บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
4 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
มั่นคงดุจขุนเขา....ย่างก้าวเข้าท้าทาย...สู่จุดหมายดังมุ่งหวัง







ในยามความเหงาเข้าเกาะกุม
ฉันนั่งมองท้องน้ำข้างหน้า
ด้วยสายตาที่ไร้จุดหมาย
ทางเดินข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
หากจิตใจยังอ่อนแรง

เรียกความมั่นใจกลับคืนมา
ทิ้งไว้กับอดีตแต่หนหลัง
กล้าที่จะมองไปข้างหน้า
ไม่หวั่นในอุปสรรคที่ขวางกั้น
ดุจดังขุนเขาอันมั่นคง









ดอกหญ้าสีขาวดูงามตา
ความงดงามของเจ้า
ช่วยทำให้จิตใจของข้า
พลันสงบลง












จุดมุ่งหมายข้างหน้า
จะสดใสหรือพร่ามัว
ล้วนอยู่ที่ใจกำหนด
เมื่อย่างก้าวเข้าท้าทาย
มีหรือเป้าหมายจะถอยห่างออกไป





ดอกไม้คุณธรรมนำทางแล้ว
ดูเพริศแพร้วงดงามละลานยิ่ง
บานสะบัดโบกไสวไม่ประวิง
ดั่งคนจริงยืนกล้าขึ้นท้าทาย

ดอกไม้หลากสีสันในวันนี้
พูนทวีเข้าสืบแทนเป็นเส้นสาย
ร่วมยืนหยัดต่อสู้ไม่เสื่อมคลาย
ด้วยใจกายขอมอบไว้เป็นชาติพลี

จะยืนหยัดร่วมต่อสู้ไม่เสื่อมคลาย
ด้วยใจกายขอมอบไว้เป็นชาติพลี






............................................................



เดินทัพทางไกล การขยายตัวเชิงปริมาณสู่คุณภาพ

จากปรากฏการณ์สนธิสู่การรวมตัวเป็นองค์กรแนวร่วมภาคประชาชนขนาดใหญ่ในนาม
"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"
จากพันธมิตรฯที่รวมตัวในเมืองหลวงสู่การรวมตัวเป็นพันธมิตรในหัวเมืองใหญ่
จากพันธมิตรในหัวเมืองใหญ่สู่พันธมิตรในแต่ละจังหวัด
การขยายตัวในเชิงปริมาณดูจะขยายไปดั่งประกายไฟไหม้ลามทุ่ง
ไม่มีใครผู้ใดจะหยุดยั้งการขยายตัวเหล่านี้ได้
และนับวันการขยายตัวในเชิงปริมาณกำลังจะพัฒนาไปสู่การขยายตัวในเชิงคุณภาพ


นั่นคือเป็นขบวนการที่มีการแตกตัวและมีการจัดตั้งที่เป็นขบวนการสร้างชาติไทย
พัฒนาอุดมการณ์การเมืองใหม่ที่แหวกออกจากกรอบเดิม ๆ ที่เป็นระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
สู่ระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
สู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงที่สามารถแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชาติได้อย่างแท้จริง

นั่นคือเป็นประชาธิปไตยทั้งในเชิงวัฒนธรรม วิถีชีวิต การเมือง สังคมและเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้าน

วันนี้แม้หนทางจะยาวไกล
แต่พี่น้องบนถนนราชดำเนิน
ยังคงยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันอย่างเหนียวแน่น
เพื่อยืนยันในเจตนารมณ์การสร้างชาติใหม่ สร้างการเมืองใหม่
ด้วยจิตใจอันทรหดอดทนไม่กลัวความยากลำบากทั้งมวล
ช่วงชิงโอกาสต่าง ๆ ที่เป็นคุณไปสู่ชัยชนะเป็นลำดับขั้น
ขอส่งกำลังใจมายังพี่น้องประชาชนทุกท่านมา ณ ที่นี้

ประชาชนผู้มีพลังทางศีลธรรมที่ตื่นรู้
ผู้ที่จะปลุกให้ชาวไทยทั้งผองตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลอันยาวนาน!!







บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่


ลิ้งค์" เส้นทางน้ำมัน ปตท.รู้แล้วจะทึ่ง
" คลิกที่นี่





Create Date : 04 มิถุนายน 2551
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 6:29:38 น. 32 comments
Counter : 1655 Pageviews.

 
ถ้าการมั่นคงในคำว่ารักเปรียบเทียบได้กับจิตใจที่มั่นคงแม้กายจะไม่ใช่ของเค้า แต่ใจฉันยังมั่นคงกับเค้า แม้ไม่ดุจคั่งขุนเขา แต่สักวันถ้าฉันมีโอกาส..ฉันจะแต่งงานหรือมีครอบครัวก็ตามฉันก็จะตามหาเค้าให้เจอ ถ้าฉันไม่ตายไปเสียก่อน ฉันอยากเจอเค้าเพื่อสัญญาและความซื่อสัตย์ต่อหัวใจของฉัน คุณเชื่อไหมว่า "ฉันรักผู้ชายที่ฉันไม่รู้จักเค้า"แต่ฉันก็ยังรักเค้าเสมอมาแม้เค้าจากไป 2 เดือนกับอีก3วันและคงตลอดไป แต่ใจฉันจะมั่นคงกับเค้า ฉันก็แค่รักเค้า รักโดยที่ไม่มีเหตุผล รักแม้เค้าจะไม่รับรู้ว่าฉันรักเค้า ฉันอยากบอกผ่านบล็อก"ฉันรักและคิดถึงคุณเสมอ"


โดย: 600/546 n+n IP: 124.121.132.247 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:16:30:53 น.  

 
การเดินทาง
มักจะพานพบและลบพรากบางสิ่ง




โดย: larnkawee วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:19:17:36 น.  

 
สวัสดีค่ะ..

แวะมาชวนไปดูคอนเสิร์ตที่ธรรมศาสตร์ค่ะ

รู้จักใครในรูปบ้างหรือเปล่าค่ะ..

เกิดทันไหมค่ะ..ฮิๆ
zwani.com myspace graphic comments
Orkut Graphics
ขอให้มีความสุขมากๆนะค่ะ


โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:18:15:32 น.  

 




วันนี้..วันพระขึ้น15 ค่ำ เดือน
พระจันทร์งามยิ่ง..แม้เมฆบัง
สายฝนฉ่ำอุราอย่าหม่นหมอง
ละกิเลสได้หนึ่งวันใจสุขขี
ถึงจะเพียงน้อยนิดจิตสดใส

ทุกคืนก่อนหลับนอน จงตั้งใจนึกถึง ความดีงาม
หรือบุญกุศล ที่ตัวเราได้สร้างกุศลไว้
แล้วแผ่ส่วนกุศลให้แด่ เจ้ากรรมนายเวร
ผีสางเทวดา มวลหมู่ศัตรูคู่แข่ง คนที่เราเกลียด
และผู้ที่มีพระคุณ..เสมอ

ขอให้มีความสุขและสมหวังในสิ่งคิดทุกคนนะค่ะ
สำหรับมิตรที่ดีเสมอจากมิตรภาพด้วยหัวใจค่ะ

อนุโมทนากัลยณมิตรมีสุขอิ่มบุญทุกคนนะค่ะ



เพลงนี้เพราะจังเลยค่ะ
ชอบเสียงเธอค่ะเพราะจัง
มีความสุขเสมอนะค่ะ



โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 18 มิถุนายน 2551 เวลา:23:44:52 น.  

 


มองทิวทัศน์เบื้องหน้า
ด้วยความสบายตา

ผ่านวันคืนที่ถูกปิดล้อม
ด้วยใจที่ยอมรับและกล้าเผชิญกับความจริง
เป็นอีกครั้งที่แนวทางอหิงสา
จะพิสูจน์การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ


พวกเราล้วนเป็นพี่น้องกัน
เราจะร่วมกันสร้างชาติขึ้นมาใหม่
วันคืนอันโหดร้ายกำลังจะผ่านไป
ลืมความแตกต่าง
ร่วมจับมือกันอีกครั้ง
เพื่อประเทศอันเป็นที่รักของเรา
พบกันหน้าทำเนียบรัฐบาล
ยืนยันความเป็นเจ้าของประเทศตัวจริง


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:9:26:09 น.  

 
กลุ่มหมอกควันลอยเคว้งดว้าง
ความหนาวเย็นแผ่คลุมในวงกว้าง
ทางเดินข้างหน้าไม่มีใครล่วงรู้ได้
แต่ความเปลี่ยนแปลงด้วยน้ำมือมนษย์
ต่างเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และมนุษย์ต่างก็สรุปบทเรียนจากมันเช่นกัน

ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ความเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์ที่มีความแตกต่างทางความคิด
เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องการเวลาในการเคลื่อนตัว
วันนี้พลังทางศีลธรรมของคนทุกหมู่เหล่า
จะประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า

"พวกเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้องในแผ่นดินนี้"


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:9:30:56 น.  

 


ศรัทธายังมุ่งมั่น
ทุกคืนวันที่ใฝ่ฝัน
ก้าวเดินไปด้วยกัน
ร่วมฝ่าฟันสู่เส้นชัย

ชนะหรือพ่ายแพ้
ขอเพียงแต่สู้สุดใจ
ฟ้าดินจะคุ้มภัย
ให้มวลไทยมีเสรี

วันคืนที่เปลี่ยนผ่าน
ร่วมประสานด้วยศักดิ์ศรี
พลังใจเท่าที่มี
ขอน้อมพลีเพื่อมวลชน

พลังทางศีลธรรม
จะน้อมนำไปสู่ผล
ยั่งยืนเพื่อทุกคน
ให้แผ่นดินอยู่คู่ไทย


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:9:33:47 น.  

 
ชอบภาพฝนตกจังเลยค่ะ


โดย: กระจ้อน วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:11:50:25 น.  

 
สวัสดีค่ะ มาอ่านบทกวี
มาฝากกำลังใจไปถึงนักรบทุกท่าน
ขอจงมีชัย


โดย: นกแสงตะวัน..ที่ราบสูง IP: 125.26.183.5 วันที่: 21 มิถุนายน 2551 เวลา:11:32:06 น.  

 
ฝนหลั่งลงโลมดิน
นกโผผินคืนกลับรัง
เลือดรินที่ไหลหลั่ง
กี่ศพพลีเพื่อชาติไทย

ชนะหรือพ่ายแพ้
นั้นเพียงแค่บทหนึ่งไซร้
ทางเดินอีกยาวไกล
ลูกหลานไทยร่วมฝ่าฟัน

ร่วมสร้างแผ่นดินเกิด
ให้บรรเจิดสมดั่งฝัน
รุดหน้าทุกคืนวัน
เพื่อผองไทยมีเสรี

รุดหน้าทุกคืนวัน
เพื่อผองไทยมีเสรี


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:14:07:39 น.  

 
พิราบขาวบินฝ่าคลื่นลมแรง
ท้าทายอำนาจอธรรมที่ครองเมือง
แม้ครานี้ปีกของเจ้าจะอ่อนล้าและโรยแรง
แต่มวลชนอันไพศาลจะโอบเจ้าเอาไว้
ขอเพียงแต่เจ้าจงรักษาพลังของเจ้า
เข้าร่วมประสานกับมวลชน
อย่างสุดจิตสุดใจ

ยืนหยัดต่อสู้จนกว่าจะได้ชัยมา


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:14:08:55 น.  

 
ดอกไม้หลากสีสัน
บานสะพรั่งขึ้นเต็มลานทำเนียบรัฐบาล
สัญญลักษณ์แห่งอำนาจที่จะชี้ความเป็นความตายของประเทศนี้
เป็นอีกครั้งที่ดอกไม้มวลชน
ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความทรหดอดทน
มุ่งมั่นสู่จุดหมายที่ท้าทาย
อย่างไม่ระย่นระย่อต่อความยากลำบากทั้งมวล
ยืนหยัดต่อสู้ท่ามกลางแดดฝนลมแรง
ต่อหน้าผู้กุมอำนาจรัฐที่โฉดชั่ว

วันนี้มวลชนอันไพศาลได้ลุกขึ้นประกาศให้ชาวโลกได้ล่วงรู้
ถึงเจตนารมณ์ที่งดงามเพื่อการสร้างชาติใหม่

ผองเราจะก้าวเดินไปด้วยกันจนกว่าจะได้ชัยมา !!


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:14:10:06 น.  

 
สวัสดีค่ะ..

คุณเคยบวชพระหรือเปล่าค่ะ..

อยากจะถามว่า ถ้าเกิดได้บวช

แล้วมีคนถักของใช้เครื่องบริวารถวายพระ..

จะยอมใช้หรือเปล่าค่ะ..

ดูรูปจากในblogค่ะ..

zwani.com myspace graphic comments
Candy Bar Dolls
ขอให้มีความสุขมากๆนะค่ะ


โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 26 มิถุนายน 2551 เวลา:8:56:36 น.  

 
คัดจากผู้จัดการ

ทำไมรัฐต้องพยายามหาทางขึ้นราคา LPG

--------------------------------------------------------------------------------

พี่ที่ ESSOส่งมาให้ครับ (ทำไมรัฐต้องพยายามหาทางขึ้นราคา LPG)

ผมได้มีการรวบรวมข้อมูลและประมวลสถานะการ์ณต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนี้
เรื่องของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย ไม่ว่าเป็น ดีเซล เบนซิน แก๊สโซฮอลNGV หรือ LPG ต่างก็ยังไม่ได้ลอยตัวครับ ถ้าให้ลอยตัวเหมือนกันหมดราคาเชื้อเพลิงที่กล่าวถึงก็คงจะขึ้นราคา แต่คงไม่เกิน 3 บาทต่อลิตรครับ แต่ที่ ปตท. ซึ่งไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ เป็นบริษัทเอกชน เช่น เอสโซ เชลล์ มาออกข่าวว่าต้องขึ้นราคาแก๊ส LPG อีก 11 บาทนั้น เขาอ้างอิงจากราคาตลาดโลก แต่ประเทศไทยผลิตได้เองส่วนหนึ่งจากแหล่งผลิตในประเทศ และจากการกลั่นน้ำมันดิบ

ประเทศในยุโรป ไต้หวัน เกาหลี อินเดีย และอีกหลายประเทศ รัฐบาลเขามีนโยบายสนันสนุนผู้ใช้แก๊ส ทั้ง NGV และ LPG ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ในครัวเรือน หรือในการขนส่ง ด้วยสาเหตุที่ว่า แก๊ส LPG และ NGV เป็นเชื้อเพลิงสะอาด ( cleanfuel) หรือพลังงานสะอาด (clean energy) ลดมลภาวะในอากาศที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงประเภทเบนซินหรือดีเซล ประโยชน์ที่ได้รับจากการสนับสนุนตรงนี้คุ้มกว่าผลเสียที่ก่อให้เกิดทางสังคม เช่นโรคทางเดินหายใจ หรือโรคอื่นๆ มาก หลายประเทศรัฐบาลเขาออกมาประกันราคา NGV และ LPG ว่าจะไม่ขึ้นภายในเวลาหนึ่ง เพื่อส่งเสริมให้ประช าชนเขาลงทุนติดตั้งระบบแก๊สในรถยนต์

ในประเทศไทย การใช้แก๊ส LPG ในรถยนต์มีมามากกว่า 20 ปีเท่าทีผมจำความได้หรือมากกว่านั้น ถ้าจำไม่ผิดรัฐบาลเองในยุคก่อนมีนโยบายส่งเสริมการใช้ LPG เหมือนกับประเทศอื่นๆ ด้วยซ้ำ

