บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
25 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
หัวอกของแม่....วันคืนที่มองกลับไป

"ตั้งใจเรียนนะลูก พ่อลำบากมากนะแต่พ่อก็ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูก ๆ มีการศึกษาที่ดี" เสียงแม่บอกฉันไว้ในขณะที่มาส่งฉันที่กรุงเทพฯ

การจากบ้านมาไกล ๆ ในขณะที่เด็กอายุน้อยอย่างฉันมันช่างเป็นเรื่องทรมานใจมาก คืนก่อนนอนฉันจะนึกถึงภาพบ้านในชนบทและคิดถึงแม่ทุกครั้งและน้ำตามันก็จะไหลออกมาด้วยความคิดถึงบ้าน โรงเรียนแห่งใหม่มันช่างเปลี่ยนวิถีชีวิตของฉันจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กที่เรียนในโรงเรียนระดับหมู่บ้านไปสู่การเรียนในโรงเรียนเอกชนที่อยู่ในเมืองหลวง ดูเหมือนว่าสังคมของเพื่อนใหม่มันช่างแตกต่างจากสังคมเพื่อนตอนที่อยู่ในชนบทอย่างมาก ฉันไม่รู้หรอกว่าการเรียนที่นี่มันจะนำอะไรมาสู่ชีวิตบ้าง รู้แต่ว่ากลัวจะเรียนไม่ทันเพื่อนและดูเหมือนฉันจะขยันเรียนมากกว่าที่อยู่ต่างจังหวัด.....

การเรียนชั้นประถมสามกับการดูแลของพี่สาวคนโตที่ช่วยเหลือฉันทุก ๆ อย่างทำให้ฉันรู้สึกรักพี่สาวมาก



ความรักระหว่างพี่น้องเป็นความรักที่มีแต่ความห่วงใย แม่มักจะมาเยี่ยมฉันและพาฉันไปส่งที่โรงเรียน ฉันรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่แม่มีให้ มันเป็นความรักที่แม่คนหนึ่งจะมีให้ลูกที่อาจจะบอกว่าอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะต้องมาผจญภัยในโลกกว้าง.......

เวลาปิดเทอมฉันยังจำได้ดีถึงอาหารต่าง ๆ ที่แม่พยายามหาซื้อมาเพื่อพยายามทำให้ลูกชายดูอ้วนท้วนขึ้น ฉันมองเห็นถึงความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกทุกคน

(เดี๋ยวมาต่อ)



มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่สาวคนโตประสบอุบัติเหตุตรงบริเวณใบหน้า แม่ก็ไปหาครีมของโพลาสมัยนั้นซึ่งราคาค่อนข้างแพงมาทาให้จนแผลหาย แม่ดูจะเป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่ของลูก ๆ มากหลังจากอยู่กับญาติระยะหนึ่ง ด้วยความรู้สึกอึดอัดพวกเราทั้งหมดจึงบอกแม่และแม่ได้ตัดสินใจมาเช่าบ้านให้พวกเราพี่น้องอยู่รวมกัน สมัยนั้นจำได้ว่าเมื่อหมดช่วงรับซื้อข้าวเจ้ารถคันเก่งของพ่อก็จะหางานขนส่งมาที่กรุงเทพและแม่ก็จะติดมาด้วยทุกครั้งพร้อมกับของฝากเป็นอาหารต่าง ๆ ที่ยังจำได้คือเนื้อที่เป็นคล้ายเนื้อหมักแต่ออกสีดำ ๆดูแห้ง ๆ ชีวิตก็คงดำเนินมาเรื่อย ๆ พร้อม ๆกับการค้าที่เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ของพ่อ เวลากลับไปบ้านแม่จะต้องพาไปที่ดินที่ซื้อทิ้งไว้ห่างจากตัวตำบลออกไปราว 3 กม. และดูเหมือนแม่จะมีความสุขกับการได้ปลูกมะม่วงและที่ดินผืนเล็ก ๆประมาณ 2 ไร่ก็ได้ใช้ประโยชน์ในกิจการค้าข้าวโพดในเวลาต่อมา....

ประมาณปี 2519 หลังจากที่ชีวิตการเรียนของฉันเปลี่ยนไป พ่อดีใจกับฉันอยู่ได้ไม่นานแล้วก็มีข่าวร้ายที่สุดในชีวิตครอบครัวเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่คิดว่ามันจะมารวดเร็วขนาดนี้...

ขณะเดินข้ามถนนเพื่อจะไปซื้อขนมทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น2 นัด พ่อล้มลงและหลังจากตั้งสติได้แม่ก็รีบนำพ่อส่งที่รพ.ที่พิษณุโลกซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดในตอนนั้น ด้วยความพยายามช่วยชีวิตจนสุดความสามารถของแพทย์ แต่เนื่องจากกระสุนถูกบริเวณสำคัญคือบริเวณตับและแผลเกิดการอักเสบ แม่ตัดสินใจนำพ่อมารักษาที่รพ.มิชชั่น แต่ก็ไร้ผล เวลาราว 2 สัปดาห์ของที่นี่ได้ทำให้ชีวิตหนึ่งต้องจากโลกนี้ไป.....ทิ้งภาระต่าง ๆ ไว้ให้กับผู้หญิงหม้ายคนหนึ่งที่ดูจะไม่มีความสุขนักกับการที่สามีถูกลอบทำร้าย แม่ตัดสินใจขายทรัพย์สินทุกอย่างที่มีทั้งรถบรรทุกคู่ชีพ 2 คันและที่นาต่าง ๆ ที่มีอยู่ในช่วงนั้น รวบรวมเงินไปใช้หนี้ธนาคารแล้วก็หันเหชีวิตกลับคืนสู่เมืองหลวง ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของแม่ตอนก่อนแต่งงาน.......

กงหรือตาได้ช่วยเหลือแม่ทุกอย่างตั้งแต่ตัดสินใจเซ้งตึกที่อยู่เดิมให้แม่ทำการค้าต่อไป แม่ก็มาเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการขายพวกเหล้า-น้ำต่าง ๆ ในขณะที่หน้าร้านก็ให้เขาเช่าขายพวกอาหารอีสาน.......

ชีวิตดำเนินมาเรื่อย ๆจนวันหนึ่งหลังจากเจอคนขับแท็กซี่และคนขับคนี้ได้แนะนำให้แม่ลองซื้อแท็กซี่มาปล่อยเช่าดู แม่ฟังแล้วก็อยากลองเลยตัดสินใจซื้อรถแท็กซี่เก่ามาสองคันมาปล่อยเช่า หลังจากทดลองระยะหนึ่งพอมองเห็นช่องทางแม่ก็ตัดสินใจซื้อรถใหม่เข้ามาอีกราว 8 คันและซื้อป้ายแท็กซี่ซึ่งสมัยนั้นมีราคาเป็นแสนและผ่อนรถกับบริษัทที่ทำธุรกิจรับซื้อขายแลกเปลี่ยนรถแท็กซี่ การทำธุรกิจนี้ก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ และแน่นอนปัญหาก็มากตามสภาพการหมุนเงินที่คล่องมากเพราะรับเงินสดรายวัน หลายครั้งที่ต้องปวดหัวกับคนขับเวลารถเกิดอุบัติเหตุและบางทีก็เป็นหนี้สูญ.........หลังจากรัฐบาลอานันท์ตัดสินใจเปิดเสรีแท็กซี่ก็ทำให้อู่แท็กซี่เก่าจำนวนมากที่ตัดสินใจไม่ทันต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมากเพราะในระยะหลังการปั่นราคาป้ายแท็กซี่มีมากพอ ๆ กับการปั่นราคาหุ้น จากราคาแสนเศษ ๆในปี 2527ถึงปี2532 ราคาป้าย 1 ท ขึ้นไปถึง 8 แสนบาท และก็โชคดีที่แม่ตัดสินใจขายรถออกไปแล้วก่อนหน้านั้นแม้จะได้ราคาไม่สูงนัก........

ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตแต่งงานเมื่ออายุ 16 ปีและต้องไปอยู่ต่างถิ่น พร้อม ๆ กับชีวิตต้องมาพบเจออุปสรรคปัญหาต่าง ๆ หรือมรสุมของชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าในสภาพสังคมที่อาจะเรียกว่า"มือใครยาวสาวได้สาวเอา" เมื่อมองกลับไปเธอเองก็คงไม่คิดว่าชีวิตที่ผ่านมามันจะเป็นชีวิตที่โหดร้ายพอสมควรกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้เหมือนกับผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนที่อยู่ในสภาพคล้าย ๆ กัน ผู้หญิงไทยที่ด้านหนึ่งต้องเป็นแม่บ้านแต่อีกด้านหนึ่งต้องแบกภาระต่าง ๆ เอาไว้เมื่อครอบครัวสูญเสียผู้นำครอบครัวไป ฉากหนึ่งของการสู้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งอาจจบลงไปแล้ว แต่วันนี้สังคมไทยยังคงสร้าง "หญิงเหล็ก" อีกนับร้อยนับพันตามสภาพสังคมที่ยังต้องต่อสู้ดิ้นรนมากขึ้น ผู้หญิ่งไทยที่ด้านหนึ่งถูกกดขี่ทางเพศแล้วก็ยังอาจจะถูกกดขี่จากสภาพทางเศรษฐกิจอีกด้วย แต่วันนี้สถานภาพของผู้หญิงในสังคมไทยอาจจะดีขึ้นเป็นลำดับ เราได้เห็นผู้หญิงเก่งในหลาย ๆ วงการขึ้นมาอยู่ในระดับนำและสุดท้ายก่อนจบที่จะไม่มีวันลืมคือบทบาทของผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ทำหน้าที่ของแม่คนหนึ่งเพื่อให้ลูก ๆ ทุกคนได้ประสบความสำเร็จในชีวิต..........


Create Date : 25 กันยายน 2548
Last Update : 26 กันยายน 2548 23:07:50 น. 29 comments
Counter : 506 Pageviews.

 
เข้าใจความรู้สึกนี้เลยนะคะ

เราเองก็เป็นคนบ้านนอก...บางทีพอมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาอยู่เมืองใหญ่...มันก็สับสนว้าวุ่น...ไม่เหมือนที่บ้านนอกของเราเลย


โดย: ลำพูริมน้ำ วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:12:25:02 น.  

 
คิดถึงแม่ขึ้นมาเลยอะ


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:13:05:13 น.  

 
ตอนมาเรียนกรุงเทพฯ ตอนปีหนึ่ง
กลับบ้านทุกเดือนเลย...
นั่งรถไฟสิบสี่ชั่วโมง รวมไปกลับ ยี่สิบแปดชั่วโมง
เพียงเพื่อจะได้กลับไปนอนค้างกับแม่


โดย: ศาลาไทย (salathai ) วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:14:05:34 น.  

 

ชีวิตเล็กๆ เติบโตขึ้นได้ด้วยความยิ่งใหญ่ของความรักจากแม่




//รออ่านต่อค่ะ


โดย: มัชฌิมา วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:14:06:25 น.  

 
ขอเวลานอกก่อนนะครับ
ช่วงเย็น ๆ จะมาโพสต์ต่อครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:14:08:38 น.  

 
ตอนสมัยเรียน ก้อไปเรียนกรุงเทพทำให้เหงามากๆ ตอนเย็นแม่มักจะโทรไปถามว่ากินอะไรหรือยัง มันเป็นคำถามง่ายๆแต่มันทำให้น้ำตาใหลได้ทุกครั้งเลยละ
จะรออ่านต่อนะคะ


โดย: asariss วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:15:55:33 น.  

 
เราก็มาเรียนกรุงเทพเหมือนกัน รู้สึกวุ่นวาย แล้วก็ร้อนอะ

กลับบ้านทีไร ต้องหายใจให้เต็มๆทุกที


โดย: คนสวย IP: 203.151.140.119 วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:18:49:32 น.  

 
มารอฟัง ความรู้สึกที่ยังอยู่ในใจ ในวันคิดถึงแม่ค่ะ
ของเจ้าของบล๊อกค่ะ

รีบมาเร็วๆ หน่อยค่ะ ก่อนจะง่วงนอน



โดย: แก้มเล่า วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:20:41:57 น.  

