#แค่สิ่งทดสอบจิต ถ้าจิตตนยังเข้าไม่ถึง "อุเบกขา"
ดังนั้น เราก็เฉยไม่ได้ เฉยไม่เป็น
ที่เหลือเป็นไง จิตแกว่ง จิตไม่นิ่ง รู้สึกทุกข์ แป๊บๆ
ไม่ได้ทุกข์ใจอะไรมากเหมือนเมื่อก่อน แค่ทุกข์ เล็กๆ
เพราะจิตยังวางภายใน ไม่หมดจด
แต่ถ้าใครวางหมดจดก็เท่ากับพระอรหันต์อ่ะดิ
นี่แค่สติตามทันจิต หรือรู้เท่าทันอารมณ์จิตตนเอง
ทุกคนปฎิบัติธรรมก็เพื่อต้องการ "หลุดพ้น"
บางคน ปฎิบัติได้ "มรรคผล"
แต่ทำไม ดูเหมือนกรรมยิ่งหนักกว่าเดิมอีก
ถึงกรรมจะหนักหนาสากรรจ์สักปานใด
ถึงกรรมอาจจะตามเล่นงานเราถึงตายก็ตาม
แต่สุดท้าย เราก็ต้องยอมรับกฏธรรมดาอยู่ดี
หรือคิดน้อยใจว่า ทำไม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงไม่ช่วยเราบ้าง
เขามาปฎิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้น มิได้ต้องการสิ่งใด
มิได้เอาบุญมาต่อรองใดๆ มิได้ขอร้องหรืออ้อนวอนใดๆ
ถ้าคิดกันแบบนั้น แสดงว่า กำลังใจตนยังอ่อน
ปัญญาญาณ ยังไม่เกิดขึ้นกับจิตผู้นั้น จริง
แต่ถ้าเกิดจริง ย่อมยอมรับได้หมดทุกอย่าง
นอกจากเราจะเข้าใจธรรมแล้ว ยังต้องเข้าใจกรรมด้วย
ทั้งกรรมเราและกรรมผู้อื่นด้วย
แค่เข้าใจธรรมหรือกรรมแค่นั้น มันยังไม่พอ
เราต้องรู้จักปล่อยวางกรรมให้เป็นให้ได้ด้วย
ทั้งสองกรณี แค่สิ่งทดสอบกำลังใจ
หรือสติปัญญาของตนเอง เท่านั้น
พวกเราต้องวางกำลังให้ถูก
แต่ถ้าไม่ถูก ก็จะเกิดความต้อแต้! "ท้อแท้"
จิตตนจะติดนู้นติดนี่ไปเรื่อยเปื่อย
สุดท้าย หมดกำลังใจเดินมรรคต่อ
บางที บางคน เหลืออีกแค่ก้าวเดียวเอง
ก็จะถึงฝั่งฝัน "พระนิพพาน"
แต่โดนกรรมซัดกระหน่ำซัมเมอร์เซล
หรือถูกกรรมลิดรอน(ตัดทอน)เสียก่อน
ก็เลยไปไม่เป็น ทำมึนงง ไม่ต้องมึน ไม่ต้องงง
ให้เดินมรรคต่อไปเลย อย่าหยุดเดิน เด่วมารจะตามทัน
แม้กระทั่งพระอรหันต์ ก็ยังหนีกรรมไม่พ้น
ยกเว้น จกนว. อโหสิกรรมให้
แต่ถ้ายังไม่อโหสิกรรม ท่านก็ต้องยอมรับไป
แต่พระอรหันต์ ท่านไม่สนใจในร่างกายของตนแล้ว
ตายไวยิ่งดี เพราะจะได้ไปพระนิพพาน ไวๆ
เหลือแต่พวกเรานี่แหละ เป็นอรหันต์แบบไหน
หันซ้ายหรือหันขวา หรือว่าไม่หัน เฉยๆ
โมทนาสาธุ