Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
8 พฤศจิกายน 2559
 
All Blogs
 
จิตเกาะพระ26กย2559 สมาธิจิตกับการวิปัสสนาธรรม

จิตเกาะพระ26กย2559 สมาธิจิตกับการวิปัสสนาธรรม
สาธุขอขอบพระคุณที่มาจากครูNarchaya Savillกลุ่มเฟสบุค จิตพร้อม?รับภัยพิบัติ

https://m.facebook.com/groups/596157757171015?view=permalink&id=1047972525322867
...
#สมาธิจิตกับการวิปัสสนาธรรม

๐ สิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพึงกระทำคือ
การสำรวมจิตให้อยู่แต่ปัจจุบัน...
การทรงสมาธิจิต การทรงเอกัคคตารมณ์ หรือ
การทรงอารมณ์จิต ที่เข้าถึงอารมณ์พระรัตนตรัย อยู่เป็นนิจ...
นี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้ปฏิบัติธรรม เพราะอะไร? ....
เพราะอารมณ์จิตที่ทรงอยู่ในขั้นดังกล่าวมานี้
จิตจะเจริญวิปัสสนาตลอดเวลา
ธรรมจะเกิดขึ้นในจิต ตลอดเวลา หรือจิตจะเจริญปัญญา
ด้วยตัวของเขาเองตลอดเวลา

โดยเฉพาะเรื่องที่จิตต้องหาความจริง คือ #เรื่องของขันธ์๕ ว่า ...
เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 และ ขันธ์มีในเรามั้ย?
ความจริงอันนี้แหละที่ จิตจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับขันธ์ 5
ทั้งรูป1 นาม4 (กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)
โดยเฉพาะ ตัวนามธรรม 4 ตัว จิตต้องอาศัย กำลังสมาธิเข้ม จิตต้องนิ่งมากพอ
เพื่อคิดวิปัสสนาตลอดเวลา เกี่ยวกับ ความจริงของขันธ์ 5 ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
เมื่อจิตมีความรู้ ความเข้าใจ และเข้าถึง ความจริงของขันธ์5 อย่างถ่องแท้แล้ว
จนถึงขั้นที่จิตสามารถ เห็นได้ว่าและยอมรับได้ว่า
ขันธ์ทั้ง๕ กับ จิต ไม่มีในกันและกัน

จิตจะแยกแยะได้เองว่า เรื่องใดเป็นเรื่องของจิต เรื่องใดเป็นเรื่องของขันธ์ 5
จิตจะผ่านอารมณ์เบื่อหน่าย ขันธ์5 มาก่อน
(โดยเฉพาะ เรื่องกาย และเรืองของอารมณ์จิตหรือ เจตสิก หรือ สังขารขันธ์ )
เพราะ เห็นมันเกิด มันดับ จนชิน จนรู้ว่ามันไม่มีอะไร นอกเหนือไปจาก
เกิด กับ ดับ เท่านั้น ...
จิตพอรู้ชัดแล้วก็จะเลิกให้ ความสนใจ ในเรื่องนั้นอีก
พอเขาเข้าใจแล้ว จิตก็จะวางลงทันที
เพราะมองเห็นตามความเป็นจริงแล้วว่า ...
ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของร่างกายหรือ ขันธ์5 ทั้งรูป และ นาม
นั้น เรา(จิต) บังคับไม่ได้ ฝืนไม่ได้ และให้เป็นไปตามอย่างที่เราต้องการไม่ได้
เมื่อเขาเข้าใจอย่างนี้ เขาจะวางลง ทันทีด้วย มองเห็นแล้วว่า
ธรรมดาของมันเป็นแบบนี้ จิตจึงปล่อย นั่นเอง...
ปล่อย ให้มันเกิด ให้มันดับ เป็นธรรมดาของมันไป ...

