วันเวลาที่ผ่านไปกับปัจจุบันที่มีคุณค่า...
วันเวลา
นาฬิกาเดินไปอย่างเชื่องช้า ความคิดคำนึงกลับวิ่งสวนทาง ความคิดสับสนและวิ่งกลับไปกลับมา มันเป็นเครื่องชี้ว่า เวลาต่อจากนี้ไป
"จงอย่าประมาทกับชีวิต แม้เดิมพันของมันจะไม่สูง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปแลกอะไรกับมันอีกต่อไป"
มีแต่การเริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงเท่านั้น จงเป็นดั่งนกน้อยทำรังแต่พอตัว เก็บเล็กผสมน้อยเพื่อการเติบใหญ่ในวันข้างหน้า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว หนทางนั้นอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือการลงแรงเพื่อฝ่าฟันไปสู่เส้นทางสายใหม่เท่านั้น
คิดน้อย ๆ แบบเด็ก ๆ
ยังจำวันคืนในอดีตได้เป็นอย่างดี ในยามเมื่อยังเป็นเด็ก การหัดทำอะไรใหม่ ๆ เราจะไม่ละความพยายามง่าย ๆ บาดแผลที่หัวเข่ายังมีรอยจารึกจนทุกวันนี้ ด้วยข้อจำกัดของร่างกาย ทำให้การฝึกขี่จักรยานเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุดเราก็ทำได้ มันเป็นการพิสูจน์อีกครั้งของความมานะพยายาม ในการก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ
ในยามนี้มีอะไรต้องหวาดกลัวอยู่อีกเล่า
มองไปข้างหน้า
สายน้ำไหลไปไม่หวนกลับ ลาลับห่างไปในภูผา มองดาววาววับในนภา อุราครุ่นคิดล่องลอยไป
วันนี้มีเพียงการเดินหน้า ฟันฝ่าอุปสรรคไม่หวั่นไหว บทเรียนสอนไว้อยู่ในใจ จำไว้ให้มั่นอย่าซ้ำรอย
| | |
|
12 มิถุนายน พ.ศ. 2550 07:00:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ท่านผู้อ่านคงทราบนะครับว่า ในยุคนี้เป็นยุคของการบริหารจัดการ ในรอบสิบปีที่ผ่านมา กระแสความตื่นตัวหรือความนิยมในเครื่องมือทางการบริหารจัดการต่างๆ เป็นไปอย่างมากมาย องค์กรต่างๆ ได้มีการนำเอาเครื่องมือทางการบริหารใหม่ๆ มาใช้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน หลักสูตร หรือหนังสือเกี่ยวกับพวกการบริหารใหม่ๆ ก็มีมาตลอด ผมเองได้มีโอกาสสอนและให้คำปรึกษาในด้านพวกเครื่องมือใหม่ๆ อยู่บ้างสมควร และพอสอนไปสอนมาก็ เกิดคำถามที่ว่าเราจะสามารถนำเครื่องมือทางการบริหารต่างๆ เหล่านี้ มาปรับใช้กับชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตประจำวันได้หรือไม่?
ถ้าเราลองนึกถึงบรรดาแนวคิดหรือเครื่องมือทางการบริหารต่างๆ ที่นิยมหรือกล่าวถึงกันอย่างมากในปัจจุบัน เช่น การวางแผนกลยุทธ์ การบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า Balanced Scorecard Competencies การบริหารความเสี่ยง การบริหารความรู้ ฯลฯ แล้วท่านผู้อ่านลองนึกย้อนดูนะครับว่าแทนที่เราจะนำเอาเครื่องมือทางการบริหารเหล่านี้มาใช้เฉพาะกับองค์กรที่เราทำงานอยู่นั้น เราสามารถนำมาใช้กับชีวิตของเราแต่ละคนได้หรือไม่?
เราลองมาเริ่มจากตัวพื้นฐานกันก่อนดีไหมครับ นั่นคือ การวิเคราะห์ทางกลยุทธ์ ซึ่งถ้าพูดถึงการวิเคราะห์ทางกลยุทธ์ปุ๊บ ทุกคนก็นึกถึงเจ้า SWOT หรือการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจำกัด กันทันทีครับ ซึ่งปกติเราก็มีการวิเคราะห์ SWOT ขององค์กรกันเป็นประจำอยู่แล้ว ทีนี้เราลองหันมาวิเคราะห์ SWOT ของเราแต่ละคนกันบ้างไหมครับ?