แต่มาในยุค ปตท. แปรสภาพจากรัฐวิสาหกิจที่เป็นสมบัติของคนทั้งประเทศ ไปเป็นบริษัทเอกชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ( ด้วยการขายหุ้นราคาถูกกว่าราคาจริงเบื้องต้น เปรียบเสมือนเอาสมบัติของประเทศมาขายในราคาต่ำกว่าราคาจริง ให้กับพวกพ้องคนรวยไม่กี่ตระกูล) รัฐบาลกับมีนโยบายสนับสนุนการใช้ NGV ในรถยนต์ โดยให้คำมั่นว่าจะคงราคา NGV ไว้ที่ กก. ละ 8.50 บาท ส่วน LPG ที่เคยส่งเสริมนั้นไม่พูดถึง แต่มาเร็วๆ นี้ ปตท. และ รัฐบาล ออกมาอ้างว่าต้องขึ้นราคา LPG เพราะอุ้มสุดตัว และบีบผ่านทาง ปตท. ไม่ให้เกิดปั้มแก๊ส LPG หรือด้วยวิธีการอื่นๆ และจะขึ้นราคา NGV อีก

... ทีนี้มาตอบข้อสงสัยว่าทำไม ปตท. หรือรัฐบาล ผ่านกระทรวงพลังงาน สนับสนุนการใช้ NGV สุดตัว และพยายามบีบให้เลิกใช้ LPG มีดังนี้

1. ปตท. เป็นผู้ผูกขาดธุรกิจ NGV แต่ผู้เดียวในประเทศไทย ไม่มีการแข่งขัน
2. ปตท. รับซื้อแก๊สธรรมชาติ (natural gas) จากพม่าผ่านทางท่อส่งมายังราชบุรีซึ่งการวางท่อส่งแก๊สนี้ทำให้เกิดปัญหากระทบกระเทือนสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นการลงทุนของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ปตท. ที่เรารู้กันอยู่ ปตท. จำเป็นต้องขาย NGV ให้มากที่สุดเพื่อคุ้มกับเงินที่ต้องจ่ายให้พม่าเป็นค่าแก๊ส
3. ปตท. ต้องแสดงผลประกอบการเป็นกำไร เพื่อให้ผู้ถือหุ้น (ใหญ่) พอใจ เพื่อให้ผู้บริหาร ปตท. ได้อยู่ในตำแหน่ง ได้รับผลประโยชน์เป็นเงินเดือนค่าจ้าง สวัสดิการ ที่สูงลิ่ว
4. นักการเมืองที่ดูแลกระทรวงพลังงาน เป็นอดีตพนักงานระดับสูงของ ปตท.
5. ปตท. สนับสนุนการใช้ NGV ด้วยการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการสนับสนุนราคาถังแก๊ส NGV จำนวนหนึ่ง แต่ไม่ยอมลงทุนสร้างปั้มแก๊ส NGV ให้ทั่วประเทศ และระบบส่งแก๊ส NGV ไม่สามารถหาผู้ร่วมลงทุนจากเอกชนรายอื่นๆ ได้ เพราะเขารู้ว่าไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เป็นเหตุผลทางการเมืองและผลประโยชน์ของ ปตท. เอง (ขอย้ำว่าไม่ใช่ผลประโยชน์ต่อสังคม) อีกทั้งข้อจำกัดทางเทคนิค ไม่เป็นที่นิยมของผู้ใช้รถยนต์เท่าLPG ปตท. จึงต้องหามาตรการอื่นมาบีบการที่ ปตท. ทำอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจเพราะเป็นบริษัทเอกชน ย่อมหาหนทางใดๆก็ได้เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ( ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่ผลประโยชน์ของสังคม) แต่การที่ภาครัฐผ่านทางกระทรวงพลังงานเลือกปฏิบัติโดยสนับสนุนการใช้ NGV ในรถยนต์สุดตัว โดยไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ เช่น ระบบการส่งแก้ส NGV ปั้มแก๊ส NGV และบีบการใช้ LPG ในรถยนต์ ถือว่าไม่เหมาะสม รัฐบาลควรให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างถูกต้องถึงผลได้ผลเสียต่อสังคมของการใช้พลังงานทางเลือก และควรกำกับดูแลไม่ให้บริษัทเอกชนบริษัทใดบริษัทหนึ่งเอาเปรียบสังคม เรื่อง ปตท. บีบไม่ให้ตั้งปั้มแก๊ส LPG เป็นเรื่องจริงครับ เมื่อ 26 ธ.ค. 48 ผมคุยกับ เจ้าของกิจการโรงบรรจุแก๊สแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เขาบอกว่าค่าการตลาดจากการขายแก๊ส LPG สูงคุ้มค่ากับการลงทุนเปิดปั้มแก๊สเติมรถยนต์มากกว่าการเปิดปั้มเบนซิน ดีเซลแต่ ปตท. บีบไม่ให้ตั้ง มิฉะนั้นจะไม่ส่งแก๊ส LPG ให้ และแก๊สที่มาส่งก็มาจากแหล่งผลิตในประเทศที่ลานกระบือนี่เอง ส่วนการตั้งปั้มแก๊ส NGV เขาไม่กล้าลงทุน เพราะแพงมาก มีรถยนต์ใช้น้อยไม่คุ้ม และมีอุปสรรคเรื่องระบบขนส่งแก๊ส NGV

... ทีนี้มาตอบข้อสงสัยว่าทำไม ปตท. หรือรัฐบาล ผ่านกระทรวงพลังงาน สนับสนุนการใช้ NGV สุดตัว และพยายามบีบให้เลิกใช้ LPG LPG สามารถกลั่นจาก น้ำมัน(ซึ่งมีต้นทุนสูงนำเข้า) และก๊าซธรรมชาติ( ซึ่งมาจากอ่าวไท ยของเราเอง) NGV ( ก๊าซมีเทน)ได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติซึ่งมีอยู่ประมาณ 66 mol% LPG (c3+c4) 6 mol% แล้วทำไมจะไม่ควรสนับสนุนการใช้ NGV จะซื้อน้ำมันต่างชาติมากลั่นทำไม

อ้างอิงข้อมูลของกระทรวงพลังงานที่เป็นข้อมูลราชการ ที่
//www.eppo.go.th/info/T25.html

เรานำเข้า natural gas ปี 2005 156,733 bbl/day จากปริมาณการใช้
568,742 bbl/day หรือ 27.55 % ของการใช้ในประเทศไทย ซึ่งก็คือนำเข้าจาก
พม่า เสียเงินตราต่างประเทศให้พม่า

ข้อมูลการส่งออก LPG ครับ จากกระทรวงพลังงาน ตาราง 34 ที่
//www.eppo.go.th/info/T34.html
ไทยส่งออก LPG ปี 2005 เฉลี่ยเดือนละ 150 ล้านลิตร เป็นอัตราที่เพิ่มขึ้น 8.5 % จากปี 2004 ( นั่นคือส่งออก LPG มากขึ้น) ขณะที่ปริมาณแก้ส LPG ที่ใช้ในรถยนต์ของไทยประมาณปีละ 100 ล้านลิตร หรือแค่ 10% ของแก้ส LPG ที่ส่งออกทั้งปี ยังมีเหลือ อีกมากสำหรับสนองความต้องการในประเทศซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในครัวเรือนและอุตส าหกรรม LPG ได้มาจากสามแหล่งครับ คือ หนึ่ง เป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันดิบทำเบนซิน ดีเซล ถ้าไม่ใช้ก็ต้องเผาทิ้ง สอง ปนมากับน้ำมันดิบที่ขุดได้จากบ่อน้ำมันหรือแก้ส ถ้าไม่ใช้ก็ต้องเผาทิ้ง สาม กลั่นจากแก้สธรรมชาติ ( natural gas) ส่วน NGV ได้มาจากการกลั่นจากแก้สธรรมชาติ

NGV เหมาะสำหรับรถสาธารณะขนาดใหญ่เนื่องจากอุปกรณ์ยุ่งยากราคาสูงและต้องใช้ถังแก้สความดันสูงจำนวนมาก

จากการศึกษารายงานนโยบายการใช้พลังงานของ APEC ที่ไทยเป็นสมาชิกหนึ่งในยี่สิบเอ็ดประเทศ ไทยเป็นประเทศเดียวที่จำกัดการใช้ LPG และส่งเสริม NGV ในรถยนต์ทั้งๆ ที่ผลิต LPG ได้เกินความต้องการต้องส่งออกไปขาย และยังต้องสั่งแก้สธรรมชาติ จากพม่าเป็นปริมาณประมาณหนึ่งในสี่ของการใช้ในประเทศฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ออสเตรเลีย ต่างส่งเสริมและสนับสนุนการใช้แก้ส LPG ในรถยนต์ ด้วยมาตรการทางภาษีและสนับสนุนราคา LPG ให้ต่ำกว่าเบนซิน ดีเซล ประมาณครึ่งหนึ่ง ประเทศที่กล่าวมายกเว้นออสเตรเลียต่างต้องนำเข้า LPG ไม่มีแหล่งเองเหมือนประเทศไทย

ฮ่องกงเอง ได้เปลี่ยนให้รถแทกซี 90 เปอร์เซ็นต์มาใช้แก้ส LPG ด้วยการให้เงิน
สนับสนุน และกำลังมีโปรแกรมใหม่ที่จะเปลี่ยนรถบัสเล็ก 5,000 คันมาใช้แก้ส LPG ( ย้ำ LPG) ด้วยเงินสนับสนุนและมาตรการส่งเสริมของรัฐบาล เราผลิต LPG ได้ปีละประมาณ 3,200 ล้านลิตรส่งออกประมาณ 800 ล้าน (25%)
ใช้กับยานยนต์ (แบบเว่อร์ๆ 2 เท่าเลย) 200 ล้านลิตร

ที่เหลืออีก 2,200 ล้านลิตร หายไปไหนครับ ???

ไปอยู่ภาคครัวเรือน ให้ประชาชนใช้หุงต้ม 1,000 ล้าน
อยู่ภาคอุตสาหกรรม ทำอาหาร ทำแก้ว หลอมโลหะ ฯลฯ อีก 1,200 ล้าน

แล้วไอ้ที่มาโกหกปาวๆๆๆ ว่า รถยนต์ใช้แกส ทำให้โครงสร้างพลังงานเสียหาย เพราะรัฐฯ ต้องชดเชยถึงกิโลละ 11 บาท .. หรือลิตรละ 6 บาท (มาได้งัยก็ไม่รู้) .. ชดเชยให้ใครกัน ?

ชดเชยให้คนใช้รถ .. 200x6 = 1,200 ล้าน
ชดเชยให้คนทำกับข้าวกิน .. 1,000x6 = 6,000 ล้าน (สาธุ)
ชดเชยให้พ่อค้านายทุน ผลิตสินค้า = 1,200x6 = 7,200 ล้าน (ก็ .. ยังดี .. ของ
จะได้ไม่แพง)
ชดเชย (( Embedded image moved to file: pic06840.gif)Huh!!!!?? ชด
เชยทำไม) ให้กับการส่งออก 800x6 = 4,800 ล้าน!!!!!

บ.น้ำมัน ไม่รวยพุงปลิ้นวันนี้ ก็ไม่รู้จะพูดงัยแล้ว...

เบนซิน 91 หรือเบนซิน 95 ต้องนำเข้าน้ำมันดิบ 100 %
แก๊สโซฮอล นำเข้าเป็นน้ำมันดิบเพื่อกลั่นเป็นเบนซิน 90 % และยังเป็นเอธานอลส่วนหนึ่งที่เราผลิตไม่พอ ดังนั้นเท่ากับนำเข้ามากกว่า 90 % แต่รัฐบาลโปรโมตสุดลิ่มทิ่มกบาล

LPG ไม่ต้องนำเข้าเพิ่มเติม ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบส่วนหนึ่ง กับแยกจากแก๊สธรรมชาติของไทยหรือพม่าอีกส่วนหนึ่ง มีเหลือขายต่างประเทศ
ลองใช้หัวแม่เท้าคิดดูก็แล้วกันครับ ใช้เบนซิน 100 ล้านลิตร หรือแก๊สโซฮอล 90 ล้านลิตร ก็ต้องนำเข้าน้ำมันดิบในจำนวนที่มากกว่า
ใช้ LPG 100 ล้านลิตร ไม่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพราะจากกระบวนการกลั่นเหลือใช้จนต้องขายต่างประเทศ
การนำ LPG 100 ล้านลิตรมาใช้แทนน้ำมัน เมื่อเทียบกับการใช้เบนซิน 90 ล้านลิตร หรือ เบนซินในแก๊สโซฮอล 80 กว่าลิตรแบบไหนจะเสียเงินตราของชาติมากกว่ากัน ( ให้อัตราสิ้นเปลือง LPG มากกว่าประมาณ 10 %) แบบไหนประหยัดเงินตราของชาติ มากกว่ากัน ต่อให้คิดโดยเสมอภาคนั่นคือหากชดเชยก็ชดเชยเท่ากัน หรือไม่ชดเชยก็ต้อง ไม่ชดเชยเหมือนกัน ค่าการตลาดต่อลิตรเท่ากัน

*** จุดที่จะประหยัดเงินตราต่างประเทศมากที่สุดคือ จุดที่มีจำนวนผู้ใช้ LPG มากขึ้นจนแทบไม่มีเหลือส่งออก เพราะเราก็ไม่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่าเดิม
หากจำนวนคนที่ใช้ LPG เพิ่มขึ้นจากเดิมจนถึงจุดที่เราแทบไม่เหลือ LPG ส่งออกนอกนั้น ใช้เบนซินหรือโซล่า หรือแม้แต่แก๊สโซฮอลก็ตาม จะต้องนำเข้าน้ำมันดิบอีกเท่าไหร่
อย่าเพิ่งไปกลัวเลยครับ ผมว่าที่ปตท ออกมาขู่เรื่องราคาแก๊ส lpg ว่าราคาจะลอยตัว ราคาที่แท้จริงต้องบวกเพิ่มอีก 9 บาท ต่อลิตร ตกลิตรละ 18 บาท สงสัยจะเป็นอุบาย ของปตท ที่จะทำให้คนที่คิดจะติด lpg ลังเลใจแล้วมาติด ngv แทน เพราะปัจจุบัน ngv ขายไม่ออก ที่เขาบอกว่า lpg ราคาขึ้นเป็น 600 ดอลล่า/ตัน ถ้าวิเคราะห์ดูดีๆ ตันหนึ่งมี 1000 กก 1 กกมี 1.8 ลิตร 1 ตันเท่ากับ 1800 ลิตร 600 ดอลล่าเท่ากับ 24000 บาท คิดแล้วลิตรหนึ่งตก 13 บาทกว่าเท่านั้นเอง นี่ยังไม่รวมถึงแหล่งที่มาของราคาที่เขาใช้เป็น ราคากลางด้วยว่า 600 ดอลล่า/ตัน มาจากที่ไหน ที่อื่นที่ถูกกว่านี้ก็มี เช่นซื้อมะม่วงแถว ต่างจังหวัด ราคาย่อมถูกกว่าที่ไปซื้อที่สีลมอยู่ดี อีกอย่าง lpg เราก็ผลิตได้เองบางส่วน จะมาอ้างราคาตลาดโลกได้อย่างไร ทำไมไม่ตั้งราคาขาย มะม่วงทุเรียน และผลผลิต ทางการเกษต ที่เราผลิตได้ในประเทศ ให้มีราคาสูงเหมือนที่ขายในญี่ปุน ในอเมริกาละ โดยอ้างราคาตลาดโลกบ้าง ขายทุเรียนลูกละซัก 2000 บาทไปเลยซิ คิดว่าประชาชนโง่ เหมือนควายเหรอครับ รัฐบาลอย่ามาขูดรีดขูดเนื้อประชาชนเลยครับ

นี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ขอให้ทุกท่านร่วมหาทางแก้ไขอีกทั้ง รัฐบาลเราคงหวังเพิ่งพาอาศัยไม่ได้แล้ว

** ช่วยอัพกันหน่อยนะครับ เผื่อเพื่อนๆที่ยังไม่ได้อ่าน**
ข้อมูลจาก : FW.mail
รักเมืองไทย รักคนดี


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:4:22:46 น.  

