกระปุกฯ ไป 1 หน่อ (แฟนคนในกลุ่มอ่ะค่ะ เราเรียกกันว่าเขยกระปุกฯ) อารมณ์ไหนมิทราบได้ ทะลึ่งสั่งสปายไวน์มาดื่มกัน กับแกล้มมีอยู่ 2 อย่างเองมั้ง ดื่มกันไปแค่ 3 หรือ 4 ขวด เพื่อนๆ ก็เริ่มเมา เราก็เลยคิดว่าจะกลับกัน (มี่อ่ะป่าป๊าสอนไว้ ดื่มได้ไม่เมาค่ะ) พอออกมาข้างนอกริเวอร์ซิตี้ ยังไม่ทันจะเรียกรถเลย เพื่อน 3 คนก็นั่งลงกับพื้นแล้วก็อ้วกกกกกก แหว่ะ อี๋ เหม็นหึ่งค่ะ ที่เหลือก็เลยต้องช่วยกันประคอง ลูบหน้าลูบหลัง จังหวะนั้นไม่ได้สนใจอะไรหรอกค่ะ พอเพื่อนอ้วกเสร็จ ดื่มน้ำเสร็จ เราทั้งหมดก็นั่งรถไปบ้านเขยกระปุกฯ กัน พักให้หายมึนแล้วก็กลับบ้าน หารู้ไม่หายนะกำลังมาเยือน

วันรุ่งขึ้นหลังเข้าแถวเคารพธงชาติ อาจารย์ฝ่ายพละศึกษาที่เราสนิทด้วยก็เรียกพวกเราไปคุย

'จารย์เป็ด: เมื่อวานหลังเลิกเรียนไปไหนกันมา
กระปุกฯ: (มองหน้ากัน อ้ายมี่ชิงตอบ) กลับบ้านสิคะจารย์
'จารย์เป็ด: (ยิ้มๆ แต่น่ากัว) ตอบดีๆ ไปไหนกันมา
กระปุกฯ: ไปทานข้าวกันค่ะ (เริ่มเสียงอ่อย)
'จารย์เป็ด: แล้วกินเหล้าด้วยใช่ไม๊
กระปุกฯ: ป่าวนะคะจารย์ (ช่วยกันเถียงคอเป็นเอ็น)
'จารย์เป็ด: กล้าโกหกครูเหรอ
กระปุกฯ: (เงียบ)
'จารย์เป็ด: มีคนเห็นว่ากลุ่มเราไปเมากันอยู่ตรงท่าเรือสี่พระยา
กระปุกฯ: (ตะลึง)
'จารย์เป็ด: เค้าบอกว่าเห็นว่าเป็นกลุ่มนักเรียนบพิตร พี่เค้าเป็นศิษย์เก่า แต่เค้าไม่รู้จักพวกเธอ ระหัสนักเรียนก็ไม่รู้เพราะใส่ชุดพละ แต่เค้าบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ 5-6 คน แล้วก็มีผู้ชาย 1 คน
กระปุกฯ: (ตะลึง เข่าอ่อน)
'จารย์เป็ด: จะมีใครถ้าไม่ใช่แก๊งค์พวกเธอ
กระปุกฯ: ครูขราาาา (เริ่มมารยา)
'จารย์เป็ด: ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อน ครั้งนี้ยกให้แต่อย่าทำอีก ดีนะที่พี่เค้ามาบอกครู ถ้าเป็นอาจารย์ท่านอื่นพวกเธอตายแน่
กระปุกฯ: พวกหนูถึงรักจารย์ที่สุดไงคะ (ยิ้มกันแก้มแตก)

