บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
29 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
สายใยชีวิตกับผืนป่าตะวันตก























ธารน้ำไหลลงโขดหิน
จากลำธารไปสู่ลำน้ำสายเล็ก ๆ
เป็นต้นทางของลำน้ำสายใหญ่
ที่โอบอุ้มป่าผืนใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน

การเดินทางของชีวิต
บางครั้งอาจวกวนและพานพบกับอุปสรรค
ฟันฝ่าผ่านคลื่นลมอันแสนยาวนาน
ผ่านปัญหาที่แสนหนักหน่วง
หากใจนั้นอ่อนล้า
นาวาชีวิตคงอับปาง

สู้...พ่ายแพ้....สู้ใหม่....จนชัยได้มา
หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ชัยชนะจะเป็นของผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดเท่านั้น




ชนชาวปากะยอ
แห่งผืนป่าตะวันตก
ที่ครั้งหนึ่งเคยลุกขึ้นสู้กับอำนาจรัฐ

วันนี้เมื่อหันกลับมาพัฒนาชาติไทยร่วมกัน
บทบาทการพิทักษ์ผืนป่านี้อยู่ในกำมือของท่าน

ผืนป่าตะวันตกผืนสุดท้ายในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อลูกหลานไทยในอนาคต




ยามแสงอัสดง
สายธารต้นน้ำแห่งผืนป่าตะวันตก
ในยามนี้อาจดูมืดสนิท
และท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้
คนกับป่าคือสมดุลที่ธรรมชาตจัดสรรให้
มาพร้อมกับสรรพสัตว์ที่จะอยู่ร่วมกับผืนป่านี้ตลอดกาล










@บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่


Create Date : 29 กันยายน 2553
Last Update : 14 ตุลาคม 2554 12:53:07 น. 24 comments
Counter : 3443 Pageviews.

 
สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ จ้า



ทุกวันนี้ที่ห่วงหา ไม่ว้าเหว่
ห่างหัวใจหันเห ไม่ห่างหาย
ส่งหัวใจ ห่วงใย ไม่เสื่อมคลาย
คุ้มครองเธอให้อยู่สบายและคิดถึงกัน....

* ขอให้มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะจ้า *

สวัสดีจ้าคุณ คนเดินดิน อ่านบทความแล้วพาใจซึ้งไปด้วย ยิ่งเห็นธารน้ำไหลที่สวยงามชวนจับใจ

ขอบคุณ คุณคนเดินดินมากนะจ้า ที่ส่งความคิดถึง
และความห่วงใยมาให้นัท นัทก็ขอให้สิ่งเหล่านั้น
กลับไปหาคุณ คนเดินดิน ด้วยเช่นกันนะจ้า


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:00:10 น.  

 
ก้าวข้ามการเมืองน้ำเน่าด้วยการสร้างประชาธิปไตยทางสังคม
โดย รศ.วิทยากร เชียงกูล

การเมืองแบบน้ำ เน่าที่วนเวียนอยู่กับการต่อสู้ระหว่างพวกนิยมทักษิณ และพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีทหารคอยจับตาและอาจเข้ามาแทรกแซงได้ถ้าสถานะ การณ์บานปลาย ทำให้ประเทศไทยย่ำเท้าและมีแนวโน้มจะตกต่ำลง ประเทศอื่นจะแซงหน้าทางด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมเลยเราไป ประชาชนไทยที่มีสติปัญญาจะต้องช่วยกันคิดหาทางออกจากการเมืองน้ำเน่าให้ได้ อย่างน้อยก็ในระยะกลาง/ระยะยาว

การจะปฏิรูปการ เมืองได้ ไม่ได้อยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเพียงกติกาการเขียนที่ถูกนักการ เมืองที่มีอำนาจละเมิด/เพิกเฉยได้บ่อย ๆ เราจะต้องหาทางสร้างประชาธิปไตยทั้งทางเศรษฐกิจ(การกระจายทรัพย์สินและราย ได้ให้เป็นธรรม) และประชาธิปไตยทางสังคม(สิทธิเสรีภาพความเสมอภาคทางการศึกษาและอื่น ๆ) ด้วย เราจึงจะมีทางปฏิรูปทางการเมืองและการผลักดันให้รัฐธรรมนูญส่วนที่ดีอยู่ บ้างแล้วมีผลบังคับใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเพิ่มขึ้นได้

ผู้เขียนได้เขียน ถึงประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจมาหลายครั้งแล้ว บทความนี้จะขอเน้นประชาธิปไตยทางสังคม ซึ่งหมายถึงการที่ประชาชนมีโอกาสได้รับการศึกษาและรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มี คุณภาพอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพและโอกาสในการจัดตั้งองค์กรประชาชน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน ประชาชน

สามารถที่จะเข้า ถึงศาสนา ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรมที่จะช่วยยกระดับทางจิตใจ/หรือความสุขความพอใจของประชาชนได้ อย่างหลากหลาย ไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจ/ผู้มีอิทธิพลทางความคิดแบบจารีตนิยม/อำนาจนิยม

การสร้าง ประชาธิปไตยทางสังคม ควรเริ่มจากการช่วยกันหล่อหลอม สร้างค่านิยม วิถีชีวิตที่เป็นประชาธิปไตยและคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมทั้งในครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน ชุมชน เพื่อช่วยให้เยาวชนและประชาชนมีทัศนคติค่านิยมแบบเชื่อมั่นในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นประชาธิปไตย และมีความตื่นตัวทางการเมืองเข้าใจว่าการร่วมมือกันพัฒนากลุ่มองค์กรชุมชน และประเทศเป็นเรื่องที่ให้ประโยชน์กับทุกคนในระยะยาวมากกว่าการมุ่งแก่งแย่ง แต่ผลประโยชน์ส่วนตัวระยะสั้น

แนวทางส่งเสริม/สร้างประชาธิปไตยในสังคม

1.) ปฏิรูปการเลี้ยงดู/อบรมบ่มนิสัยเด็ก แบบเปลี่ยนจากวิธีการใช้อำนาจใช้คำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ เป็นการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ที่จะภูมิใจในตัวเอง เรียนรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความรับผิดชอบ การมีวินัยในตัวเอง รู้ว่าวินัยอย่างมีเหตุผลนั้นเป็นประโยชน์สำหรับทั้งตัวเขาเองและคนอื่นทุก คนในสังคมร่วมกันอย่างไร

2.) ปฏิรูปการศึกษา พัฒนาและคัดเลือกให้มีครูที่ฉลาดและมีจิตใจประชาธิปไตยที่จะรับฟังนักเรียน นักศึกษา และเพื่อนอาจารย์ รู้จักสอนเชิงวิเคราะห์แทนการบรรยายเพื่อท่องจำ สอนให้ผู้เรียนรู้จักวิธีคิดวิเคราะห์ เป็นตัวของตัวเอง กล้าถาม กล้าอภิปราย การวัดผลต้องเน้นความสามารถในการเข้าใจวิเคราะห์สังเคราะห์ปฏิบัติได้แทนการ ท่องจำ รัฐบาลต้องลงทุนการให้บริการศึกษาที่มีคุณภาพ(ที่ต้องพัฒนาความฉลาดทั้งทาง ปัญญา อารมณ์ จิตสำนึก) ให้ประชาชนทั้งประเทศเข้าถึงสถานศึกษาและแหล่งความรู้ที่มีคุณภาพใกล้เคียง กันอย่างทั่วถึงและเสียค่าใช้จ่ายต่ำ

3.) ปฏิรูปสื่อสารมวลชน ให้เป็นสื่อสาธารณะของประชาชน เสนอข้อมูลรอบด้านเชิงวิเคราะห์ ให้ความรู้ ข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงที่มีสาระ ยกระดับความคิดอ่าน และรสนิยม ค่านิยมของประชาชนมากขึ้น

การจะปฏิรูปการ ศึกษาและสื่อมวลชนให้มีคุณภาพเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ได้ ต้องปฏิรูปคุณภาพครูอาจารย์ และผู้ทำงานและการจัดการสื่อสารมวลชนอย่างขนานใหญ่ รณรงค์ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ประชาชนรักการอ่าน การเรียนรู้ พัฒนาตนเอง คิด วิเคราะห์ในเชิงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์เป็น เลิกการสอน การวัดผล การเรียนรู้แบบเน้นการท่องจำและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารแบบด้านเดียว ที่ทำให้ประชาชนเชื่อตาม ๆ กันด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าด้วยเหตุผล

การศึกษาและสื่อ มวลชนควรเน้นการพัฒนาความฉลาดทางด้านปัญญา ด้านอารมณ์ และด้านจิตสำนึกต่อส่วนรวม (จริยธรรม คุณธรรม) ควบคู่กันไป เน้นการทำให้เด็กเยาวชน ประชาชน มีความภูมิใจ มั่นใจในตัวเอง ภูมิใจในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของชุมชนและประเทศ มีวุฒิภาวะในการเข้าใจปัญหาและคิดหาทางแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ และลุ่มลึก เป็นเหตุเป็นผล วิเคราะห์ทั้งข้อดีและข้อเสียทั้ง 2 ด้านอย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมในระยะยาว (แทนการสอนและการสอบแบบเน้นคะแนนและการแข่งขันเอาชนะคนอื่นเพื่อหาเงินให้ ได้มากที่สุดด้านเดียว)

ครูอาจารย์และสื่อ มวลชนต้องศึกษาทำความเข้าใจและช่วยอธิบายต่อว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องแค่เลือกผู้แทนและการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ แต่หมายถึงการปกครองเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ดังนั้น ประชาชนต้องมีสิทธิ เสมอภาค เสรีภาพทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่จะได้ประโยชน์จากการบริหารบ้านเมืองและการใช้ทรัพยากรส่วนรวม การออกและบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ อย่างยุติธรรม และประชาชนพลเมืองมีบทบาทในเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองซึ่งเป็นเรื่องผล ประโยชน์ส่วนรวมได้หลายรูปแบบ ทั้งวิพากษ์วิจารณ์เสนอแนะ คัดค้าน ประท้วง เสนอกฎหมายใหม่ ยื่นเรื่องถอดถอนผู้แทนและเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตหรือด้อยประสิทธิภาพ อย่างสันติวิธีและมีเหตุผลที่น่าเชื่อรองรับ

การจัดการศึกษา เพื่อความรู้ทั่วไปและทักษะวิชาชีพเท่าที่ทำกันอยู่ยังไม่เพียงพอ ต้องจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาด้านบุคคลิกภาพ, อุปนิสัย ค่านิยมเพื่อทำให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่สถาบันการศึกษาเท่านั้น ทั้งครอบครัว ชุมชน สื่อมวลชน องค์กรต่าง ๆ จะต้องตระหนักและเข้ามาช่วยกันสร้างบุคคลิกภาพ ค่านิยมที่สร้างสรรค์เป็นประชาธิปไตยและคำนึงถึงส่วนรวมโดยเฉพาะในหมู่เด็ก เยาวชน และพยายามเปลี่ยนแปลงในหมู่ผู้ใหญ่เท่าที่ทำได้ด้วย

4.) ปฏิรูปทางด้านศิลปวัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ สภาพแวดล้อมทางสังคมด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดแนวคิดค่านิยมในเชิงเสรีประชาธิปไตย ใจกว้าง อดกลั้น เรียนรู้ ยอมรับความแตกต่างระหว่างกลุ่มชนและความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น

จุดที่ควรเน้นคือ การพัฒนาพลเมืองที่รับผิดชอบ

การให้การศึกษา ข้อมูลข่าวสารเพื่อพัฒนาประชาชนให้เป็นพลเมืองที่รับผิดชอบเป็นแนวทางที่ สำคัญในการสร้างสังคมใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองไทยมีความเหลื่อมล้ำแตกต่างกันมาก การจะไปอาศัยแต่กฎหมาย การสอดส่องและการลงโทษ(ตำรวจ อัยการศาล ราชฑัณฑ์)ด้านเดียวไม่สามารถทำได้ผลร้อยเปอร์เซนต์ การรณรงค์ผลักดันให้มีร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบให้ดีอย่างไร ก็จะยังคงมีช่องโหว่หรือมีความไม่เป็นธรรม ไม่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ถ้าประชาชนยังไม่ได้รับความเป็นธรรม และประชาชนยังไม่มีความรู้และจิตสำนึกรับผิดชอบเพื่อส่วนรวม รู้จักปกป้องสิทธิและทำหน้าที่ของตนเอง ทั้งการมุ่งใช้การจับผิดและการลงโทษคนทำผิดกฎหมายคือการตามแก้ปัญหาที่ปลาย เหตุ ที่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรและเวลามากและได้ผลน้อย

การมุ่งพัฒนา ประชาชนให้มีความคิด ทัศนคติ ค่านิยมที่เป็นพลเมืองที่รับผิดชอบ จะมีส่วนช่วยพัฒนาประชาธิปไตยทั้งทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือจะช่วยให้ประชาชนตอบสนองความต้องการทางจิตใจและความต้องการ ทางสังคมของเราแต่ละคนได้ดีและมีชีวิตที่มีความสุข มากกว่าการสอนให้คนแข่งขันเอาชนะหาเงินหาอำนาจกันแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชุมชน และช่วยให้ชุมชนเจริญงอกงามได้ดีกว่าการเน้นการพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ที่เน้นทางด้านเศรษฐกิจ(วัตถุ) ล้วน ๆ ด้วย

ประสบการณ์ของ ประเทศยุโรปเหนือ (สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์) และประเทศอื่น ๆ (หรือสังคมอื่น ๆ เช่นภาคเหนือของอิตาลี) พบว่าการที่ประชาชนมีวัฒนธรรมประชาธิปไตยและมีการช่วยเหลือร่วมมือกันแบบ สังคมประชาหรือชุมชนเข้มแข็ง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สังคมนี้พัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขความพอใจ

ดังนั้น ทางออกที่ประชาชนไทยต้องช่วยกันคิดช่วยกันผลักดัน คือ การปฏิรูปทั้งด้านกฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจและการศึกษาสังคมวัฒนธรรม(รวมทั้งสื่อมวลชน) เพื่อมุ่งสร้างความเป็นธรรมและความฉลาดแบบมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม การแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีอย่างมีความอดกลั้นและใจกว้าง คิดและร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวและพรรคพวก มุ่งทำให้ประชาชน ชุมชน และประเทศเข้มแข็ง สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาตนเองได้ดีขึ้น แข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและอยู่ได้อย่างยั่งยืน(ลดการสร้างมลภาวะ)

(แง่คิดเพื่อเตือน สติคนไทยวันนี้ จากพุทธวจนะในธรรมบท “คนทั่วไปมักนึกไม่ถึงว่าตนกำลังพินาศ/เพราะวิวาททุ่มเถียงกัน/ส่วนผู้รู้ ความจริงเช่นนั้น/ย่อมไม่เทลาะกันอีกต่อไป”)


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 1 ธันวาคม 2553 เวลา:7:29:01 น.  

 
สัมภาษณ์วันทนา ศิวะ: หยั่งรากประชาธิปไตย
บทสัมภาษณ์วันทนา ศิวะ โดยซาร่าห์ รูธ แวน เกลเดอร์ YES! Magazine 13 ธันวาคม พ.ศ. 2545
ภัควดี : แปล - จาก Deepening Democracy by Sarah Ruth van Gelder, YES! Magazine

วันทนา ศิวะ (Vandana Shiva) เป็นนักฟิสิกส์และเกษตรกรชีวภาพ ผู้ปลุกให้เกิดขบวนการ "ผู้โอบกอดต้นไม้" อันลือลั่นของอินเดีย
และเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เธอปราศรัยไปทั่วโลกเกี่ยวกับหายนภัยของโลกาภิวัตน์
พร้อม ๆ กับชักชวนเพื่อนร่วมโลกให้เรียกร้องสิทธิต่อชีวิตกลับคืนมา

ซาร่าห์: อยากให้คุณกล่าวถึงขบวนการประชาธิปไตยโลก (Earth Democracy Movement) ว่าได้แนวความคิดมาจากไหนและขบวนการมีรูปแบบอย่างไร?

วันทนา: แนว ความคิดนี้มาจากทรรศนะที่โบราณมากในปรัชญาอินเดีย เช่นเดียวกับที่หัวหน้าซีแอตเติลพูดถึงการอยู่ในข่ายใยของชีวิต (Chief Seattle หัวหน้าเผ่าชาวอินเดียนแดงผู้แสดงวาทะสำคัญเมื่อปี ค.ศ. 1854 ว่า " มนุษย์ไม่ได้ถักทอข่ายใยของชีวิต เขาเป็นเพียงด้ายเส้นหนึ่งในข่ายใยนั้น สิ่งใดก็ตามที่เขากระทำต่อข่ายใย เท่ากับเขากระทำต่อตัวเอง") ในอินเดีย เราพูดถึง vasudhaiva kutumbkam ซึ่งหมายถึง "ครอบครัวโลก" จักรวาลวิทยาของอินเดียไม่เคยแบ่งแยกมนุษย์จากสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เราคือเอกภาพที่ต่อเนื่องกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดต่างหาก

เมื่อเกิดประเด็นเรื่องสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต ในอินเดียมีการตอบโต้สองระดับจากฝ่ายที่คัดค้านการปฏิบัติแบบนี้ ระดับแรกคือการขัดขืน: "นี่เป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม ชีวิตไม่ใช่ประดิษฐกรรม ชีวิตไม่พึงถูกผูกขาด คุณไม่ควรขายเมล็ดพันธุ์ที่ขโมยจากเราไป และคุณไม่ควรมาเก็บค่าธรรมเนียมผลิตผลที่เกิดจากอัจฉริยภาพของธรรมชาติ และการแก้ไขปรับปรุงของมนุษย์ตลอดหลายศตวรรษ"

ระดับที่สองคือ ทวงสิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมา: ประชาชนอ้างถึงสิทธิในการดูแลความหลากหลายทางชีวภาพและใช้ความหลากหลายนั้นอย่างยั่งยืน ความคิดนี้เกิดมาจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลายครั้งในหมู่ขบวนการเคลื่อนไหวที่เราสร้างขึ้นมาจากรากหญ้า

ฉันยังจำได้ถึงการประชุมครั้งหนึ่งของชาวบ้าน 200 คน ซึ่งมีส่วนร่วมอยู่ในการรักษาเมล็ดพันธุ์และการแบ่งปันเมล็ดพันธุ์กับ Navdanya กองทุนที่ฉันก่อตั้งขึ้นเพื่อรักษาเมล็ดพันธุ์และส่งเสริมเกษตรกรรมชีวภาพ ชาวบ้านทั้ง 200 คนนี้รวมตัวกันในวันสิ่งแวดล้อมโลกเมื่อ ปี พ.ศ. 2541 และประกาศอำนาจอธิปไตยเหนือความหลากหลายทางชีวภาพของตน ไม่ใช่อำนาจอธิปไตยเพื่อข่มขืนและทำลาย แต่เป็นอำนาจอธิปไตยเพื่ออนุรักษ์

ชาวบ้าน 200 คนนี้รวมตัวกันในหมู่บ้านบนภูเขาสูงแห่งหนึ่งใกล้กับสาขาของแม่น้ำคงคา พร้อมใจกันประกาศว่า "เราได้รับป่า สมุนไพร เมล็ดพันธุ์จากธรรมชาติตกทอดมาทางบรรพบุรุษ เราเป็นหนี้ที่ต้องอนุรักษ์มรดกนี้ไว้เพื่ออนาคต เราขอปฏิญาณว่า เราจะไม่ปล่อยให้มรดกถูกทำลายหรือถูกขโมยไป เราขอปฏิญาณว่าเราจะไม่มีวันยอมรับสิทธิบัตร การดัดแปลงพันธุกรรม หรือยินยอมให้ความหลากหลายทางชีวภาพของเราถูกแปดเปื้อนเป็นมลทินไม่ว่าในรูป แบบใด และเราขอปฏิญาณว่า เราจะปฏิบัติตัวเป็นประชาชาติของความหลากหลายทางชีวภาพนี้"

การพูดคุยแลกเปลี่ยนตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วทั้งอินเดีย โดยใช้ภาษามากมายหลายสำเนียง นำไปสู่ปฏิบัติการที่น่าอัศจรรย์ใจ ชาวบ้านบางคนเขียนจดหมายถึงนายไมค์ มัวร์ ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลกในขณะนั้น บอกว่า "เราได้รับรู้ว่าคุณผ่านกฎหมายที่เรียกกันว่า 'ข้อตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้า' เรารับรู้ด้วยว่า ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ คุณต้องการผูกขาดรูปแบบชีวิต แต่นี่เป็นทรัพยากรที่คุณไม่มีอำนาจชี้ขาด คุณก้าวออกไปเกินขอบเขตอำนาจของตนเสียแล้ว"

จดหมายทำนองเดียวกันนี้มีส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีของอินเดีย: "คุณเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ก็จริง แต่เราต่างหากที่เป็นผู้รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งนี้ไม่อยู่ในอำนาจชี้ขาดของคุณ คุณไม่มีสิทธิ์ลงนามเพื่อมอบอำนาจนี้ให้ใคร เพราะคุณไม่เคยได้รับมอบอำนาจนี้เลย เราไม่เคยมอบหมายให้คุณเป็นตัวแทนของเรา"

แต่ข้อความที่งดงามที่สุดถูกสลักไว้ใต้ต้นไม้ในหมู่บ้าน และเขียนถึงบริษัทไรซ์เทค ซึ่งเป็นบริษัทที่จดสิทธิบัตรข้าวบัสมาติ และเขียนถึงบริษัทเกรซคอร์ปอเรชั่นที่จดสิทธิบัตรชื่อของข้าว จดหมายฉบับนี้เขียนว่า "เราใช้ข้าวบัสมาติมาหลายศตวรรษ...ตอนนี้เราได้ยินว่าคุณได้หมายเลขสิทธิ บัตรเหนือข้าวชนิดนี้ และอ้างว่าเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา เรารู้ว่าบางทีการปล้นและการขโมยแบบนี้ก็เกิดขึ้น มีขโมยในหมู่บ้านของเราเหมือนกัน และเราปฏิบัติต่อขโมยด้วยความเข้าใจ เราเรียกขโมยมาและขอให้ขโมยอธิบายว่า อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้ต้องขโมย ดังนั้น เราจึงขอเชิญคุณมาที่หมู่บ้านของเราและอธิบายให้เราฟังถึงแรงจูงใจที่ทำให้ คุณต้องขโมยจากเรา"

ชุมชนเหล่านี้เริ่มก่อตั้งมาหลายปีแล้วโดยเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ที่เพาะในท้องถิ่น และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ตอนนี้ ชุมชนพยายามสร้างการอภิบาลตนเองในเรื่องระบบอาหาร ระบบน้ำและระบบความหลากหลายทางชีวภาพ

ถ้าคุณคิดถึงความจริงที่ว่า โลกาภิวัตน์ของบรรษัทข้ามชาติคือการรุกรานเข้ามาแปรรูปน้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบอาหารของแม่พระธรณี เมื่อชุมชนเหล่านี้ประกาศอำนาจอธิปไตยและดำเนินการตามอำนาจอธิปไตยนั้น เท่ากับพวกเขาสร้างการตอบโต้ที่ทรงพลังต่อโลกาภิวัตน์ ประชาธิปไตยที่มีชีวิตคือประชาธิปไตยที่พิทักษ์รักษาความมั่งคั่งที่มีชีวิตให้ประชาชนได้พึ่งพิง

ซาร่าห์: มีที่ไหนอีกไหมที่ใช้ภาษาแบบเดียวกันนี้เพื่อต่อต้านโลกาภิวัตน์ของบรรษัทข้ามชาติ

วันทนา: ฉันคิดว่ามีการพลิกฟื้นขึ้นมาเองของวิธีคิดที่ตั้งอยู่บนหัวใจของการทะนุ บำรุงชีวิต เฉลิมฉลองชีวิต ชื่นชมชีวิต โดยถือเป็นทั้งหน้าที่สูงสุดของเราและเป็นรูปแบบที่ทรงพลังที่สุดในการขัด ขืนต่อระบบที่ก้าวร้าวป่าเถื่อน ซึ่งครอบงำโลกไม่เพียงเฉพาะด้านการค้า แต่ยังเป็นเผด็จการที่ปฏิเสธอิสรภาพและเสรีภาพของประชาสังคม

ไม่มีภาษาใดภาษาหนึ่งเพียงภาษาเดียวสำหรับบรรยายขบวนการนี้ และนั่นคือข้อที่งดงามของมัน เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ WTO ในซีแอตเติล สร้างประสบการณ์ครั้งแรกของการเมืองสายรุ้ง นั่นคือ การเมืองที่บรรลุความเป็นพหุนิยม ปราศจากการวางแผนสั่งการจากมันสมองหลัก แต่มีกระแสพลังและความงามที่เกิดจากความคิดเสรี ในการเมืองแบบใหม่ ประชาชนมีวิธีแสดงออกแตกต่างกันไป แต่ฉันรู้สึกว่า แก่นกลางยังคงเป็นประชาธิปไตยที่มีชีวิต ระบบเศรษฐกิจที่มีชีวิต รวมไปจนถึงการยึดมั่นในความรับผิดชอบส่วนบุคคลที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการระดับชาติและระดับสากลเพื่อสร้างความ เปลี่ยนแปลงด้วย

ซาร่าห์: คุณเคยเขียนถึงความไร้เสถียรภาพสี่ประเภท นั่นคือทางด้านนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการเมือง และแจกแจงว่าแต่ละประเภทนำไปสู่บทลงเอยที่เป็นความรุนแรงอย่างไร คุณพอบอกได้ไหมว่า ทำไมคุณถึงแยกแยะความไร้เสถียรภาพแต่ละรูปแบบนี้?

วันทนา: วิกฤตการณ์ทางด้านนิเวศวิทยาคือรูปแบบของความไร้เสถียรภาพอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในสภาพของความยากไร้ เมื่อแม่น้ำปนเปื้อนมลพิษและคุณไม่มีน้ำสะอาดดื่ม เมื่อน้ำบาดาลแห้งขอดและคุณจำต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ไม่มีความไร้เสถียรภาพที่ลึกซึ้งไปกว่านี้อีกแล้ว ความขัดแย้งจำนวนมากภายในประเทศโลกที่สามเกี่ยวโยงกับการถลุงใช้ทรัพยากรธรรมชาติเร็วเกินกว่าที่ธรรมชาติสามารถสร้างทดแทน หรือยักย้ายทรัพยากรไปจากถิ่นที่ประชาชนต้องพึ่งพาอาศัยมัน ในทุกสังคม เขื่อนกลายเป็นต้นตอความขัดแย้งครั้งใหญ่ เมื่อใดที่ความขาดแคลนน้ำเพิ่มมากขึ้น เพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง ย่อมกลายเป็นศัตรูกันเอง

ซาร่าห์: คนส่วนใหญ่มักทึกทักว่า ทุพภิกขภัยเป็นส่วนหนึ่งของสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์เสมอมา และทุพภิกขภัยมีความเกี่ยวโยงใกล้ชิดกับการเพิ่มขึ้นของประชากร

วันทนา: ตลอดเวลา 25 ปีที่ฉันทำงานเกี่ยวกับปัญหาทางด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือ แต่ละพื้นที่บนโลกใบนี้มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างกันไป อาจมีปริมาณฝนเพียงเล็กน้อยในรัฐราชสถาน แต่วัฒนธรรมของรัฐราชสถานวิวัฒนาการมาจนสามารถจัดการกับปริมาณน้ำฝนอันน้อยนิดได้ ผู้คนในรัฐนั้นพัฒนาเทคโนโลยีอันน่าทึ่งในการใช้และเก็บรักษาน้ำฝนเท่าที่มี มีระบบเก็บรักษาน้ำใต้ดินที่ซับซ้อน และระบบใช้น้ำในการเกษตรที่ไม่ให้น้ำเปล่าเปลืองไปแม้แต่หยดเดียว เทคโนโลยีนี้ยังใช้หล่อเลี้ยงเมืองต่าง ๆ อย่างโชธปุระและชัยปุระ ผู้คนในถิ่นนี้มีน้ำดื่มเพียงพอก็เพราะพัฒนาวัฒนธรรมการสงวนรักษาน้ำ และปลูกธัญพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก ทันทีที่คุณคิดว่าทะเลทรายของราชสถานควรทำนาข้าวหรือปลูกฝ้ายล่ะก็ คุณสร้างความขาดแคลนขึ้นมาทันที

ทุพภิกขภัยไม่ใช่ผลลัพธ์ของการมีคุณสมบัติที่ไม่เท่าเทียม นั่นคือความหลากหลายต่างหาก ความขาดแคลนคือการผิดคู่ระหว่างวัฒนธรรมกับสิ่งที่ธรรมชาติให้มา วัฒนธรรมวิวัฒนาการมาจนมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เลียนแบบความหลากหลาย ทางชีวภาพของภูมิอากาศและระบบนิเวศวิทยา เมื่อไรก็ตามที่ความสัมพันธ์นี้พังทลายลง เมื่อนั้นคุณจะเห็นการเติบโตของประชากรที่ผิดสัดส่วน ไม่เคยมีสังคมไหนมีสิ่งที่เราเรียกว่า การขยายตัวอย่างพรวดพราดของประชากร ตราบที่สังคมนั้นยังดำรงอยู่ในบริบทของสิทธิที่มีต่อทรัพยากรและความสามารถ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรเพื่ออนาคต

ลองดูตัวอย่างจากสองสถานการณ์นี้ ในประเทศอังกฤษ การขยายตัวอย่างพรวดพราดของประชากรเริ่มต้นพร้อมกับขบวนการล้อมรั้วที่ดิน (The Enclosure of the Commons) ในยุโรปสมัยก่อน ที่ดินที่ใช้ทำกสิกรรมไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกบุคคลคนใดโดยเฉพาะ แต่มีลักษณะเป็นที่ดินส่วนรวมของชุมชน กสิกรแต่ละคนจะจับจองที่ดินคนละหย่อมเพื่อเพาะปลูก แต่เมื่อพ้นฤดูเก็บเกี่ยว คนอื่น ๆ สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ดินผืนนั้นได้ เช่น เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ขบวนการล้อมรั้วที่ดินเพื่อจับจองเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในอังกฤษเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยพวกขุนนางบางกลุ่ม จนมาเสร็จสิ้นเบ็ดเสร็จในศตวรรษที่ 19

เมื่อที่ดินที่ทำกสิกรรมทั้งหมดได้ตกเป็นของส่วนบุคคล ในประเทศอื่น ๆ กระบวนการนี้เริ่มต้นและสิ้นสุดในระยะเวลาที่ต่างกันไป [ผู้แปล]) เมื่อชาวนาถูกถอนรากออกจากที่ดินและต้องหันมาขายแรงงานเพื่อยังชีพ ในอินเดีย ปี ค.ศ. 1800 เป็นเส้นแบ่งเมื่อระบอบอาณานิคมสร้างความเป็นปึกแผ่นขึ้นมา หลายศตวรรษก่อนหน้าปี ค.ศ. 1800 ประชากรของเราคงที่มาตลอด เมื่อคุณต้องพึ่งพาอาศัยที่ดินในการยังชีพ คุณรู้ว่าที่ดินนั้นเลี้ยงดูคนได้ 5 คน คุณย่อมสร้างกระบวนการทางสังคมที่ทำให้คุณมีกันแค่ 5 คน แต่เมื่อคุณต้องขายแรงงานบนพื้นฐานที่ไม่แน่นอน ในตลาดแรงงานที่ไม่มั่นคง คุณรู้ว่ามี 10 คนดีกว่ามี 5 คน ด้วยเหตุนี้เอง การต้องพรากจากความมั่งคั่งตามธรรมชาติของแม่พระธรณี คือรากเหง้าของความไม่มั่นคงและการขยายตัวของประชากร

ซาร่าห์: ถ้าเช่นนั้น ความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น?

