Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
12 ตุลาคม 2560
 
All Blogs
 
การเตรียมจิตเบื้องต้น ในการเรียนจิตเกาะพระ

“การเตรียมจิตเบื้องต้นในการเรียนจิตเกาะพระ”

มาตามสัญญาที่ได้บอกไว้ว่า การทำกรรมฐานจิตเกาะพระ ในเบื้องต้นควรปฏิบัติอย่างไร ขอสรุปมาให้เป็นข้อๆ เพื่อความสะดวก ในการอ่าน และทำความเข้าใจในแต่ละข้อ ท่านผู้อ่านสามารถอ่านแล้วเซฟเก็บไว้ทบทวนได้ ก่อนอ่านควรทำจิตนิ่งๆเสียก่อน ค่อยๆอ่านทะละบรรทัด แล้วทำความเข้าใจตามไปด้วย หากอ่านรอบแรกแล้วไม่เข้าใจ ให้ทบทวนอ่าซ้ำหลายๆครั้ง แล้วลงมือปฏิบัติได้เลย ท่านใดที่เคยแจ้งไว้ว่าอยากเข้ามาเรียนจิตเกาะพระ แต่ยังไม่พร้อม หรือด้วยเหตุผลใดๆก็ตามแต่ อ่านบทความนี้แล้วลงมือทำ เตรียมจิตไปพลางๆก่อนก็ได้ค่ะ ประโยชน์มีอยู่แล้ว ต่อตัวผู้ปฏิบัติเอง

1ในทุกๆเช้าที่ตื่นนอนรู้สึกตัวปุ๊บ ยังไม่ต้องรีบลุกจากที่นอน ให้ทำในขณะที่เรารู้สึกตัวเดี๋ยวนั้นนั่นแหละ รีบส่งจิตหาพระทันที ในช่วงนี้หากใครได้มโนยิทธิก็เอาอทิสมานกายขึ้นไปกราบพระบาทท่านเลย หากใครไม่ได้มโนยิทธิ ก็ภาพพระที่เราเลือกไว้ให้นึกถึงภาพนั้น พร้อมอธิษฐานฝากจิตไว้กับพระองค์

"ลูกขอฝากจิตไว้กับพระองค์ตลอดทั้งวันทั้งคืนด้วยเถิดเจ้าค่ะ/ครับ ขอให้ลูกได้ทำกรรมฐานวิชาจิตเกาะพระได้อย่างง่ายดาย และหากเมื่อคราใดที่ลูกได้ตายไป ขอให้ลูกมีสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์ อย่าได้มีเวทนาทางกายเลย และขอให้พระองค์ทรงเมตตามารับลูกไปอยู่บนพระนิพพานกับพระองค์ด้วยด้วยเทญ.."

***และก่อนที่จะหลับไปก็อธิษฐานแบบเดียวกัน จับภาพพระแล้วหลับไปพร้อมๆกับภาพพระเลย สังเกต หากคืนใดที่หลับไปพร้อมๆกับภาพพระ จิตอยู่กับพระตลอดทั้งคืน ตื่นมาปุ๊บ พระมาทันทีโดยที่สติไม่ต้องเตือน ลองสังเกตดูเอานะ และหากตื่นขึ้นมากลางดึก ก็ต้องเตือนจิตส่งหาพระต่อ เพื่อความต่อเนื่อง

คำอธิษฐานอีกหนึ่งคำอธิษฐานที่สำคัญก็คือ ขอให้ท่านพ่อ หลวงพ่อ ครูอาจารย์ของลูกได้โปรดดึงจิตลูกเข้าสมาธิลืมตาโดยเร็วด้วยเทอญ คำอธิษฐานนี้จะภาวนาช่วงใดก็ได้ แต่ก่อนอธิษฐาน ควรทำจิตให้นิ่งเสียก่อน เอาที่นิ่งมากที่สุดที่เราทำได้ก็แล้วกัน เริ่มฝึกใหม่ๆ ให้นิ่งนานเลยก็คงยากหน่อย แต่ให้พยายามอธิษฐานบ่อยๆ

2สมาทานศีล และขอขมาพระรัตนตรัย ให้ทำทุกๆเช้าเย็น วันละสองเวลาก็พอ หรือหากใครอยากทำมากกว่านั้นก็ได้ทำไปเลย เป็นผลดีทั้งหมด แต่หากเมื่อใดที่เราเผลอละเมิดศีลแล้ว ก็ขอให้รีบสมาทานศีลใหม่ทันที การที่จะละเมิดศีลนั้นให้ดูเจตนาเป็นหลักก่อนว่า มีเจตนามั้ย ศีลจะบริสุทธิ์ก็ต่อเมื่อ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้บุคคลอื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นละเมิดศีลแล้ว ที่สำคัญหากควบคุมใจของเราได้แล้ว การละเมิดศีลย่อมไม่เกิดแน่

เรื่องของการขอขมาพระรัตนตรัย จำเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่เคยทราบว่าในอดีตเราเคยได้ปรามาสพระรัตนตรัยมาอย่างไรบ้าง ทั้งมีเจตนาก็ดี ไม่มีเจตานาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดีเป็นโทษหมด จิตเขาเป็นผู้บันทึกบุญและบาป การขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยเป็นการปลดล็อคจิตที่เคยได้บันทึกไว้ จิตจะได้คลายตัวจากกรรมที่ปรามาสพระ เมื่อจิตปลดล็อคจากการปรามาสพระ จิตก็สามารถเดินมรรคต่อได้ ในทางกลับกันหากจิตติดกรรมเรื่องปรามาสพระ เพราะเป็นกรรมร้ายแรง การเจริญมรรคผลก็ไม่ก้าวหน้า มักมีอะไรเข้ามาขัดขวางตลอด เพราะฉะนั้นควรขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยทุกๆวัน

3ระหว่างวัน แบ่งสติไว้ที่กายครึ่งนึงดูความเคลื่อนไหวของกาย และควบคู่กับการแบ่งสติที่จิตอีกครึ่งนึง เตือนจิตส่งหาพระแว๊บๆ อย่างน้อยๆ 5-7 ครั้งต่อชั่วโมง และทำในทุกๆชั่วโมงด้วยนะคะ แต่หากสามารถทำได้มากกว่านี้ก็ให้ทำเลย ได้ 10 ครั้ง 20 ครั้งได้เลยยิ่งดี

***ขอให้ทำด้วยอารมณ์ใจสบายๆ ชิลล์ๆเป็นหลัก ทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อน ไม่อยาก ไม่หวังผลใดๆทั้งสิ้นมุ่งหน้าปฏิบัติอย่างเดียว หากวางกำลังใจได้แบบนี้จิตจะสามารถพัฒนาได้เร็ว วางกำลังใจเหมือนที่เรากำลังคิดถึงคนที่เรารัก หรือคิดถึงแฟน จิตจะมีความอ่อนโยน เป็นสุข และสามารถคิดถึงได้บ่อยๆ

*** การนึกถึงพระ 1 ครั้ง สติเกิด 1 ครั้ง ขอให้ทำทุกๆชั่วโมงด้วยนะคะ ช่วงแรกๆนี้ให้ขยันมองภาพพระด้วยตาเนื้อบ่อยๆ ภาพพระที่เราชอบใจ เลือกไว้เป็นโมเดล เพื่อให้จิตจำได้ ที่ต้องมีภาพก็เพราะเราจะใช้ภาพพระเป็นสื่อ ในการเชื่อมโยงระหว่างจิตเรากับจิตพระ พอจับภาพพระไปสักระยะ เดี๋ยวจิตเขาจะเปลี่ยนภาพเอง นั่นเป็นภาพที่จิตเลือก เมื่อจิตเปลี่ยนภาพก็ให้ใช้ภาพใหม่ ในการนึกถึง เป็นโมเดลประจำจิตต่อไป

ระยะเวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนจับภาพพระ ภาพพระเป็นแก้วใสเลยเพียงในขณะจิตเดียว ก็ให้ใช้ภาพนั้น บางคนก็ต้องใช้เวลานานหน่อย ภาพพระก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ค่อยๆใสขึ้นตามลำดับความละเอียดของจิต เรียกง่ายๆว่า นึกภาพพระ แล้วภาพปรากฏเป็นเช่นใด ก็เอาภาพนั้นตามจิต

4 หลักการมีอยู่ว่า ให้นึกถึงพระด้วยอารมณ์ใจสบายๆ นึกเห็นแบบไหนก็แบบนั้น ไม่เค้นภาพ ไม่บังคับภาพ ไม่แช่ภาพพระ แต่หากจิตเขาทรงภาพพระได้เองก็ปล่อยเขาไปค่ะ “จิตที่เห็นภาพพระแว๊บๆนั่นเป็นธรรมชาติของจิตแล้ว เพียงแต่เราต้องเตือนให้นึกถึงพระบ่อยๆ ถี่ๆเท่านั้น โดยให้สติถามหาพระ พระล่ะ พระอยู่ไหน?” ตรงนี้เป็นการกระตุ้นเตือนจิต เป็นกุศโลบายให้จิตเกาะพระ โอกาสนี้ถึงเวลาแล้วที่ทำให้ได้มาเจอจิตเกาะพระ ขอให้ลงมือทำให้เต็มที่ ให้คิดซะว่า เราปฏิบัติดีเพื่อแทนคุณพระรัตนตรัย

5 การนึกถึงพระ ขอให้นึกถึงความดีของพระพุทธองค์ไปด้วย อย่างเช่น กว่าที่พระองค์จะได้มาตรัสรู้พระองค์ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งเรื่องความขยัน ความอดทน ต้องใช้ความปรารถนาอันแรงกล้าเพียงใดกว่าที่พระองค์จะได้พระธรรมคำสอนมาหนึ่งพระธรรมเพื่อที่มาโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หากยังนึกไม่ออก แนะนำให้ไปอ่านประวัติ พระพุทธเจ้า สมัยที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ หรือเปิดฟังตามยูทูปก็ได้ ประวัติพระพุทธเจ้าก็ดี ทศชาติชาดกก็ดี เป็นต้นค่ะ

6 กรรมฐานเดิมทั้งหมดขอให้วางลงก่อนชั่วคราว (หมายถึงที่ทำอยู่ในระหว่างวัน ให้เดินสติจับภาพพระอย่างเดียวก่อน) ยกเว้นการสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิตอนกลางคืน ตรงนี้ไม่ได้ห้ามทำต่อให้เป็นปกติไปเลย และในช่วงทำกรรมฐานนี้ให้ขอขมาพระรัตนตรัยก่อน สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน ตามแบบฉบับวัดท่าซุง แล้วก็เริ่มอาราธนาท่านพ่อ ทรงมาเป็นประธานอยู่ตรงหน้าเรา และกำหนดจิต ขอพระมหาเมตตาของพระองค์ แผ่เมตตากำหนดแสงสีขาวขยายเป็นวงๆ เหมือนน้ำกระเพื่อมออกไปให้ไกลทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ อธิษฐานจิตว่า ลูกขอเป็นมิตรกับคนทุกคน ทุกดวงจิต ทุกรูป ทุกนาม ทุกบุคคล และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ลูกขอรักและเมตตาเขาทั้งหมด เปรียบเสมือนกับที่รักตัวลูกเอง และไม่มีใครเป็นศัตรูกับลูกเลยแม้แต่คนเดียว จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิหลับตา โดยที่ช่วงสมาธิหลับตานี้ ให้ดูลมหายใจเข้าออกตามไปด้วย พร้อมคำภาวนาพุท โธ อนุญาตให้ดูลมได้ค่ะ เพราะช่วงนี้กายไม่ได้เคลื่อนไหว

ในช่วงนี้สมาธิหลับตาไม่ต้องกังวลเรื่องภาพพระ จะเห็นภาพพระหรือไม่เห็นก็ได้ หรือ ทำเพียงรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก่อนก็ได้ เพราะจิตจะได้ไม่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน อย่าลืมว่า จิตเขาจะทำงานได้ดีเพียงทีละอย่างเท่านั้น หากจะพัฒนาจิตเร็ว ขอให้ทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

กรรมฐานขอให้ทำด้วยใจสบายๆ ทำด้วยความต่อเนื่อง ช่วงแรกๆนี้จำเป็นต้องเดินสติ ให้จิตเกาะภาพพระเป็นอัตโนมัติเสียก่อน ไว้โอกาสที่เหมาะสมจะมาเขียนเล่าว่า ปฏิบัติเช่นใดต่อไป

และนี่คือข้อควรปฏิบัติทั้งหมดในเบื้องต้น ทางที่ดีหากมีครูคอยดูแลจิตอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า เพราะจะเป็นการกระตุ้นตนเอง สร้างสติ สมาธิ ได้อย่างต่อเนื่อง หากทำด้วยตนเองก็มักใจอ่อน ยอมแพ้ให้กับกิเลสซะทุกทีไป หากแพ้กิเลสบ่อยๆก็ไม่มีความต่อเนื่อง ผลก็ไม่เกิด และครูสามารถวางกำลังใจในการปฏิบัติให้อีกด้วย จะทำด้วยตนเอง หรือจะเข้ามาเรียน ก็ไม่ว่ากันอย่างน้อยๆ ขอให้ลงมือทำเถอะ ให้จิตมีคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุด เพราะถึงอย่างไรจิตก็อยู่ในเขตบุญกุศล วันเวลาก็ผ่านไปไวเหลือเกิน ความตายก็เข้ามาหาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกแล้วนะ หากตายตอนนี้จิตพร้อมหรือยัง?

ขอให้ทุกท่านเจริญๆในธรรม

หินพระธาตุ พลังพุทธานุภาพ
...

...โมทนาสาธุธรรมครับ
แหม๊ มีลูกแบบนี้ พ่อภู หายเหนื่อยหน่อย
เพราะพูดมามาก ปากจะฉีกถึงหูแล้ว
ได้แบบเธอนี่ ไม่ต้องมาก ก็พอใจแล้ว
พ่อภูสบายแร๊ะ มีคนออกมาพูดแทน
เพราะใกล้จะเข้าถ้ำเต็มที
รอบ้านถ้ำเสร็จก่อน เพราะตอนนี้ ฝนเทมาเยอะ
ทำอะไรไม่ได้มาก รอให้ฝนซาก่อน
ขอให้ลูกคนนี้ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

ปล.ถ้าใคร.นักภาวนาท่านใด ยังเข้าไม่ถึงคุณของพระ(พระรัตนตรัย)
ก็ปรึกษาลูกคคนี้ได้นะครับ
ถ้าเข้าถึงกัน เพราะตามลำพังใจตนนั้น มีไม่มากพอแก่การปฏิบัติ
เพราะถ้าวันไหน ขยันก็ทำ แต่ถ้าวันไหน ขี้เกียจ ก็ไม่ทำอีก
แต่ถ้าจิตเราเข้าถึงคุณของพระแล้ว จิตเราจะมีพลังมาก
มีกำลังใจมาก คือ (((อยาก)))ปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นเหมือนผู้อื่นเขา
แต่ถ้าใจมันไม่อยากปฏิบัติ เราก็เข้าถึงธรรม มีดวงตาเห็นธรรมยาก
อีกอย่างนึง เราก็ไม่พ้น หลุดพ้นจากทุกข์ของตนสักทีนึง

ฉะนั้น เรื่องกำลังใจนั้น สำคัญมากนัก
สำคัญทั้งทางโลกและทางธรรมเลยทีเดียว
เพราะทุกอย่าง มักสำเร็จได้ด้วยใจ
((ใจเป็นประธาน))
จิตเป็นนาย..กายเป็นแค่บ่าวเท่านั้น

แต่กำลังใจในที่นี้ หมายถึง กำลังใจที่ได้จากพระนะ
(พระรัตนตรัยเท่านั้นนะ)
ไม่ใช่ ได้กำลังใจจากผู้อื่น หรือคนรักนะ

อันนั้น กำลังใจแค่ประเดี๋ยวประด่าว
เพราะเป็นกำลังใจชั่วคราวเท่านั้นเอง
เดี๋ยวเราก็อยากได้อีก.บ่อยๆ ขอตลอดเวลาเลย
นี่หมายถึง กำลังใจแบบผู้คนทางโลก

แต่ถ้าจิตเราเข้าถึงคุณของพระ
จิตจะมีพลังมาก จิตเข้มแข็งมาก
(จิตใหญ่โต มโหฬาร เป็นต้น)
จิตที่เข้าถึงพระรัตนตรัย มักจะเป็นแบบนี้นะ
เดี๋ยวจะมีคนมาถามว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า
เราเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว
ตนเอง จะได้ตอบกับผู้อื่นๆเขาได้
โมทนาสาธุ
...
ถ้าอย่างนี้ ลูกค่อยสมกับเป็นพุทธภูมิหน่อย หรือพระโพธิสัตว์หน่อย
แค่ปรารถนาพุทธภูมิ แค่ปรารถนาพระโพธิสัตว์ เฉยๆ มันไม่พอ
รัก เมตตา เสียสละ ต้องแสดงออกด้วย
มิใช่แค่ ลมปาก (พูดเฉยๆ แต่ไม่ลงมือทำเลย ใช้ไม่ได้)

เพราะนิสัยของเหล่าพุทธภูมิหรือพระโพธิสัตว์นั้น
มักจะอยู่นอกเล้า แต่ถ้าอยู่ในเล้านั้น เขาเรียกว่า สัตว์ เฉยๆ
ในเล้า มันหมูแล้ว ไก่แล้ว มิใช่พระโพธิสัตว์

ขอโทษนะ เปรียบเทียบแรงไปหน่อย
แต่ก็กินใจดี
เพราะกำลังใจเหล่านี้ ไม่ธรรมดา
มีมากกว่าคนธรรมดา
สาธุครับ
...

สาธุๆๆอนุโมทามิ ขอบพระคุณที่มาจากเฟสบุค หินพระธาตุ พลังพุทธานุภาพ 6ตค2560
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=135787583832795&id=100022046618400
...


.


Create Date : 12 ตุลาคม 2560
Last Update : 12 ตุลาคม 2560 15:11:29 น. 0 comments
Counter : 269 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.