เป็นโชคดีของพวกเราค่ะที่สนิทกับจารย์เป็ด ตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็ไม่เคยดื่มกันจนเมานอกบ้านกันอีกเลย หวนคิดไปแล้วก็ยังเสียวไม่หาย ถ้าพี่คนนั้นเค้าโทรมาฟ้องอาจารย์ฝ่ายปกครองพวกเราก็คงโดนเล่นงานมากกว่านี้ ถึงแม้เราจะซี้กับอาจารย์เค้าก็เถอะ เรื่องนี้มี่ไม่เคยให้ใครรู้เลยค่ะ อาย กลัวป่าป๊ากับหม่าม๊าจะโกรธด้วยที่ทำตัวเหลวไหล ป๊าสอนให้หัดดื่มก็เพื่อไว้ป้องกันตัวเอง และเพื่อให้รู้ว่าดื่มยังไงไม่ให้เมา ดื่มได้แค่ไหน เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมากๆ เลยนะคะ หวังว่าน้องๆ ที่มาอ่านจะไม่ทำตาม เหอเหอ

*************************
เรื่องที่ 4: ชั้นปกติดีย่ะ

อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองต้องชี้แนะนะคะ มี่ไม่คิดว่าสิ่งที่มี่เป็นจะเป็นเรื่องผิดปกติ ไม่รู้สินะ สำหรับบางคนมันอาจจะผิดปกติแต่สำหรับมี่ มี่ปกติค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของความรู้สึกหนึ่งที่เราเรียกกันว่า "ความรัก" เคยได้ยินกันใช่ไม๊คะว่ารักไม่มีขอบเขต ไม่มีชั้นวรรณะ ไม่มีแบ่งชาติ-ศาสนา ภาษา สีผิว หรืออะไรอีกหลายๆ อย่าง ความรักของมี่ก็เป็นอย่างนั้นค่ะ รักของมี่แต่ละครั้งเป็นรักที่ไม่มีข้อกำหนด ไม่มีเงื่อนไข เกิดขึ้นเองจากความรู้สึกล้วนๆ ไม่ต้องแต่งเติม ไม่ต้องสร้างหรือให้ใครบังคับให้เกิด

มี่มีความรักฉันท์ชู้สาวครั้งแรกตอนอนุบาลค่ะ หุหุ เร็วชิม๊า ตอนแรกมี่ก็ไม่รู้หรอกว่านั่นก็เป็นความรัก รู้แต่ว่าจำความรู้สึกได้ ความรู้สึกแปลกๆ ที่โตมาถึงได้รู้ว่ามันเป็นความรัก มี่สนิทกับเพื่อนคนหนึ่งในห้อง จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ ทานข้าวด้วยกัน เล่นด้วยกัน นอนติดกัน ทำตัวเหมือนเป็นฝาแฝด แฝดคนละพ่อ-คนละแม่ เด็กแต่ละคนจะมีจุกนมหลอกห้อยคอเป็นของตัวเอง แต่มี่ชอบไปเอาของเค้ามาดูด ส่วนของเราเราก็ให้เค้าซะ แลกกัน เวลานอนมันก็เลยจะนอนหันหน้าหากัน งงมะคะ เหมือนคนดื่มน้ำจากแก้วเดียวกันแต่เอาหลอดไขว้กันอ่ะค่ะ เราเรียนอยู่ด้วยกันแค่อนุบาลแล้วเค้าก็ออกไปเรียนที่อื่น จำไม่ได้ว่าที่ไหนและเพราะอะไร แล้วมี่ก็ลืมเค้าไป แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันยังชัดเจนอยู่ นั่นแหล่ะความรักครั้งแรกสมัยอนุบาล