จริงๆ แล้ว ข้อสอบยอดนิยมข้อหนึ่งที่ผมชอบเวลาสอนนิสิตในระดับปริญญาตรี คือให้นิสิตทำการวิเคราะห์ SWOT ของตัวเองครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว คำตอบที่มองหาไม่ได้เป็นเพียงแค่วิเคราะห์ได้ถูกหลักการเท่านั้นนะครับ แต่จะดูด้วยว่านิสิตรู้จักตัวเองมากน้อยเพียงใด รู้ว่ามีสิ่งใดที่โดดเด่น หรือสิ่งใดที่ยังเป็นปัญหาอยู่หรือไม่? พร้อมทั้งทำให้เห็นว่าผู้ตอบคำถามนั้นได้พิจารณาในปัจจัยภายนอกต่างๆ นอกเหนือจากตัวเองบ้างหรือไม่
ที่สำคัญ คือเวลาท่านวิเคราะห์ SWOT ของตัวเอง ต้องวิเคราะห์ด้วยใจที่เป็นธรรมและด้วยข้อเท็จจริงนะครับ ไม่ใช่แค่ "คิด" มิฉะนั้น ท่านอาจจะพบว่าตนเองมีจุดแข็งเป็นสิบๆ ข้อ ส่วนจุดอ่อนไม่มีซักเรื่อง ในขณะเดียวกัน ถ้าท่านจะวิเคราะห์ SWOT ตัวเอง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำแค่ครั้งเดียวแล้วจบ (เหมือนทำให้องค์กร) นะครับ เนื่องจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ดังนั้น การวิเคราะห์ SWOT ของตัวท่านเอง ก็ต้องทำอย่างต่อเนื่องครับ
ประโยชน์สำคัญของการวิเคราะห์ SWOT ตัวเอง ก็เพื่อให้ท่านได้ย้อนกลับมาวิเคราะห์และพิจารณาตัวเองอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งครับ เป็นการสำรวจตัวเอง เพื่อทำความรู้จักตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งยิ่งเรารู้จักตัวตนของตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งจะเป็นสิ่งที่ดีต่อเรามากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนั้น ก็ยังเป็นการบังคับให้เราเปิดหูเปิดตาให้กว้างไกลด้วย มิฉะนั้น เราก็จะไม่มองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราเป็นโอกาสหรือข้อจำกัด เพียงแต่จะมองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น เชื่อว่าถ้าท่านผู้อ่านได้วิเคราะห์ SWOT ตัวเองอย่างเที่ยงธรรมและต่อเนื่องแล้ว ท่านผู้อ่านจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งในตัวและรอบตัวท่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ
เมื่อเราวิเคราะห์ SWOT ของตัวเองเสร็จแล้ว ก็มาเข้าสู่กระบวนการในการบริหารกลยุทธ์กันเลยดีกว่าครับ เริ่มจากการกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจ ผมขอเริ่มที่ การกำหนดพันธกิจหรือภารกิจ (Mission) ก่อนนะครับ
สำหรับองค์กรแล้วเจ้าพันธกิจ จะบอกให้รู้ถึงสาเหตุของการดำรงอยู่ บอกให้รู้ถึงบทบาทหน้าที่ สิ่งที่ต้องทำ เป็นกรอบในการดำเนินงานขององค์กร ซึ่งถ้าเรานำมาปรับใช้กับตัวเราเอง เราก็สามารถเขียน Mission Statement ออกมาได้เช่นกันครับ โดยเป็นการระบุถึงบทบาทหน้าที่ของเราครับ ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? (ฟังดูแล้วอลังการมากครับ) เรามีหน้าที่อะไรในสังคม และสิ่งที่เราทำอยู่นั้นก่อให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าอย่างไรต่อสังคมบ้าง?
จริงๆ แล้ว ถ้าเราทุกคนตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง และทำตามบทบาทหน้าที่นั้นอย่างเต็มความสามารถ เชื่อว่าสังคมคงจะเจริญกว่านี้เยอะนะครับ อย่างไรก็ดี ในอีกมุมมองหนึ่งการกำหนดพันธกิจของตัวเองนั้น ก็เปรียบเสมือนเป็นการบอกว่าจะไม่ทำอะไรบ้าง หรือถ้าในภาษากลยุทธ์เราก็จะบอกว่า กลยุทธ์คือการเลือกที่จะไม่ทำอะไร (Strategy = Trade-Off) ซึ่งหลักการก็ง่ายๆ ครับ เนื่องจากเราไม่สามารถเป็นทุกอย่างให้กับทุกคนได้ ดังนั้น เจ้าตัวพันธกิจของเราจะบอกเราอย่างชัดเจนเลยครับว่า เราเลือกที่จะเป็นอะไร มีบทบาทหน้าที่อย่างไร
สำหรับวิสัยทัศน์นั้นก็ยิ่งน่าสนใจครับ ท่านผู้อ่านเคยเขียน Vision Statement หรือแค่คิดก็ได้ครับ ว่าสิ่งที่ท่านอยากจะเป็นในอีก 3-5 ปีข้างหน้านั้นคืออะไรไหมครับ? เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้บอกหรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ในเมื่อเราเขียนวิสัยทัศน์ให้กับองค์กรได้ ทำไมเราจะไม่เขียนหรือระบุวิสัยทัศน์ของตัวเราเองขึ้นมาบ้างละครับ? อย่างน้อยก็จะทำให้เราได้เห็นหรือวาดภาพไว้ในสิ่งที่เราอยากจะเป็นหรือต้องการจะเป็นในอนาคต ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะบอกว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ถ้าเรากำหนดกลยุทธ์ดีๆ ความฝันนั้นก็อาจจะเป็นจริงได้นะครับ
สัปดาห์นี้เริ่มต้นที่ SWOT พันธกิจ และวิสัยทัศน์ก่อนนะครับ เอาไว้ในสัปดาห์หน้าเรามาดูกันต่อนะครับว่า จะนำเรื่องของการวางแผนกลยุทธ์มาใช้กับชีวิตของเราได้อย่างไร
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย