Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2559
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 ตุลาคม 2559
 
All Blogs
 
จิตเกาะพระ 21ตค2559 วิบากกรรม

จิตเกาะพระ21ตค2559
ขอบพระคุณที่มาจากเฟสบุค Phu Bodin สาธุค่ะ
#วิบากรรม
คือเศษกรรมที่ทุกคนเคยทำกันเอาไว้
ที่ต้องเป็นฝ่ายรับกันเอง
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งไปโทษว่าเขาคือ มาร
จริงๆแล้ว มารต่างๆนั้น คือครูของเรา
คือบททดสอบของตนเอง
ดังนั้น อย่าเที่ยวไปโทษมาร
อะไรก็มารๆ ลูกเดียว
แทนที่จะโทษตนเองว่า ตนต่างหากเล่า
ที่ไม่มีสติปัญญาเป็นของตนเอง
หากมีปัญยากันจริงๆแล้ว ย่อมไม่ไปโทษผู้อื่นเขาแน่
เพราะยิ่งมีปัญญามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งโทษตนเองฝ่ายเดียว
คนที่ไม่มีปัญญาหรือไม่เคยฝึกจิตมาเลย
ย่อมจะคอยเพ่งโทษผู้อื่นเขาอยู่ร่ำไป
เพราะไม่มีดวงตาเห็นธรรม
แต่หากเห็นธรรมกันจริงๆแล้ว ย่อมจะยอมรับกรรมต่างๆได้
มีดวงตาเห็นธรรมจริง ย่อมไม่ว่าใครเป็น
เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านั่นคือ บาป อกุศลกรรม เราจะเอามั๊ย
สำหรับคนที่ชอบไปยุ่งกรรมผู้อื่นเขาก็เช่นกัน
เราต้องรับไปครึ่งนึง เราจะเอามั๊ย
เพราะทั้งๆที่วิบากกรรมของตนเองก็ยังมี ชดใช้เขาไม่หมดเลย
เราจะมารับเอากรรมผู้อื่นเข้าหาตนเองอีก ทำไม
ถ้าเรามีสติดีจริง แล้วเราจะไปยุ่งกับกรรมผู้อื่นเขามั๊ย
อย่าลืมนะว่า ท้ายที่สุดแล้ว นักภาวนาทุกคน
ต้องทำจิตให้ถึงคำว่า "อุเบกขา"
นั่นก็หมายถึงว่า จิตปล่อยวางทุกสิ่งมาจากภายในแล้ว
ถ้าจิตไม่รู้จักวาง ดังนั้น จิตก็เข้าไม่ถึงคำว่า "อุเบกรมณ์"
ถ้าเข้าไม่ถึงอุเบกขา ใจเราก็เฉยไม่เป็น..ใช่ไหม
พอใจเราเฉยไม่เป็น ประเดี๋ยวก็จะแว้งกัดผู้คน
ที่เขาเข้ามาด่าว่า นินทาหรือตำหนิตนนั่น..
ก็เพราะว่าจิตไปไม่ถึงคำว่า อุเบกขานั่นเอง
จิตยังไม่ยอมรับกฎธรรมดา
เพราะจิตปล่อยวางภายในยังไม่ได้
เรื่องการละปล่อยวางนั้น ถึงสอนกันไม่ได้
เพราะเรื่องปล่อยวางนั้น เป็นหน้าที่จิตใครจิตมัน
แต่จิตแบบไหนที่วางเป็นแล้วบ้าง
ตอบว่า.. "จิตปัญญา" เป็นต้นไป
แต่ยังวางไม่สนิทเท่า "จิตธรรม"
จิตธรรมคือจิตเห็นธรรมแล้ว
เช่น จิตพระอริยเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น เป็นต้น
เพราะจิตธรรมนั้น จะวางกรรมเรากรรมเขาหมด
จะเหลือแต่กรรมที่กายหยาบเท่านั้น
เพราะกรรมจะไม่มีผลต่อจิตธรรม
หรือจะพูดอีกนัยยะนึงก็คือ มีแต่เวทนากายเท่านั้น
แต่จะไม่มีเวทนาทางจิตใจ สาธุ

พยายามทำให้ถึงกัน "อุเบกขารมณ์"
เพราะเป็นสภาวะธรรมอีกขั้นนึง ระดับสูงทีเดียว
เพราะถึงจะมีคนมาด่าว่านินทาตน เราก็เฉย
ต่อให้คนๆนั้น เข้าใจผิดก็ตาม เราก็เฉยอีก
ไม่พยายามจะพูดแก้ตัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
เพราะว่า เราปิดประตูกรรมตนเองได้แล้ว
ประตูกรรมนั้น มีอยู่ทั้งหมด 3 ประตู ได้แก่..
1กายทวาร 2วจีทวาร 3มโนทวาร

แต่ถ้าเราสามารถปิดได้ ทั้ง3ประตูนี้
เราก็ปิดประตูกรรมของตนได้แล้วนะ
เพราะมันสำคัญตรงมโนทวารนี่แหละ.. พึงระวังให้ดี
หากเราปิดประตูทวารของตนสนิท ต่อให้ผู้คนมาด่าทอ
เราก็เฉย ไม่คิดตอบโต้ใด นี่คือ การยอมรับกฎธรรมดา
หรือกฎแห่งกรรมแล้วส่วนนึง ถามว่าแล้วใจเราเป็นทุกข์มั๊ย
ตอบว่า ไม่มีคำว่า ทุกข์ใจอะไรแล้ว เพราะจิตธรรมนั่นเอง
จิตธรรม จะไม่ว่าไม่ด่าไม่ตำหนิใครเป็นแล้ว
เห็นมีแต่ผู้คนด่าว่า นินทาหรือตำหนิจิตธรรมเท่านั้น
เพราะจิตธรรมนั้น เขาปล่อยวางหมดแล้ว
ไม่พร่ำหรือไม่บ่น กรรมเรา กรรมเขาแล้ว
หยุดกรรมทั้งหมดที่ตนเอง ใครไม่หยุดแต่เราขอหยุดพอแล้ว ..
#กรรมระงับด้วยการไม่จองเวร..