พอเรียนชั้นประถมได้ถึง ป.4 มี่ก็ย้ายโรงเรียนค่ะ ด้วยความที่เป็นเด็กใหม่ ทุกคนก็เลยจะรุมล้อมเป็นพิเศษ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าโตแล้ว มีผู้ชายมาล้อมหน้าล้อมหลัง ทั้งในห้องตัวเอง ห้องข้างๆ มีแบบเอาขนมมาให้กิน มาดักเจออะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ คิดๆ แล้วก็น่ารักดี พออยู่ ป.6 เป็นพี่ใหญ่สุดของโรงเรียน มี่ก็ทำกิจกรรมค่ะ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสี เพื่อนมี่เป็นกระเทยแล้วเค้าก็เป็นหัวหน้าลีดเดอร์ก็คัดเด็กมาเป็นลีดเดอร์ มี่ก็ไปปิ๊งเด็กคนหนึ่งเข้า แหะแหะ ผู้หญิงอีกแล้วค่ะ มี่ก็คอยดูแลเค้า ส่งน้ำ ส่งขนมให้ ดูแลพิเศษกว่าเด็กคนอื่นๆ ในกลุ่มลีดเดอร์ด้วยกัน ตอนนั้นสนุกมากเลย นึกภาพออกไม๊คะ มีผู้ชายมาวิ่งตามให้ขนมเรา เราก็เจ๊าะแจ๊ะกับเค้า แต่อีกด้านเราก็คอยดูแลน้องอีกคนซึ่งเป็นผู้หญิง เราไม่ได้สนิทอะไรกันมากค่ะ พอจบกีฬาสีก็ห่างๆ กันไป ไม่ได้มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ไม่ได้ควงแขนเป็นแฟนกัน แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น มันเหมือนเมื่อตอนเรียนชั้นอนุบาลอ่ะค่ะ นี่แหล่ะความรักสมัยประถม

พอจบประถมเข้ามัธยมมี่ก็สอบติดโรงเรียนประจำจังหวัด (มี่เป็นเด็ก ตจว.ค่ะ) เป็นโรงเรียนหญิงล้วนซะด้วยสิ ทีนี้แหล่ะความ ความชัดเจนมันมาเลย เพียงแค่เทอมแรกของ ม. 1 มี่ก็ได้เป็นแฟนกับรุ่นพี่ ม.2 คนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลโรงเรียน คนที่อยู่โรงเรียนหญิงล้วนน่าจะพอเข้าใจนะคะ คนที่เป็นนักกีฬาบาสโรงเรียนจะเท่ห์แค่ไหน อิอิ นอกจากเป็น Center ในทีมบาสแล้ว เค้ายังเป็นมือกลองของวงโรงเรียนอีกด้วย มี่เป็นแฟนอยู่กับเค้าปีกว่าๆ พอมี่ขึ้น ม.2 เราก็เลิกกัน แต่ก็ยังเป็นพี่น้องกันอยู่ เทอม 2 ของ ม. 2 มี่ก็ไปเจอเด็ก ม.1 คนหนึ่ง เข้ามาใหม่กลางปีอ่ะค่ะ แล้วน้องเค้าก็เป็นลีดเดอร์สีมี่ (เอาอีกแล้ว) เราก็สนิทกันค่ะ คราวนี้มี่เริ่มสับสนตัวเอง ชั้นเป็นทอมหรือดี้ฟระ เพราะน้องเค้าเป็นหญิงอ่ะค่ะ มี่ก็เลยงงๆ ตัวเอง พอจบ ม.2 มี่ก็ย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ เราก็เลยเลิกกันแต่ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ ครั้งนั้นมันทำให้มี่รู้ว่า มี่ไม่ได้เป็นทอมหรือดี้หรอก มี่เป็นเลสเบี้ยน เป็นแค่ผู้หญิงที่รู้สึกรักผู้หญิงด้วยกันตะหาก เรื่องราวความรักสมัยมัธยมต้น

พอเข้ามาเรียน ม.3 ที่กรุงเทพฯ ปีเดียวในโรงเรียนไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ มี่ก็กิ๊กเพื่อนด้วยกันนี่แหล่ะ แต่ she ก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เราก็ได้แต่กิ๊ก อิอิ จนเข้า ปวช. คราวนี้มี่มีแฟนเป็นผู้ชาย คนแรกเป็นรุ่นพี่ หนุ่มฮ็อตของโรงเรียน แต่เจ้าชู้สุดยอด คนที่สองเป็นรุ่นน้อง ผู้ชายที่แสนดีที่รักมี่เหลือเกิน เป็นนักกีฬาโรงเรียนที่สาวๆ ต่างก็คลั่งไคล้ แต่มี่ก็เลิกกับเค้าเพียงเพราะเราดันไปรักผู้ชายอีกคนที่เลวแสนเลว เฮ้อ.. ชีวิต ปวช. 3 ปี มี่เปลี่ยนแฟน 3 คน มี่รู้สึกแปลกๆ ค่ะ ถามว่ารักแต่ละคนไม๊ มันก็รักนะ แต่เหตุผลในการเลิกกันแต่ละครั้งมันไม่เข้าท่า เลิกกับคนแรกเพราะเค้าเด่นเกินไป เจ้าชู้มากซะจนเราทนไม่ได้ เลิกกับคนที่สองเพราะเค้าเด็กว่าเรา ตามใจเราจนเรารู้สึกไม่ดี ไม่อยากเป็นผู้นำอ่ะ ส่วนคนที่สามนี่ "มันเลว" คบกับมี่ได้ครึ่งปีก็แอบมีคนอื่น แล้วก็คบสองคนตลอดมา ฮือ.. รักมากที่สุดแต่ก็ทำให้เราเสียใจมากที่สุด ความรักในสมัย ปวช. จบไป พร้อมกับปฏิญาณในใจ จะไม่รักผู้ชายคนไหนอีกแล้ว

ปวส. กับ ปริญญาตรี มี่ใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่กับเพื่อนและครอบครัว ไม่ว่าใครจะดีแสนดี เอาใจเราแค่ไหน แต่มี่ก็ไม่รู้สึกรักใครอีกเลย จนกระทั่งเรียนจบทำงานผ่านไปอีก 3 ปี มี่ก็มีความรักครั้งใหม่ แต่..เค้าเป็นผู้หญิงอีกแล้วค่ะ เป็นลูกสาวเจ้านายมี่เอง เราสนิทกันได้ยังไงมี่ก็ไม่รู้ เค้าบอกว่ามี่คุยกับเค้ารู้เรื่อง มี่ไม่ใช่ผู้หญิงหน่อมแน้มซึ่งเค้าประท้บใจในจุดนี้ เราคบกันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ขอย้ำค่ะว่า "หลบๆ ซ่อนๆ" เป็นความรักที่ต้องแอบเอาไว้ รักเกิดในที่ทำงาน รักที่เป็นไปไม่ได้ รักที่ใครคนอื่นไม่เข้าใจ เราจะโทรหากันตลอดทุกชั่วโมง สายโทรศัพท์ของเราจะไม่ว่างตลอด โอเปอเรเตอร์เริ่มจับได้ เค้าจะเดินมาหามี่วัน 3-4 ครั้ง (ออฟฟิศอยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละฝั่ง) น้องๆ พี่ๆ เลขาคนอื่นๆ เริ่มจับได้ ก่อนที่อะไรจะบานปลาย มี่ก็ได้รู้ว่าเค้ามีแฟนอยู่แล้วเป็นแอร์โฮสเตส ซึ่ง 3-4 เดือนจะเจอกันครั้งหนึ่ง แต่เค้าคบกันมาได้ 5 ปีแล้ว มันเจ็บนะคะ เจ็บมากๆ เลย แต่ทำไงได้ เราก็รักเค้าไปแล้ว รักมากด้วย คิดว่าไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ มันก็เป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็ปล่อยมันไปอย่างนี้แหล่ะ เราไม่ได้จะแย่งเค้ามา เรารับการที่เค้ามีอีกคนได้ และหวังว่าอีกคนของเค้าจะรับการมีเราได้เช่นกัน แต่มันก็ไม่นาน เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น

อยู่ๆ เค้าก็เลิกกับแฟนเค้า มี่ยังไม่ทันจะได้ดีใจหรือถามไถ่เหตุผล ก็มีคนอีกคนประกาศออกมาว่าเป็นแฟนกับเค้า มี่ได้แต่ช็อกค่ะ พี่คนนั้นเป็นพี่สาวที่มี่เคารพรักมากที่สุดในออฟฟิศเลย เรื่องนี้มันทำให้มี่อยู่ไม่ได้ มี่ตัดสินใจเลิกยุ่งกับเค้าโดยเด็ดขาด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เอาแต่ร้องไห้อยู่ 3 วันเต็มๆ โดนป๊าตบถึงได้สติกลับมา มี่ลาออกจากที่นั่นแล้วมาเริ่มต้นงานใหม่ ชีวิตใหม่ 2 ปีผ่านไป เค้าอีกคนก็ได้ก้าวมาในชีวิตของมี่ ความรักครั้งใหม่เกิดขึ้นและยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้

ครั้งนี้หนักกว่ารักครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา เค้าเป็นผู้ชายค่ะ เป็นรักที่เหมือนจะสมบูรณ์แบบ แต่เติมไม่เต็มและเป็นไปไม่ได้ เค้าเป็นคนที่มี่เอื้อมไม่ถึง และมี่ก็ไม่เคยคิดอยากจะเอื้อมขึ้นไปให้ถึง ความรู้สึกที่มี่มีให้เค้ามันแปลกประหลาดกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา มี่รักเพราะรู้สึกว่ารัก มี่ทำทุกอย่างเพราะรู้สึกว่ารัก มี่ร้องไห้กับเรื่องราวทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างมี่กับเค้าเพราะรู้สึกว่ารัก มี่ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย หาจุดเริ่มต้นของรักครั้งนี้ไม่ได้ หาจุดจบของรักครั้งนี้ไม่เจอ มองหาทางออกจากรักครั้งนี้ไม่เห็น ไม่คิดจะตัดใจ ไม่คิดจะเลิกรา รู้สึกแค่ว่ารักมาก รักเหลือเกิน และจะรักอย่างนี้ รักตลอดไป แรกๆ ที่มี่รักเค้าป๊ากับม๊าไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าไม่นานก็คงจบไป แต่จนทุกวันนี้ผ่านไป 4 แล้ว ความรู้สึกรักที่มี่มีให้เค้าไม่ได้น้อยลงเลยแม้แต่น้อย มันเพิ่มความเข้าใจและรับได้มากขึ้นไปอีก ป๊ากับม๊าเริ่มทำใจรับแล้วว่ามี่รักเค้า และชีวิตนี้มี่คงไม่มีใครอีกนอกจากเค้า มี่รู้ดีว่าป๊ากับม๊ายังคงหวังจะให้มี่เจอใครอีกสักคนที่มี่จะรักได้มากพอที่จะทำให้มี่หลุดออกมาจากเค้าได้ แต่ป๊ากับม๊าคงไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกครั้งนี้มันยิ่งใหญ่และลึกเกินกว่าที่ใครจะทำให้มันสูญหายไปได้ นี่แหล่ะค่ะรักครั้งปัจจุบันของมี่

คุณว่ามี่ปกติไม๊อ่ะคะ แต่มี่ว่า..มี่ปกตินะ อิอิ

*************************
เรื่องที่ 5: ตัวเค้าไม่เหม็นอ่ะ

เรื่องนี้จริงๆ ไม่อยากบอกเล้ยยยให้ตายสิ แบบว่ามันอาจจะทำให้คนที่ได้อ่านรู้สึกรังเกียจมี่ก็ได้ แต่มี่หมดมุขแล้วจริงๆ นะ คือ สารภาพค่ะว่าเป็นคนไม่อาบน้ำตอนเช้า อย่าเพิ่งวิ่งหนี!!!!!!!! ก็แหม.. ตอนเรานอนมันจะสกปรกอะไรกันนักหนาล่ะคะ ก่อนนอนก็อาบน้ำแล้ว ผ่านไปอีก 5-6 ชั่วโมงก็ต้องอาบอีกเหรอ เปลืองน้ำออก เวลาล้างอุปกรณ์ทำขนมทีก็ใช้น้ำเยอะแยะอยู่แล้ว ช่วยที่บ้านประหยัดค่าน้ำนิดหน่อยถือว่าเป็นเรื่องดีมิใช่เหรอคะ อิอิ ถึงมี่จะไม่อาบน้ำก็ล้างหน้าแปรงฟันนะคะ

ปกติมี่สระผมตอนเช้าด้วยค่ะ แต่จะก้มสระ หุหุ แบบว่าทำได้อ่ะค่ะ ตัวไม่เปียกน้ำ ป๊ามี่บอกว่ามี่เป็นงี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มันจะอะไรนักหนาก็ไม่รู้ จับอาบน้ำตอนเช้าต้องร้องไห้งอแงทุกที อ้อ.. ตอนเด็กๆ ป๊าเป็นคนอาบน้ำให้ตลอดเลยค่ะ จน ป.4 โน่นมั้งถึงได้เลิก ม๊าบอกว่าให้อาบเองเพราะโตแล้ว แต่อาบเองไม่สะอาดอย่างป๊าอาบให้นี่นา 555+

มี่ก็เลยติดเป็นนิสัยค่ะ จะไม่อาบน้ำตอนเช้า ตื่นมาก็ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงไปทานอาหารเช้าก่อนออกจากบ้าน แต่ถ้าตอนเย็นเนี่ยมี่จะอาบน้ำก่อนเข้านอนค่ะ จะนอนเมื่อไหร่ค่อยไปอาบ ไม่ชอบที่จะอาบแล้วมานั่งทำอะไรต่อมิอะไรแล้วไปนอน จะรู้สึกเหนอะหนะตัวอ่ะค่ะ นอนไม่หลับ เวลาไปเที่ยวก็จะสบายค่ะ ทำเวลาได้เร็วกว่าเพื่อนๆ อิอิ ยิ่งถ้าไปแคมปิ้งนะ สนุกสนานค่ะ ขอน้ำ 1 ขวด แปรงฟัน ล้างหน้ากันข้างเต๊นท์นั่นแหล่ะ สบายยยยย

*************************
ต้องขอบคุณน้องบี, น้องแพร, น้องเนส และคุณพี ที่ Tag มี่ ทำให้มี่ได้มานั่งเขียนเรื่องราวของตัวเองยาวๆ แบบนี้ได้ ว่าแล้วมี่ก็ต้องขอ Tag ต่อล่ะ อิอิ

5 คนที่มี่จะขอ Tag ก็ตามนี้เลยนะคะ
1. คุณ @little pixie@
2. พี่เอ๊ด Regenbogen ^_^
3. คุณอาร์ต Athlons
4. ทิพย์ เสี่ยวลี่
5. พี่ตาล โดราเคน




Create Date : 19 มกราคม 2550
Last Update : 20 มกราคม 2550 0:23:54 น. 19 comments
Counter : 1110 Pageviews.

 
ได้รู้ความลับ เรื่องส่วนตัวเยอะเลย tag ก็ดีตรงนี้ละ


โดย: ต่อตระกูล วันที่: 20 มกราคม 2550 เวลา:0:22:59 น.  

 
เรื่องที่ 1 กับ 2 ทำได้งัยง่ะ ต้องบอกตำรวจสิงคโปร์กับฮ่องกงง่ะ เด็กม๋ายดีต้องตีก้น ถ้าเป็นเนสจะฉกมาให้หมดเลย อ้าว! งั๊ยเป็นงั้น วีรกรรมแต่ละอย่างสุด ๆ เลยพี่มี่ เพื่อนพี่มี่มืออาชีพม๊ากก


โดย: nes IP: 203.113.60.7 วันที่: 20 มกราคม 2550 เวลา:9:23:47 น.  

 
แล้วต่อไปนี้จะเปงความลับไม๊เนี่ยะค่ะ


โดย: กิน ๆ เที่ยว ๆ วันที่: 20 มกราคม 2550 เวลา:13:07:30 น.  

 
อิอิ เป็นวีรกรรมที่เด็ด เริ่ดมากเลยจ๊ะ คุณมี่


โดย: kokophiz วันที่: 20 มกราคม 2550 เวลา:13:09:04 น.  

 
แอบแวะมาดู tag พี่มี่ค่า :D

แต่ละเรื่อง เด็ดดวงทั้งนั้นเลย

ชอบคำว่าเขยกระปุกฯง่ะ อิอิ




โดย: =เด็กเอ๋ยเด็กดี= IP: 124.120.175.244 วันที่: 20 มกราคม 2550 เวลา:17:23:56 น.  