#ถึงตรงนี้จิตจะเริ่มมองทุกสิ่ง ทุกอย่างรอบตัวเป็น ธรรมดา ไปหมด
มองเห็นทุกสิ่งบนโลกนี้ เป็นสิ่งสมมุติ และสิ่งสมมุติทั้งหลาย เป็นสิ่งไร้สาระ ...
โดยเฉพาะ เรื่อง อารมณ์จิตที่เป็น อกุศล ที่จะเกิดขึ้น ...
สติ จะทำการแยกแยะทันที
สติที่ตั้งมั่นอยู่ภายใน จะมองเห็นว่า #จิตนั้นจะไม่ลงไปเล่นกับอารมณ์
และไม่ไปเป็นอารมณ์เสียเอง
จิต วางอยู่ในอีกที่หนึ่ง คือ เป็น เพียง ผู้ ดู ผู้รู้ อยู่ห่างๆ ...
ดู รู้ เห็น (เกิด ดับ) วาง และ ว่าง ...จึงตามมาลำดับ

นั่นละ อารมณ์ใจก็จะสบาย เพราะเขายอมรับความจริงทั้งหมดแล้ว
ไม่ใช่ อารมณ์หนัก เพราะ เอาฌานกดทับไว้ ไม่ใช่นะ...
แต่เป็นอารมณ์ของความเข้าใจ ปล่อยวาง
จิตจะแช่มชื่น มีพลัง ความเข้มแข็งของจิตจะมาก
โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าทรงอารมณ์สมาธิ ที่มีพุทธคุณ หรือ
อารมณ์ที่เข้าถึงคุณของพระรัตนตรัย ครอบไว้ด้วยแล้ว
มันยิ่ง มีพลัง ยิ่งใหญ่อย่าบอกใครเลย ...

#กำลังใจที่จะไปนิพพาน กำลังใจที่พร้อมตาย
พร้อมปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนโลกนี้ มันมากจริงๆ
นี่แหละ จิตที่เพียรฝึก เพื่อละ อ วิ ช ช า คือ ละความพอใจ ยินดี
ในการเกิด ไม่ว่า จะเกิดเป็นอะไรอีกก็ตาม มนุษย์ เทวดา พรหม จะปฏิเสธทันที
เพราะเข็ดแล้ว เห็นทุกข์จากการเกิด ชัดแล้ว จิตไม่เอาแล้ว
นั่นหมายถึง ตัณหาจากการอยากเกิดเป็นอะไรๆอีก ดับแล้ว ...
#อารมณ์นิพพานก็ปรากฏทันที...

*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

๐ ป.ล....#การฝึกจิตเกาะพระ (กรรมฐานพุทธานุสสติ + กสิณ)
จึงเป็นทางลัดอย่างเยี่ยมยอด ที่ทำให้การปฏิบัติ ลัด สั้น ตัด ตรง
พัฒนาได้อย่างต่อเนื่องอย่างคาดไม่ถึง
เป็นการฝึกสติ ที่มีคุณค่าแยบคายมาก เพราะสร้างสติให้เกิดตลอดเวลา
สติมีทั้งรู้ตัวทั่วพร้อมทางกาย และสติที่คุมจิตให้อยู่กับพระตลอด
จิตสามารถเรียนรู้ จากการวิปัสสนาได้ตลอดเวลา
เพราะ อาศัยจิตทรงสมาธิ ตลอด24 ชม นั่นเอง

#นี่เองเป็นข้อเด่นที่สุดของการปฏิบัติแบบจิตเกาะพระ
ที่สามารถสร้างปัญญาป้อนให้จิตได้ตลอดเวลา
จิตจะเรียนรู้ พัฒนาของเขาไปเอง โดยที่เราไม่รู้ตัว
แต่จะมารู้ตัวอีกที ก็อีตอน ที่เจอโจทย์บททดสอบ สิ่งกระทบ นั่นแหละ
ไม่ว่า สิ่งที่มากระทบนั้น จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ...
ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ความรัก
ที่มันเข้ามา ทำให้จิต เราเร่าร้อน กิเลส เหล่านี้ มันมีอยู่ตลอด
เพราะเรามีร่างกาย
แต่จิต เราที่ฝึกมาดีแล้ว จะไม่หวั่นไหว ขุ่นมัวเลย
เพราะจิตนั้นเข้าใจแล้ว ละ วาง ปล่อยแล้วด้วยปัญญา
ไม่หันไปคบ กับกิเลสอีกแล้ว ...ก็แค่ปล่อยให้มันเกิด มันดับ ของมันไป
จิตจึงเป็นแค่ผู้ดู เท่านั้น ไม่ลงไปเล่นกับกิเลสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ณัฐชยาวดี
...
โมทนาสาธุธรรมครูแนทด้วยครับ สาธุๆ ขอบใจมากที่ออกมาช่วยกันทำหน้าที่ ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ส่วนผลจะออกมาอย่างไรก็ไม่เป็นไร เพราะหากเราคือผู้ให้ ให้ธรรมาทาน คือการให้ชนะทั้งปวง ให้แบบมิได้หวังผลตอบแทน เราย่อมไม่มีคำว่า ผิดหวัง หรือ เสียใจ ใดๆทั้งสิ้น เพราะเราคือผู้ให้ที่แท้จริง ย่อมไม่หวังผลตอบแทนใดๆ นี่คือ การให้ธรรมะ คือการให้สติปัญญา บุญย่อมมากกว่าชั้นทานแน่นอน แค่ลำพังตนทำคนเดียว ยังได้อานิงส์หรือผลบุญมากขนาดนั้น เรียกว่า อริยทรัพย์ภายในตน ถือว่าเป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวงยิ่งนัก แต่นี่เราทำด้วยและก็พาจิตน้องนุ่งทำตามไปด้วยกัน ฉะนั้น บุญย่อมได้2เด้งแน่ คำว่า ให้ ในทางธรรมนั้น ยิ่งให้เหมือนยิ่งรับ เพราะการให้ของเรานั้น ให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ถึงใครจะคิดอย่างไรก็ต้องทำใจ หรือปล่อยเขา เพราะห้ามความคิดใครไม่ได้ แม้นกระทั่ง ความคิดตนยังห้าไม่ได้ เพราะการปฎิบัติธรรม มิได้ให้พวกเราไปห้ามความคิดเราหรือเขา แค่มีสติตามดูจิต ยิ่งเรามีปัญญาด้วยแล้ว เราถึงจะรู้เท่าทันจิต เท่าทันอารมณ์ใจตนและผู้อื่นเขา .. ทำไปเห่อ ทางธรรม มีได้กับได้ ไม่มีคำว่าเสีย แต่คนทางโลกเขาไม่เข้าใจหรอก แต่เราคือคนทางธรรม นอกจาก เราเข้าใจธรรมะและเข้าใจตนเองแล้ว แค่นั้น ยังไม่พอ เพราะเราต้องเข้าใจคนทางโลกด้วย เราจะรอให้คนทางโลกมาเข้าใจหรือ คงเป็นไม่ได้แน่ โมทนาสาธุ
สาธุค่ะ ครูพี่ภู ...ก็จัดไป ตามเหตุและปัจจัย พอดีช่วงนี้ มีกระแส จากผู้ที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมจิตเกาะพระ ว่า สอนแต่สมถะกรรมฐาน ให้เข้าฌานอย่างเดียว ไม่ได้สอนหรือแนะนำด้านวิปัสสนา ... ก็เลยออกมาเขียนบทความที่เป็นภาพรวมๆของการเดินมรรคที่ถูกต้องที่ พวกเราทำ เราเดินตามคำสอนพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ทุกอย่าง แนวทางที่เรายึดถือปฏิบัตินั้นคือ แนวทางคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง เป็นหลัก ...ก็เลยเป็นที่มา ของบทความธรรมทานนี้ค่ะ ...สาธุ
...

โมทนา สาธุในธรรมทานค่ะ ครูพี่แนท ถ้าเราปฏิบัติจริง ทำจริงตามที่ได้กล่าวไว้ดีแล้ว ผลก็จะเกิดตามนั้นได้จริงเช่นกัน ข้าพเจ้าขอเป็นผู้หนึ่งที่กล้ายอมรับโดยไม่มีความลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คุณของพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลาย สาธุค่ะ..
...
กราบขอบคุณครูแนทครับ ผมเพิ่งเข้ามาใหม่แต่หลังจากอ่านโพสต์นี้ก็ทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าเริ่มเข้าใจถูกทาง

เดิมทีผมเข้าใจว่าการเจริญปัญญาหรือวิปัสสนาคือการคิดใคร่ครวญอย่างแยบคายเกิดขึ้นในระดับสมอง(แบบชาวตะวันตกคิด)แต่จริงๆปัญญาที่เกิดขึ้นจากวิปัสสนานั้นเกิดขึ้นในระดับจิต แม้ผมยังไม่ถึงระดับนั้นในตอนนี้แต่ มันทำให้ผมเข้าใจว่าผมกำลังเดินไปไหน โมทนาสาธุครับ โพสต์นี้เป็นประโยชน์ที่สุดครับ
...


...



Create Date : 08 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2559 7:54:21 น. 0 comments
Counter : 709 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.