 
คัดจากมติชน

ขอบเขตการคิดที่แตกต่าง

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์

โดย ประสาน ต่างใจ //jitwiwat.blogsport.com แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)



การคิดของมนุษย์เรานั้น เกี่ยวพันกับพื้นฐานของความรู้ที่ผู้คิดมีอยู่ในขณะนั้นหรือขณะใด และที่สำคัญยังขึ้นกับวิธีคิดวิธีวิเคราะห์ซึ่งขึ้นกับความใจกว้าง ความเป็นกลาง และประสบการณ์ของผู้นั้นอีกทีหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ผลของการคิดหรือความคิดของมนุษย์เราจึงแตกต่างกัน โดยเฉพาะหากเป็นความคิดของคนที่เป็นผู้นำทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ จนบางทีทำให้ประชาชนคนทั่วไปที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงสับสนและไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี

คนที่ได้รับความนิยม คนที่มีชื่อเสียง หรือคนที่ทำงานเฉพาะด้านนั้นๆ มานาน หรือเรียนจบมหาวิทยาลัยมาทางด้านนั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับสติปัญญาความฉลาด (Intelligence) แต่อย่างใด จึงมักได้เปรียบ เพราะทำให้สาธารณชนเชื่อว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดหรือเขียนหรือโฆษณานั้นคงจะเป็นข้อเท็จจริง

เราถึงได้มีความแตกต่างกระทั่งแตกแยกกัน หรือแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นพรรคเป็นพวก ดีไม่ดีถึงกับยกพวกมาตีกัน อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ รวมทั้งบ้านเราในขณะนี้

ฉะนั้น การคิดไม่ว่าของใครจึงต้องรอบคอบรอบด้าน ครอบคลุมทั้งกายและจิต การยกความสามัคคีมาอ้างนั้น หากคิดไม่รอบด้านจริงๆ จะไม่เกิดประโยชน์หรือมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากคนทั่วไปที่กำลังสับสนและไร้ข้อมูล มักจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นบรรทัดฐาน

ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ที่อยู่ในสังสารวัฏ

ทอมัส กิเออรีน กับ แอนนี ฟิกเกิร์ต (Thomas Gieryn and Anne Figert: Irregularities for Science in Society, 1990) กล่าวว่า ประชาชนคนทั่วไปมักจะเชื่อถือนักวิทยาศาสตร์ไว้ก่อนในเรื่องข้อมูลทางวิชาการ เพราะตัวเองไม่รู้และคิดว่านักวิทยาศาสตร์ต้องรู้

แต่ทว่าวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์รู้นั้น ก็เป็นเฉพาะเรื่องของธรรมชาติทางด้านกายภาพเพียงอย่างเดียว และบ่อยครั้งที่วิทยาศาสตร์อธิบายธรรมชาติอย่างกำกวม ยืดหยุ่น และโดยประวัติศาสตร์มักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอๆ - โดยนักวิทยาศาสตร์จะโต้เถียงกันเอง

ความจริงทางวิทยาศาสตร์กายภาพจึงไม่แน่ว่าจะถูกเพียงอย่างเดียว (science is no a single thing)

ดังนั้น การพูดถึงความจริงทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีขอบเขตโดยคำนึงถึงบทบาทของสังคมวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจในขณะนั้นๆ ร่วมไปด้วย ไม่ใช่ไปสรุปว่า อะไรๆ ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เป็นองค์ความรู้จอมปลอมทั้งหมด (pseudoscience or pseudoknowledge) หรือผิดทั้งหมด

ทางที่ดีนักวิทยาศาสตร์ต้องคำนึงถึง "ขอบเขต" ความแตกต่างของมโนทัศน์ (concept or perspective) ของประชากรในชุมชนบนฐานของวัฒนธรรมในเวลานั้นๆ พร้อมกันไปด้วย

ผู้เขียนเห็นด้วยครึ่งหนึ่งและไม่เห็นด้วยครึ่งหนึ่งกับที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ที่เห็นด้วยเพราะเข้าใจว่า ประชาชนทั่วไปและแม้ทางการเองก็เชื่อถือในวิทยาศาสตร์จริงๆ ในแง่วิชาการ เพราะไปเอาเทคโนโลยีมาปนเปเข้ากับวิทยาศาสตร์ ซึ่งเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้า ตู้เย็น พัดลม หรือโทรทัศน์ สาธารณชนที่เอามาใช้จะเห็นได้อย่างเด่นชัด ได้ประโยชน์จริงๆ และมีประสิทธิภาพจริงๆ ด้วย อย่างน้อยเท่าที่ประสาทสัมผัสภายนอกบอกให้เรารู้ เพราะมันให้ความสุขสะดวกสบายกับเราจริง ส่วนจะจริงแท้หรือหยาบและตื้นเขินแค่ไหนเราไม่สนใจ ตราบเท่าที่มันให้ความสุขที่เราต้องการ

และที่เรารู้นั้น ก็เป็นการรู้สำหรับมนุษย์แต่เพียงเผ่าพันธุ์เดียว หมาย่อมไม่สนใจโทรทัศน์และไม่รู้จักรถยนต์ว่าแข็งและแรงมากกว่า มันถึงได้ถูกชนจนพิการบ่อยๆ

ดังนั้น ขอบเขตของมโนทัศน์ต่อความเข้าใจว่าเป็นความจริงของประชาชนในเรื่องวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีจึงกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นวัฒนธรรมไปด้วย

ส่วนที่ไม่เห็นด้วยก็คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล้วนเป็นการทำเทียมหรือจำลองโลกธรรมชาติในด้านของกายภาพเพียงด้านเดียว จึงเป็นความจริงเฉพาะทางกายภาพ ไม่จริงทั้งหมด เพราะไม่ได้รวมจิตหรือแม้แต่นามเอาไว้

มันจึงเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวที่หยาบและผิวเผินเท่านั้น

แม้วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หรือแควนตัมเมคานิกส์เอง ก็เป็นประสบการณ์ของบุคคลที่สามซึ่งเป็นเรื่องทางกายภาพ แต่เนื่องจากเป็นวิทยาศาสตร์ที่ละเอียดที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยคิดมาก่อน คือเล็กละเอียดจนห่างจากความเป็น "กาย" แทบจะโดยสิ้นเชิง มันจึงทำงานคล้อยๆ ไปทางจิต คือให้ความจริงยิ่งกว่าเก่า และแทบจะตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์เก่า เหมือนกับความแตกต่างของหน้ามือกับหลังมือ คือคล้ายกับจิตซึ่งมีความละเอียดที่สุด จนไม่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแควนตัมสตัฟ (quantum stuff) จะเป็นกายที่ละเอียดมากๆ จนมีการทำงานคล้อยไปทางจิต แต่มันก็ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นประสบการณ์ของบุคคลที่หนึ่ง รับรู้ด้วยจิตที่สงบนิ่งระหว่างสมาธิเท่านั้น คนทั่วไป - นอกจากผู้ที่ศรัทธา - จึงมักคิดว่าจิตเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นความงมงาย

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นการคิดที่แตกต่างกัน ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กายภาพ - ที่มองโลกและจักรวาลว่าเป็นเพียงรูปกายที่เกิดมาจากความบังเอิญ - กับผู้เขียน - ที่มองโลกและจักรวาลว่ามีชีวิตหรืออย่างน้อยเป็นองค์กรชีวิตที่บริหารและควบคุมสิ่งมีชีวิต รวมทั้งมนุษย์ให้ดำเนินไปตามแผนหรือรูปแบบพิมพ์เขียวของจักรวาล

ดังนั้น การมองเรื่องทั้งหลาย รวมทั้งเรื่องของชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์แต่ละคนหรือโดยรวม (collectively) แทนที่จะเป็นเรื่องของความบังเอิญ หรืออุบัติเหตุ หรือแม้แต่การจัดองค์กรให้กับตนเองซึ่งเป็นเรื่องของกายภาพ หรือเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์แห่งความซับซ้อน (science of complexity) แต่เพียงอย่างเดียว โดยอธิบายว่าที่เหลือเป็นเรื่องของความบังเอิญนั้น ผู้เขียนกลับเชื่อว่ามีกฎแห่งกรรมเข้ามามีส่วนที่อาจจะสำคัญกว่าการจัดองค์กรให้กับตัวเองอีกกฎหนึ่ง

นั่นเป็นความจริงที่ทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ที่อุบัติขึ้นจากอินเดียยอมรับกัน

มีทั้งตรรกะเหตุผลและอนุมานที่นักคิดนักปราชญ์ต่างเห็นด้วยกันอย่างเป็นเอกฉันท์มาตั้งหลายพันปีแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เนื่องจากกรรมเป็นเรื่องของการกระทำในอดีตที่นานมาแล้วจนจำไม่ได้ (very long term memory) อาจจะนานข้ามภพข้ามชาติ จึงเป็นเรื่องของจิตที่มองไม่เห็นและพิสูจน์ให้เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพไม่ได้ ทั้งๆ ที่การกระทำใดๆ ไม่ว่าในอดีตกาลนานสักเท่าไหร่ ล้วนเป็นไปตามแรงที่กระทำนั้นๆ (action-reaction) เป็นไปตามกฎแห่งการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน

อันสอดคล้องกันกับที่พุทธศาสนาว่าไว้ว่า กรรมเป็นปฏิกิริยาที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เพราะจิตไม่ได้ตายไปกับกาย

โลกก็เช่นนั้น ประชาโลกไม่ว่าปัจเจกหรือโดยรวมก็เช่นนั้น ซึ่งการคิดบนตรรกะและเหตุผลเช่นนั้น ในความคิดของผู้เขียนน่าจะดีกว่าที่จะใช้คำว่าบังเอิญหรือขี้เกียจคิดมากนัก

ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง ที่แน่ๆ คือ โลกกำลังจะพังเพราะภาวะโลกร้อน เรื่องของโลกร้อนนี้ ผู้เขียนต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่ต้องเขียนต้องพูดซ้ำๆ ไม่ใช่เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์เราเท่านั้น

แต่ยังเป็นหลักฐานว่าจิตจักรวาล คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของจักรวาลกายภาพหรือจักรวาลแห่งปรากฏการณ์ อันเป็นที่มาของวิทยาศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์ แต่เราคิดว่ามันสมบูรณ์แล้ว เป็นความผิดพลาดของมนุษย์อีกครั้งหนึ่งก่อนที่มนุษย์จะมีวิวัฒนาการทางจิตต่อๆ ไป

ทั้งนี้ เพราะผู้เขียนเชื่ออย่างมีหลักฐานและเหตุผลว่า วิวัฒนาการทางจิตจะต้องเป็นไปจนถึงที่สุดหรือถึงวิมุตตินิพพานเท่านั้น - นั่นคือเป้าหมายสุดท้ายของจักรวาล

ส่วนภาวะโลกพังกับมหันตภัยต่างๆ ที่ก่อความทุกข์ทรมานทั้งในขณะนี้หรือที่จะรุนแรงกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าในอนาคตนั้น คือ คาตาลิสต์ (catalyst - ตัวเร่งปฏิกิริยา) สุดสำคัญต่อวิวัฒนาการทางจิต - อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายในงานเขียนของผู้เขียน

ซึ่งถ้าหากเราคิดทั้งเรื่องกายภาพพร้อมกับเรื่องของจิตและความทรงจำไปด้วยกัน ซึ่งไม่ค่อยมีคนคิด มันย่อมไม่มีทางคิดเป็นอื่น นอกจากเรื่องของ "กริยากับปฏิกิริยา" หรือกรรมกับวิบากกรรมเท่านั้น หรือจะพูดว่าเป็นเรื่องของฟ้าที่ลงโทษหรือให้รางวัลแก่มนุษย์และแผ่นดินก็ได้

ผู้เขียนจึงคิดว่าในโลกนี้จักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผลของการกระทำทั้งนั้น

ดังที่อริสโตเติลกล่าวไว้ในเรื่องของเหตุที่ก่อผล (causation) เพราะฉะนั้น เรื่องของโลกพัง (mass extinction) ที่เกิดเฉพาะกับโลกแห่งชีวิตทุกๆ ครั้งทั้ง 5 ครั้ง - ตั้งแต่ครั้งแรกในยุคไซลูเรียน (Silurian) เป็นต้นมา - จึงเป็นประหนึ่งลิขิตของฟ้าหรือเป็นไปตามแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล

และหากว่าโลกจะพังอีกครั้งหนึ่งในเร็วๆ นี้ จากสภาวะโลกร้อน ตามที่นักวิทยาศาสตร์แทบจะทุกคนว่าไว้ - เพียงต่างกันที่เมื่อไร - และหากเราคิดในประเด็นของจิตหรือกรรมไปพร้อมๆ กับวิทยาศาสตร์กายภาพด้วย มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะหลีกเลี่ยงสภาวะโลกพังจากโลกที่ร้อนจัดไปได้

ไม่ว่าเราจะหาทางป้องกันและแก้ไขอย่างไร เช่น ด้วยการหาพลังงานทดแทน รีไซเคิล ปลูกป่า หรืออย่างหนึ่งอย่างใดที่ผู้เขียนเอามาเขียน

หรือต่อให้ประชากรทุกคนทั้งโลกพากันเปลี่ยนใจจากบริโภคนิยมและหันมาหาวิถีชีวิตแบบกรีนทั้งหมดในวันนี้พร้อมๆ กัน อย่างที่ อัล กอร์ คิดว่าอาจจะช่วยโลกได้ ผู้เขียนก็ยังคิดว่ามันคงไม่ทันการณ์เพราะสายเกินไป

เรารู้อย่างค่อนข้างแน่นอน พร้อมด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พอที่จะเชื่อได้ว่า สภาพโลกพังครั้งที่ 5 ในสมัยเครตาเซียส (Cretaceous) เมื่อ 65 ล้านปีก่อน มีสาเหตุจากอุกกาบาตขนาดใหญ่วิ่งมาชนโลกจนไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปทั้งหมด

และนักวิทยาศาสตร์หลายคนยังเชื่อว่ามีหลักฐานที่ว่า แม้สภาพโลกพังครั้ง 3 ในยุคเพอร์เมี่ยน (Permian) หรืออาจเป็นไปได้ว่าแม้สภาพโลกพังครั้งที่ 4 ในยุคสมัยไตรอัสซิค (Triassic) ก็อาจจะเกิดจากอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกเหมือนกัน

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า สาเหตุของโลกพังครั้งที่ 6 ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ มาจากภาวะโลกร้อนอันเป็นฝีมือของมนุษย์ ดังที่ผู้เขียนเอามาเขียนก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการห้ามไม่ให้เกิดสภาพโลกพังจากอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกอีกครั้ง นั่นอยู่ที่ว่ามนุษยชาติโดยรวม - ในเวลานั้น - ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากจนต้องสูญพันธุ์เหมือนกับไดโนเสาร์หรือไม่

คิดถึง อเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย กับจีน ที่แม้โดยรวมจะนิยมวัตถุอย่างหนัก แต่ก็มีนักจิตนิยมหรือจิต-กายนิยมอยู่ไม่น้อยในประเทศเหล่านั้นและในที่อื่นๆ อีก มนุษยชาติจึงอาจจะไม่ถึงกับสูญพันธุ์ไปหมดก็ได้

สรุปจากย่อหน้าข้างบนบอกได้ว่า หากเราคิดบนกาย-จิตพร้อมกัน เรายังมีสิทธิเลือกได้ ระหว่างสูญพันธุ์ไปหมดด้วยอุกกาบาตขนาดใหญ่วิ่งมาชนโลก หรือเหลืออยู่บางส่วน - ราวร้อยละ 20 ของประชากรโลกในเวลานั้นจากภาวะโลกร้อน - ดังที่ เจมส์ ลัฟล็อค ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์การ์เดียน

มันจึงอยู่ที่การตื่นและเปลี่ยนแปลงของเราในวันนี้กับวันต่อไปว่าจะตื่นและเปลี่ยนแปลงทางจิตหรือไม่

หากว่าเราสามารถตื่นทางจิตได้ทัน เราอาจจะเหลือมากกว่าร้อยละ 80 ก็ได้ กรรมทางกายนั้นเป็นผลของมโนทุจริตทั้งนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่ได้ นอกจากการตื่นทางจิตเท่านั้น


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:9:46:53 น.  

 
คัดจากผู้จัดการ

“นายทหาร”สุดกลั้น!ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ลากไส้“รบ.โจร”ขายชาติ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 มิถุนายน 2551 08:09 น.



“นายทหาร”สุดกลั้น ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ลากไส้ “รบ.โจร” ขายชาติ แฉแหลกงาบแก๊ส-น้ำมันเป็นขบวนการ ชี้ทำประเทศชาติเสียหายมหาศาลกว่า 3.5 ล้านล้าน ปูดซ้ำลักลอบขน “น้ำมันดิบ” ใส่เรือส่งไป “สิงคโปร์-อเมริกา” โดยหลีกเลี่ยงภาษี ก่อนปลุกสำนึกร่วมทวงคืน “ปิโตเลียม” ให้กลับสู่ประชาชนโดยตรง

วานนี้ (28 มิ.ย.) พ.ต.รัฐเศรษฐ แจ้งจำรัส ขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยกล่าวถึงกรณีที่การปิโตเลียมถูกระบอบทักษิณฉ้อฉล ว่า ทันที่เศรษฐกิจของเราตกต่ำ เราจึงไปตรวจสอบแล้วพบว่า ปัญหาใหญ่เกิดจากการขึ้นราคาน้ำมัน และราคาแก๊สแพงกว่าปกติ รวมทั้งรถเมล์ขึ้นค่าโดยสารก็ขึ้นราคา อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว

“เดิมทีปั๊มมีอยู่ทั่วประเทศกว่า 3 หมื่นแห่ง ขณะนี้เจ๊งไปเกือบหมดแล้ว เพราะเดิมทีเขาขายน้ำมัน 7 บาท เขาได้กำไร 2.30 บาท แต่ตอนหลังเข้ายึดครองการตลาด ก็จะเห็นเพียงแต่ปั๊มใหม่ๆ ซึ่งมีทั้งปั๊มบางจาก ปั๊มเจ็ท และปั๊ม ปตท.เท่านั้น ที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ” พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าว

ส่วนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการปล้นน้ำมันของระบอบทักษิณนั้น พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวว่า ได้แก่รถสิบล้อ รถปิ๊กอัพ รวมไปถึงควายเหล็กของชาวบ้าน สำหรับหลักในการคำนวณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ระบุเป็นบาเรลนั้น สามารถคำนวณได้ คือ 1 บาเรล เท่ากับ 159 ลิตร โดย 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 33 บาท ซึ่งถ้าคำนวณเป็นเงินแล้ว 1 ลิตร จะเท่ากับ 27.78 บาท แต่วันนี้บ้านเราขายน้ำมันดีเซลลิตรละ 42 บาท ซึ่งถือว่าแพงเกินกว่าปกติ และแพงที่สุดในโลก เพราะคำนวณกลับไปแล้วจะพบว่า ราคำน้ำมันจะเท่ากับราคา 202 ดอลลาร์ต่อบาเรล ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียง 138 ดอลลาร์ต่อบาเรล ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจะหายนะมากยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่รวมตัวกัน

“ในภูมิภาคของเรา มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากมายมหาศาล แต่กลับต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่าประเทศสิงคโปร์ และหลังจากการแปรรูป ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันวันละ 100 ล้านลิตร คิดคำนวณเป็นเงินแล้ว ถัวเฉลี่ยตกวันละ 2,500 ล้านบาท นี่คือปิโตเลียมบนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งไม่มีใครเคยบอกเรา มีแต่บอกว่านำเข้านำมัน ดังนั้นเราจะต้องกอบกู้เอาพลังงานปิโตเลียม และน้ำมัน กลับมาเป็นของประชาชนโดยตรง ซึ่งไม่ใช่ของระบอบทักษิณ”พ.ต.รัฐเศรษฐ ระบุ

พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญ คือ แหล่งน้ำมันดิบ และแก๊สธรรมชาติ ที่เขาไม่ยอมเปิดเผยข้อเท็จจริง โดยวันนี้เราผลิตแก๊สธรรมชาติได้วันละ 5,000 ล้านลูกบาตรฟุต ซึ่งคำนวณแล้ว ไทยสามารถผลิตได้เฉลี่ย 138 ล้านลิตรต่อวัน แล้วยังมาอ้างว่าประเทศไทยไม่มีแก๊ส ต้องนำเข้า จนเป็นเงื่อนไขขอขึ้นราคา ขอลอยตัวแก๊ส อย่างนี้ยุติธรรมกับประชาชนหรือไม่ อีกทั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย และบนบก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,300 แท่น ซึ่งมีทรัพย์สินประมาณ 1 ล้านล้านบาท แต่เมื่อระบอบทักษิณเอาไปแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ขายเพียง 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งหมดเพียงระยะเวลา 1 นาที กว่าๆเท่านั้น

“ผมแทบน้ำตาไหล เพราะผมทำงานอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน เพราะน้ำมันดิบที่ขึ้นมา เขาเอาใส่เรือวิ่งไปทางสิงคโปร์ และออกไปทางจีน ญี่ปุ่น และอเมริกา ซึ่งไม่เข้าระบบกลไกภาษีของเรา เพราะมีเท่าไหร่เขารับซื้อไม่อั้น ตรงนี้มูลค่าความเสียหายมากมายมหาศาล นอกจากนี้ แม้แต่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เขาก็เอาไปไว้ที่อาคารชินวัตรชั้น 26 ที่สำคัญหลังจากที่แปรรูป ปตท.ไปแล้ว รัฐบาลซึ่งถือหุ้นใหญ่ 52 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับได้เปอร์เซ็นต์น้อยมากเพียง 3 หมื่นล้านบาท และภาษีน้ำมันรวมผลิตภัณฑ์ทุกอย่างได้แค่ 7.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งๆ ที่ ปตท.บอกว่า ภาษีน้ำมันประมาณ 13 บาท ส่งให้หลวงหมด ซึ่ง 1 ปี ตกอยู่ที่ประมาณ 6-7 แสนล้านบาท เงินหายไป 5-6 แสนล้านบาทต่อปี รวมทั้งสิ้นเมื่อ ปตท.แปรรูป เงินหายไป 3.5 ล้านล้านบาท แล้วใครจะรับผิดชอบ”พ.ต.รัฐเศรษฐ ระบุ

พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวอีกว่า ดังนั้นถ้ามีการยึดทรัพย์ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะจ่ายคืนให้กับเราวันละประมาณ 1,500 ล้านบาท ที่เราถูกโกงไปหรือไม่ ซึ่งเราไม่เคยได้รับรู้รับทราบ เพราะไม่เคยมีใครเปิดเผยข้อมูล ทั้งนี้ตนพร้อมที่จะรับผิดชอบ เพราะข้อมูลข่าวสารที่ออกมานั้น เป็นของราชการทั้งสิ้น









โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 มิถุนายน 2551 เวลา:9:15:57 น.  

 
คัดจากแนวหน้า

บทบก-จุดเปลี่ยนทางการเมือง


ข้อมูลของพรรคฝ่ายค้านซึ่งใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ สมัครและรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ


ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจมากกว่าเดิมในประเด็นข้อสงสัยว่าการบริหารบ้านเมืองนั้นไม่ได้เป็นไปตามความหวังของประชาชน และนักการเมืองยังจ้องแสวงหาประโยชน์ส่วนตนมากถึงขั้นกล้าเอาอธิปไตยของแผ่นดินไปแลกเปลี่ยน

เป็นยุคของการพิสูจน์ว่าพรรคการเมืองกล้าตัดสินใจออกเสียงตามหลักฐานเนื้อหาของการอภิปราย หรือยังคงเล่นกลกับประชาชนด้วยการอุ้มหามพวกเดียวกัน โดยมีข้อต่อรองผลประโยชน์ โดยใช้วิกฤติของนักการเมืองพวกเดียวกันเป็นโอกาสสร้างรายได้เป็นผลตอบแทน

ถ้าเป็นเช่นนั้น พรรคการเมืองซีกรัฐบาลต้องคำนึงว่าพฤติกรรมการเมืองซึ่งไร้คุณธรรม แยกแยะความผิดชอบชั่วดีไม่ได้ จะไม่ได้รับการเพิกเฉยจากประชาชนอีกต่อไป เพราะอำนาจต่อรองนอกสภาโดยการเมืองภาคประชาชนมีความแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ดังเช่นการชุมนุมโดยกลุ่มพันธมิตรกลางเมืองยาวนานกว่า 1 เดือนภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลไม่สามารถให้อำนาจจัดการให้เลิกการชุมนุมตามอำเภอใจ หรือการใช้กำลัง

หากความเข้มแข็งของพลังการเมืองภาคประชาชนมีอยู่จริง และรากฐานมั่นคง ย่อมเป็นอำนาจต่อรองกับผู้กุมอำนาจรัฐ เป็นระบบป้องกันไม่ให้นักการเมืองคิดประพฤติมิชอบ แสวงหาประโยชน์โดยการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างร้ายแรง และพลังของฝูงชนซึ่งมีความกล้าหาญ ยืนหยัดอยู่กับความตั้งใจจริง ย่อมเป็นกลไกให้การเมืองสะอาด เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำกับดูแลให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ถูกต้อง

สำหรับรัฐบาลนั้น ทางเลือกมีเหลืออยู่น้อย อาจปรับคณะรัฐมนตรี ยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนตัดสิน แต่ความเป็นจริงก็คือ หากกลุ่มเดิมได้เข้ามาเพราะการซื้อเสียง หรืออำนาจรัฐในการควบคุมกลไกต่างๆ ย่อมทำให้เกิดความสงบได้ยาก เพราะไร้ความน่าเชื่อถือ ขาดศรัทธาของประชาชน ทั้งยังมีข้อครหาเกี่ยวกับประวัติมัวหมอง ไร้ความรู้ความสามารถในการบริหาร เมื่อเทียบกับกระแสของการพัฒนาในประชาคมโลก

หากประชาชนชาวไทยต้องยอมทนกับรัฐบาลซึ่งภาพลักษณ์น่ารังเกียจ หรือขี้เหร่เหมือนอย่างที่นายกฯ สมัครได้กล่าวไว้ คงเป็นเวรกรรมของบ้านเมือง และจะเป็นการเมืองที่ไร้ทางออกตราบใดที่ประชาชนส่วนหนึ่งยังคงยอมเป็นทาสของเงินซื้อเสียงในช่วงเลือกตั้ง อนาคตของประเทศไทยคงไม่แจ่มใส ย่ำเท้าอยู่กับที่ เพราะกลไกกำจัดนักการเมืองหรือกลุ่มทุจริตยังถูกกุมโดยมือสกปรกดังเช่นที่เคยเป็นมา ทางแก้ไขคือการตื่นตัวของประชาชนในการรักษาสิทธิประโยชน์ของคนในชาติอย่างเต็มที่ ไม่ยินยอมต่ออำนาจชั่วร้ายเท่านั้น



โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 มิถุนายน 2551 เวลา:9:21:56 น.  

 
คัดจากแนวหน้า

สงครามจริยธรรม (ตอนจบ) (เขียนให้คิด)




ความเดิมของสงครามจริยธรรมตอนที่หนึ่ง กลุ่มดอกไม้ขาว หรือกลุ่มพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวคัดค้านการแปรรูป กฟผ. จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เดินขบวนครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นยุคที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กำลังเรืองอำนาจ

การเดินขบวนในวันนั้น มีผลทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลทักษิณสั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด เพราะที่ผ่านมานั้น รัฐบาลทักษิณพยายามสะกัดกั้นและห้ามมิให้ประชาชนเดินขบวนคัดค้านรัฐบาลทุกกรณี ยกเว้นการเดินขบวนเพื่อให้กำลังใจรัฐบาล

แต่เมื่อกลุ่มดอกไม้ขาว เคลื่อนกำลังพลลงสู่ท้องถนนราชดำเนินก็ทำให้รัฐบาลทักษิณรู้ดีว่า ไม่สามารถคัดค้านหรือทัดทานพลังบริสุทธิ์ของเจ้าของประเทศได้อีกต่อไป ความตั้งใจเดิมของกลุ่มดอกไม้ขาวอาจจะจำกัดวงอยู่เฉพาะว่าเพื่อรักษาทรัพย์สมบัติของชาติเอาไว้ให้กับอนุชนรุ่นหลัง แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้ว จากจุดเริ่มต้นเล็กๆนี้ก็ทำให้สังคมไทยเกิดสำนึกร่วมและสาธารณชนก็ออกมาร่วมกันคัดค้านการแปรรูปกฟผ.จนเป็นผลสำเร็จ

ปณิธานแรกเริ่มของกลุ่มดอกไม้ขาวคือ "พวกเราเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชุดขาวที่พวกเราใส่คือเครื่องหมายของผู้แทนพระองค์ในการปฏิบัติหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ราษฎร เราต้องทำงานต่างพระเนตรพระกรรฐ์ ไม่ใช่มาหาผลประโยชน์จากการถอดเครื่องแบบขายตัวเช่นนี้"

ปณิธานนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า เราเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...... ความเป็นผู้แทนพระองค์ในการปฏิบัติหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฏร.....ไม่ใช่มาหาประโยชน์จากการถอดเครื่องแบบขายตัว....

หากสังคมไทยทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน ข้าราชทหาร ตำรวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจและนักการเมืองมีจิตสำนึกแบบเดียวกับกลุ่มดอกไม้ขาวแล้ว สังคมไทยคงไม่ต้องประสบกับสภาวะวิกฤติจริยธรรมเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างแน่นอน

แต่เป็นเรื่องที่น่าวิตกและน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่สังคมไทยหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะทุกวันนี้จะพบแต่ข้าราชการจำนวนไม่น้อยยอมขายตัว ขายศักดิ์ศรี ยอมโอนอ่อน ยอมเสียจุดยืน ยอมขายวิญญาณ เพราะไม่ต้องการปะทะ ไม่กล้าประท้วง ไม่กล้าคัดค้านอำนาจที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมืองและรัฐบาลทรราช

เมื่อข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจำนวนไม่น้อยไม่ตระหนักในศักดิ์ศรีของตนเอง ก็ย่อมทำให้บ้านเมือง สังคม และประชาชนปั่นป่วน ไร้หลักเกณฑ์ เพราะความเมามัวหลงผิดคิดว่าอำนาจรัฐจากนักการเมืองทรราชจะช่วยคุ้มครองป้องกันภัยให้ตนเองได้ เมื่อคิดเห็นเช่นนั้น ก็ย่ามใจ กล้าทรยศ กล้าทำร้ายประชาชนเจ้าของแผ่นดินโดยไร้ความยำเกรงและไร้ความละอายทั้งปวง

อะไรคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มดอกไม้ขาวกล้าตัดสินใจก่อการประท้วงคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฟผ. ประเด็นคำถามนี้เป็นสิ่งที่น่าพิจารณายิ่ง เพราะทุกท่านที่ผ่านเหตุการณ์ในยุคที่รัฐบาลทักษิณเป็นใหญ่มาแล้วคงตระหนักดีว่า การกระทำใดๆก็ตามที่จะก่อให้นายกรัฐมนตรีทักษิณบังเกิดความไม่พอใจแล้ว ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นภัยอย่างยิ่ง

แกนนำกลุ่มดอกไม้ขาวเองก็ตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทุกคนยอมรับว่า หวั่นเกรงและครั่นครามต่อภยันตรายทั้งหลายที่จะเกิดกับตนเองและเพื่อนร่วมอุดมการณ์เป็นอย่างดี แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว กลุ่มดอกไม้ขาวก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ เดินทางทำทุกอย่างด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพราะคนในกลุ่มดอกไม้ขาวมั่นใจว่าไม่ได้ทำการใหญ่ครั้งนี้เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ทำเพราะต้องการรักษาทรัพย์สมบัติชิ้นสำคัญของชาติไว้เพื่อให้คนไทยรุ่นหลังได้ร่วมกันเป็นเจ้าของ

แกนนำกลุ่มดอกไม้ขาว ประกาศสัจวาจาต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ.ว่า การต่อสู้

คัดค้านของกลุ่มฯจะต้องยุติลง หากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 แกนนำกลุ่มดอกไม้ขาวคนหนึ่งซึ่งยังเป็นเด็กรุ่นใหม่ประกาศว่า "ผมจะยอมสละตนจากการชุมนุม ผมขอให้สัญญาเป็นสัจวาจา แต่ผมขอเพียวอย่างเดียวเท่านั้นคือ "ท่านโปรดอย่าได้ทำร้ายพี่น้องชาวกฟผ.ที่เข้าร่วมชุมนุมกับผมและกลุ่มดอกไม้ขาว เพราะพวกเขามีแววตาของผู้รับรู้ศีลธรรมโดยแท้จริงแล้ว"

ในที่สุด เมื่อต้นปีพ.ศ. 2548 พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย แต่จะชนะด้วยเล่ห์หรือกลการเมืองอันใดนั้น ผมเชื่อว่าผู้ที่มีใจเป็นธรรมที่มองเกมการเมือง เกมแห่งอำนาจและผลประโยชน์ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จะสามารถตอบได้โดยทันทีว่าชนะเพราะเหตุใด

แต่เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณและไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ผมจึงประกาศอำลาการชุมนุมเพียงลำพัง ผมไม่รับหน้าที่ในการเป็นแกนนำการชุมมุนอีกต่อไป แต่ส่วนลึกในใจของผมก็ยังอดแอบให้กำลังใจพี่ๆและเพื่อนๆ ที่ยังชุมนุมและต่อสู้ต่อไป

ผมคิดคำนึงและรำพันอยู่ในใจว่า กลุ่มดอกไม้ขาวได้อุตส่าห์ทำยุทธการผึ้งแตกรังเพื่อหวังจะแผ่กระจายความจริงให้ปรากฏในสังคมในมุมกว้างก็แล้ว ใช้ยุทธการดาวกระจาย เหมือนเช่นที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใช้อยู่ในปัจจุบันก็แล้ว

กลุ่มดอกไม้ขาวพยายามทำทุกวิถีทางแล้วเพื่อจะเตือนสติและให้ความจริงกับสาธารณชน แต่เมื่อปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเทคะแนนเสียงสนับสนุนให้กับพรรคไทยรักไทยอย่างท้วมท้น ก็สุดแล้วแต่ความต้องการของประชาชน เพราะผมพยายามจะทำใจให้เชื่อว่า นั่นคือความต้องการที่แท้จริงของเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจอธิปไตย ประชาชนต้องการพรรคไทยรักไทย ผมก็ต้องยอมตามความต้องการของประชาชน

แต่อีกใจหนึ่งผมก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า "นี่คงเป็นคราวเคราะห์กรรมของประเทศชาติและประชาชน และเคราะห์กรรมนี้คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป" แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังพยายามพูดกับกลุ่มเพื่อนๆและพี่ๆในกฟผ. ตลอดเวลาว่า "ขอให้ทุกท่านโปรดระลึกไว้เสมอว่า ... การสละผลประโยชน์ส่วนตน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมนั้น ถือเป็นธรรมะขั้นสูง เรื่องนี้เป็นการพูดง่าย แต่ปฏิบัติได้ยากยิ่ง... พวกเพื่อนๆและพี่ๆ ได้พยายามทำมันแล้ว และทำมันได้ดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าผลของมันจะออกมาอย่างไรก็ตาม ผมถือว่า พวกเราทุกคนสอบผ่านเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้แล้ว"

แม้ทุกวันนี้กลุ่มดอกไม้ขาว ของกฟผ.จะยุติบทบาทลงไปแล้ว แต่ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของภาคประชาชนบทหนึ่งได้ถูกจดจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว ผมและกลุ่มดอกไม้ขาวทุกคน ขอเรียนย้ำว่าพวกเราสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ สู้โดยไม่หวังได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง หรืออำนาจเป็นเครื่องตอบแทน เราสู้เพราะเราเห็นแก่ความถูกต้อง เราสู้เพราะเราต้องการปกป้องรักษาผลประโยชน์และทรัพย์สมบัติของบ้านเมืองไว้ให้ลูกหลานของเรา เราสู้เพราะเราทุกคนมีสำนึกในความเป็นพสกนิกรผู้จงรักภักดีและเทินทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

บทเรียนของกลุ่มดอกไม้ขาว คือสิ่งหนึ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอาจจะประสบพบเห็นในปัจจุบัน ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พนักงาน กฟผ. และกลุ่มดอกไม้ขาวเคยประสบมาแล้วในการคัดค้านแปรรูป กฟผ. เมื่อปี พ.ศ. 2547-2549

ข้อคิดที่อดีตกลุ่มดอกไม้ขาวขอฝากไว้ ณ ที่นี้คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มประชาชนกลุ่มอื่นๆ คิดจะชนะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพรรคพวกด้วยวิธีการอันใด

หากคิดจะเอาชนะอดีตนายกฯทักษิณและพวกพ้องด้วยวิธีการใช้ผู้คนจำนวนมากลงไปเดินขบวนขับไล่สถานเดียว ผมก็คงจะต้องได้แต่ทำใจและต้องยอมรับในวิธีการที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนฯเลือกใช้ เพราะเป็นดุลยพินิจของท่าน

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังต้องคารวะในความเสียสละของพวกท่าน เพราะตระหนักดีว่าทั้งบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนฯและผู้ที่ไปร่วมชุมนุมต่างก็เป็นคนที่ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างอย่างมากมาย ต้องอดทนกับมรสุมและภยันตรายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งอาจจะเท่าๆกันหรืออาจจะมากกว่าสิ่งที่ผมและกลุ่มดอกไม้ขาว เคยประสบมาก่อนในยุคที่รัฐบาลทักษิณเรืองอำนาจ

แต่ถ้าหากพันธมิตรประชาชนฯจะสามารถฟื้นฟูจริยธรรมให้เกิดในใจของคนไทยส่วนใหญ่ได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว นั่นคือสิ่งที่สูงส่งกว่าชัยชนะด้วยจำนวนคน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้คนไทยทุกคนร่วมกันเสริมสร้างลัทธิปฏิวัติศีลธรรมจริยธรรม เน้นการสร้างสัมมาทิฏฐิให้เกิดในหัวใจของคนไทยหมู่มาก เพราะศีลธรรมจริยธรรมคือสิ่งที่ระบอบทักษิณหวาดกลัวเป็นที่สุด

การสร้างลัทธิปฏิวัติศีลธรรมจริยธรรม คือการสร้างจุดร่วมของความมุ่งหมาย การรวมใจให้มหาชนแสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่าง ตราบเท่าที่เราทุกคนมีความมุ่งหมายร่วมกันที่จะพลิกฟื้นคุณธรรมศีลธรรมและจริยธรรมให้กลับคืนสู่สังคมไทย

ขอย้ำว่าชัยชนะที่แท้จริงของแผ่นดินคือชัยชนะที่เกิดมาจากสัมมาทิฏฐิของมหาชน รัฐบาลทรราชล้วนหวาดกลัวและหวั่นเกรงต่อความสัตย์ ความดีงาม ศีลธรรมคุณธรรม และจริยธรรม และไม่เคยมีรัฐบาลทรราชใดๆโค้นล้มศีลธรรมได้


ด้วยรักและศรัทธาในความดี,
กัมปนาท ศีลสร
อดีตกลุ่มดอกไม้ขาว กฟผ.


เฉลิมชัย ยอดมาลัย


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 มิถุนายน 2551 เวลา:9:27:58 น.  

 


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:52:17 น.  

 


เส้นทางของผู้สร้างสรรค์
อาจมีราคาที่ต้องจ่าย
ที่มิอาจประเมินค่าได้
แต่เขาเหล่านั้นอาจไม่เคยคิดถึงมันเลย

จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของการต่อสู้
คือเป้าหมายร่วมกันของการเดินทางอันยาวนาน
มันอาจเป็นความสำเร็จส่วนตัว
หรือการแสดงออกซึ่งความรักชาติ
หรือการโค่นสิ่งหนึ่งเพื่อเบิกทางให้กับสิ่งใหม่ที่รอคอย

การเมืองใหม่ สังคมใหม่
นามธรรมที่ต้องแปรเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้
เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางให้ประเทศนี้
เดินไปสู่วิถีทางที่แจ่มชัดมากขึ้น

การเมืองใหม่-ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของประชาชน
จะทำอย่างไรให้ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง
รับใช้สังคมและแก้ปัญหาให้กับสังคมได้อย่างแท้จริง
เป็นโจทย์ที่ยากยิ่งในสังคมทุนนิยมชายขอบเช่นไทย
ที่ความแตกต่างของเมืองและชนบทยังต้องการเวลาในการเปลี่ยนผ่าน

การมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมืองโดยตรง
ในรูปแบบการลงประชามติและประชาพิจารณ์
และการเคลื่อนไหวของภาคพลเมืองรูปแบบใหม่
ที่ก่อเกิดเป็นมหาวิทยาลัยทางสังคมขนาดใหญ่
อาทิ "มหาวิทยาลัยราชดำเนิน"
เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นของมวลชนที่มีต่อผู้ปกครองประเทศ
ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์และต้องการให้ความถูกต้อง
ปรากฏเป็นจริงขึ้นในสังคมไทย
ไม่ใช่ภาพมายาที่หลอกหลอนผู้คนดังเช่นทุกวันนี้

สังคมใหม่-สังคมนิเวศประชาธรรม
ที่ต้องการสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมกันในทางเศรษฐกิจและการเมือง
สังคมมีสวัสดิการที่มั่นคงในการดำรงชีพ
เข้าถึงปัจจัยทางปัญญา ความรู้ สุขภาพกาย จิต วิญญาณ อย่างเท่าเทียม
การพัฒนาประเทศอย่างสมดุลในทุกด้าน
ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
ไม่ทำลายระบบนิเวศของโลกใบนี้ที่อาจเหลือเวลาคงอยู่อีกไม่มากนัก
มีใจที่ตื่นรู้และไม่ตกเป็นทาสของระบบบริโภคนิยมแบบสุดโต่ง
แสวงหาความเป็นธรรมให้กับสังคม
และทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้
เข้าถึงปัจจัยทางปัญญาความรู้และปัจจัยทางการผลิตอย่างแท้จริง
อันจะนำไปสู่การลดช่องว่างทางรายได้ของผู้คน
และทำให้สังคมทั้งสังคมเติบโตและก้าวหน้าไปด้วยกัน

วันนั้น-วันที่รอคอยคงจะอยู่อีกไม่ไกล
หากเหล่าผู้กล้าในแผ่นดินนี้รวมหลอมใจเป็นหนึ่งเดียว !!


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:21:13 น.  

 
หายไปนานจริงๆ
ยินดีที่เอาเรื่องที่(ป้ามด) ไม่รู้ มาเล่าให้รู้กัน


โดย: ป้ามด วันที่: 3 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:27:42 น.  

 
ลิ้งค์ "พลังศาสนากับเผด็จการทางการเมือง" กรณีการเปลี่ยนแปลงในฟิลิปปินส์

ลิ้งค์" ลิ้งค์ "พลังศาสนากับเผด็จการทางการเมือง" กรณีการเปลี่ยนแปลงในฟิลิปปินส์"คลิกที่นี่


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:47:41 น.  

 
กองทัพกับประชาธิปไตย (3) : ภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น

ดร.สุรพงษ์ ชัยนาม


การชนะสงครามโดยได้ชัยชนะทางทหารอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ทั้งนี้ การเอาชนะทางความคิดเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดด้วย ถือเป็นชัยชนะที่แท้จริง

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น เราจึงเห็นได้ว่า การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ไม่ได้บรรลุผลซึ่งชัยชนะที่แท้จริง จึงเป็นผลต่อสภาพการณ์อึมครึมที่เกิดขึ้นและเป็นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความแตกแยกทางความคิดในสังคมถ่างกว้างขึ้น นับวันโอกาสและหนทางที่จะนำไปสู่การประนีประนอม แก้ไขและยุติข้อขัดแย้งโดยสันติวิธีมีน้อยลงทุกวัน รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำให้ทักษิณเพียงสะดุดไปชั่วคราว แต่ไม่ได้เข้าไปจัดการกับโครงสร้าง กลไก และเครื่องมือต่างๆของรัฐ ที่ระบอบทักษิณได้ใช้มอมเมา ปลูกความเท็จให้กับประชาชน

1) พลังที่สามกับการกำจัดดุลยภาพที่เป็นมหันตภัย

อันโตนีโอ กรัมชี่ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งในสมุดบันทึกจากคุกว่า เมื่อใดที่เกิดสภาพการณ์ ที่พลังจากฝ่ายต่างๆที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงอยู่ในสภาพที่ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างชัดเจน แต่เป็นการถ่วงดุลระหว่างกัน ในลักษณะที่หากความขัดแย้งยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง มีหนทางเดียวที่ความขัดแย้งจะยุติลงได้ ก็คือการทำลายล้างผลาญระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกัน (reciprocal destruction) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อพลังก้าวหน้า ไม่สามารถเอาชนะพลังล้าหลัง หรือพลังล้าหลังไม่สามารถเอาชนะพลังก้าวหน้า เป็นผลให้ทั้งสองพลังที่ต่อสู้ขัดแย้งกัน ต่างมุ่งทำลายซึ่งกันและกันอย่างไม่หยุดยั้ง สังคมการเมืองจะได้รับการช่วยให้หลุดพ้นจากความหายนะดังกล่าวได้ ก็ต่อเมื่อมีการเข้ามาแทรกแซงจากพลังที่สาม หรือปัจจัยที่สาม หรืออำนาจฝ่าวิกฤติเพื่อสยบพลังที่ขัดแย้งกัน

พลังที่สามหรืออำนาจฝ่าวิกฤติที่สามารถเป็นพลังก้าวหน้า หรือล้าหลังเสื่อมถอย ขึ้นอยู่กับว่า ในการเข้ามาแทรกแซงเพื่อสยบความขัดแย้งรุนแรงระหว่างพลังก้าวหน้ากับพลังที่ล้าหลัง พลังที่สามจะเลือกอยู่ข้างใดหากเลือกอยู่ฝ่ายพลังก้าวหน้าก็ย่อมมีผลโดยตรงทำให้ฝ่ายก้าวหน้าประสพกับชัยชนะ ในทางกลับกัน หากเลือกเข้าข้างฝ่ายพลังล้าหลัง ก็จะมีผลทำให้ฝ่ายพลังล้าหลัง ได้รับชัยชนะ แต่ที่แน่นอนที่สุด คือในการสยบความขัดแย้งระหว่างฝ่ายก้าวหน้ากับฝ่ายล้าหลัง เพื่อให้สังคมการเมืองกลับสู่สภาวะปกติ พลังที่สามซึ่งมีอำนาจฝ่าวิกฤติ จำเป็นต้องเลือกข้างพร้อมกับหาทางประนีประนอมกับฝ่ายที่พลังที่สาม ได้เลือกที่จะสนับสนุน ในสภาวะวิกฤติเช่นนี้ การเข้าแทรกแซงของพลังที่สามหรืออำนาจฝ่าวิกฤติ เป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ หากประสงค์ให้สังคมการเมืองหลุดพ้นจากสภาวะชะงักงันให้ปะเทศชาติอยู่รอด และมีความก้าวหน้า ยังความเจริญผาสุขแก่ประชาชน ดังนั้น การเลือกข้างที่ถูกต้อง เป็นปัจจัยชี้ขาดว่า ทิศทางของประเทศชาติจะไปทางใด ก้าวหน้า หรือถอยหลัง ความเป็นกลางย่อมไม่มี ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญ กล่าวคือ ในภาวะสงคราม (ไม่ว่าทางการเมืองหรือทางเศรษฐกิจ) ฝ่ายคู่กรณีขัดแย้ง มีได้แค่สองฝ่ายเท่านั้น ส่วนฝ่ายที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตร ย่อมมีได้จำนวนไม่จำกัด กองทัพคือพลังที่สามที่มีอำนาจฝ่าวิกฤติจำเป็นต้องเลือกข้าง เพราะความเป็นกลางมีได้ก็แต่ในทางทฤษฎีเท่านั้น พลังที่สามดังกล่าวจะเป็นกลุ่มบุคคล องค์กร พรรคการเมือง หรือสถาบันทางการเมือง การทหาร หรือเศรษฐกิจก็ได้ หรือการรวมกันของหน่วยต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้

2) คำจำกัดความดั้งเดิมของคำว่าเผด็จการ (Dictatorship)

“เผด็จการ” เป็นชื่อตำแหน่งของผู้พิพากษาโรมัน ที่มีมากว่าสามพันปีแล้ว ผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งของ“ผู้เผด็จการ” ได้รับการแต่งตั้งจากหนึ่งในคณะขุนนางภายใต้สถานการณ์พิเศษ เช่นในภาวะสงคราม หรือในการปราบปรามกบฎ และเนื่องจากการแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าว เกิดขึ้นเฉพาะในสภาพการณ์พิเศษ ผู้ดำรงตำแหน่ง “ผู้เผด็จการ” จึงมีอำนาจมากเป็นพิเศษ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายบรรลุผล

อำนาจมากเป็นพิเศษของผู้ดำรงตำแหน่ง “ผู้เผด็จการ” จะถูกถ่วงดุลโดยลักษณะชั่วคราวของการใช้อำนาจพิเศษดังกล่าว และจะไม่เกินเวลาของอายุความของตำแหน่งของขุนนางผู้ได้แต่งตั้ง“ผู้เผด็จการ” จึงเห็นได้ว่า “ผู้เผด็จการ” เป็นบุคคลที่มีอำนาจอย่างมาก แต่เป็นอำนาจพิเศษที่มีความชอบธรรม ด้วยเหตุผลเป็นเพราะว่า ตำแหน่งดังกล่าวนี้ มีการคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วในรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐโรมัน อีกทั้งอำนาจของ“ผู้เผด็จการ” มีเหตุผลมาจากสภาพการณ์ที่จำเป็น กล่าวโดยสรุป ระบอบเผด็จการ (dictatorship) แม้จะมีความเหมือนระบอบที่ใช้อำนาจเด็ดขาดรูปแบบอื่นๆ เช่น ระบอบทรราชย์ (tyranny) และระบอบที่ใช้อำนาจเด็ดขาด (despotism) ในแง่ที่ทั้งสามระบอบ ล้วนหมายถึงการผูกขาดอำนาจ โดยบุคคลคนเดียว (monocrat) หากแต่ระบอบเผด็จการ (dictatorship) แตกต่างชัดเจนในประเด็นที่การใช้อำนาจเด็ดขาดนั้น ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขของเวลาอย่างแน่ชัด (ลักษณะชั่วคราวของการใช้อำนาจเผด็จการ) อีกทั้งได้รับความชอบธรรมที่สืบเนื่องจากลักษณะความจำเป็นของสถานการณ์ (legitimated by a state of necessity) และนี่ก็เป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้นักประชาธิปไตยอย่างรุซโซ่ เห็นถึงความจำเป็นของการใช้อำนาจเผด็จการ (โดยมีกรอบเวลาที่ชัดเจน) เพื่อช่วยให้ประชาธิปไตยดำรงอยู่ต่อไป โดยเขาให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องยากที่กฎหมายจะสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆเป็นการล่วงหน้าได้อย่างครบถ้วนทุกกรณี ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีลักษณะพิเศษที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ การนำระบอบเผด็จการที่มีขอบเขตเวลาที่จำกัด และชั่วคราวมาใช้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการแก้ปัญหาวิกฤติร้ายแรง เพื่อความอยู่รอดของสังคมประชาธิปไตย

ความหมายของเผด็จการ ได้เปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 เป็นต้นมา โดยอำนาจเผด็จการ ไม่จำกัดอยู่เฉพาะกับตัวบุคคลหรือ “ผู้เผด็จการ” แต่อาจเป็นของพรรค ของชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง หรือของกองทัพ หรือองค์กรใดก็ได้ อีกทั้งขอบเขตของอำนาจเผด็จการไม่จำกัดอยู่เพียงด้านฝ่ายบริหารเท่านั้น แต่ได้ขยายครอบคลุมถึงฝ่ายนิติบัญญัติด้วย และที่สำคัญคือ ระบอบเผด็จการแบบดั้งเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐโรมัน สามพันปีมาแล้ว เป็นที่ยอมรับของนักปราชญ์ นักทฤษฎีการเมืองสำนักประชาธิปไตย ว่ามีคุณค่าทางบวก (positive value) เพราะมีลักษณะชั่วคราว ชอบธรรม (เพราะเกิดจากสภาวะจำเป็นหรือพิเศษ) และมีขอบเขตจำกัดเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติอย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวได้ว่าเผด็จการแบบดั้งเดิมดังกล่าว มีคุณค่าทางบวก เพราะมีลักษณะของความเป็นเผด็จการเฉพาะกิจเป็นสำคัญ

เผด็จการยุคสมัยใหม่ (นับแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789) ได้กลายเป็นระบอบที่มีค่าเชิงลบ (negative value) ด้วยจะเกี่ยวข้องกับรูปแบบของรัฐบาล หรืออีกนัยหนึ่ง เกี่ยวกับวิธีการใช้อำนาจที่มีลักษณะไม่เป็นประชาธิปไตย อีกทั้งไม่มีประเด็นเรื่องของความจำเป็นของสถานการณ์และลักษณะชั่วคราวของการใช้อำนจเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด (โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน “Democracy and Dictatorship” Norberto Bobbio หน้า 158-166)

เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น พอสรุปได้ว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในภาพรวมเป็นการใช้อำนาจเผด็จการตามครรลองของระบอบเผด็จการดั้งเดิมสมัยสาธารณรัฐโรมัน (เฉพาะกิจ ชั่วคราว และขอบเขตจำกัด) แต่ประสพผลสำเร็จเพียงครึ่งเดียว เพราะฝ่ายกระทำรัฐประหารไม่รู้จักใช้อำนาจเผด็จการ (ที่มีค่าทางบวก) รวมทั้งไม่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชัยชนะทางการทหาร กับชัยชนะทางการเมือง จึงประสพกับความล้มเหลวในการเอาชนะทางความคิด อิทธิพลของกรอบความคิดประชาธิปไตยแบบประชานิยมจึงยังฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยตราบจนทุกวันนี้ นั่นก็คือรัฐบาลและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง คือรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย และนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งคือนักประชาธิปไตย โดยหารู้ไม่ว่า เรื่องของการเลือกตั้ง เป็นเพียงส่วนประกอบด้านหนึ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งการเลือกตั้งไม่ใช่เป็นคำจำกัดความสมบูรณ์ของคำว่าประชาธิปไตย ตลอดจนการเลือกตั้งไม่ใช่เป็นสิ่งพิสูจน์ความเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลหรือความเป็นนักประชาธิปไตยของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งการเลืกตั้งไม่ใช่เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ทั้งรัฐบาลและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจะมีความเลื่อมใสในระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญ กล่าวคือ การเลือกตั้งเป็นเพียงรูปแบบ ไม่ใช่เนื้อหาที่แท้จริงของประชาธิปไตย มันเป็นเพียงเปลือกภายนอกของสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย ในอดีต นักเผด็จการอย่างฮิตเลอร์และ มุสโซลินี ก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นถึงความจริงและข้อเท็จจริงดังได้กล่าวทั้งหมดข้างต้น และในประเทศไทยเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ทักษิณและรัฐบาลไทยรักไทย ก็ได้ตอกย้ำให้เราเห็นถึงความจริงและข้อเท็จจริงดังกล่าว รวมทั้ง รัฐบาลพรรคพลังประชาชนก็ได้ตอกย้ำให้เราเห็นอยู่ตำตาในปัจจุบันว่า ทั้งรัฐบาลและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง หาได้มีความเป็นประชาธิปไตยทั้งในรูปแบบและเนื้อหา ตรงกันข้าม กลับใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายประชาธิปไตย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นการอ้างประชาธิปไตยของเสียงข้างมากเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าประสงค์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย (เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่างๆ การลิดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนและของสื่อ การพยายามแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่ฟังเสียงประชาชน และโดยหลีกเลี่ยงการดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย) ทั้งหมดก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นเผด็จการ นั่นคือการผูกขาดอำนาจ เมื่อเป็นเช่นนี้ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ก็มิได้แตกต่างอะไรจากอสูรกายในคราบนักบุญ

ในเมื่อข้อเท็จจริงทั้งหมดเป็นดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมพิสูจน์ให้เราเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า การเลือกตั้งมิใช่ยาวิเศษที่จะทำหน้าที่แก้ปัญหาต่างๆของประเทศชาติ เพราะการเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรมอย่างหนึ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ปัญหาต่างๆของประเทศชาติจะได้รับการแก้ไขให้เป็นผลสำเร็จ ยังประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่การเลือกตั้ง หากอยู่ที่นโยบายและยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง ตลอดจนการดำเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเลือกตั้งเลยแม้แต่น้อย เพราะหากวิเคราะห์กันถึงที่สุดแล้ว การเลือกตั้งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลือมีไว้ประโลมใจประชาชน ให้ได้รู้สึกว่า พวกเขาเหล่านั้น ยังเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอยู่ ทั้งๆที่ โดยความเป็นจริงแล้ว ภายหลังเสร็จพิธีกรรมของการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ประชาชนส่วนใหญ่ มักตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของบรรดาพรรคการเมือง และนักการเมืองที่มุ่งใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ มากกว่าที่จะทำหน้าที่รับใช้ประชาชน ตลอดจนไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปรึกษาหารือและสนับสนุนส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

3) รัฐประหารจากกรณีศึกษาของตุรกี

ปี พ.ศ. 2466 Mustafa Kemal Ataturk ได้เข้าร่วมกับกองทัพตุรกีก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี จนได้รับการยกย่องจากประชาชนตุรกีให้เป็นบิดาแห่งตุรกียุคใหม่ แม้ว่า Ataturk ได้แยกกองทัพออกจากการเมือง แต่กองทัพและประชาชนตุรกี ต่างเห็นร่วมกันว่า กองทัพตุรกีมีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะเป็นผู้พิทักษ์อุดมการณ์ของ Kemal Ataturk (Kemalism) ซึ่งกองทัพยึดถือเป็นอุดมการณ์แห่งชาติตลอดมา

อุดมการณ์ของ Ataturk ดังกล่าว ประกอบด้วยหลักความคิด 6 ประการ ได้แก่ ความคิดว่าด้วยสาธารณรัฐนิยม คือ ตุรกีต้องมีการปกครองแบบสาธารณรัฐ (Republicanism) ความคิดว่าด้วยการแยกศาสนาออกจากรัฐอย่างเด็ดขาด (Secularism) ความคิดว่าด้วยชาตินิยม (Nationalism) ความคิดว่าด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในเจตนารมย์ของประชาชน ว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ตุรกีฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงได้ (Populism) และความคิดว่าด้วยบทบาทโดยตรงของรัฐในการเข้ามาบริหารดูแลเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมโดยรวม (Etatism) และท้ายสุดความคิดว่าด้วยการพึ่งการปฏิวัติเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง (Revolutionism)

การยึดมั่นในความคิด 6 ประการของอุดมการณ์แห่งชาติอย่างมั่นคงของกองทัพตุรกี เป็นผลโดยตรงทำให้กองทัพตุรกีถือเป็นภารกิจสำคัญ และจำเป็นที่จำต้องเข้าแทรกแซงทางการเมืองทุกครั้งที่กองทัพเห็นว่า ตุรกีกำลังประสพกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงและบูรณภาพแห่งดินแดนของตุรกี (หรืออีกนัยหนึ่งคือภัยคุกคามที่มาจากชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ด) หรือภัยคุกคามต่อหลักการแยกศาสนาออกจากการเมือง (ภัยคุกคามจากกลุ่มการเมืองที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง) และในช่วงเวลา 85 ปี ของสาธารณรัฐตุรกี (พ.ศ. 2466 ถึงปัจจุบัน) กองทัพตุรกี ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการยึดมั่นอย่างเคร่งครัดในหลัก 6 ประการของอุดมการณ์แห่งชาติดังกล่าวข้างต้น ด้วยการเข้าแทรกแซงทางการเมืองในรูปของการทำรัฐประหาร 4 ครั้ง คือในพ.ศ.2503 พ.ศ. 2514 พ.ศ. 2523 และล่าสุดในพ.ศ. 2540 ผลของการรัฐประหารทั้ง 4 ครั้ง ดังกล่าว ได้ตอกย้ำให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปว่า กองทัพตุรกีได้มีบทบาทสำคัญต่อการธำรงไว้ซึ่งระบอบ สาธารณรัฐ และการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของตุรกี มิให้ออกนอกกรอบของอุดมการณ์แห่งชาติดังกล่าวข้างต้น ตลอดจนชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า กองทัพตุรกีแม้จะเห็นถึงความสำคัญของการแยกทหารออกจากการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่การรัฐประหาร ทั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา กองทัพตุรกีต้องการตอกย้ำให้ประชาชนและนักการเมืองตุรกีได้ตระหนักไว้ด้วยว่า กองทัพตุรกีมีความเข้าใจดีในบทบาทสำคัญของกองทัพในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ การแยกทหารออกจากการเมืองไม่ได้หมายความว่า ทหารจะไม่สนใจการเมือง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเหตุการณ์ทางการเมือง ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความอยู่รอดของประเทศชาติและของระบอบประชาธิปไตย ตรงกันข้าม ทหารตุรกีมีความเข้าใจดีว่า การแยกทหารออกจากการเมือง หมายถึง การที่ทหารจะไม่เข้ามาแทรกแซง ก้าวก่าย บงการ การบริหารประเทศของรัฐบาลในยามที่บ้านเมืองอยู่ในสภาวะปกติ แต่เมื่อใดที่บ้านเมืองต้องประสพกับวิกฤติการณ์ร้ายแรง มีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ กองทัพจะอยู่นิ่งเฉยมิได้ จะปัดความรับผิดชอบที่มีต่ออุดมการณ์แห่งชาติทั้ง 6 หลักการข้างต้นไม่ได้ ปัดความรับผิดชอบต่อประชาชนไม่ได้ แต่จำเป็นต้องเข้ามาดำเนินการให้เหตุการณ์กลับสู่สภาวะปกติ ไม่ปล่อยให้ผลประโยชน์และความขัดแย้งระหว่างบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองมาทำลายประเทศและประชาชน นอกจากนั้น การรัฐประหารทั้ง 4 ครั้งในตุรกี ยังเป็นเหตุการณ์พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษณ์อีกด้วยว่า กองทัพตุรกีตระหนักดีว่า ศัตรูและภัยคุกคามต่อเสถียรภาพ ความมั่นคงและต่อประชาธิปไตย มิใช่จะมาจากภายนอกเท่านั้น หากแต่จะมาจากภายในประเทศมากกว่าด้วยซ้ำ (ในกรณีของตุรกี ศัตรูภายใน คือ กลุ่มแบ่งแยกกินแดนชาวเคิร์ด กลุ่มนักการเมืงและพรรคการเมือง ที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ตลอดจนการคอร์รัปชั่น เป็นสำคัญ)

การรัฐประหารทั้ง 4 ครั้งในตุรกี เป็นรัฐประหารที่มีสาเหตุและเหตุผลจากบริบทและเงื่อนไขเฉพาะที่เกิดขึ้นในตุรกีเป็นสำคัญ และการรัฐประหารทั้ง 4 ครั้ง มีขึ้นในช่วงที่การเมืองตุรกีเปลี่ยนจากการเมืองแบบพรรคเดียว มาเป็นแบบที่มีหลายพรรค โดยสามารถแยกการรัฐประหารในตุรกีออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

ก) ประเภทที่กองทัพสวมบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ประเทศ โดยเข้ามามีอำนาจบริหารประเทศโดยตรง (แต่ไม่ประสงค์จะอยู่ในอำนาจตลอดไป) และเหตุผลของการยึดอำนาจชั่วคราวนั้น คือ เพื่อกำจัดปัญหาและความวุ่นวายที่ฝ่ายนักการเมืองได้ก่อไว้ โดยคืนอำนาจให้กับฝ่ายการเมือง หลังจากที่ได้สร้างสภาพการณ์ที่จะเป็นการช่วยป้องกันมิให้กองทัพต้องเข้ามาแทรกแซงอีก การรัฐประหารปี พ.ศ. 2503 และ พ.ศ. 2523 ถือได้ว่าอยู่ในขอบข่ายประเภทกองทัพสวมบทบาทเป็ผู้พิทักษ์ โดยกองทัพได้คืนอำนาจให้กับฝ่ายการเมือง (นักการเมืองพลเรือน) ในปี พ.ศ. 2504 (สำหรับการรัฐประหาร พ.ศ. 2503) และในปีพ.ศ. 2526 (สำหรับการรัฐประหาร พ.ศ. 2523) การรัฐประหารปี พ.ศ. 2503 และ พ.ศ. 2523 ล้วนมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างอุดมการณ์ทางการเมืองแบบซ้ายจัด (ที่ต่อต้านการนำศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง) กับแบบขวาจัด (ที่ยึดศาสนาและลัทธิชาตินิยมเป็นเครื่องมือทางการเมือง) แต่ในการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว กองทัพได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างไม่มีใครปฏิเสธได้

ข) ประเภทที่กองทัพสวมบทบาทเป็นคนกลางหรือผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งหมายถึงรัฐบาลยังคงเป็นรัฐบาลพลเรือน แต่ทหารมีอำนาจยับยั้ง (Veto power) นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลที่ฝ่ายทหารเห็นว่า จะนำไปสู่ความแตกแยกขึ้นอีกในสังคม ทหารต้องมีอำนาจทางอ้อม (ผ่านการใช้อำนาจยับยั้ง) เป็นวิธีการที่ฝ่ายทหารที่ทำรัฐประหารสามารถควบคุมพฤติกรรมและการดำเนินการของรัฐบาลพลเรือนให้อยู่ในกรอบที่ไม่เป็นการสร้างความแตกแยก และเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การต้องทำรัฐประหารอีก โดยฝ่ายทหารจะปรับ/เปลี่ยน ครม. พลเรือน เอาบุคคลที่เป็นที่ยอมรับเข้ามาบริหารประเทตามความจำเป็นของสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา การรัฐประหารปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2540 นับว่าจัดอยู่ในประเภทนี้ การรัฐประหาร พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2540 ก็ยังคงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับการรัฐประหารพ.ศ. 2503 และ พ.ศ. 2523


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:29:57 น.  

 
(ต่อ)
เกี่ยวกับการรัฐประหารทั้ง 4 ครั้งในตุรกี มีข้อสังเกตที่สำคัญ 7 ประการ ดังนี้

1) ทุกครั้งที่กองทัพตุรกี ทำการรัฐประหารและเข้ามากุมอำนาจบริหารโดยตรง ก็ได้คืนอำนาจให้กับฝ่ายรัฐบาลพลเรือน ตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน

2) ในกรณีที่รัฐประหารแล้ว แต่มิได้เข้ามากุมอำนาจโดยตรง ทางกองทัพก็จะดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับบทบาททางการเมืองของกองทัพ ในฐานะผู้มีบทบาทพิทักษ์อุดมการณ์แห่งชาติ (หลักความคิด 6 ประการของอุดมการณ์แห่งชาติ) และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญตุรกี ปี พ.ศ. 2525 (หลังการรัฐประหารปี พ.ศ. 2523) เป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ให้อำนาจแก่กองทัพผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญพ.ศ. 2525 ให้การรับรองและมีบทบาทคู่ขนานกับคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะนำรัฐบาลในด้านความมั่นคง ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากกองทัพและพลเรือนที่มาจากฝ่ายรัฐบาลและมีอิทธิพลเหนือกว่าคณะรัฐมตรี

3) ในการรัฐประหารทั้ง 4 ครั้ง มีอยู่ 2 ครั้ง (ปีพ.ศ. 2514 และ 2540) ที่ฝ่ายกองทัพตุรกีมิได้แสดงแสนยานุภาพอย่างเปิดเผย แต่จะใช้วิธีการอยู่หลังฉาก และกดดันรัฐบาล ด้วยการออกแถลงการณ์ร่วมของกองทัพ (Joint Communique) การยื่นคำขาด (ultimatum) การให้สัมภาษณ์แก่สาธารณชน โดย ผบ.เหล่าทัพ ตลอดจนการเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงจุดยืนและท่าทีของกองทัพ ทั้งหมดนี้ กองทัพจะดำเนินการอย่างเปิดเผย อันเป็นการส่งสัญญาณให้ ประชาชนได้รู้ถึงจุดยืนและปฏิกิริยา ท่าทีของกองทัพที่มีต่อปัญหาต่างๆที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาล เพื่อประชาชนได้รู้ว่า กองทัพมีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล การประกาศจุดยืนและท่าทีของกองัพตุรกีในทั้งสองโอกาส (พ.ศ. 2514 กับ พ.ศ. 2540) หรือที่เรียกกันว่า “การรัฐประหารผ่านบันทึก” (Coups by memorandum) ได้มีผลทำให้นายกรัฐมนตรีต้องยอมลาออก เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ โดยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2540 เป็นนักการเมืองทั้งสิ้น ส่วนคณะรัฐมนตรีหลังการรัฐประหารพ.ศ. 2514 เป็นพลเรือนที่ไม่ใช่นักการเมือง แต่ทั้งสองคณะรัฐมนตรี ต่างเป็นที่ยอมรับของกองทัพและสังคมโดยรวม

4) ในภาพรวมแล้ว กล่าวได้ว่า การรัฐประหารทั้ง 4 ครั้ง กองทัพตุรกีได้รับความเข้าใจ และการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะกองทัพได้แสดงให้ประชาชนเห็นว่า กองทัพมีอุดมการณ์ มีหลักการ และจุดยืนแน่ชัด (หลักการ 6 ข้อของอุดมการณ์แห่งชาติ) รวมทั้ง เชื่อมั่นในศรัทธาที่ประชาชนส่วนใหญ่มีต่อกองทัพ อีกทั้งกองทัพได้รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชน

5) หลักการ 6 ข้อของอุดมการณ์แห่งชาติ (Kemalism) ยังคงเป็นสิ่งที่กองทัพและประชาชนตุรกีส่วนใหญ่ยึดมั่นอย่างแน่วแน่ และเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดและท่าทีของกองทัพและประชาชนตุรกีที่มีต่อปัญหาการเมืองตราบจนทุกวันนี้

6) นับว่าปัญหาก่อการร้ายและการแบ่งแยกดินแดนของชนชาติเคิร์ดในตุรกี รวมทั้ง ปัญหาของอิทธิพลเติบโตของความคิดในศาสนาอิสลามที่ไม่แยกศาสนากับการเมือง (political Islam) เป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลโดยตรง ทำให้บทบาททางการเมืองของกองทัพตุรกีนับวันจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ความคิดว่าด้วยการดำรงไว้ซึ่งความเป็นสาธารณรัฐ ความคิดว่าด้วยการแยกศาสนาออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาด และความคิดว่าด้วยการรักษาอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดน ล้วนเป็นกรอบความคิดที่กองทัพและประชาชนตุรกี ต่างยึดมั่น และมีเจตจำนงค์ร่วมกันที่จะปกป้องรักษาไว้อย่างเหนียวแน่น

7) ความคิดเรื่องการแยกศาสนาออกจากการเมือง (Secularism) ที่เป็นหนึ่งในหกหลักการของอุดมการณ์แห่งชาติของสาธารณรัฐตุรกี ได้มีผลทำให้ ศาลรัฐธรรมนูญตุรกี พิพากษาให้มีการยุบพรรคสวัสดิการ (Welfare Party) ในปีพ.ศ. 2541 รวมทั้งห้ามนายกรัฐมนตรี Erbakan ซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคนี้เล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และปัจจุบัน ศาลรัฐธรรมนูญตุรกี ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาคดียุบพรรคการเมืองที่มีชื่อว่า พรรคพัฒนา (A K Party) ของนายกรัฐมนตรี Tayyip Erdogan และประธานาธิบดี Abdullah Gul รวมทั้ง ห้ามสมาชิกคณะกรรมการบริหารพรรคอีก 71 คน เล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ข้อหาดำเนินกิจกรรมทางศาสนาที่เป็นภัยต่ออุดมการณ์แห่งชาติ

สรุป

จากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของกองทัพตุรกี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (การรัฐประหารครั้งแรก) เป็นต้นมา ชี้ให้เห็นได้ว่า กองทัพตุรกีมีความตระหนักดีในบทบาทและหน้าที่ ต่อการพิทักษ์รักษาสาธารณรัฐตุรกี ภายใต้การชี้นำของอุดมการณ์ที่บิดาแห่งสาธารณรัฐตุรกี Mustafa Kemal Ataturk ได้ทิ้งไว้เป็นมรดกของชาติ รวมทั้งรู้ถึงคุณประโยชน์ของอำนาจเผด็จการ (ตามความหมายดั้งเดิมของอำนาจเผด็จการสมัยสาธารณรัฐโรมัน รายละเอียดปรากฎในข้อ 1 ใหญ่ข้างต้น) และไม่กลัวที่จะใช้อำนาจเผด็จการในสภาพการณ์พิเศษ (วิกฤติการณ์การเมืองร้ายแรง) เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ เหมือนกับกองทัพโปรตุเกส ในการปฏิวัติปีพ.ศ. 2519 ก็ได้ใช้อำนาจเผด็จการในความหมายดั้งเดิม ยุคสาธารณรัฐโรมันเมื่อ 3 พันปีมาแล้ว (โปรดดูรายละเอียดในบทความของผู้เขียนเรื่องกองทัพกับประชาธิปไตยทั้งภาคหนึ่งและภาคสอง ตีพิมพ์ใน นสพ. ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 9 มีนาคม 2549 และ 3 กันยายน 2549-หรือท้ายบทความนี้)

4. วิกฤติการเมืองไทย พ.ศ. 2551

เมื่อศึกษาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฎให้เป็นที่ประจักษ์ช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา พอสรุปได้ว่า วิกฤติการการเมืองไทยมาถึงทางตัน และยังไม่เห็นทางออกที่สามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้ เป็นเพราะ คำนิยามของประชาธิปไตยได้ถูกบิดเบือน เพื่อสนองผลประโยชน์ของบางพรรคการเมือง ดังนี้

4.1 การมอมเมาให้ประชาชนหลงเชื่อว่า อะไรก็ตามที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตยทั้งในรูปแบบและเนื้อหา และว่านี่คือประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งๆที่ในโลกนี้ ไม่มีประเทศใดที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่สมบูรณ์ทั้งในรูปแบบและเนื้อหา

4.2 จากผลแห่งความเข้าใจผิดในข้อ 4.1 ข้างต้น พลเมืองไทยจึงมีสถานะเป็นเพียงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (electorate) ไม่ใช่ผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย (participant)

4.3 เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงหลงผิดว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง จึงเป็นผลทำให้เข้าใจผิดว่า การรัฐประหารเท่านั้นที่เป็นเผด็จการ และฉีกรัฐธรรมนูญได้ ทั้งๆที่ มีกรณีตัวอย่างมากมายในหลายประเทศที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นฝ่ายทำลายประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญเอง อีกทั้งการหลงผิดดังกล่าว เป็นผลทำให้มองไม่เห็นว่า การฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายประชาธิปไตยนั้น สามารถทำได้หลายทางและอย่างแนบเนียนได้ ไม่ต้องทำรัฐประหารเลย ในอดีต 6 ปีของระบอบทักษิณ ก็ได้ยืนยันความจริงในประเด็นนี้ และรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำ ก็กำลังตอกย้ำให้เห็นถึงความจริงข้อนี้

4.4 ทุกวันนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงมองด้วยความหลงผิดว่า วิกฤติการณ์ทางการเมืองปัจจุบันในไทย เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้ง (ทักษิณ นักการเมืองของอดีตพรรคไทยรักไทย และนักการเมืองพรรคพลังประชาชน) กับฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณและพวกที่มาจากการเลือกตั้ง หรือระหว่างทักษิณและพวก กับฝ่ายศักดินาและทหาร การมองผิดเช่นนี้ เท่ากับทำให้ทักษิณและพวกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกลายเป็นฝ่ายเผด็จการไปโดยปริยาย ทั้งๆที่โดยข้อเท็จจริงแล้วระบอบการเมืองการปกครองของทุกประเทศ มีลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยและที่เป็นเผด็จการดำรงอยู่ร่วมกันมาโดยตลอดเป็นพันๆปี ส่วนด้านไหนจะมีมากกว่ากันในแต่ละห้วงเวลา ขึ้นอยู่กับว่า สังคมการเมืองของแต่ละประเทศ มีความเป็นประชาธิปไตย ทั้งในรูปแบบและเนื้อหา มากน้อยกว่ากันเท่าใด กล่าวคือ ถ้ามีเนื้อหาน้อย ก็จะมีลักษณะที่เป็นเผด็จการสูงเป็นต้น (ดังเช่นกรณีสังคมการเมืองไทยในยุครัฐบาลทักษิณ) บรรดาประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่มีกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของรัฐ เช่น กฎอัยการศึก พระราชบัญญัติภาวะฉุกฉิน กฎหมายความมั่นคงภายใน ล้วนเป็นสิ่งบ่งบอกให้เห็นถึงด้านที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่มีอยู่ภายในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เป็นสิ่งตรงข้ามกับเผด็จการแบบขาวกับดำ

4.5 จากข้อเท็จจริงทั้งหมดในข้อ 4.1 ถึง 4.4 ข้างต้น ย่อมเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นได้ว่า ประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง เอื้อประโยชน์และสร้างความเจริญก้าวหน้า ให้กับประเทศชาติและประชาชน มิได้อยู่ที่การเลือกตั้ง หรือการที่ผู้นำและรัฐบาลมีคุณธรรมและจริยธรรมเท่านั้น แต่อยู่ที่การตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จำต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ และนั่นหมายถึงการคำนึงและเห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างแท้จริง เพราะสมการประชาชนได้หายไปจากสังคมการเมืองไทยเป็นเวลานานมากแล้ว

การรัฐประหารในตุรกีและการปฏิวัติในโปรตุเกส ได้ตอกย้ำให้เราเห็นแล้วว่า เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สามารถทำลายประชาธิปไตยได้ การปฏิวัติ/รัฐประหาร ก็สามารถนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่บ้านเมืองได้เช่นกัน

กองทัพไทยมีบทบาทสำคัญยิ่งทางการเมืองที่ต้องพิทักษ์รักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน กองทัพประกอบด้วยเสรีชนในเครื่องแบบ กองทัพย่อมตระหนักดีอยู่แล้วว่า ในสภาพการณ์พิเศษ ประเทศชาติและประชาธิปไตยจะอยู่รอดได้อย่างไร

11 พฤษภาคม 2551




ที่มา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ



โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:30:44 น.  

 
รูปสวยจังเลยค่ะ

ขอบคุณที่มาเยี่ยมกันเรื่อยๆนะคะ


โดย: gluhp วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:04:43 น.  

 
ขอบคุณค่ะพี่แวะไปเยี่ยม รูปสวยนะคะ


โดย: กระจ้อน วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:31:33 น.  

 


อรุณสวัสดิ์ยามสายค่ะ
กัลยาณมิตรคนดีเสมอค่ะ

เวลานี้ วันนี้ และเดี๋ยวนี้
ห่างหายไปหลายวันใช่หัวใจนั้นไร้ห่วง
ยังคิดและคนึงเฝ้าระลึกถึงเสมอ
ว่าวันนี้เป็นวันดีที่มีจันทร์ส่องสว่าง
ว่าวันนี้เป็นวันดีที่มีธรรมนำทางสุข

ในวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือน ๘ ดวงจันทร์ เสวยอาสาฬหฤกษ์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
ตรงวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดง พระปฐมเทศนา หรือการแสดง พระธรรมครั้งแรก พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

ได้ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันคือสารนาถ เมืองพาราณสี พระธรรมที่แสดงคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เมื่อเทศนาจบ พระโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ ผู้ประกอบด้วย พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม มีความเห็นแจ้งชัดว่า

ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

แรม 1 ค่ำเดือน 8 วันเข้าพรรษานี้

ด้วยพรรษานี้ด้วยดวงจิตดังใจคิด..ที่กระทำ
ได้นำเทียนแสงสว่างมุ่งสู่ทางแห่งแสงธรรม
มิลืมเลือนแผ่บุญสู่กัลยาณมิตรที่ระลึกถึงเสมอ
อนุโมทนาบุญ..เช่นเคย..ที่มิเคยลืมค่ะ



ภาพสวยกลอนไพเราะจังเลยค่ะ
มีความุขเสมอนะค่ะ
ถึงจะไม่รู้ว่าการก้าวเดินจะเจออะไรข้างหน้าก็ตามค่ะ
เมื่อเรากล้าเผชิญ
ปัญหามักกลัวเราเสมอ


โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 18 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:42:53 น.  

 
คัดจากมติชน

ร่วมกันจุดเทียนสว่างกลางสายฝน

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์

โดย สุมน อมรวิวัฒน์ //jitwiwat.blogsport.com แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)





ในกระแสข่าวสารจากสื่อทั้งที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้ช่างเต็มไปด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ความก้าวร้าวรุนแรง การทะเลาะวิวาทและการต่อสู้กันทางความคิดความเห็น แบ่งฝ่ายกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ละฝ่ายต่างก็อ้างว่าฝ่ายตนมีความรัก รักชาติ รักแผ่นดิน รักสันติ รักความเป็นธรรม รักประชาชน แต่กิริยาอาการและถ้อยคำที่บอกรักนั้นหยาบคาย ให้ร้ายและร้อนแรงด้วยโทสะ โกรธ เกลียด และอหังการ

ใจของผู้เขียนเจ็บอยู่ลึกๆ เหตุไฉนคนไทยจึงไม่รักกัน

เมื่อวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม ผู้เขียนได้รับเชิญจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เข้าร่วมประชุมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การสร้างสังคมสุขภาวะที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ เป็นเวที "เติมหัวใจให้สังคม" จัดโดยเจ้าภาพ 9 องค์กร ซึ่งทำงานก่อสานพลังทางสังคมอย่างเข้มแข็ง เพื่อลดความทุกข์ สร้างเสริมความสุขในกลุ่มเล็กๆ กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ

วันนั้น ผู้เขียนได้พบโอเอซิสที่ชุ่มชื่นร่มเย็นกลางทะเลทราย เวทีเสวนามิได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่บรรยากาศอบอวลด้วยความรัก ความปรารถนาดีในกลุ่มคนดีๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 10 ขวบ จนถึง 78 ปี มีการนำเสนอกรณีดีงามถึง 10 เรื่อง ซึ่งสร้างความประทับใจอย่างยิ่งแก่ผู้เข้าประชุม นับตั้งแต่ ครูแอน ครูอาสาสมัครสอนศิลปะในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ครูถั่น จุลนวล จากบ้านหนองเสาธง จังหวัดสงขลา ที่สร้างตำบลสมานฉันท์ และเสนอกระบวนการคัดกรองคนดีในชุมชนเข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรีของหมู่บ้าน

ผู้เขียนรู้สึกทึ่งมาก เมื่อนายกพิชัยแห่งหมู่บ้านห้วยดง จังหวัดพิจิตร ทำกระบวนการประกันราคาดอกรัก เพื่อให้คนในตำบลมีรายได้จากดงดอกรักอย่างพอเพียง งานขององค์กรพัฒนาหมู่บ้านโดยเยาวชน (อมย.) ที่ชุมชนอ่าวลึกน้อย วิธีการสร้างคนดีแทนคุณแผ่นดินของบริษัทเอเชียพรีซิชั่น ที่ทำให้คนงานกว่า 600 คนมีความสุขและเห็นว่า "โรงงานเป็นมากกว่าที่ทำมาหากิน"

ผู้เขียนได้ฟัง คุณอ้อม เทพธิดาสีขาวที่ทำงานรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์มาตั้งแต่โรงพยาบาลเริ่มต้นโครงการ เป็นการทำงานหนัก สู้งานด้วยรักและอดทนอย่างยิ่งยวด ผจญกับสภาพของผู้ป่วยที่สังคมรังเกียจ และตนเองก็ถูกรังเกียจจากผู้คนรอบข้างเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดมาทำให้เธอท้อถอย

เมืองไทยมีแพทย์และพยาบาลดีๆ แบบคุณอ้อมอยู่มากมาย

ผู้เขียนได้เห็นการเปิดโอกาสให้คนที่สนใจทำภาพยนตร์สั้น มาสร้างและแบ่งปันผลงานแลกเปลี่ยนกันในเรื่องแผนที่ความดี ซึ่งนิตยสารไบโอสโคปได้ทำกิจกรรมเป็นผลสำเร็จ กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวน่าสนใจ ได้ฟังผู้ป่วยโรคมะเร็งทำงานช่วยเหลือ แบ่งปันอย่างจริงใจในโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนมะเร็งระยะสุดท้าย

น้องปุ๋ย เยาวชนจากกาฬสินธุ์ เล่าถึงการเรียนรู้จากครอบครัวและงานอาสาสมัครในชุมชน กรณีสุดท้ายคือโครงการของโรงเรียนชลบุรีสุขบท ที่สร้างกระบวนการเรียนรู้จากปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนให้หยุดการฆ่าหมาจรจัด ด้วยกิจกรรมรักสัตว์ รักสังคม โครงการนี้มิใช่เกิดผลดีต่อชีวิตหมาเท่านั้น แต่นักเรียนและอาจารย์ที่ปรึกษาได้พัฒนาคุณธรรมของตนเอง โรงเรียนและวัดกลายเป็นศูนย์กลางของความรักและความรู้ เกิดคุณค่าทั้งแก่ชีวิตหมาและชีวิตคน

ตลอดเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ที่ผู้ร่วมเสวนาได้ดูวีดิทัศน์ ฟังเรื่องราวดีๆ อย่างมีความสุข รับประทานของว่าง ดื่มกาแฟ และได้รับความรู้จากนิทรรศการตามมุมต่างๆ นั้น คุณนิรมล เมธีสุวกุล (คุณนก) ทำหน้าที่พิธีกรอย่างเชี่ยวชาญ เสียสละ อดทน อดรับประทานขนม ไม่ได้เข้าห้องน้ำ เธอดำเนินรายการตั้งแต่ต้นจนจบภาคเช้า ด้วยวิธีการที่เป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส ปราศจากกิริยาที่ปรุงแต่ง ทำให้ทุกคนมีความสุข ผู้เขียนจึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ คุณนกทำงานด้วยรักในงานที่ทำ

ประเทศไทยยังมีคนดีอยู่มากมาย มีกิจกรรมดีๆ อย่างหลากหลายเต็มแผ่นดิน

มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจทำงานหนักอยู่เงียบๆ ต่อสู้อุปสรรคอย่างอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ดังที่ครูแอนบอกว่า เป็น "การจุดเทียนกลางสายฝน"

แน่นอน คนที่จุดเทียนกลางสายฝนต้องพากเพียรอดทนต่อการจุดไฟต่อไส้เทียนที่เปียกชื้น มือที่ป้องลมย่อมร้อนเมื่อถูกเปลวเทียนกระทบและร่างกายก็เปียกปอน แต่เมื่อมีความรักและความหวัง เทียนก็สว่างขึ้นได้ และฝนก็หายไปในที่สุด

ความฉ้อฉลและการแข่งขันช่วงชิงกันในบ้านเมืองของเราขณะนี้ เปรียบเหมือนลมฝนที่ซัดกระหน่ำลงมาทุกแห่งหน เมื่อน้ำท่วม ไฟดับ ต้นไม้โค่นล้มขวางทางระเกะระกะ การจราจรติดขัด รถประจำทางไม่วิ่ง ฯลฯ คนที่เอาตัวรอดต่างก็รีบหลบเข้าบ้าน ปิดประตู ในขณะที่คนยากไร้เอาตัวไม่รอด ต้องยืนเปียกฝนอยู่ตามที่จอดรถประจำทาง หวาดกลัว หิว และสิ้นหวัง ชาวไร่ชาวนาขายผลิตผลได้ราคาต่ำ ขาดทุน เป็นหนี้สิน ซื้อหวยเพื่อซื้อความหวังที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะมีลาภลอยมาถึงมือ

ผู้คนหลายกลุ่มทั่วประเทศห่วงใยและอาสาคลายทุกข์เพื่อนร่วมชาติด้วยวิธีการที่สร้างความร่วมมือ เสริมพลังกันและกัน เสริมความสุขและความหวังให้แก่เพื่อนร่วมทุกข์ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนแรกของบทความนี้

อะไรดลใจให้คนอาสามุ่งทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น คำตอบคือ ความรัก

ความรักคืออะไร

ความรักเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ประณีต ละเอียดอ่อน มีผู้ให้และมีผู้รับ เป็นความรักซึ่งกันและกัน

ความรักเกิดขึ้นในจิตใจ สะสม เพิ่มพูน และถ่ายทอดได้

ความรักแตกต่างจากอารมณ์ใคร่ ซึ่งเป็นความดึงดูดและความคลั่งไคล้ทางร่างกาย

ความรักเกิดจากหัวใจสู่หัวใจ เป็นความงามที่จับใจ และเป็นคุณสมบัติแท้จริงของจิตวิญญาณ

ความรักเกิดขึ้นเงียบๆ ในความคิด จิตสำนึก เริ่มจากความเมตตา อยากแบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างจริงใจที่จะลดความทุกข์ของผู้อื่น

ความรักช่วยกระตุ้นพลังแรงแข็งขันที่จะบากบั่นทำงานอาสาสมัครโดยไม่หวังผลตอบแทน

ในความรักจึงมีความเสียสละ มีความเบิกบานแจ่มใส มีความสุขที่เกิดจากจิตใจที่นิ่งและสงบ

ความรักนั้นยิ่งลดความเห็นแก่ตัว ยิ่งเพิ่มความรักผู้อื่น

ความรักจึงเป็นต้นธารของคำหลายคำ เช่น ความสามัคคี สมานฉันท์ การเห็นคุณค่า ความกรุณา การให้อภัย

ก่อนจบบทความนี้ ผู้เขียนขอยกข้อความจากปกหลังของหนังสือ "เพื่อรักและประจักษ์ปัญญาธรรมชาติ" ซึ่งศิษย์รักของผู้เขียน (ศึกษิต เทพศึกษา) ได้เรียบเรียงจากความคิดและประสบการณ์ของ

โดโรธี แม็คเคลน ไว้ว่า

"แก่นของอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายคือความรัก

วัฒนธรรมย่อยทั้งหลาย คือความรักที่แสดงออกมาในลักษณะเฉพาะตน

เพื่อเพิ่มความงามให้แก่องค์รวมแห่งชีวิต

เหมือนดอกไม้หลากชนิดหลากสีสัน

ที่ต่างเพิ่มความงามให้แก่สวนดอกไม้ของโลก"

ในอุทยานแห่งสยาม จะมีพฤกษานานาพรรณที่แตกต่างกันทั้งสี กลิ่น และรูป จึงไม่แปลกที่คนในสังคมแต่ละกลุ่มจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ถ้าเรารู้จักคิดทางบวก ก็จะเห็นความงามของความแตกต่างกันเหล่านั้น

ขอแต่เพียงมีความรัก ไม่หลงตนเอง ถ้าเป็นพวกฉันทุกอย่างถูกหมด ถ้าไม่ใช่พวกฉันทุกอย่างเลวหมด

ขอแต่เพียงเรามาเติมใจให้กัน ช่วยเหลือแบ่งปันให้แก่เพื่อนร่วมทุกข์

เพื่อแต่ละคนจะมีความสุขอย่างยั่งยืน


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:6:42:49 น.  

 
ความรักถูกแสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างกันไป


โดย: p_tham วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:23:05:12 น.  

 
ขอให้ทุกชีวิตมีความสุข


โดย: มีนชนะ IP: 58.147.50.192 วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:36:09 น.  

 





เวลานี้ วันนี้ และเดี๋ยวนี้
ห่างหายไปหลายวันใช่หัวใจนั้นไร้ห่วง
ยังคิดและคนึงเฝ้าระลึกถึงเสมอ
ว่าวันนี้เป็นวันดีถึงมีจันทร์ที่ไร้แสง
ใช่ว่าใจต้องหม่นเพราะความมืดเข้ามาเยือน

ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

แรม 15 ค่ำเดือน 8

มีสติ..ละกิเลส เบรกอารมณ์
จิตสงบ..ใจย่อมสุขสมดังหวัง
อนุโมทนาบุญ..เช่นเคย..ที่มิเคยลืมค่ะ







โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 2 สิงหาคม 2551 เวลา:0:25:37 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ค่ะ
คิดถึง ดูแลสุขภาพนะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ



โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:5:19:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.