ทีนี้พวกเราเข้าใจกันหรือยังว่า..ทำไม
พระพุทธองค์ ทรงไม่ปรารถนาล่วงเกินกฎแห่งกรรม
เพราะพระองค์มองเห็นธรรม เห็นกรรมหมดแล้ว มีญาณเห็น
แต่พวกเราเห็นเฉพาะธรรมเท่านั้น แต่กรรมยังมองไม่เห็นนัก
เพราะกรรมต่างๆนั้น จะละเอียดมากกว่าธรรม
และสลับซับซ้อนมากกว่าธรรมเป็นไหนๆ
เพราะกรรมต่างๆที่ตนทำมานั้น นับแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน
แต่ธรรมหรือธรรมชาติต่างนั้น ที่พบเจอกันนั้น
ส่วนใหญ่มักเป็นธรรมปัจจุบัน เพราะนักภาวนาทุกท่าน
คือจะต้องอยู่เฉพาะ "ปัจจุบันธรรม" เท่านั้น
เพราะธรรมบางตัวนั้น แค่วิปัสสนาธรรมดาก็มองเห็นแล้ว
แต่กรรมต่างๆที่ตนเคยทำกันมานั้น ต้องใช้ญาณดูถึงจะมองเห็น
ด้วยเหตุนี้เอง กรรมจึงละเอียดกว่าธรรมเป็นไหนๆ
คนที่ไม่มีญาณดู หรือไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง
ก็เลยเพ่งโทษแต่ผู้อื่น หากเรามีสติมากจริงๆแล้วเราจะมองเห็นเอง
ว่ากรรมหรือวิบากกรรมต่างๆของตนนั้น เกิดขึ้นเพราะใครเขาทำ
เรานี่แหละตัวดีเลย ที่เคยลงเล่นกับเขา มีใครปฏิเสธบ้าง
ว่าเขาทำอยู่ฝ่ายเดียว ปรบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ใช่ไหม
สรุปแล้ว กรรมเราเคยทำร่วมกันมาทั้งน๊านเลย..
ถึงอยากจะบอกกับพวกเราว่า ยามใดที่วิบากกรรมส่งผลตนนั้น
เราอย่าพร่ำ อย่าบ่นมาก จงถือซะว่า เรากำลังชดใช้กรรมกันและกัน
จะได้หมดเวร หมดกรรมกันเสียที
ที่พวกเรารับกรรมกันอยู่ ทุกวันนี้
เพราะในฐานะที่เราเคยร่วมลงเล่นกันมาก่อน
ดังนั้น จิตธรรม ย่อมไม่ไปหวังอะไรกับใครทั้งนั้น
เพราะว่าอะไร ก็จะได้ไม่ต้องมีคำว่า ..
#ผิดหวังหรือเสียใจ ยังไงหละ..
เพราะเหตุจิตตนไปยึดคนนั้นหรือสิ่งนั้นๆเอง
หากจิตปล่อยวางทุกสิ่งได้จริงๆแล้ว
จะไม่มีคำว่า ทุกข์ใจสักนิดเดียว
นักภาวนาได้โปรดระวังจิตตนเอง
เราอย่าได้เข้าข้างจิตตนเอง เด็ดขาด!
เดี๋ยวจะหลงไม่รู้ตัว นึกว่า เรามีสติปัญญา
นึกว่า จิตตนรอดพ้น หลุดพ้นแล้วจริงๆ แต่สุดท้ายป่าวเลย
เพราะใจตนยังรู้สึกเป็นทุกข์ หน่วงๆอยู่เลย เป็นต้น
เป็นนักภาวนา อย่าไปหลอกตนเอง
หลอกตนเองได้ แต่อย่าไปหลอกผุ้อื่นเขา เดี๋ยวจะบาป
ปล่อยให้ตนโง่อยู่คนเดียวพอ อย่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจตนผิด
เพราะเที่ยวพูด เที่ยวเป่าประกาศว่าตนนั้น "บรรลุธรรม"
บรรลุธรรม หรือ ทะลุธรรม กันแน่..
คนที่บรรลุธรรมนั้น ดูง่ายที่สุด ดูแค่สิ่งกระทบจิตพอแล้ว
หลังถูกกระทบไปแล้ว ใจตนมันเฉยเป็นไหม..
มันว่ามันด่าหรือตำหนิใคร เป็นไหม..
ยังพร่ำ ยังบ่นเรื่องกรรมเราเขาอยู่ไหม..
ดูแค่นี้ก่อนเห่อ อย่าเพิ่งเลยไปดูถึงกิเลสในจิต
หรือจิตยังไปแวะเอาหรือเกี่ยวข้องคำว่า กิเลสกันอยู่หรือไม่
ทุกคนย่อมมีความรู้สึกนึกคิดด้วยกันทั้งนั้นแหละ
เพราะว่าต่างก็มีขันธ์5 คือร่างกาย ยังไม่ตายนั่นเอง
ย่อมมีความรู้สึก นึกคิดด้วยกันทุกคน
แต่ถ้าเรามีสติปัญญษ เราก็จะแยกแยะออกว่อะไรคืออะไร
ไม่ใช่มั่วไปหมดเลย ไม่รู้ว่า อันไหนเป็นอาการทางกาย ทางจิต
ปะปนกันหมดเลย เพราะว่า ไม่มีสติ ไม่มีปัญญากันนี่เอง
สติจะช่วยจิตแยกแยะสิ่งที่ไม่ดีตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
สติแค่แยกแยะเฉยๆ แต่ยังปล่อยวางไม่ได้นะ แค่แยกเฉยๆ
ปัญญานู้น จะค่อยนำจิตออกห่างกิเลสไปเรื่อยๆ
กิเลสมีอะไรบ้าง... รัก โลภ โกรธ หลง นี่ไง
พอเราปฎิบัติไปนานวันเข้า
จิตเราละกิเลสต่างๆเหล่านี้ ได้(บ้าง)ไหม
หรือว่ายังเหมือนเดิม อันนี้ขอพูดว่า "เจริญพร"
ปฎิบัติยังไง จิตถึงไม่ไปหน้าไปหลัง ไม่เจริญในธรรมเลย
ลองไปทบทวนมรรคจิตตนเองดูน๊า ว่าผิดพลาดตรงไหน

อย่าลืมนะว่า.. เราเป็นจิตบุญแล้ว เป็นจิตธรรมแล้ว
ใครจะด่าว่าหรือนินทาเรา เชิญตามสบายเลย
จิตธรรม มิใช่แค่เฉยเป็นเท่านั้นนะ..
นอกจากจิตธรรมแล้ว เรามิได้หยุดแต่เพียงเท่านี้นะ
นู้นเลยเถิดคือเลยไปเอาไปรับอารมณ์บบ.สูงอีกนะ
ได้แก่ ทรงอารมณ์พระพุทธคุณนั่น
โดยเฉพาะ ทรงอารมณ์พระมหาเมตตาฯนั่น
อารมณ์นี้ มีทั้งความอ่อนหวาน ละอียด ปราณีต
บรรยายไม่ถูก ต้องมารับสัมผัสเอง ถึงจะรู้
เพราะบางสภาวะ มิอาจสื่อความหมายให้เข้าใจตามคำสมมุติ
นี่ไง ข้อดีของการปฎิบัติแนว จิตเกาะพระ "เวอร์ชั่นใหม่"
เพราะนอกจากสอนให้จิตเกาะพระแล้ว ต่อไป มีขั้นแอดว๊าน
แต่จะไม่ขอพูด ณ ที่นี้ (Public) อยากรู้ ก็สมัครเรียนด้วยตนเอง
จะบอกว่านอกจากอุเบกขาแล้ว แถมยัง เข้าใจ และ เห็นใจ
ผู้ที่กำลังด่าว่านินทาตนอยู่ขณะนี้ด้วยอีกต่างหากนะ มีที่ไหนเล่า
ถามว่า เข้าใจและเห็นใจเขาทำไม..
พูดถึงเขาเหล่านั้น ก็ยิ่งเพิ่มความสงสารเข้าไปอีกนะ
นี่พูดจริงๆนะ ไม่ได้โม้ .. มันเป็นอย่างนี้จริงๆ
สำหรับ จิตบุญ หรือ จิตธรรม พอรับสัมผัสอารมณ์บบ.นี้ได้
เข้าใจ เห็นใจ ยังไม่พอ แถมสงสารเขา
และเมตตาเขาแทน เมตตาเสียดแทงถึงจิตตนทีเดียว

#ทั้งสงสาร #ทั้งเมตตา คนที่กำลังด่าว่าเรานั่น..

เพราะใจอยากจะช่วยให้หลุดพ้นออกมาจากตรงนั้น
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาจิตบอดตัวเดียวเลย
คือหนึ่งเขาคนนั้น ต้องเปิดจิตตนเองก่อน
ถึงจะพอรับธรรมที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ได้
สรุปก็คือ เราต้องชำระล้างจิตตนเองเสียก่อน
ถึงจะมารับอารมณ์เบื้องสูงนี้กันได้นะ
เพราะอย่าลืมนะว่า.. อารมณ์บบ.นั้น
ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพียงใด
แล้วเราจะเอาจิตหยาบๆแบบนี้ ไปรับได้ยังไง
ผู้เขียนจะเปรียบเปรยให้อีกนิดก็ได้คือ..
คุณจะทาสีอะไรสักอย่างนึง
คุณยังต้องทำความสะอาดวัสดุนั้นๆเลย
เพราะมิฉะนั้นแล้ว สีจะไม่ติดวัสดุที่คุณกำลังทาอยู่นั้น
การรับอารมณ์เบื้องสูงก็เช่นกัน เราต้องเตรียมจิตยังไง
ครูผู้สอนจิตเกาะพระทุกท่าน รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
พอเข้าใจกันแล้วนะว่า ทำไม
จิตปุถุชน ถึงรับสัมผัสสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
เทน้ำทิ้งก่อน ทำแก้วเปล่า เพื่อรองรับธรรมอันบริสุทธิ์
โมทนาสาธุ
ภูทยานฌาน


Create Date : 22 ตุลาคม 2559
Last Update : 22 ตุลาคม 2559 23:54:39 น. 0 comments
Counter : 672 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.