 
ไม่ชอบอาบน้ำเหมือนกันเลยอ่ะ


โดย: ตุ๊กตาซัง (ตุ๊กตาซัง ) วันที่: 20 มกราคม 2550 เวลา:18:24:41 น.  

 
ยังงงๆอยู่ว่า TAG คืออะไร แต่ยังไงจะพยายามนะครับ


โดย: athlons IP: 203.118.113.73 วันที่: 21 มกราคม 2550 เวลา:16:57:08 น.  

 
คุณต่อตระกูล
... อิอิ นั่นจิเนอะ

น้องเนส
... แหะแหะ พี่ก็ว่างั้นอ่ะ เพื่อนพี่แต่ล่ะคนนี่สุดยอดดดด

พี่หลี
... ป่านนี้เพื่อนๆ คงแอบมาอ่านไปแล้วอ่ะค่ะ ไม่ลับแล้วล่ะเนี่ย แหะแหะ

คุณพี
... สนุกดีค่ะคุณพี ตอนนี้ชีวิตเรียบง่าย มีแต่งานกับงาน น่าเบื่อมากเลยค่ะ

น้องขวัญ
... พี่ก็ชอบนะคำนี้เป็นเอกลักษณ์มากๆ เลย

คุณตุ๊กตาซัง
... เย้ๆๆๆ มีเพื่อนแล้ว


โดย: ammie IP: 58.9.42.28 วันที่: 21 มกราคม 2550 เวลา:16:59:41 น.  

 
เหอๆ สองเรื่องแรกหวาดเสียวแทนเลย


โดย: ปูขาเก เซมารู วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:7:53:23 น.  

 
อ่านไปขำไปอ่ะ โดยเฉพาะสองเรื่องแรก ม่ายรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย555 แล้วยังงัยอ่ะแบบนี้ทิพย์ก็ต้องเล่าฟามลับด้วยป่าว ... อิอิ มีเยอะนะเนี่ย


โดย: เสี่ยวลี่ IP: 203.144.135.242 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:18:58:22 น.  

 
ขอบคุณค่ะพี่มี่ที่ทำให้ได้อ่านและรู้จักในอีกมุมหนึ่งของพี่มี่

ไอ้เรื่องที่สิงค์โปร์กะฮ่องกงนี่ บีเสียวแทนเลยค่ะ แต่พอจะเข้าใจว่าความรู้สึกของแฟนคลับเป็นอย่างไร มันคงแบบเห็นอะไรก็อยากได้ๆๆๆ โดยเฉพาะของที่เราคิดว่าคงจะหาไม่ได้ง่ายๆ อ่ะ ใช่มะคะ อิอิ

ส่วนเรื่องสมัยเรียน ก็คิดได้ทั้งแปลกและไม่แปลกค่ะ เรื่องชอบผู้หญิงนี่ บีเรียนในโรงเรียนหญิงล้วนมา ก็พอจะเข้าใจแหะ แต่โดยส่วนมาก คนเขาก็จะพูดกันว่า พวกนี้พอจบกันออกมามักจะแต่งงานก่อนเพื่อนคนอื่นเลยค่ะ แล้วก็จะกลายเป็นหญิงญิ้งหญิงจนเพื่อนๆ จำมะได้อ่ะพี่ พี่มี่เห็นคนเป็นยังงี้เยอะมะคะ หุหุ..

เอาล่ะ มาทักทายกันยาวละ บีไปก่อนนะคะพี่มี่ นี่ต้งตารออ่านมา 2 วัน เช้านี้เพิ่งจะอ่านจนจบเลยล่ะค่ะ


โดย: Bambie วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:8:29:51 น.  

 
อ่ะ ม่ายยยยยนะ มาtag ทำไมอ่ะมี่ แงงงงงงง ไม่มีความลับอะไรอ่ะ เขิน เป็นคนเปิดเผยอ่ะ 5555555


โดย: โดราเคน วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:19:02:26 น.  

 
ไปอ่านในบล๊อคเราได้นะคะ คุณ tag สำเร็จแล้ว ... อิอิ


โดย: เสี่ยวลี่ (เสี่ยวลี่ ) วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:19:09:32 น.  

 
มี่ เราTAG ในบล๊อคเราแล้วนะไปอ่านดูได้ เขินว่ะ


โดย: โดราเคน วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:23:26:29 น.  

 
พี่ปูขาาาา แหะแหะ แต่มี่ไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้วนะคะ ตอนนี้มีของสะสมที่เป็น rare collection เยอะแล้วอ่ะค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า พยายามดำเนินรอยตามพ่อหลวงค่ะ อยู่อย่างพอเพียง อิอิ

น้องบีจ๋า ไม่อยากจะบอกเลยว่าเพื่อนสนิทพี่คนที่เคยเป็นทอมบอยสุดป๊อบของโรงเรียน ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 1 เป็นแม่บ้านแม่เรือน และมีอาชีพเป็นนางพยาบาล เหอเหอ ตอนแรกพี่ยังไม่อยากจะเชื่อเล้ยยย ออกจะห้าว ออกจะหล่อซะขนาดนั้น ตอนนี้นะสวยพริ้งเลย อิอิ

พี่ทิพ หุหุ จะรีบตามไปอ่านความลับนะ ส่วนไอ้ 2 เรื่องแรกอ่ะ แบบว่าไม่กล้าบอกใครไง มันทั้งเป็นเรื่องน่ากลัวและไม่น่าจะทำไง อิอิ แล้วทางโน้นเค้าก็ขอมาว่าอย่าบอกใคร กลัวว่าจะโดนเพื่อนๆ ว่าเอาได้ว่าลำเอียง หุหุ

พี่ตาล อ่ะนะ ถึงพี่ตาลจะเป็นคนตรงยังไงเปิดเผยแค่ไหน มี่ก็เชื่อว่าพี่ตาลก็ต้องมีความลับบ้างแหล่ะน่า อิอิ จะรีบไปอ่านจ้า


โดย: ammie IP: 203.154.236.3 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:13:29:39 น.  

 
หวัดดีจ้าน้องมี่ วันนี้ทำอะไรอยู่หนอ


โดย: ปูขาเก เซมารู วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:1:08:51 น.  

 
--- อ่านบางเรื่องก็งงๆ ครับ


โดย: เหมียวหล่อ (myth ) วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:34:30 น.  

 
แวะมาอ่านแล้วนะคะพี่มี่ ^^
คิดถึงพี่มี่จัง ช่วงนี้พี่มี่หายไปเลยแฮะ....

งานยุ่งรึเปล่าเอ่ย... ยังไง อากาศมันเย็นๆ จังค่ะ.. รักษาสุขภาพนะคะพี่มี่ ^___^


โดย: +~%Chocolate Republic%~+ วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:43:47 น.  

 
เพิ่งรู้ตัวว่าโดน Tag อ่ะคะ

แล้วช้านจะทำยังไงต่อไปดีหล่ะเนี๊ยะ

ขอเวลาตั้งตัวก่อนนะคะ
เพราะไม่รู้ว่าเจ้า Tag เนี๊ยะมันเป็นยังไงอ่ะ


โดย: @little pixie@ (@little pixie@ ) วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:1:36:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

luvammie
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ช่างฝัน ฝันเพ้อเจ้อไปเรื่อย ไม่รู้จักโต ชอบอ่านหนังสือจินตนิยาย เอาแต่ใจตัวเอง คลั่งไคล้สีชมพู สีม่วง สีฟ้า และเฮลโลคิตตี้เป็นที่สุด ชอบฟังเพลงร็อค พังค์ โดดๆ ในคอนเสิร์ต รักการทำขนมและเดินทางท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้ได้โลโก้และชื่อแบรนด์เป็นของตัวเองแล้ว อิอิ "The Baker Witch" แม่มดคนนี้ทำขนมไม่เก่ง แต่รักที่จะทำ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนาคะ


Friends' blogs
[Add luvammie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.