 
อ้าวววว เด๋วกลับมาอ่านนะคะ
รับประทานข้าวเย็นยังคะ^^



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:20:48:17 น.  

 
ค่ำละค่ะ ยังไม่เห็นมาเล่าต่อเลยค่ะ

เดี๋ยวแวะมาดูใหม่ค่ะ


โดย: Black Tulip วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:21:42:36 น.  

 
นั่นสิ รออ่านต่อค่ะ


โดย: erol วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:22:02:28 น.  

 
รู้สึกอดนอนสะสมนะครับ หลับไปงีบตอนสามทุ่มแล้วยาวเลย....ต้องขอโทษด้วย เลยไม่รู้จะต่ออย่างไรเลยนะ ต้องจบให้ได้สินะเดินมาครึ่งทางแล้ว เดี๋ยวไม่ได้รางวัลของคนช่างฝัน 555


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:4:34:00 น.  

 
จริง ๆ ตั้งใจจะเป็นเรื่องสั้นนะ แต่ดันกลับกลายเป็นเรื่องเล่าไปเสียได้ สงสัยจะแต่งนิยายไม่เป็น เอาไว้คราวหน้าลองใหม่ครับ ต้องไปฝึกวิทยายุทธมาใหม่ กลับไปอ่านฤทธิ์มีดสั้น,พลนิกรกิมหงวนและเพชรพระอุมาอีกที ก็คงจะทำให้การแต่งนิยายมีความลื่นไหลมากกว่านี้....

บางทีจริงจังกับชีวิตมากเกินไปก็ไม่ดีจริงไหม? เดี๋ยวจะเป็นบ้าตายกันหมด


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:7:55:31 น.  

 
สวัสดีตอนเช้า ตอนแรกนึกว่าเล่าเรื่องจริงส่วนตัวให้ฟัง

อยากได้เพชรพระอุมาชุดตู้ไม้จัง งือๆ

จะได้อ่านใหม่อีกสักรอบ ^^



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:8:07:57 น.  

 
ลืมบอกไปเมื่อวานอัพเพลงเพื่อชีวิตอีกเพลงนะคะ
ถ้าว่างเชิญไปฟังได้เลยค่ะ ^^


https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=blueberrycpie&group=10



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:8:10:12 น.  

 
สวัสดี เช้าวันจันทร์ค่ะ

เรื่องแต่งเหรอคะ นึกว่าเรื่องจริงซะอีกค่ะ
เดี๋ยวนี้ จะหัดแต่งนิยายแล้วเหรอคะ


โดย: Black Tulip วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:8:56:37 น.  

 
ขอคารวะ หัวใจคนเป็นแม่ค่ะ

คุณแม่ชีศันสนีย์ ที่เสถียรธรรมสถาน กล่าวไว้ว่า
ธรรมชาติไว้ใจและ ให้เกียรติกับผู้หญิงมากที่สุด
ในการได้รับความไว้วางใจจากธรรมชาติ ให้เป็น
" แม่ " ......

ไม่เก่งก็ต้องเก่ง ทั้งเก่ง ทั้งแกร่ง ทั้งต่อสู้ เพื่อที่สุด
แล้วแห่งความรัก เลือดในอก คือ ลูก เลือดเนื้อ
และส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของตัวเอง
ความรักของแม่ยิ่งใหญ่อย่างนั้น ...น้องพิมยังเชื่อมั่น
อีกด้วยว่า แม่เป้นผู้นำทางจิตวิญญาณคนแรกของลูก
สอนความอ่อนโยน และเข้มแข็ง ให้ลูก โดยเฉพาะ
ลูกชาย ...ความอ่อนโยนจาก แม่ พิมเชื่อว่า ทำให้
ผู้ชายเรียนรู้ตรงนี้ ....

อ่านแล้วน้ำตาซึมค่ะ
ไม่ใช่ซึมเพราะโศกนะคะ ซึมเพราะซาบซึ้ง ต่างหาก
ขอให้ แจ่มใส เบิกบาน มีพลังกาย พลังใจเต็มเปี่ยม
ในทุกๆ วันค่ะ

ด้วยความคารวะ ค่ะ


โดย: แก้มเล่า วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:9:12:18 น.  

 
เป็นเรื่องจริงครับ แต่ไม่ค่อยอยากจะเล่าเท่าไรเลย
ก็เป็นอีกฉากหนึ่งของชีวิตที่ยังไม่จบครับ
เพราะชีวิตยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
มันยังคงโลดแล่นต่อไปได้อีกนาน
สุดที่ใจเราจะไขว้คว้าครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:9:21:54 น.  

 
ปล. ข้างบนหมายถึงส่งถึงคุณจุ๊บนะครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:9:26:14 น.  

 
แม่คือผู้หญิงที่ทรงคุณค่ายิ่งนัก


โดย: p_tham วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:9:59:38 น.  

 
สวัสดีครับคุณจุ๊บ

อยากจะแต่งจริง ๆ นะ รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ก็ได้ แต่จริง ๆ ก็ไม่ง่ายนักหรอก นักประพันธ์น่ะเป็นได้ไม่อยาก แต่เป็นแล้วจะเลี้ยงตัวได้หรือเปล่ายังเป็นปัญหานะ จะมีสักกี่คนที่จะยิ่งใหญ่เท่า ป.อินทรปาลิตที่เขียนพลนิกรกิมหงวนหรือ เพชรพระอุมาของพนมเทียนที่เมื่ออ่านแล้วแทบจะวางไม่ลง อินมากเลยครับสมัยวัยรุ่นช่วงปิดเทอมเชื่อไหมว่าหนังสือนิยายเก่า ๆ ในตู้ที่ผู้ใหญ่ซื้อไว้ถูกหยิบมาอ่านหมด หรือช่วงที่ว่างงานช่วงจบใหม่ ๆ ก็ได้อ่านงานของนักเขียนหลาย ๆ คนเช่นกฤษณา อโศกสิน,ทมยันตี,ว. วินิจฉัยกุล และอีกหลาย ๆ คน......


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:10:07:00 น.  

 
วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่ตอบเพราะเป็นเรื่องเล่านะครับ
เอาเป็นว่าจะตอบในบางเรื่องและตอบรวม ๆ ที่เป็นข้อลสงสัยนะครับ.....


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:11:51:20 น.  

 
เท่าที่มีปฏิกิริยาตอบกับ ผมรู้สึกจะมีเพื่อน หลาย ๆคนที่มีความรู้สึกเดียวกัน จำได้เวลารถออกจากสถานีรถไฟตอนเปิดเทอมรู้สึกน้ำตาจะซึมครับ อาจจะเป็นที่วัยด้วยครับเพราะเรายังเด็กมากครับ

ความรู้สึกรักและคิดถึงแม่นี่คงป็นความรู้สึกร่วมของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้นะครับ

แม่ทำอะไรทุกอย่างได้เพื่อลูกนะครับแม้จะยากลำบากสักปานใด.......


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:12:09:46 น.  

 
จ้ะเอ๋

ทานข้าวหรือยังคะ ?
พิมกำลัง สงสัยว่าอะไรถูกอะไรผิด
ไป อ่านโคลงท่านอังคาร อีกทีได้ไหมคะ

จากคนรักแม่ด้วยกัน


โดย: แก้มเล่า วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:12:42:20 น.  

 


หัวใจของคนเป็นแม่... ยิ่งใหญ่เสมอนะคะ


@^_______^@



โดย: p_jung IP: 221.128.90.191 วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:22:38:33 น.  

 
หวัดดีครับ..มาเยี่ยมครับ


โดย: กุมภีน วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:22:43:34 น.  

 
คุณพิมครับ

ร้อน ๆจริง ๆครับคุยเรื่องภาคใต้ วันนี้คงมีอะไรใหม่ออกมาอีกเยอะก็จอตามดูสถานการณ์อีกทีนะครับแล้วจะคุยอีกทีครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:22:46:03 น.  

 
มาส่งเข้านอนจ้า


โดย: erol วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:0:18:21 น.  

 

แวะมาเยือนค่ะ
แล้วก็และเล็มละเลียดอ่านไปเรื่อยๆ


โดย: อังศนา วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:18:40:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.