วันทนา: แทนที่จะปล่อยให้เมล็ดพันธุ์อยู่ในมือของชาวนาที่ร่วมมือกับธรรมชาติในการปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นมา เมล็ดพันธุ์กลับตกไปอยู่ในกำมือที่ผูกขาดของบรรษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเพียง 5-6 บรรษัท แทนที่น้ำเป็นสมบัติของชุมชนท้องถิ่นหลายล้านครอบครัว น้ำกลับถูกควบคุมโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแค่ 5-6 บรรษัท นี่คือวิธีการใช้ระบบเศรษฐกิจกอบโกยเพื่อคนหยิบมือหนึ่งโดยแลกกับความอยู่รอดของคนส่วนใหญ่ ประชากร 80% ที่ถูกพรากจากความมั่งคั่งของธรรมชาติต้องย้ายเข้าไปอยู่ในความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะการดำรงชีพในฐานะชาวนา ชาวประมง เกษตรกร ชนเผ่า ชาวป่า ล้วนต้องพึ่งพิงอยู่กับการมีสัตว์น้ำ ที่ดิน ป่า เพื่อดำรงชีวิต เมื่อสิทธินั้นถูกยื้อแย่งไป คนเหล่านี้ย่อมกลายเป็นผู้อพยพทางเศรษฐกิจ กลายเป็นประชากรส่วนเกิน

วิถีเศรษฐกิจเช่นนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ประชากร 20% ที่ได้ผลประโยชน์จะได้รับความมั่นคงอันเป็นผลตามมาจากนโยบายดังกล่าว แต่ปรากฏการณ์ระยะหลังที่วอลล์สตรีทส่อให้เห็นว่า วิถีเศรษฐกิจแบบนี้สร้างความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งต่อประชากร 80% ที่ต้องพึ่งพิงความมั่งคั่งของธรรมชาติ และต่อประชากรอีก 20% ที่เหลือที่พึ่งพิงความมั่งคั่งในโลกเสมือนด้วย เพราะเงินในโลกเสมือนเป็นสิ่งสมมติ และสิ่งสมมติย่อมปลาสนาการไปอย่างง่ายดายเช่นเดียวกับตอนที่สร้างขึ้น

ถึงที่สุดแล้ว ความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจเป็นผลพวงของวิถีเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการเงิน ขับเคลื่อนด้วยทุน ขับเคลื่อนด้วยบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งกำลังทำลายทุนทางธรรมชาติและความยืดหยุ่นยั่งยืนของเศรษฐกิจท้องถิ่น

ซาร่าห์: ความไร้เสถียรภาพประเภทที่สามคือทางด้านวัฒนธรรม คุณเห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างโลกาภิวัตน์กับการเปิดฉากความรุนแรงของลัทธิชาตินิยมและการกดขี่ของฝ่ายขวา มีหลักฐานอะไรบ้างที่บ่งบอกถึงความเชื่อมโยงนี้?

วันทนา: ถึงแม้ว่าฉันเป็นนักฟิสิกส์ ไม่ใช่นักสังคมศาสตร์ แต่ในฐานะพลเมืองอินเดีย ฉันจำต้องรับผลกระทบจากความรุนแรงและความป่าเถื่อนที่มาพร้อมกับความเฟื่อง ฟูของลัทธิมูลฐานทางศาสนาสุดขั้ว (fundamentalism) ฉันได้แต่ถามตัวเองว่า เป็นไปได้อย่างไรที่สังคมซึ่งเป็นอู่สันติภาพ ดินแดนของคานธีและพระพุทธเจ้า กลับเสื่อมทรามลงจนเป็นสังคมที่ปั่นป่วนที่สุดสังคมหนึ่งในโลก

ตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ฉันเข้าใจความเชื่อมโยงเหล่านี้ก็คือ ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นในรัฐปัญจาบเมื่อช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อมนตร์วิเศษของการปฏิวัติเขียวเริ่มจางลง เมื่อเงินทุนอุดหนุนหดหายไปและระบบความรุ่งเรืองจอมปลอมเริ่มเสื่อมถอย ปัญจาบกลายเป็นแหล่งกำเนิดของความโกรธแค้นและไม่พอใจ

เมื่อคุณพิจารณาดูว่าทำไมประชาชนถึงต่อสู้ คุณพบว่าพวกเขาต่อสู้เพื่อปกป้องแม่น้ำ เพื่อราคาที่เป็นธรรม เพื่อมีปากเสียงว่าควรปล่อยน้ำในเขื่อนตอนไหนบ้าง ปัญหาทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกตัดสินใจในท้องถิ่นหรือในภูมิภาค มันล้วนแต่ถูกตัดสินใจมาแล้วจากเมืองหลวง จากกรุงเดลี ดังนั้น ความขุ่นแค้นจึงเกิดขึ้นต่อระบอบการปกครองที่รวมศูนย์ ซึ่งประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง

ยิ่งระยะหลังมานี้ ยิ่งมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ลัทธิมูลฐานทางศาสนาสุดขั้วเกิดขึ้นมาจากความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของ ระบบโลกาภิวัตน์ ฉันขอให้คุณดูสองตัวอย่างนี้ ในปลายทศวรรษ 1990 เพราะแรงกดดันของระบบโลกาภิวัตน์ ราคาหัวหอมเพิ่มขึ้นจาก 2 รูปี เป็น 100 รูปี พรรครัฐบาลพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่เรียกกันว่า "การเลือกตั้งหัวหอม" ในปี ค.ศ. 1998 เพราะปล่อยให้ราคาพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ พรรคฝ่ายค้านใช้หัวหอมเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านโลกาภิวัตน์ และชนะการเลือกตั้งในทุกรัฐ ทันใดหลังจากนั้น เราก็ได้เห็นความรุนแรงที่เกิดจากลัทธิศาสนาสุดขั้วระเบิดขึ้นมารอบหนึ่ง

ในคุชราต เรามีการเลือกตั้งระดับภูมิภาคอีกครั้งหนึ่ง WTO การเกษตรและความอยู่รอดของชาวนาเป็นประเด็นสำคัญ ชาวนาบอกว่าพวกเขาถูกทำลายจากนโยบายโลกาภิวัตน์ และลงคะแนนเสียงให้พรรครัฐบาลหลุดจากอำนาจ ทันทีหลังจากนั้น ลัทธิมูลฐานทางศาสนาสุดขั้วก็ปะทุขึ้น การสังหารหมู่และการปลุกปั่นสงครามเริ่มต้นขึ้น และขณะที่ความสนใจของสาธารณชนพุ่งไปที่ความรุนแรง ระเบียบวาระของระบบโลกาภิวัตน์ก็ถูกผลักดันต่อไป

เมื่อการตัดสิน ใจถูกดึงจากชุมชนท้องถิ่นไปรวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลกลาง และสุดท้ายไปลงเอยที่ห้องประชุมกรรมการของบรรษัท ตลาดการเงิน สถาบันอย่างธนาคารโลก IMF และ WTO ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนก็สูญเสียรากฐานในระบอบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลระดับท้องถิ่นและระดับชาติสูญเสียการควบคุมทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และสิทธิในการจัดลำดับความสำคัญของระเบียบวาระทางนโยบาย ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาย่อมไม่สามารถสร้างฐานทางการเมืองโดยผลัก ดันโครงการที่ตอบสนองต่อความต้องการของหน่วยครอบครัวและชุมชนได้อีกต่อไป

นักปลุกระดมทางการเมืองของฝ่ายขวาสุดขั้วโผล่ออกมาเติมช่องว่าง โดยเบี่ยงเบนความโกรธแค้นและความไร้เสถียรภาพที่เกิดจากโครงการเพื่อความขาดแคลน ความอยุติธรรมและการกีดกันของจักรวรรดินิยม ให้หันเหมาเป็นการเมืองแบบแบ่งเราแบ่งเขาที่โยนความผิดไปให้กลุ่มชนทางศาสนา วัฒนธรรม เชื้อชาติหรือสัญชาติกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือการเกิดขบวนการ LePens ในฝรั่งเศส, Fortuyns ในเนเธอร์แลนด์, Haiders ในออสเตรีย และ Narendra Modis ในอินเดีย

เพราะฉะนั้น จึงมีความเกี่ยวพันแนบแน่นระหว่างกองกำลังของจักรวรรดินิยม กับการเมืองของความเกลียดชังที่รองรับนโยบายครอบงำและแบ่งแยกกีดกัน ตราบที่ความสนใจของประชาชนยังพุ่งเป้าไปที่ความกลัวและความเกลียดชังชาวต่าง ชาติ หรือสมาชิกกลุ่มศาสนากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น มุสลิม ประชาชนก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปจากการจัดตั้งรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับระบบ องค์กรโลกบาลและการขูดรีด ซึ่งเป็นต้นตอที่แท้จริงของความไร้เสถียรภาพ

ซาร่าห์: ฟังดูเหมือนเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน

วันทนา: ถูกแล้ว มันเป็นวงจรอุบาทว์ และเราจำเป็นต้องสร้างวงจรคุณธรรมขึ้นมาแทน เพื่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อระบอบประชาธิปไตยทางการ เมือง อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ย้อนกลับมาสู่การหยั่งรากประชาธิปไตย สิ่งที่เรามีอยู่ในขณะนี้คือระบอบประชาธิปไตยที่เสื่อมทรามลงจนเป็นแค่กติกาของความมดเท็จ มดเท็จในวิถีทางที่บิดเบือนเจตจำนงของประชาชน ดังที่เราเห็นในการนับคะแนนเสียงที่ฟลอริดาเมื่อปี ค.ศ. 2000 และมดเท็จในวิถีทางที่บิดเบือนความมั่งคั่งของประชาชน ดังที่เราได้เห็นในเรื่องฉาวโฉ่ของการฉ้อฉลบัญชีบรรษัททุกวันนี้ ความมั่งคั่งจอมปลอมนั้นส่งอิทธิพลต่อผู้ที่จะมาปกครอง มันเพียงแต่จอมปลอมจนเกินไปแล้ว

ระบบความมั่นคงทางอาหารของเราถูกทำลายในนามของความเติบโตทางเศรษฐกิจและการ เปิดเสรีทางเศรษฐกิจ แล้วประชาชนก็มีไม่พอกิน เกษตรกรของเราถูกบริษัทเมล็ดพันธุ์ข่มขู่คุกคาม ถูกผลักดันให้ตกเป็นหนี้สินและฆ่าตัวตาย ระบบแบบนี้จะเอาชีวิตผู้คนแม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ประชาชนไม่รู้ว่าจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายให้แก่การประกันสุขภาพและ เงินบำนาญ

ทางออกจากวงจรแห่งความรุนแรงนี้ก็คือการหยั่งรากประชาธิปไตย นั่นคือ นำเอาการตัดสินใจที่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของประชาชนมาอยู่ใกล้กับจุดที่ประชาชนอยู่ และจุดที่ประชาชนสามารถรับผิดชอบให้มากที่สุด หากแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านชุมชนแห่งไหน ชุมชนแห่งนั้นควรมีอำนาจและความรับผิดชอบที่จะตัดสินใจว่า ควรใช้น้ำอย่างไร และควรให้มันปนเปื้อนมลพิษหรือไม่ ไม่ใช่กงการของรัฐบาลที่จะเที่ยวยกแหล่งน้ำบาดาลของหมู่บ้านในรัฐเกระละให้บริษัทโคคา-โคลา จนส่งผลให้ที่ดินเกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์แห้งผากไปหมดสิ้น ชุมชนจำเป็นต้องยึดเอาอำนาจอธิปไตยกลับคืนมา และมอบอำนาจให้รัฐเป็นตัวแทนต่อเมื่อสมควรเท่านั้น

สิ่งที่เรามีอยู่ในขณะนี้คือระบอบของอภิสิทธิ์สัมบูรณ์ในมือบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งแสดงความรับผิดชอบเป็นศูนย์ต่อความพินาศทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่พวกนั้นเป็นตัวการก่อให้เกิดขึ้น หากเราต้องการฟื้นฟูและชุบชีวิตประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ เราต้องช่วงชิงเอาเนื้อหาทางเศรษฐกิจกลับคืนมาให้ได้

ซาร่าห์: ฉันขอสรุปด้วยคำถามส่วนตัวข้อหนึ่ง ทุกครั้งที่ฉันฟังคุณพูดหรือได้พบคุณ คุณมีพลังมากเหลือเกิน ไม่เพียงพลังทางปัญญา แต่เป็นพลังส่วนตัวหรือพลังทางจิตวิญญาณด้วย ฉันเพียงแต่สงสัยว่า อะไรที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวามาก?

วันทนา: มันเป็นเรื่องเร้นลับเสมอมา เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าทำไมคุณถึงหมดสิ้นเรี่ยวแรงหรือฟื้นกำลังขึ้นมาใหม่ แต่เท่าที่ฉันรู้ ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองจมไปกับความสิ้นหวัง ไม่ว่าสถานการณ์จะหนักหนาสาหัสขนาดไหน ฉันเชื่อว่าถ้าคุณทำในส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ของคุณให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องไปคิดว่าคุณกำลังต่อสู้กับสิ่งที่ใหญ่โตขนาดไหน หากคุณหันมาให้ความสนใจกับการสร้างเสริมความสามารถของตัวเอง เพียงแค่นั้นก็สามารถสร้างสรรค์ศักยภาพใหม่ ๆ ขึ้นมาได้เสมอ

และฉันยังเรียนรู้จากภควัตคีตาและคำสอนอื่น ๆ ในวัฒนธรรมของเราให้วางตัวเป็นอุเบกขาจากผลลัพธ์ของการกระทำ เพราะนั่นอยู่นอกเหนือการควบคุมของฉัน บริบทไม่ได้อยู่ในการควบคุมของคุณ แต่ปณิธานต่างหากคือสิ่งที่คุณตั้งมั่นขึ้นมาด้วยตัวเอง และคุณสามารถตั้งปณิธานที่ลึกซึ้งที่สุดพร้อมกับวางตัวอยู่ในอุเบกขาโดยสิ้นเชิงไม่ว่าผลลัพธ์จะพาคุณไปลงเอยที่จุดไหน คุณอยากให้มันนำไปสู่โลกที่ดีกว่านี้ คุณกำหนดการกระทำของคุณเอง และรับผิดชอบต่อการกระทำอย่างเต็มที่ แต่นอกเหนือจากนั้น คุณต้องวางตนอยู่ในอุเบกขา

การทุ่มเทอย่างลึกซึ้งผนวกเข้ากับการวางตนอยู่ในอุเบกขาอย่างลึกซึ้งนี้เอง ที่ช่วยให้ฉันรับการท้าทายใหม่ ๆ ได้เสมอ เพราะฉันไม่บั่นทอนตัวเอง ฉันไม่ผูกใจตัวเองเป็นปมเงื่อน ฉันดำเนินตามหน้าที่อย่างเสรี ฉันคิดว่าการบรรลุถึงเสรีภาพเช่นนั้นเป็นหน้าที่ทางสังคม เพราะฉันคิดว่าเราเป็นหนี้กันและกันที่จะไม่สร้างภาระแก่กันและกันด้วยใบ สั่งและการเรียกร้อง ฉันคิดว่าหนี้ที่เรามีต่อกันคือการเฉลิมฉลองชีวิตและแทนที่ความกลัวกับความ สิ้นหวังด้วยความไม่กลัวและความปีติยินดี

หนังสือของวันทนา ศิวะ มีอาทิเช่น Water Wars: Privatization, Pollution and Profit; Stolen Harvest, the Hijacking of the Global Food Supply; ฯลฯ

บทความชิ้นนี้นำมาจาก //www.fridaycollege.org/index.php?object=Article.View(forum_id=tr,id=27)


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 1 ธันวาคม 2553 เวลา:7:45:00 น.  

 
ตัวตนกับการภาวนา (๑)



โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 18 กันยายน 2553


หากเราไม่เกี่ยงงอนเรื่องที่มา หากมนุษย์คือมนุษย์ ศิลปศาสตร์ทั้งหมดย่อมสามารถเชื่อมโยงเข้าหากันได้ จิตตปัญญาศึกษาย่อมไม่ถูกตัดขาดเป็นห้วงๆ หากสามารถปะติดปะต่อเชื่อมโยง ไม่ว่าจะมาจากตะวันออกตะวันตก จากห้องทดลองหรือห้องสมาธิ จากอารยธรรมที่เจริญแล้วหรือชุมชนบุพกาล ปัญญาปฏิบัติอาจร้อยเชื่อมเข้าหากันอย่างปราศจากการตีตรา ปราศจากพรมแดนกีดกั้น และเมื่อนั้นหัวใจของเราย่อมอาจเชื่อมถึงกันได้

ด้านหนึ่งของการเทียบเคียงกับศาสตร์ตะวันตก คือการเปรียบเทียบกับงานวิจัยอันเกี่ยวเนื่องกับสมอง ซึ่งผมได้ติดตามมาโดยตลอด ผมคิดว่ามันให้อะไรใหม่ออกไปด้วย อย่างน้อยคือให้การอธิบายอีกมุมมองหนึ่ง มีคนอยู่ไม่น้อยที่จะบอกว่า พุทธศาสนาของเราดีอยู่แล้ว มีทุกอย่างอยู่ในนั้น ผมไม่อยากเชื่อเช่นนั้นจะได้ไหม ผมสนใจอ่านงานของท่านพุทธทาส งานของเจ้าคุณประยุทธ (พระพรหมคุณาภรณ์) แต่ผมเห็นว่าตะวันตกเขามีอะไรให้เราเรียนจริงๆ ผมอาจจะแยกตะวันตกที่น่าเรียนรู้ออกเป็นสองสาย สายหนึ่งคือเรื่องของงานวิจัยเกี่ยวกับสมอง อีกสายหนึ่งคือการค้นเข้าไปในจิตไร้สำนึก โดยเฉพาะในสาย คาร์ล จุง สโตนสามีภรรยา (ฮัล กับ ซิดรา สโตน) และมินเดลสามีภรรยา (อาร์โนลด์ กับ เอมี มินเดล) ซึ่งน่าสนใจมากๆ ผมอยากจะค่อยๆ เทียบเคียงพุทธกับจุงและงานวิจัยทางสมองดู โดยเชื่อมโยงกับประเด็นเรื่องตัวตนกับการภาวนา อยากจะเขียนเป็นเรื่องยาว ซึ่งไม่จบในตอนเดียว โดยเรื่องแรกที่อยากจะเอามาเทียบเคียงคือเรื่องอารมณ์

อารมณ์

เราจะทำความเข้าใจเรื่องของอารมณ์อย่างไร? ในยุคข้อมูลข่าวสาร จะมีหลากหลายวัฒนธรรมแห่งความรู้ไหลเข้ามาปะปนกันอย่างไม่อาจจะแยกออกจากกัน ชัดเจนได้ หรือเราจะผสมผสานความรู้ต่างๆ เข้ามา แล้วทำให้เป็นความรู้ของเราเอง

แจ็ค คอนฟิลด์ เป็นผู้หนึ่งที่ศึกษาโรคซึมเศร้าอย่างลุ่มลึก เขาสามารถนำพาตัวเองให้เป็นโรคซึมเศร้าแล้วนำพาตัวเองให้หายจากโรคซึมเศร้า ได้ เขาจึงรู้จักมันเป็นอย่างดี เขากล่าวว่า เราไม่สามารถบังคับหรือกำกับอารมณ์ให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการได้ แต่เราสามารถกำกับพฤติกรรมได้ ในการรักษาโรคซึมเศร้า คอนฟิลด์จะกำกับพฤติกรรมของตัวเอง ทำสิ่งที่สวนทางกับอาการของโรคซึมเศร้า เช่น แทนที่จะเก็บตัว เขาก็ฝืนนำพาตัวเองไปในงานสังคมต่างๆ แทนที่จะปล่อยปละละเลยตัวเอง เขาก็บังคับตัวเองให้แต่งตัวสดใส เป็นต้น

แคนเดส เพิร์ต เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องของอารมณ์ เธอบอกว่า ศูนย์กลางของชีวิตมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่ความคิด ความคิดเป็นส่วนหนึ่งของจิต และจิตนั้นกระจายตัวอยู่ทั่วร่างกายของเรา ที่จริงเมื่อเรามีอารมณ์ อารมณ์จะเป็นของเซลล์ทุกเซลล์ ที่ผนังเซลล์จะมีที่รองรับเปปไทด์ (peptide) หรือโมเลกุลอารมณ์อยู่ เหมือนแม่กุญแจ ส่วนเปปไทด์เป็นลูกกุญแจ โดยเปปไทด์จะก่อเกิดในสมองส่วนไฮโปไทลามัสแล้วถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เราจึงสามารถเสพติดอารมณ์ได้เช่นเดียวกับที่เราเสพติดยาเสพติด เพราะฉะนั้นเวลาเกิดอารมณ์ เราจะกลายเป็นอารมณ์นั้นๆ หรือเราได้กลายมาเป็นตัวตนหนึ่งๆ บุคลิกหนึ่งๆ หรือคือการเสวยชาติภพในปฏิจจสมุปบาท ณ ขณะนั้นๆ

ความเป็นปกติ

สิ่งที่น่าสนใจคือ "ความปกติ" ทางอารมณ์ หรือในทางปฏิบัติธรรม ที่ท่านพุทธทาสพูดถึงความเป็นปกติ แต่ผมจะขอกล่าวถึงความไม่เป็นปกติทางอารมณ์เสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจว่าความเป็นปกติคืออะไร ผมได้บอกเล่าไว้ในหนังสือ หันหน้าเข้าหากัน คู่มือกระบวนกร ว่าชีวิตมีอยู่สองโหมด คือโหมดปกติกับโหมดปกป้อง ในโหมดปกป้องนี้เองที่เราจะไม่ปกติ ในระดับของมนุษย์ เมื่อเข้าสู่โหมดปกป้อง สมองจะวิ่งไปหาความทรงจำทางอารมณ์อันไม่ปกติในอมิกดาลาที่อยู่ในสมองส่วน กลาง (สมองสามส่วนจะเชื่อมโยงเข้าหากัน คือ อมิกดาลา สมองสัตว์เลื้อยคลาน และสมองซีกซ้าย) โดยสมองเลื้อยคลานจะเป็นผู้นำ โจเซฟ ชิลตัน เพียร์ซ เรียกกระบวนการใช้สมองแบบนี้ว่า “de-evolution” หรือแปลไทยคือ “ความถดถอยทางวิวัฒนาการ” อันที่จริงมันเป็นกลไกของชีวิตที่ต้องการนำพาชีวิตให้รอดเมื่อเจอภัยอันตราย จึงไม่อาจชักช้าใคร่ครวญ จึงตัดวงจรของสมองส่วนหน้าแห่งการใคร่ครวญออกไป เข้าไปสู่สัญชาตญาณแห่งการอยู่รอด

แต่ในความพิเศษของมนุษย์อันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย คือเราสามารถจินตนาการ ดังนั้น แทนที่เราจะเข้าสู่โหมดปกป้องเฉพาะในยามที่เผชิญอันตรายจริงๆ การณ์กลับกลายเป็นว่า เราเข้าสู่โหมดปกป้องทุกครั้งที่จินตนาการเห็นเรื่องเลวร้าย โดยที่ยังไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นเลย

ในพุทธศาสนา ความเป็นปกติเป็นฐานแรกแห่งการเรียนรู้ เราจะตื่นรู้เรียนรู้การออกจากทุกข์ได้ด้วยการเข้าสู่ความเป็นปกติ โดยท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า ศีลคือความเป็นปกติ

แบบแผนอันคุ้นชินแห่งจิตและจิตไร้สำนึก

ตรุงปะใช้คำว่า habituated pattern ในหนังสือของเขา ส่วนใน สู่ชีวิตอันอุดม หรือ Understanding Our Mind ของไถ่ นัท ฮันห์ กล่าวถึง store consciousness หรืออาลัยวิญญาณ ผมคงเทียบเคียงกับจิตไร้สำนึก และเทียบเคียงกับวงจรสมองในงานวิจัยสมอง โดยในอาลัยวิญญาณนี้มีเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นกุศล อกุศลและกลางๆ หากเรานำเมล็ดพันธุ์นั้นๆ มาปฏิบัติ เช่น หากเราโกรธ เมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธก็จะงอกงามขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ และอาจจะขยายพันธุ์ครอบคลุมสวนของเรา ซึ่งได้แก่อาลัยวิญญาณ เช่นเดียวกับที่เราก็อาจจะขยายพันธุ์เมตตากรุณาให้แพร่หลายและเติบใหญ่ได้ เช่นกัน

เมื่อเทียบเคียงกับเรื่องของสมอง วงจรสมองนั้น หากเราทำซ้ำๆ จะเกิดวงจรสมองที่เข้มแข็ง กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเรา กลายมาเป็นตัวตนหนึ่งๆ นิสัยหนึ่งๆ บุคลิกภาพหนึ่งๆ ดังเช่นความเป็นคนขี้หงุดหงิด อาจจะกลายมาเป็นบุคลิกภาพที่สำคัญอย่างหนึ่งของเรา ดังที่คนเป็นโรคเบาหวาน ความดัน มักจะเป็นคนดื้อ ไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยอย่างง่ายๆ ได้เลย เป็นต้น

เราเอาเรื่องนี้กลับมาเชื่อมโยงกับความเป็นปกติและความไม่เป็นปกติของเราได้ หรือไม่ หากเราหวาดผวา กลัว สร้างจินตนาการแห่งความกลัวในชีวิตของเราไปเสียหมดทุกเรื่อง มันจะกลายมาเป็นแบบแผนแห่งความคุ้นชิน แบบแผนที่ฝังตัวเป็นวงจรสมองที่อุปไมยอุปมาจากทางเดินเล็กๆ ได้กลายมาเป็นทางเกวียน กลายมาเป็นถนนลูกรัง กลายมาเป็นถนนลาดยาง จนกระทั่งบัดนี้ได้กลายเป็นทางด่วน จึงสะดวกที่จะจินตนาการด้านลบ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของเรา อย่างยากที่จะกลับกลายเปลี่ยนแปลง

หรือตรงกันข้าม เราจะตื่นรู้และไม่หลงไปในทางดังกล่าว จินตนาการดังกล่าว หากเรามีความตื่นรู้และการใคร่ครวญในทุกเรื่องราวแห่งชีวิต เทียบเคียงกับสมองแล้ว เป็นการทำงานของสมองส่วนหน้า นักวิทยาศาสตร์ชื่อ เดวิด เดวิดสัน ได้วิจัยว่าเมื่อสมองส่วนหน้าทำงาน มันจะออกมาจากวงจรลบๆ ของอมิกดาลา ที่เชื่อมโยงอยู่กับสมองสัตว์เลื้อยคลานกับสมองซีกซ้ายบางส่วน ดังที่กล่าวถึงไว้แล้วข้างต้น คือหากใคร่ครวญ มันจะไม่คิดลบ ไม่ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ เป็นต้น

ความตื่นรู้

ความตื่นรู้และความรู้เท่าทันจึงอาจกลายเป็นความคุ้นชินอย่างใหม่ให้แก่เรา ได้ หากเราฝึกฝืน อันนี้เป็นที่มาของการฝึกสติและสมาธิในพุทธศาสนา ใน ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของไถ่ นัท ฮันห์ ท่านให้เราฝึกการตื่นรู้ในทุกๆ กิจกรรม ทุกๆ อิริยาบถในชีวิต ไม่ว่าจะล้างหน้า แปรงฟัน พูดคุยกับคน แม้แต่ในขณะที่กำลังคิดโครงการในอนาคต เราก็สามารถฝึกการตื่นรู้ได้ หรือการตื่นรู้เป็นวงจรสมองอีกอันหนึ่ง ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงสมองหลายส่วนเข้าด้วยกันกับการทำงานแห่งการตื่นรู้นี้ เราอาจจะไม่ต้องลงไปลึกนักในเรื่องของสมอง แต่ที่แน่ๆ เรารู้ว่า เราสามารถทำการตื่นรู้นี้ ให้ชีวิตเข้มแข็ง แจ่มจำรัส ขึ้นได้


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 ธันวาคม 2553 เวลา:8:07:44 น.  

 
"ตัวตนกับการภาวนา (๒)"
ตอนจิตเสี้ยวกับจิตบริบูรณ์



โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2553


ในทุก ๆ ศิลปะว่าด้วยตัวตนกับการภาวนา ทุกสำนักจะพูดถึงจิตประภัสสรหรือจิตทั้งหมดอันเป็นองค์รวมกับจิตเสี้ยว จิตเสี้ยวเป็นเพียงบางเสี้ยวส่วนของจิตทั้งหมด บางทีมันอาจจะหดตัวด้วยอาการถูกกระทำมาในอดีต มันตกไปอยู่ในโหมดปกป้องในยามที่ยังปกป้องตัวเองไม่ได้ในวัยเด็ก มันกลายมาเป็นประวัติบุคคล ที่ดอนฮวน พ่อมดเม็กซิกันแนะนำให้เราลบออกไป รวมถึง ดร.ฮิว เลน แห่ง ฮูปโปโนโปโน ที่นำเสนอวิธีการชะล้างความขุ่นมัวเช่นนี้ออกไปเช่นกัน เหมือนว่าเรามีธรรมชาติเดิมแท้ หรือในพุทธศาสนานิกายเซนใช้คำว่าจิตเดิมแท้อยู่แล้วในส่วนในลึกของเรา ใสสะอาด พร้อมมูลด้วยศักยภาพทั้งหมดทั้งมวล เพียงเราลบความขุ่นมัวออกไป เราก็สามารถเข้าถึงจิตที่ใสพิสุทธิ์นี้

ใน วอยซ์ไดอะล็อค ของ ดร.ฮัล กับ ดร.ซิดรา สโตน สามีภรรยา (คำว่าวอยซ์ไดอะล็อคนี้ เพื่อนผมคนหนึ่ง คือ สมพล ชัยสิริโรจน์ แปลว่า การสนทนากับตัวตนภายใน สมพลเป็นผู้นำองค์ความรู้นี้มาให้ผมได้ศึกษาเล่าเรียนด้วย) กล่าวว่า จิตทั้งหมดคือตัวเรา จิตเสี้ยวได้แบ่งออกไปเป็นตัวตนต่างๆ หลายๆ ตัว และหลายตัวอาจจะก่อเกิดขึ้นมาจากบาดแผลหรือปมในอดีต สโตนสามีภรรยากล่าวว่าตัวตนแต่และตัวมีคู่ตรงกันข้าม เช่นเดียวกับหยินหยาง (ที่จริง คาร์ล จุง ครูของพวกเขาก็เริ่มศึกษาตะวันออก และหลอมรวมองค์ความรู้ตะวันออกเข้ามาในจิตวิทยาบ้างแล้ว) เมื่อเราเข้าไปโอบกอดตัวตนใดตัวตนหนึ่งด้วยความรุนแรง เราก็มักจะเหวี่ยงทิ้งคู่ของมันไป ด้วยอาการเช่นนี้แหละที่เราเริ่มลดทอนจิตของเราให้เหลือเป็นเสี้ยวส่วน และสูญเสียความเป็นองค์รวมไป

ตัวตน อัตลักษณ์หรือความรู้เท่าทัน

อดัม เคิล เขียนไว้ใน Education for Liberation หรือ การศึกษาเพื่อความเป็นไท ว่า ตัวตนมีสามระดับ โดยร้อยเรียงเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ความรู้เท่าทัน ขั้นแรกคือระดับความรู้เท่าทันที่อ่อนที่สุด (ความรู้เท่าทันนี้ เขาใช้คำว่า awareness และใช้ identity สำหรับคำว่าอัตลักษณ์) ในระดับแรกนี้ อัตลักษณ์ไม่ปรากฏชัดเจน คือมีพฤติกรรมอารมณ์เปลี่ยนไปมาอย่างไม่รู้เท่าทันตัวเอง อีกนัยหนึ่งอาจเป็นพฤติกรรมแบบมีชีวิตเป็นไปอย่างเป็นปฏิกิริยา (reactionary) มากกว่าจะเป็นตัวของตัวเอง คนพวกนี้มีมากในผู้ไร้การศึกษา โดยเฉพาะสำหรับการศึกษาในความหมายที่แท้ คำว่าเปลี่ยนไปมา อาจจะหมายถึงการมีตัวตนหลายตัว ที่ดูเหมือนไม่เชื่อมโยงกัน และตัวตนเหล่านั้น ปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นปฏิกิริยากับเหตุการณ์มากกว่าที่จะมีมาจากความรู้ความ เข้าใจความเป็นตัวตนของตน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีความรู้เท่าทันน้อย

อัตลักษณ์แบบครอบครอง

ตัวตนระดับที่สองในทัศนะของ อดัม เคิล คืออัตลักษณ์แบบครอบครอง ในระดับนี้ คนจะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับสังกัดและสิ่งที่ตัวเองครอบครอง สังกัดอย่างเช่นจบจากโรงเรียนเตรียมอุดม จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ และทำงานในองค์กรซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ส่วนสิ่งที่ตัวเองครอบครองอย่างเช่น นั่งรถหรูยี่ห้อดัง มีบ้านใหญ่โต มีลูกชายหญิงที่เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ในชั้นนี้จะมีความรู้เท่าทันสูงขึ้น อย่างน้อยมากกว่าระดับแรก แต่ยังยึดติดในภาพลักษณ์หรืออัตลักษณ์ที่ตัวเองสังกัดหรือครอบครองนั้นๆ และหากประสบเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ก็อาจจะหล่นไปอยู่ในระดับแรกได้เช่น กัน คือเสียศูนย์ไปเลย ในห้วงเวลาเช่นนั้น โกรธ โลภ หลง อาจจะเป็นยักษ์มารที่มาปรากฏให้เห็นก็เป็นได้

ที่จริงอัตลักษณ์ระดับที่สองนี้ คนเรามักจะใช้ชีวิตเป็นไปตามเสียงของสังคม หากไม่ได้รับฟังเสียงด้านในที่อยู่ลึกลงไป เขาหรือเธออาจจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จตามเสียงของสังคม แต่ก็ปราศจากแรงบันดาลใจ และแรงขับส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อปกป้องสถานภาพที่เป็นอยู่ มากกว่าที่จะขับเคลื่อนชีวิตไปด้วยปัญญาและแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง ชีวิตจึงมักจะเป็นไปอย่างแห้งแล้งน่าเบื่อหน่าย ความคิดก็มักจะย่ำซ้ำซากอยู่ในกรอบเดิมๆ อยู่กับตำรับตำราที่เรียนมาเมื่อหลายปีหรือหลายสิบปีที่แล้ว

อัตลักษณ์แบบนี้ จะมีบุคลิกภาพมั่นคงกว่าแบบที่หนึ่งซึ่งความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ยังเป็น วุ้นอยู่ แต่แบบที่สองจะมีวินัยมากกว่า เพราะต้องฝึกฝืนตัวเองให้สามารถทำตามความสำเร็จที่สังคมวางกรอบไว้ให้ แต่กระนั้นก็ยังเป็นผู้เลือกใช้คู่ของตัวตนแต่เพียงบางด้าน และอาจเลือกขึ้นมาเพราะถูกกระทำในวัยเด็กจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพ่อ แม่ได้เช่นกัน การเลือกส่วนใหญ่ก็มาจากปมทางจิตวิทยาที่ถ่ายทอดมาในตระกูลในวัฒนธรรมได้ เช่นเดียวกัน การเลือกใช้เพียงหนึ่งในตัวตนที่มีมาเป็นคู่ของมันนั้น ทำให้จิตลดทอนลงเป็นเสี้ยว และพอมีตัวตนหลักๆ ที่เป็นเสี้ยวเหล่านี้ พวกเขาก็นำพาตัวเองไปสู่สิ่งที่คิดว่าสำเร็จได้ แล้วติดแหง็กอยู่ในความเป็นเสี้ยวของจิตเท่านั้นเอง ยังไม่มีโอกาสประสบพบพานจิตอันบริบูรณ์

อัตลักษณ์แบบรู้เท่าทัน

อัตลักษณ์แบบรู้เท่าทันนั้นเป็นเป้าหมายที่ อดัม เคิล ตั้งไว้เป็นอุดมคติ แต่ใช้คำว่าอัตลักษณ์เป็นบาทฐาน ที่จริงอัตลักษณ์แบบนี้เริ่มหลุดออกจากอัตลักษณ์ไปแล้ว น่าจะเป็นมนุษย์พันหน้าอย่างที่เคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้แล้ว มีคนเคยถาม เจมมี่ แพนกายา ศิษย์ของ ดร.สโตน สามีภรรยาว่า ในวอยซ์ไดอะล็อคมีตัวตนทั้งหมดอยู่กี่ตัว เจมมี่ตอบว่ามีอยู่พันล้านตัว คือเราเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปได้ในโลกนี้ หรือว่าเราเป็นจักรวาล เราคือความเป็นไปได้ทั้งหมดอย่างไม่จำกัดด้วยอะไรเลย ในวอยซ์ไดอะล็อคนั้น ความรู้เท่าทันที่พัฒนาขึ้นมาตามลำดับนั้นได้ทำให้เราหลุดออกจากกรงขัง ของอดีต ความคุ้นชิน ความเป็นอัตโนมัติที่หลับใหล เป็นเพียงเสี้ยวของจิต แล้วออกไปสู่อิสรภาพ สู่ความเป็นไปได้ เราสามารถปลดตัวเองจากประวัติส่วนตัว ปลดตัวเองจากปัญญาแห่งความรู้ เข้าสู่สายธารแห่งความไม่รู้ เข้าสู่ปัญญาแห่งความไม่รู้ที่จางจื้อพูดไว้ในหนังสือ มนุษย์ที่แท้

ญาณทัศนะ นิพพาน และปัญญาแห่งความไม่รู้

"ต้อง" เด็กหนุ่มที่มาเรียนปริญญาตรีทางเลือกกับอาศรมหิ่งห้อย กำลังอ่าน เต๋าแห่งฟิสิกส์ ของ ฟริตจอป คราปา ฉบับแปล (ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีการตีพิมพ์มานานแล้ว) เขาสนุกมากกับบทหลังๆ เขาบอกว่าเข้าใจคำว่าญาณทัศนะมากขึ้นจากคำอธิบายของคราปา แล้วเขาถามว่าจะมีท่าทีอย่างไรดีกับคำว่านิพพาน ผมว่าเมืองไทยนี้โชคดี ที่เรามีคนอย่างท่านพุทธทาส ให้เรียนรู้จากท่านพุทธทาสที่กล่าวว่า นิพพานแปลว่าดับ เย็น เวลาไฟที่ลุกโชนดับลง มันก็เย็น จิตที่มันดับและเย็นลงมันสบาย มันไม่ต้องเรื่องมาก ดับเมื่อไรก็เย็นเมื่อนั้น ดับเย็นเล็กๆ ในชีวิตประจำวันนี้แหละใช้ได้ ท่านกล่าวถึงคำว่านิพพานน้อยๆ เราดับเย็นน้อยๆ ได้ตลอดเวลา ที่นี่เดี๋ยวนี้เอง

ทุกครั้งที่มีญาณทัศนะ มันจะหลุดไปเปลาะหนึ่งๆ มันจะดับเย็นไปครั้งหนึ่งๆ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป เข้าถึงจิตอันบริบูรณ์ทุกทีไป เป็นสุดยอดฆราวาสธรรมแล้ว มันหลุดออกจากกรงขังแห่งจิตเสี้ยว จากตัวตนหรือบุคลิกที่จิตสร้างขึ้นมาเป็นกลไกปกป้องตัวเอง เป็นโหมดปกป้อง เป็นปม เป็นบาดแผล แล้วไปยึดเอาปัญญาแห่งความรู้มาเป็นพวก ทำให้ปัญญาไปรับใช้เป้าหมายอันต่ำทราม และความรู้ก็เป็นเสี้ยวส่วน เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่ แค่คลาดไปก็เป็นอวิชชาแล้ว เราต้องก้าวล่วงไปสู่ปัญญาแห่งความไม่รู้

ดังกฤษณมูรติมีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า Freedom from the Known คือเราต้องเป็นอิสระมาจากสิ่งที่รู้หรือปัญญาแห่งความรู้


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 ธันวาคม 2553 เวลา:8:08:55 น.  

 
ช่วยกันดูแลความคิดของตัวเราเอง



โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ื 27 กุมภาพันธ์ 2553


“ความคิด” ของมนุษย์เป็นพลังงานชนิดหนึ่งครับ

นักชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ รูเพิร์ต เชลเดรก ได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า

“สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีสนามของพลังงานร่วมกันอยู่” ที่เขาเรียกว่า “Morphic Resonance Field”

“สนามพลังของความคิดที่ร่วมกัน” นี้ ก็เหมือนกับที่มนุษย์ใช้บรรยากาศร่วมกัน เมื่อโลกร้อนขึ้นทุกคนก็จะถูกกระทบเช่นเดียวกันหมด ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

เชลเดรกได้สังเกตพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมาย และเขารายงานว่ามีปรากฏการณ์ต่างๆ มากมายที่สนับสนุนสมมติฐานเรื่อง “สนามพลังร่วม” ที่ว่านี้ ตัวอย่างเช่น

เมื่อหลายร้อยปีก่อน ไร่นาในอังกฤษถูกวัวควายเดินย่ำจนเสียหาย ชาวนาก็เลยขุดร่องกั้นและวางแผ่นเหล็กเป็นช่องที่ใหญ่พอให้สัตว์เท้ากีบ อย่างวัวควายเดินเข้าไปได้ แต่ไม่สามารถเดินผ่านได้ เพราะเมื่อฝูงวัวควายเดินเข้าไป กีบเท้าจะหลุดติดเข้าไปในช่องเหล็กที่ว่านี้ แผ่นเหล็กที่ว่านี้เรียกว่า “แคทเทิ้ลกริด” (Cattle Grid)

ปรากฏว่าในเวลาต่อมาวัวควายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยไปเที่ยวหรือไปดูงานในเกาะอังกฤษ เมื่อเห็นแผ่นแคทเทิ้ลกริดวางอยู่ วัวควายเหล่านี้จะเดินหนีไปเลย แถมคนอเมริกันยังหัวใส ไม่ต้องเสียเวลาทำแคทเทิ้ลกริดจริงๆ เพียงระบายสีบนพื้นให้เหมือนภาพของแคทเทิ้ลกริดเท่านั้น บรรดาวัวควายก็จะเดินเลี่ยงไปไม่ยอมเหยียบในพื้นที่ที่ระบายสีแบบนั้นอีก ด้วย

ครั้งหนึ่งเมื่อนกชนิดหนึ่งในเมืองหนึ่งของอังกฤษ เรียนรู้ที่จะเจาะปากขวดนมวัวที่คนรีดนมวัวนำมาส่งและวางไว้หน้าบ้านในตอน เช้าได้ ก็ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ระบาดไปทั่วยุโรป ทั้งๆ ที่นกชนิดนี้เป็นนกเล็กๆ ที่ไม่สามารถบินไปไหนไกลๆ ได้

ในส่วนของมนุษย์ เราพบว่ามนุษย์ในแต่ละส่วนของโลกสามารถมีความคิดที่เหมือนๆ กันได้ ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้นไม่ได้มีการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยเลย เช่น มนุษย์ในแต่ละซีกโลกเริ่มรู้จักการเกษตรในเวลาไล่ๆ กัน ประดิษฐ์อักษรขึ้นมาใช้ในเวลาไล่ๆ กัน

หรือแม้แต่ “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” ของ ชาร์ล ดาร์วิน ก็มีหลักฐานว่า ในปีเดียวกัน มีนักชีววิทยาชาวมาเลเซียก็พูดถึงทฤษฎีในทำนองที่คล้ายคลึงกันมาก แต่ ชาร์ล ดาร์วิน ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ค้นพบ เพียงเพราะเขารายงานเร็วกว่า แต่ประเด็นก็คือ “ทำไมมนุษย์ในแต่ละซีกโลกถึงคิดถึงเรื่องราวเดียวกันได้ในเวลาใกล้เคียง กัน?”

ถ้ามองตามสมมติฐานของ รูเพิร์ต เชลเดรก นี้ มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งก็น่าจะมี “สนามพลังร่วม” อยู่ด้วยกันกับมนุษย์ทั้งหกพันกว่าล้านคนบนโลกใบนี้

หมายความว่า ในขณะที่เรากำลังคิดอะไรอยู่ จะถูกบันทึกเข้าไปในสนามพลังร่วมของมนุษย์ และความคิดที่วิ่งอยู่ในหัวเราส่วนหนึ่งก็มาจากสนามพลังที่ว่านี้ด้วย

หรือหมายความว่า “ความคิดใดๆ” ของท่านผู้อ่านแต่ละท่านในขณะนี้ กำลังมี “ผลกระทบ” กับ “สนามพลังร่วมของมนุษย์” และ “กลับกันในทำนองเดียวกันด้วย”

เอ็กฮาร์ท โทลล์ (Ekhart Tolle) ผู้เขียนหนังสือขายดีที่ชื่อ The Power of Now และ The New Earth บอกไว้ว่า “พวกเราทุกคนควรจะต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อความคิดที่อยู่ในหัวของเราว่า เราจะต้องไม่ยอมปล่อยให้ตัวเราทำให้โลกใบนี้ต้องปนเปื้อนไปด้วยความคิดด้าน ลบต่างๆ ของเราเอง”

คำสอนในพุทธศาสนา ท่านก็สอนให้เรา “คิดดีพูดดีทำดี” อยู่เสมอๆ ท่านติช นัท ฮันห์ พระชาวเวียดนามก็พูดถึงเรื่องทำนองนี้เสมอว่า เราจะต้องรับผิดชอบต่อ “สิ่งที่เราคิด” พูดและทำ

คือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า โอเค เรื่องการพูดการกระทำที่ไม่ดีนั้นส่งผลกระทบในเชิงลบได้ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า “การคิด” คือเพียงแค่คิดจะมีผลกระทบมากมายขนาดนั้นได้จริงๆ เชียวหรือ?

ท่านผู้อ่านอาจจะลองนึกภาพเรื่องนี้เป็นแบบเดียวกันกับที่โรงงานอุตสาหกรรม หรือรถยนต์ทำให้บรรยากาศส่วนรวมปนเปื้อนไปด้วยก๊าซพิษ ฉันใดฉันนั้นเลยครับ

“บ่อพลัง” หรือ “สนามพลังของความคิด” ที่เป็น “ของส่วนรวม” นั้น สามารถ “ส่งผลกระทบ” ถึงมนุษย์ทุกๆ คน ไม่เว้นเราๆ ท่านๆ เลยครับ

วิธีการที่ดีก็คือ เราจะต้องฝึก “การรับรู้” ของเราให้ “ฉับไว” อยู่เสมอ

เราต้อง “รู้ทันความคิด” ที่กำลังก่อเกิดก่อตัวอยู่ในหัวสมองของเรา

“ความคิดด้านลบ” จะเกิดได้ยากขึ้น ถ้าเรา “รู้ตัวรู้ทัน”

และหากว่าเรายังสามารถ “ดำรงการรู้ตัวรู้ทันให้ยาวขึ้นอีก” แม้จะมีความคิดด้านลบผลุบขึ้นมาบ้าง พลังงานของความคิดด้านลบที่มีการรู้ตัวเกาะติดอยู่นี้ จะไม่รุนแรงมากเท่าความคิดด้านลบที่พลุ่งพล่านฟุ้งซ่านแบบม้าพยศ

ผมรู้สึกเห็นด้วยกับ เอ็กฮาร์ท โทลล์ เป็นอย่างยิ่งว่า บางทีแล้วสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง “หน้าที่สำคัญพื้นฐาน” ของเขาก็คือ “การรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่” นั่นเอง

“รับผิดชอบ” เหมือนกับที่เราจะไม่สร้างควันพิษให้กับชั้นบรรยากาศ “รับผิดชอบ” เหมือนกับที่เราจะพยายามรณรงค์ประหยัดพลังงานเพื่อลดภาวะโลกร้อน เหมือนกับที่เราจะดูแลสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเราให้ดีให้สะอาด ไม่ทิ้งขยะให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อน เหมือนกับที่เราจะดูแลคนใกล้ชิดของเราหรือดูแลร่างกายของเราเองให้สะอาดอยู่ เสมอ

“ความคิด” ของมนุษย์นั้นเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง “ความคิดที่ไม่ดี-ด้านลบต่างๆ” ก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานที่ทำให้ “สนามพลังส่วนรวม” ปนเปื้อน

ถ้าเราอยากให้โลกใบนี้ดีขึ้นจริงๆ เราต้องเริ่มด้วยการ “รับผิดชอบ” ต่อ “สิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ในหัวของเรา” นั่นเอง

คำอธิบายด้วยสมมติฐานเรื่อง “สนามพลังร่วม” ของ รูเพิร์ต เชลเดรก ในบทความนี้คงพอจะช่วยให้เกิดเข้าใจในเชิงวิทยาศาสตร์ได้บ้างกระมังครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 ธันวาคม 2553 เวลา:8:12:15 น.  

 
บทความจากกรุงเทพธุรกิจ

สิ่งบั่นทอนพลังชีวิต

โดย : เสาวคนธ์ ศิรกิดากร



เราใช้ชีวิตบนโลกทุกวันนี้ที่หมุนเร็วราวกับว่าเวลาที่เคยได้เคยมีมายี่สิบสี่ชั่วโมงชักจะหดถดถอยไปเกือบครึ่ง


ราวกับว่าเวลาเป็นค่าคงที่แต่ไม่คงตัวกระนั้น

จังหวะชีวิตที่เร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งคำกล่าวอ้างว่า ไม่มีเวลา ดูท่าจะใช้ได้อย่างชอบธรรมเป็นสากล


ใน ช่วงก่อนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่การพัฒนาทักษะทางการจัดการที่เรียก ว่า Soft skill เฟื่องฟู นับเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นและสามัญยิ่งที่องค์กรจะจัดการพัฒนาทักษะการบริหาร เวลาให้พนักงานและผู้บริหารอย่างถ้วนหน้า


แต่หากมองในอีกทาง หนึ่ง การจะจัดสรรตัวเองให้แสดงทุกบทในชีวิตอย่างสมบทบาท ได้ผลลัพธ์ดังมุ่งมาดปรารถนา การบริหารเวลาด้วยการเพ่งมิติความสำคัญและเร่งด่วน ออกจะแห้งแล้งไปสักหน่อย ด้วยเพ่งในมิติเชิงปริมาณแต่ประการเดียว


แม้จะวางตนเองลงใน ตารางเวลาอย่างเคร่งครัด แต่หากในอีกด้านที่วัดไม่ง่าย อย่าง “แรงกาย” “พลังใจ” และ “แรงขับภายใน” ที่อาจเรียกรวบว่า “พลังชีวิต” นั้น ไม่ได้ถึงพร้อม ก็ใช่จะเล็งผลเป็นเลิศได้ โดยเฉพาะบทบาทหน้าที่ที่เรียกร้องพลังข้างในมาส่งแรงผลักแข่งกับเวลา


เมื่อ ไม่ได้ให้น้ำหนักความสำคัญละเลยการบริหารพลังชีวิต จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่แม้ผู้ที่แม่นยำและมีวินัยยิ่งที่จะวางแผนการใช้เวลา และเดินตามตารางเวลาอย่างเคร่งครัด จะไม่ได้ผลสำเร็จอย่างใจ มิหนำซ้ำยังรู้สึกล้าโรย หายใจไม่เต็มอิ่ม ฝันตลอดคืน หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย


อาจเพราะเราตกหลุมพราง ที่วางไว้ดักล่อทั้งสายตาและมุมคิด เรื่องเริ่มเดิมทีที่สุด คงหนีไม่พ้นการนอนหลับ ที่อ้างอิงไว้ใน Harvard business review เล่มล่า โดย Tony Schwartz เขาว่าไว้ว่า เราเข้าใจกันต่อมาอย่างผิดๆว่าการนอนน้อยลงสักหน่อยจะเป็นการใช้เวลาอย่างมี ประสิทธิภาพ สามารถจัดการภารกิจได้เสร็จ


แต่ความจริงหาเป็นเช่น นั้นไม่ ผลสำรวจบอกว่าคนเราต้องการเวลานอน 7-8 ชั่วโมง ยิ่งกับผู้ที่มีสมรรถภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี หรือนักกีฬา ล้วนแล้วแต่นอนไม่ต่ำว่า 8 ชั่วโมง


การนอนน้อยกว่านั้น แม้เพียงไม่กี่อึดใจ ก็ส่งผลต่อสมาธิ ความคิดวิเคราะห์ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เรียกว่าบั่นทอนขีดความสามารถทั้งของจิตและสมองสองซีกอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เช่นนั้นเลย


การจัดสรรเวลาเพื่อการนอนพักอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เปิดโทรทัศน์ เสียงเพลงรบกวนจิตใต้สำนึกขณะนอนหลับ รวมถึงพักเรื่องที่คิดแล้วชวนเหนื่อยล้าก่อนเข้านอนสักระยะ จะช่วยหล่อเลี้ยงพลังชีวิตได้ในยามหลับ เมื่อถึงจุดเพียงพอจะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าพอดีนับแต่ลืมตา ตื่น


เรื่องที่สอง คือการทำงาน การฝึกอบรม หรือประชุมแบบม้วนเดียวจบ หลายชั่วโมงติดต่อกันราวกับชมภาพยนตร์ ความเหนื่อยล้าอ่อนระโหยโรยแรงจึงมาเยือนชนิดสะสมไว้ไม่มีที่ระบายออก ร่างกายจะฟ้องออกมาทางการเร่งอัตราการเต้นหัวใจ ความดันโลหิต และความตึงเคร่งของกล้ามเนื้อ ทางที่ดีควรหาโอกาสพักทุกเก้าสิบนาทีให้ได้ หากเป็นคนทำงานในองค์กร หนทางการงีบสักสิบหรือสิบห้านาที ความน่าจะเป็นดูจะน้อยไปสักหน่อย ทางเลือกอื่นอีก มีทั้งการเดินขึ้นลงบันได จนรู้สึกเหนื่อยนิดๆ ถือเป็นยาคลายกังวลได้ชะงัดนัก


ประเด็น ท้ายสุด คือความคิดจิตใจและความรู้สึก ที่คนเรามักตกกับดักความรู้สึกด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นการหมกมุ่นครุ่นคิด กังวลกับสิ่งเลวร้ายที่ยังไม่เกิดขึ้น ความซึมเศร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากสิ่งที่ผ่านพ้นจบลงไปแล้ว ความเกรี้ยวกราวโมโห หรือที่คนสมัยใหม่เรียกกันว่า วีนเหวี่ยง นับเป็นสิ่งที่บั่นทอนแรงกายแรงใจได้อย่างชะงักงัน การบริหารใจให้เพ่งสิ่งดีงามในโลก ชีวิต การทำงาน และตนเอง จึงเป็นยาขนานเอกในการเสริมแรงกายใจ ให้ชีวิตเปี่ยมล้นพลัง สังเกตได้จากประกายตาที่สดใสแวววับด้วยความหวังกำลังใจ จนส่งผ่านไปยังคนใกล้ตัวได้อย่างเงียบเร้น


การบริหารเวลาและพลัง ชีวิต แท้จริงแล้วมิใช่เป็นเรื่องเล็กหรืออื่นไกล แต่เป็นการบริหารชีวิตภาพใหญ่ให้มีความหมาย ที่ออกแบบสร้างสรรค์ได้ด้วยตัวเราเองแทบทั้งสิ้น


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 ธันวาคม 2553 เวลา:23:56:32 น.  

 
//newheartnewlife.net/wordpress/?page_id=77

Quote โดนใจ

โดย วิธาน ฐานะวุฑฒ์


การเริ่มต้นของ "Quote" โดนใจ

Waterfall



๐๘๐๓๒๙

ผมเป็นคนที่ชอบบันทึก "ถ้อยคำประทับใจ" ต่างๆ ไว้เสมอ

และ เมื่อมาเป็นนักเขียน ผมก็ชอบที่จะนำ "ถ้อยคำประทับใจ" ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทนั้นๆ ตอนนั้นๆ ของบทความ วางไว้ก่อนที่จะเริ่มเนื้อหาส่วนที่เป็นของผม

และในระยะหลังๆ นี้ผมอ่านหนังสือเยอะมาก และก็เจอ "ถ้อยคำที่โดนใจผม" มากมาย บางถ้อยคำก็เป็นถ้อยคำที่ประทับใจ บางถ้อยคำก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจและบางถ้อยคำก็เป็นถ้อยคำที่ทำให้ "คิดต่อ" หรือ "คิดทะลุ" ในเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับงานในกระบวนทัศน์ใหม่ที่ทำอยู่

และโดยปกติผมก็ได้บันทึก "ถ้อยคำ" เหล่านี้ไว้แล้วในสมุดบันทึกของผม

ในโอกาสที่ผมกำลังนึกอยู่ว่านอกจากบทความที่เขียนไว้เยอะแยะมากมายแล้ว ผมจะมีส่วนช่วยในเว็บไซท์หัวใจใหม่ชีวิตใหม่นี้ได้อย่างไรบ้าง

เช้า วันหนึ่งอยู่ๆ ผมก็นึกถึง "ถ้อยคำ " ประโยคหนึ่งของคุณหมอเบอร์นี่ ซีเกล ศัลยแพทย์เด็กผู้เขียนหนังสือหลายเล่ม ที่ผมเคยนำมาเป็นหนังสืออ้างอิงเมื่อครั้งเขียนหนังสือหัวใจใหม่ชีวิตใหม่

ในเบื้องต้นผมเพียงคิดว่าผมจะนำประโยคนี้มาเพียงแค่เขียนเป็น "Quote" วางไว้ประกอบเว็บไซท์

แต่ ทำไปทำมาผมพบว่า ผมอยากจะเขียนความประทับใจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเนื้อความในประโยค นี้ รวมทั้งเบื้องหลังและความเป็นมาต่างๆ ด้วย

แล้ว เอ๊ะ ทำไมผมไม่ทำเป็นคอลัมน์ไปเสียเลยหละ?



Don’t Be Evil

“Don’t be evil. At least, do not harm if possible, bring some benefit to others.” GOOGLE MOTTO

“โค้ดนี้” เป็นมอตโตของบริษัทกูเกิ้ล

เมื่อ ต้นปี 2010 ผมได้รู้จักกับโค้ดนี้ตอนที่ไปดูคลิปเกี่ยวกับ Cognitive Neuroscience ของดร. ฟิลิป โกลดิน (Philippe Goldin, Ph.D.) ซึ่งทางกูเกิ้ลจัดทำไว้เมื่อครั้งที่การบรรยายเรื่องนี้ให้กับพนักงานใน บริษัทฟัง

ในการบรรยาย ดร.ฟิลิปได้เขียนมอตโตนี้ไว้ในพาวเวอร์พ๊อยของเขา

ดร.ฟิลิปบอกว่า เขาชอบมอตโตนี้ของกูเกิ้ลมาก

ผมเองก็รู้สึกเหมือนที่ดร.ฟิลิปบอกไว้ครับ คือชอบมากเช่นเดียวกัน

แต่เมื่อลองไปค้นหาข้อมูลในเน็ตก็เพิ่งทราบว่า เป็นมอตโตที่ตั้งขึ้นมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่กูเกิ้ลเพิ่งตั้งไข่กันใหม่ๆ

ที่ น่าสนใจก็คือตอนนี้ได้ข่าวว่ามีแนวโน้มที่กูเกิ้ลอยาก จะเปลี่ยนมอตโตนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมเองก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยเลยทีเดียว

ความรู้สึกของผมเมื่อได้ยินมอตโตนี้ของกูเกิ้ล ผมเกิดความรู้สึกดีๆ หลักๆ สองเรื่องครับ

หนึ่ง ก็คือ ตัวเนื้อหาของข้อความนี้ “โดนใจ” มาก อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ ว่า ในเบื้องต้นที่สุด คืออย่างน้อยที่สุด ตัวเราควรจะต้องระมัดระวังการกระทำทุกอย่างของเรา คำพูดของเราและความคิดของเรา “ไม่ให้” ไปทำร้ายคนอื่นๆ

และถ้าเป็นไปได้ ก็น่าจะหาทางทำประโยชน์อะไรให้กับคนอื่นๆ หรือส่วนรวมบ้าง

ให้ความรู้สึกที่ดีกว่านั้น ก็คือจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายสบายๆ มากๆ เลยกับการที่อยากจะทำความดีอะไรสักอย่าง

ไม่ต้องไปพยายามทำความดีอะไรมากมายนักหรอก

ขอเมื่อเราพร้อม แต่ก็น่าจะพร้อมทุกๆ วันนะ

สองก็คือ รู้สึกดีที่บริษัทชั้นนำอย่างกูเกิ้ลเองให้ความสนใจเรื่องราวภายในค่อนข้างมาก รู้สึกดีเหมือนเจอ “เพื่อนร่วมทาง”

๕๕๕๕๕ “เพื่อนร่วมทางคนนี้” ตัวใหญ่ซะด้วยสิ



090409
Little bit of mindfulness

“Even a little bit of mindfulness brought to a single moment can break a chain of events that leads to persistent unhappiness.” JON KABAT-ZINN

การ ดึงตัวเองให้กลับมาสู่ “ปัจจุบันขณะ” อย่างง่ายๆ เช่น ด้วยการกลับมาตามลมหายใจของเรา แม้จะเพียงเล็กน้อย แม้จะสักเพียงลมหายใจเดียวหรือเพียงสองสามลมหายใจก็จะให้ประโยชน์กับตัวเรา มากเกินกว่าที่เราจะคาดคิดได้ครับ

ผมชอบประเด็นนี้ของจอน คาบัต-ซินน์มาก เพราะในเวลาปฏิบัติจริง พวกเราหลายๆ คนอาจจะท้อแท้ อาจจะคิดว่าทำไม่ได้มากมายอะไร การฝึกแบบนี้ช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เรามีความทุกข์นั้น เรามักจะมองไม่เห็นอะไรเลย

ประโยคนี้ของคาบัต-ซินน์ จึงเหมือนเป็นแสงไฟในยามมืดครับ

เพราะ “เล็กๆ น้อยๆ” เพียงเท่านี้ ก็จะสามารถช่วยเบรคจังหวะของความคิดที่สับสนที่ต่อยาวมาเป็นขบวนยาวๆ ยิ่งกว่าขบวนรถไฟได้เป็นอย่างดี

เพราะ “ความคิดที่ติดอารมณ์ลบ” นั้นจะสามารถนำพาให้เราไปสู่ “ความทุกข์” ได้อย่างมหาศาล โดยที่เราไม่ทันได้รู้ตัว

คา บัต-ซินน์เป็นหัวหน้าหน่วย Stress Reduction ของสถาบันการแพทย์แมสซาซูเซ็ท สหรัฐอเมริกา เขาใช้ “การกลับมาสู่ปัจจุบันขณะ” ในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคข้ออักเสบ และอื่นๆ ที่ได้รับการส่งต่อมาจากแพทย์ในสถาบันแห่งนั้น ตั้งแต่ช่วงก่อนปี ๑๙๙๐ แล้ว

หนังสือของเขาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ Full Catastrophe Living ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหลักเล่มหนึ่งที่ผมใช้ในการเขียนหนังสือหัวใจใหม่ชีวิต ใหม่เมื่อปี ๒๕๔๔ นั่นเอง

ติดเบรคและตัดจังหวะของความทุกข์ด้วยวิธีนี้ได้ประโยชน์ไม่เลวเลยทีเดียวครับ



๐๙๐๔๐๘

ผู้รับใช้ที่แท้

“A chance to leave someone feeling a little better is serving our world, enlightenment in actions.” DAN MILLMAN

หน้าที่ ของเราต่อโลกใบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร มากมาย “การกระทำ” เล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าเรา “รู้สึกดีขึ้น” แม้สักเพียงเล็กน้อยก็อาจจะเป็นการเพียงพอสำหรับการทำหน้าที่เพื่อ “รับใช้” โลกใบนี้แล้ว

นี่จึงเป็น “ผู้รับใช้” ที่แท้จริง



๐๙๐๑๒๕

การเป็นโค้ช

“Coaching does not mean changing lives, it means changing the questions we ask and being open to what happens, it means replacing arrogance with humility.” TERI BELF

ก่อนอื่นก็คงจะต้องขอทำความเข้าใจ กันก่อนนะครับว่า “ความเป็นโค้ช” นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเป็นคนที่ใช้เพื่อดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้หรือนำ เวริคช็อพต่างๆ เสมอไป หากแต่จะสามารถนำ “ความเป็นโค้ช” นี้ไปใช้กับคนใกล้ชิดของเราได้ด้วย เช่น ใช้ในการเลี้ยงลูก ใช้กับความสัมพันธ์ระดับต่างๆ ในครอบครัว ใช้กับการทำงานในองค์กร ฯลฯ

คือ ถ้าคิดว่า “ความสามารถในการเป็นโค้ช” นี้มีความสำคัญและมีประโยชน์แล้ว ผมคิดว่าเทอรี่ เบลฟ์ เป็นโค้ชอีกคนที่ผมคิดว่ายอดเยี่ยมมาก หนังสือของเธอ Coaching for Spirit เป็นหนังสือที่เขียนได้อย่างเหนือชั้นและมีกลิ่นอายของความเป็นโค้ชชั้นยอด จริงๆ

เธอบอกว่า “ความเป็นโค้ช” นั้นไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการที่จะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครสักคน แต่จะหมายถึง “ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงคำถาม” และสามารถที่จะ “ดำรงอยู่” พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่กำลังก่อเกิดขึ้นตรงข้างหน้าของเรา

และที่สำคัญก็คือ “คนที่เป็นโค้ช” จะนอบน้อมถ่อมตัวของเขามากกว่าที่จะหยิ่งผยองด้วยความอหังการ์ว่า “กูรู้”

ถึง ตรงนี้ผมคิดว่าพวกเราก็คงจะเห็นนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “คนที่อยากจะเป็นโค้ช” ก็คงจะต้องฝึกฝนเรื่องของ “การดำรงอยู่” ที่แท้จริงและไว้วางใจกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงนั่นเองนะครับ



เขียนไว้ตั้งแต่ ๐๘๐๙๒๔

“We are miserable not because we are neurotic but because we are creative and not functioning in our creativity.” JULIA CAMERON

ผมชอบใจประเด็นนี้ของจูเลียเป็นอย่างมาก

เธอบอกว่า “มนุษย์ทุกคนมีความสร้างสรรค์อยู่ในตัวเสมอ”

บาง ทีการที่พวกเรามีความทุกข์ไม่ใช่เพราะเราเป็นโรค ประสาทหรือบ้า แต่เป็นเพราะความสร้างสรรค์ของเราเอง เพียงแต่ความคิดสร้างสรรค์ของเราเหล่านั้นไม่ได้ถูกนำออกมาใช้ต่างหาก

ผม พบว่า การที่เราได้มีโอกาสแสดงถึง “ความรู้สึก” หรือ “สิ่งที่สร้างสรรค์” อยู่ภายในตัวของเราออกมาบ้าง เช่นการรับรู้จริงๆ ว่าเรากำลังรู้สึกถึงอะไรและได้ “แสดงออก” “อย่างจริงแท้และซื่อสัตย์” หรือผ่านการกระทำอะไรบางอย่างโดยร่างกายของเราที่เราอยากจะ “ลงมือ” กระทำ เช่นการเขียน การเดินหรืออื่นๆ

จะสามารถช่วยให้พลังงานเหล่านั้นได้ “เคลื่อนไหว” ไม่ติดขัด ซึ่งจะเป็นการเยียวยาตัวของเราเองในขณะนั้น เราจะรู้สึกดีเราจะได้สัมผัสถึงความ “โปร่งโล่ง” บางอย่าง

ปัญหาอีก ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะคนเราส่วนใหญ่มักจะ สนใจว่า “ทำแล้วได้อะไร” มากกว่าที่จะลอง “อยู่กับการกระทำ” นั้นๆ อย่างจริงๆ จังๆ และซื่อสัตย์



๐๘๑๒๐๑

ชีวิตที่เรียนรู้

“We are each and all simply being who we are, and doing what we do. No praise, no blame, just living and learning.” DAN MILLMAN

จากหนังสือของแดน มิลแมน เล่มเดียวกันกับโค้ดดิ้งอันก่อนหน้านี้ครับ

โค้ด ดิ้งนี้ทำให้ผมไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก เพราะเป็นโค้ดดิ้งที่สั้นๆ ง่ายๆ รวบรวมใจความสำคัญทั้งหมดของ “ชีวิต” ไว้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

อ่านกี่ครั้งกี่หนก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่เบาสบายๆ โล่งและมีพลัง

ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดว่า “ตรงเป๊ะ” มากๆ กับความหมายที่ออตโต ชาร์มเมอร์ให้ไว้ที่ “ก้นตัวยู” ความหมายของการ “connect to the source”

“พวกเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ธรรมดาๆ เรียบง่าย เราเพียงดำรงอยู่ตามที่เราเป็นและทำสิ่งที่เราต้องทำ”

และในกรณีนี้ “คำสรรเสริญ” ก็ย่อม “ไม่แตกต่าง” ไปจาก “คำตำหนิ”

“รางวัล” ก็ย่อมไม่แตกต่างไปจาก “การลงโทษ”



๐๘๑๑๐๖
อย่าหลงตัวเอง

“Even with the best of changes, we are still going to have ups and downs, moments of fatigue, even bouts of illness.” DAN MILLMAN

โค้ด นี้ได้มาจากหนังสืออีกเล่มหนึ่งของแดน มิลแมนครับ เป็นหนังสือที่ชื่อ “Wisdom of the Peaceful Warrior” ซึ่งเป็นหนังสือที่แดนเขียนถึงข้อคิดที่ได้จากนวนิยายชื่อดังของเขาที่ชื่อ Way of the Peaceful Warrior

เขาจะโค้ดเอาถ้อยคำหรือเรื่องราวที่ เกิดขึ้นในนิยายของเขามาแล้วมาเขียนขยายความ อืมม ผมเพิ่งได้หนังสือเล่มนี้มาจากคิโน๊ะคุนิยะสยามพารากอน เมื่อช่วงประมาณเดือนกันยายน ๒๐๐๘ ที่ผ่านมานี้เอง หลังจากที่ผมและวรวุฒิได้ทำคอลัมน์โค้ดโดนใจในเว็บไซด์นี้มาก่อนหน้านี้นาน พอสมควรแล้ว

ผมคิดว่า “โค้ดดิ้งนี้” จะคอยช่วยเตือนใจพวกเราที่ผ่านการฝึกฝนเรื่องราวของจิตวิญญาณได้เป็นอย่างดี ว่า อย่าทระนงตัวและที่สำคัญอย่าหลงตัวเองว่าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แล้วเราจะเหนือกว่าคนอื่น หรือคอยชื่นชมกับตัวเองกับปรากฏการณ์พิเศษที่เราได้พบได้เจอ โดยที่ไม่ได้มองว่า คนที่ค้นพบเรื่องราวเหล่านี้ก็มีหน้าที่มีบาดแผลที่จะต้องได้รับการเยียวยา ตัวเองด้วยเช่นกัน

พวกเราหลายๆ คน รวมทั้งตัวผมด้วย ในหลายครั้งหลายคราที่ “เราหลงตัวเอง” เราเผลอไปคิดว่าเราวิเศษกว่าคนอื่น คิดได้เหนือกว่าคนอื่นๆ ซึ่งก็ให้คิดได้ครับ ชื่นชมตัวเองก็ได้ครับ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า “การรับรู้” ยังสามารถกำกับไม่ให้เราหลุดจาก “การชื่นชมตัวเอง” ไปเป็น “การหลงตัวเอง”
เพราะแท้จริงแล้ว แม้จะเป็นผู้เยียวยา-ตัวเราก็ไม่ได้เหนือไปกว่าคนอื่นเลย

เรา เพียงมีวิธีการที่จะเปลี่ยนแปลงตัว และเชื่อเถอะครับว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ง่ายหรอก แดน มิลแมนช่วยย้ำผ่านโค้ดดิ้งอันนี้ให้เห็นเลยว่า แม้แต่การที่เราคิดว่าเราฝึกหนักฝึกมานานแล้ว ชีวิตก็ยังมีขึ้นมีลง มีความอ่อนล้า มีการหมดพลังหรือแม้แต่ป่วยก็ยังได้

อยากจะย้ำว่า แม้ว่าเราจะเดินเข้าสู่วิถีของการเป็นผู้เยียวยาแล้ว เราก็ยังคงเป็นคนธรรมดา ยอมรับความเป็นธรรมดาของตัวเราและก้าวเดินต่อไปกันดีกว่าครับ



๐๘๑๐๑๐

เขียนอย่างไม่มีเงื่อนไข

“Wherever I am, whenever I can, I write.” JULIA CAMERON


โค้ด ดิ้งอันนี้ลอยมาในบ่ายวันหนึ่งขณะที่ผมมานั่งจิบกาแฟ ลาเต้ที่มุมด้านในสุดของร้านไอศกรีมชื่อดังที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แห่งหนึ่งที่เชียงราย แม้ว่าจะเป็นมุมในสุดของร้าน แต่ผู้คนก็ยังพลุกพล่านไม่น้อย

ว่ากันตามสถานการณ์แล้วไม่น่าจะเป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมกับการเขียนอะไรเลยด้วยซ้ำ

แต่ ในเมื่อได้ลองพลิกๆ เปิดดูหนังสือเล่มหนึ่งของจูเลีย คาเมรอน ก็พบ “โค้ดดิ้ง” อันนี้ลอยมาโดนใจผม ผมก็เลยหยิบปากกาและสมุดบันทึกการเดินทางออกมาแล้วจรดปากกาเขียน “โค้ดดิ้ง” อันนี้ของจูเลีย คาเมรอนที่หัวกระดาษซะก่อนเลย

เป็นการเริ่มต้นที่ ดีครับสำหรับการเขียนในสถานการณ์ที่ดู จะค่อนข้างแปลกสักหน่อย แต่ผมก็คิดว่าผมไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้กับใคร เพราะคิดว่าเดี๋ยวคงจะต้องสั่งไอศครีมเพิ่มเพื่อให้คุ้มค่านั่งที่ร้านของ เขาสักหน่อย

ผมเขียนไปเขียนมาก็เขียนได้ครับ เพราะจริงๆ ก็เริ่มจากโจทย์เดิมนั่นแหละครับ ว่า ความเป็นจริงที่กำลังรับรู้ในขณะนี้ของตัวเราคืออะไร ปรากฏว่าเขียนเป็นตัวอักษรเล็กๆ ได้เต็มสองหน้าของสมุดบันทึกการเดินทางเลยทีเดียว และทำไปทำมาเขียนไปเขียนมาก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า อืมม โค้ดดิ้งอันนี้น่าจะเหมาะเป็น “โค้ดโดนใจ” อีกอันหนึ่งของผมกระมัง

ว่าแล้วก็หยิบโน้ตบุคขึ้นมาเขียนบทความชิ้นนี้นี่แหละครับ

โค้ด ดิ้งนี้แสดงให้เห็นถึง “การเขียนอย่างไม่มีเงื่อนไข” ไม่ใช่ว่าจะต้องรอให้บรรยากาศดีๆ ที่กระท่อมบนยอดเขามีก้อนเมฆลอยไปลอยมาถึงจะเขียนได้อะไรแบบนั้น

แต่การเขียนนั้นต้องเป็นการเขียนอย่างไม่มีเงื่อนไข

ความ มุ่งมั่นที่แน่วแน่ของการใช้การเขียนมาเป็นหนทางของ การภาวนา เป็นหนทางของการเดินทางเข้าสู่สภาวะภายในจิตใจของตัวเราเอง โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นนักเขียน

การเขียนได้ช่วยทำให้เกิดผลโดยตัวของมันเองในขณะที่กำลังเขียนอยู่แล้วครับ



๐๘๐๘๑๐

“If we didn’t have to worry about being published and being judged, how many more of us might write a novel [or an article] just for the joy of making one?” JULIA CAMERON

คำในวงเล็บที่ว่า “or an article” นั้น ผมขออนุญาตเพิ่มเติมเข้ามาเอง ในประโยคจริงๆ ของจูเลีย คาเมรอนไม่ได้มีคำในวงเล็บท่อนนี้ครับ

คือผมอยากรวมให้หมายถึง “งานเขียนทุกชนิด” ไปเลย ไม่เฉพาะแต่กับเรื่องนวนิยาย

คือ พวกเราส่วนใหญ่มักจะมอง “การเขียน” ว่าจะต้องเป็นนักเขียนเท่านั้นถึงจะเขียนได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ “ทุกคนกลัวเสียหน้า” กลัวว่าจะเขียนไม่ได้เรื่อง กลัวว่าจะมีคนวิพากษ์วิจารณ์ ในฐานะที่ผมเคยผ่านประสบการณ์ตรงนี้มาก่อนนะครับ ผมอยากจะบอกว่าไม่ต้องไปกลัวเลยเพราะเจอแน่

ผมเองก็ถูกวิพากษ์ วิจารณ์เยอะครับ แม้แต่ “วิถีแห่งกอล์ฟ” ภาคแรกซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียน และตอนที่ยังเป็นต้นฉบับอยู่นั้น บางคนบอกว่า “ขายไม่ได้หรอก-หมอไม่ใช่ดารา” บางคนก็บอกว่า “อืมม สำนวนแบบวิชาการเกินไป” บางคนก็บอกว่า “อืมม อ่านแล้วไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

ถ้าผม “กลัวเสียงวิจารณ์” เหล่านั้น ป่านนี้ก็คงไม่มีผมในวันนี้

เรื่อง นี้ไม่ได้เกี่ยวกับ “ความดื้อดึง” อะไรนะครับ แน่นอนว่าเราต้องฟังการวิพากย์วิจารณ์ด้วย แต่ในกรณีนี้ไม่ใช่ประเด็นว่าจะต้องฟังหรือไม่ฟัง

เพราะประเด็นของจูเลียคือ

เราเพียงอยากเขียนให้ตัวเราเองอ่านเพื่อความสนุกสนานของตัวเรา- ใครจะทำไม?

ผม เชื่อว่าประโยคสองประโยคนี้ของจูเลียจะสามารถช่วยให้ “ใครหลายๆ คน” ได้มองเห็นความสำคัญของ “พื้นที่อิสระ” ที่ไม่ต้องกลัวถูกผิดในการเขียน

เธอ ช่างคิดและช่างตั้งคำถามนี้ได้ดีมากจริงๆ เพราะเมื่อเราเพียงคิดว่า “เราเขียนเพื่อตัวเราอ่านให้เกิดความสนุกสนานของตัวเราเอง” ก็เท่ากับว่าเป็นการ “ตัดตอน” เสียงวิพากย์ต่างๆ ออกไปจนหมดสิ้นได้ครับ

ชอบใจกับ “กุศโลบาย” ประโยคนี้ของเธอจริงๆ

สมกับ “เป็นครูที่สอนการเขียน” จริงๆ



๐๘๐๘๐๘
ชีวิตคือทางเลือก
“Life is a series of choices and every choices has benefit and costs.” Dan Millman


ปัญหา อย่างหนึ่งเวลาเมื่อผมตกลงที่จะเลือกใช้ “ญาณทัศนะ” มาเป็นเครื่องชี้นำในการดำเนินชีวิตนั้น บางครั้งบางครา ผมจะรู้สึกว่า อืมม มีทางเลือกหลายทางเหลือเกิน ผมเริ่มค่อยๆ มองเห็นทางแยก (bifurcation) ของชีวิตเยอะขึ้นมากกว่าชีวิตจำเจที่เป็นไปตามแบบแผนเดิมๆ

เช่น ตอนนี้ตามปกติผมควรจะใช้เวลากับมื้อเช้านะ แต่เกิดไอเดียแว้บเข้ามาว่าน่าจะต้องไปซื้อของชิ้นหนึ่งก่อน หรือตั้งใจไว้ว่าจะขับรถไปทางนี้แต่พอมาถึงทางแยกก็เกิดความรู้สึกว่า อืมม อยากจะเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งอะ หรืออื่นๆ

แล้วทางเลือกไหนล่ะที่จะถูกต้อง ทางเลือกไหนล่ะที่จะเป็นทางเลือกที่ญาณทัศนะชี้นำ

เรื่องนี้ตอบยากจริงๆ ครับ ต้องทดลองเอง ต้องฝึกฝนเอง

ที นี้ตอนที่ผมทดลองเรื่องนี้ใหม่ๆ นั้นยอมรับว่าบางครั้งผมก็ “กลัวเลือกผิด” เหมือนกัน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่การเลี้ยวรถยนต์ก็อาจจะไม่เป็นอะไรมากมาย แต่ถ้าเป็นการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ บางทีก็ยังกลัวว่าจะผิดพลาดได้เหมือนกัน
แต่ต่อมาเมื่อผมได้อ่านโค้ดนี้จากหนังสือที่ชื่อ “Living on Purpose” ของแดน มิลแมนแล้วผมพบว่าช่วยอะไรผมได้เยอะมาก
มิลแมนบอกว่าชีวิตก็คือซีรีส์ของทางเลือกมากมายที่ทุกๆ ทางเลือกล้วนแล้วแต่มีประโยชน์และทรงคุณค่าทั้งสิ้น

นอก จากนั้นเขายังเขียนบอกไว้อีกด้วยว่า “There are no wrong decisions, only different lessons.” ในชีวิตไม่มีอะไรที่เราตัดสินใจผิดพลาดเลย จะมีก็แต่บทเรียนที่แตกต่างกันไปเท่านั้น

ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ก็คงจะไม่ต้องกังวลว่าจะเลือกผิดแล้วกระมัง เพราะไม่ว่าเลือกอย่างไหนเราก็ได้เรียนรู้อยู่ดีนั่นแหละครับ


แต่ แบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องฟังเสียงญาณทัศนะแล้วนะครับ แต่โค้ดดิ้งอันนี้จะช่วยเรารู้สึกได้ว่า “ผิดก็ไม่เป็นอะไรต่างหาก” การฝึกฝนให้ใช้ญาณทัศนะได้ถูกต้องแม่นยำก็จะยิ่งมีประโยชน์ครับ
การเหลือพื้นที่ “ให้เราผิดพลาดได้” จะช่วยให้เราไม่ผิดพลาดได้ง่ายต่างหาก



๐๘๐๕๑๑

“The trick is to operate as if the world is a helpful place. For if you do, it actually is, and if you don’t, it isn’t.” OTTO SCHARMER

คำพูดนี้โค้ดมาจากหนังสือ Theory U ของออตโต ชาร์มเมอร์หน้าที่ ๔๒๔

เป็น อีกคำพูดหนึ่งที่โดนใจผมมากและเป็น “วิถี” ที่ผมใช้ในการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีหลังๆ มานี้ ผมเชื่อ “มีมือที่มองไม่เห็น” คอยช่วยเหลือให้สิ่งที่ผมต้องการจะทำ ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า “งานเหล่านั้น” เป็นงานที่จะเป็นประโยชน์กับส่วนรวม เป็นงานที่เราเชื่อมกับสิ่งดีงาม

ไม่ว่าจะเป็นด้วยอะไร ความเป็นจริงก็คือพวกเราอยู่ในโลกของ “ความไม่ไว้วางใจ” กันมากเกินไป เรามักจะไม่เชื่อว่า “สิ่งดีๆ” สามารถเกิดขึ้นมาได้ เราเพียงแต่จะต้อง “ไว้วางใจอย่างสุดๆ” เราจะต้อง “ฝึกฝนการไม่ตัดสิน” อย่างหนักหน่วงและจริงจัง

และเรื่องนี้จะต้องไม่ใช่แค่เป็นการมอง ด้านบวกนะครับ เราจะต้องเชื่อและไว้ใจอย่างนั้นจริงๆ ว่า “โลกใบนี้” เป็นโลกที่จะมี “ความช่วยเหลือ” รอเราอยู่เสมอ

ในชีวิตการทำงานที่ ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังๆ นี้ ผมยิ่งพบประสบการณ์แบบที่ชาร์มเมอร์บอกไว้ในประโยคนี้จริงๆ ผมพบว่าโลกใบนี้เป็นโลกที่มีคนพร้อมจะคอยช่วยเหลือเราเสมอและเรื่องราวก็มัก จะเป็นแบบนั้นจริงๆ

และผมก็เห็นด้วยกับชาร์มเมอร์เป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าเราเลือกที่จะเชื่อแบบไหน โลกก็พร้อมจะให้เราเป็นตามแบบที่เราเชื่อเสมอครับ



๐๘๐๔๒๙

"If I love the world as it is, I am already changing it: a first fragment of the world has been changed, and that is my own heart."

เป็น โค้ดที่จอร์จ เลียวนาร์ด (George Leonard) เขียนถึงในหน้าที่ ๑๔๓ ของหนังสือ "The Way of Aikido" เป็นโค้ดที่เลียวนาร์ดบอกว่า เขานำมาจากนักเขียนนวนิยายชื่อดังที่ชื่อ Petru Dumitriu

ผมคิดว่าเป็น "ประโยคโดนใจ" ที่สำคัญมาก

เพราะ คนเรามักจะคิดกังวลวุ่นวายใจมากเกินไปเกี่ยวกับระบบ สังคมในโลกใบนี้ เรามักจะคิดว่าสังคมมีความขัดแย้งรุนแรงและเราตัวเล็กๆ ทำอะไรไม่ได้หรอก หรือแม้แต่ในเวริคช็อพที่พวกเราไปพบไปเจอมา คนส่วนใหญ่ก็มักจะมีความเชื่อแบบประมาณว่า "คนตัวเล็กๆ ไม่มีอำนาจทำอะไรไม่ได้หรอก" หรือ "เปลี่ยนแปลงองค์กรไม่ได้หรอก"

ถ้าเราคิดแบบนั้น เราอาจจะเข้าใจอะไรผิดหลายอย่าง

หลักๆ ก็คือเรายังไม่ได้เข้าใจ "ความเป็นองค์รวม" อย่างแท้จริง ในประโยคนี้ของจอร์จ เลียวนาร์ด เขียนถึงความเป็นองค์รวมที่ชัดเจนมาก เพราะหัวใจของเราเป็นส่วนเสี้ยวของโลกใบนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้ของเราเปลี่ยนแปลง แม้จะเพียงเล็กน้อย โลกใบนี้ทั้งใบก็เปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับหัวใจดวงน้อยๆ ของเราเรียบร้อยแล้ว โดยทันที

ย้ำนะครับว่า เพียงหัวใจของเราเปลี่ยน โลกทั้งใบก็จะเปลี่ยนตามได้เอง



๐๘๐๓๒๙

"My job as a physician is not only to find the right treatment but to help the patient find an inner reason for living, resolve conflict, and free healing energy." BERNIE SIEGEL, M.D.

คุณหมอเบอร์นี่ ซีเกลเป็นศัลยแพทย์เด็ก เขาเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เล่มดังๆ ได้แก่ Love, Medicine and Miracles ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ๑๙๙๘ แล้ว และเป็นเล่มหนึ่งที่ผมนำมาเป็นหนังสืออ้างอิงในการเขียนหนังสือหัวใจใหม่ ชีวิตใหม่

ในช่วงที่เขียนหัวใจใหม่ชีวิตใหม่นั้น พอผมอ่านเจอถ้อยคำๆ นี้แล้วรู้สึกประทับใจมากๆ

คุณ หมอซีเกลบอกไว้ว่า "หน้าที่ของผมในฐานะแพทย์ ไม่ใช่เพียงแค่ให้การรักษาที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังจะต้องหาหนทางให้คนไข้ได้พบกับความหมายในการมีชีวิตอยู่ สามารถคลี่คลายความขัดข้องต่างๆ และเกิดพลังในการเยียวยาตัวเอง"

คงไม่ต้องบอกนะครับว่า ถ้อยคำในประโยคนี้จะกินใจมากแค่ไหนสำหรับหลายๆ ท่านที่อยู่ในวงการสาธารณสุข

และ คำพูดประมาณนี้แหละที่ทำให้พวกเราหลายๆ คนในที่นี้เกิดแรงบันดาลใจในการทำงานที่จะหาหนทางให้ "ผู้คนในประเทศนี้" สามารถค้นพบ "พลังแห่งการเยียวยาตัวเอง" ให้ได้

นี่จึงน่าจะเป็น "สุขภาพกระบวนทัศน์ใหม่" อย่างแท้จริงกระมัง


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 ธันวาคม 2553 เวลา:23:59:50 น.  

 

สวัสดีตอนสามทุ่มของ เนเธอร์แลนด์ จ้า




* ขอให้มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะจ้า *


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 1 มกราคม 2554 เวลา:3:22:22 น.  

 




ปีใหม่นี้พรใดที่ศักดิ์สิทธิ์.
สำแดงฤทธิ์ส่งจิตให้เป็นผล
เหมือนต้องมนต์ตามคิดในบัดดล
ดังที่สมปราถนาไม่อาทร.....

หนึ่งความฝันหนึ่งความรัก..ยินดีที่ได้รู้จักรักกันตรงนี้
หนึ่งหัวใจดวงแสนดี กับหนึ่งชีวิตนี้ที่ได้เจอ
ขอให้เธอคนดีสุขสมหวังวันปีใหม่ 2554..นะค่ะ"

มีความสุขทุกคนนะค่ะ
เจอกันปีหน้าค่ะ




cattleya




ไม่ได้แวะมาทักทายกันนานเลยค่ะ
ฃีวิตถ้าโรยด้วยกลีบกุหลาบคงไม่ดีแน่เลยนะค่ะ
คงไม่ดิ้นร้น คงไม่มีการต่อสู้ คงไม่รู้ชีวิตที่ท่องแม้
โชคชะตาเลยให้เราเกิดมาต้องสู้

ชีวิตคนเราถึงมีแต่การต้องแก้ปัญหา
ฃ่วงนี้ต้องสู้กันต่อไปขอเวลาให้ได้ยาวนานก็คงพอนะค่ะ

ขอให้มีความสุขสมหวังที่คิดทุกประการในปีใหม่นี้นะค่ะ
คิดถึงมิตรคนนี้เสมอ




โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 2 มกราคม 2554 เวลา:20:43:18 น.  

 
//zixzen.blogspot.com/2007/10/blog-post_14.html

คมคำ คำคม

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."

- - Benjamin Disraeli - -
ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง



"You get the best out of others when you give the best of yourself."
- - Harvey Firestone - -
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"



"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."
- - Katherine Hepburn - -
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ



"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,
and I'm not sure about the former."
- - Albert Einstein - -
มี เพียงสองสิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น



"Life remains the same until the pain of remaining the same
becomes greater than the pain of change."
- - Anonymous - -
ชีวิตไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่ง ความเจ็บปวดจากการอยู่นิ่งเฉย มีมากกว่า ความเจ็บปวดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง



"He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who loses faith, loses all."
- - Anonymous - -
ผู้สูญสิ้นทรัพย์สินไป
คือผู้..สูญเสียมากเหลือเกิน

ผู้สูญสิ้นเพื่อนไป
คือผู้..สูญเสียมากกว่า

แต่..ผู้สูญสิ้นความศรัทธา
ผู้นั้น.. สูญเสียยิ่งกว่าใครๆ




"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว



"The only thing in life achieved without effort is failure."
- - Anonymous - -
มีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือพิชิตความล้มเหลว



"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ



"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีกของมันเอง



"Obstacles are those frightful things you see
when you take your eyes off your goals."
- - Anonymous - -
อุปสรรคคือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง



"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,
and the deeper it sinks into, the mind."
- - Samuel Taylor Coleridge - -
คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปราย ตกเบาบางรู้สึกเพียงแค่เยือกเย็น และหากหนักหนาก็ยิ่งลงลึกถึงความรู้สึกที่เหน็บหนาว



"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว



"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;
Small minds discuss people."
- - Anonymous - -
จิตใจที่ยิ่งใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน



"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."
- - D.Kaye - -
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้งหมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา



"Forgive your enemies, but never forget their names."
- - J.F.Kennedy - -
จงยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด



"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."
- - T.Roosevelt - -
คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย



"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."
- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -
ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว



"Even a Step back can be fatal."
- - W.Brudzinski - -
แม้แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้



"Imagination is more important than knowledge."
- - Albert Einstein - -
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ที่มี



"The reward of a good thing well done is to have it done."
- - Ralph Waldo Emerson - -
รางวัลของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา



"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"
- - George Bernard Shaw - -
คุณเห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"



"Do what you can, with what you have, where you are."
- - Theodore Roosevelt - -
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่



"Freedom is nothing else but a chance to do better."
- - Albert Camus - -
อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น



"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."
- - Eleanor Roosevelt - -
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของตัวเองเท่านั้น



"God gives every bird it's food, But He does not throw it into it's nest".
- - Anonymous - -
พระเจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น



"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it.
You must never run away from a problem.
Convince yourself that you will survive and get to the other side."
- - Margaret Ramsey * British literary agent - -
เมื่อ คุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณ สามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมันไปได้



"There is Nothing so Sweet as Love's Young Dreams!"
- - Anonymous - -
ไม่มีสิ่งใดจะหอมหวานเท่ากับความฝันในวัยเยาว์



"First say to yourself what you would be, and then do what you have to do."
- - Epictetus (55-135 C.E.) - -
สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจกับตัวเอง และลงมือทำ



"A person who lives right, and is right, has more power in their silence
than another has by words."
- - Phillips Brook - -
บุคคลที่มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องและเหมาะสมแม้อยู่ในความเงียบก็แลมีอำนาจกว่าผู้อื่น



"Life is like a box of choclates."
- - F.Gump - -
ชีวิตก็เหมือนกล่องใส่ชอกโกแลตที่มีหลากหลายสีสันและรสชาติ



"Glory in life is not in never failing, But rising each time we fail."
- - Anonymous - -
ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง



"It is never too late to be what you might have been."
- - George Eliot - -
ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่คุณจะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น



"Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment."
- - Ralph waldo Emerson - -
อย่าขาดความมั่นใจในตัวเอง อย่าตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ เพราะทุกๆสิ่งคือประสบการณ์


"Learn from the mistakes of others.
You can't live long enough to make them all yourself."
- - Anonymous - -
จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเราเอง



"This year's success was last year's impossibility."
- - Anonymous - -
ความสำเร็จของปีนี้ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปีที่ผ่านมา



"Who never made a mistake never made a discovery."
- - Soren Kierkegaard - -
คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่งใด



"Praise the bridge that carried you over."
- - George Colman - -
จงขอบคุณสะพานที่ให้คุณเดินข้ามมา



"To follow, without halt, one aim: There is the secret of success."
- - Anna Pavlova - -
เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่างต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย



"Our deeds determine us, as much as we determine our deeds."
- - George Eliot - -
การกระทำตัดสินเราเท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ



"The difference between the impossible and the possible
lies in a man's determination."
- - Tommy Lasorda - -
เส้นบางๆที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา



"If you don't stand for something, you'll fall for anything."
- - Anonymous - -
ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณก็จะล้มเหลวในทุกๆสิ่ง



"It is not fair to ask others what you are not willing to do yourself."
- - Eleanor Roosevelt - -
ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะขอร้องให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการทำ



"A wise man will make more opportunities than he finds."
- - Francis Bacon - -
คนที่ฉลาดคือคนที่สร้างโอกาสมากกว่าที่เขาหาได้



"We write our own destiny. We become what we do."
- - Madame Chiang Kai-Shek - -
ตัวเราเองที่กำหนดพรหมลิขิตและเราจะเป็นในสิ่งที่เราได้กระทำ



"Well done is better than well said."
- - Ben Franklin - -
การลงมือทำดีกว่าคำพูดที่สวยหรู



"Life moves pretty fast...if you don't stop to look around once in a while, you might miss it."
- - Ferris Bueller, "Ferris Bueller's Day Off" - -
ชีวิตผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่หยุดและมองไปรอบๆบ้าง คุณอาจจะพลาดบางอย่างไป



Nobody has Wisdom if he does not know the Dark.
- - H.Hesse - -
ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากการได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน



"Great minds must be ready not only to take opportunity, but to make them."
- - Colton - -
ความคิดที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แต่เตรียมพร้อมต่อโอกาส แต่ยังพร้อมที่จะลงมือทำ



"Do or do not; there is no try."
- - Yoda - -
การตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด



"He who knows little often repeats it."
- - Thomas Fuller - -
ใครที่รู้อะไรเพียงนิดหน่อยก็มักจะคุยโวถึงมัน



"Wealth is like Sea Water:The more you drink the more thirsty you get."
- - A.Schopenhauer - -
ความร่ำรวยเปรียบเหมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมาเท่าไหร่ก็ยิ่งกระหายมากขึ้นเท่านั้น



"Progress always involves risk. You can't steal second with your foot on first."
- - Fredrick Wilcox - -
พัฒนาการจะมีเรื่องของความเสี่ยงมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ คุณจะไม่มีโอกาสไปถึงเบสสองได้ ถ้าเท้าคุณยังยืนอยู่บนเบสหนึ่งอยู่



"You don’t get harmony when everybody sings the same note."
- - Doug Floyd - -
คุณจะไม่สามารถหาความกลมกลืนได้ เมื่อทุกคนร้องเพลงด้วยโน้ตที่เหมือนกัน



"Thinking: The talking of the soul with itself."
- - Plato - -
การคิด คือ จิตวิญญาณกำลังพูดกับตัวมันเอง



"Nature is as complex as it need to be.... and no more."
- - Albert Einstein - -
ธรรมชาติซับซ้อนเท่าที่มันจำเป็น...ไม่มากกว่านั้น



Heaven never helps the men who will not act.
- - Henry Bergson - -
สวรรค์ไม่ช่วยคนเกียจคร้าน



Move out man! Life is fleeting by.
Do something worthwhile, before you die.
Leave behind a work sublime,
that will outlive you and time.
- - Alfred A. Montepert - -
อันชีวิตคนเราช่างสั้นนัก
ต้องรู้จักทำประโยชน์ก่อนจะสาย
ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์หลังความตาย
มีความหมายคงอยู่ ตลอดไป



Seize the day. Make your lives extraordinary.
- - From The Dead Poets Society - -
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วชีวิตคุณจะไม่ธรรมดา



Only those who dare to fail greatly can ever achieve greatly.
- - Robert F. Kennedy - -
คนที่กล้าจะจะพ่ายแพ้เท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่



It is only in adventure that some people succeed in knowing themselves--in finding themselves.
- - Andr Gide - -
มีแต่ในการผจญภัยเท่านั้น ที่บางคนประสบความสำเร็จในการรู้จักตัวเอง นั้นคือ การค้นพบตัวเอง



If we do not find anything very pleasant, at least we shall find something new.
- - Voltaire - -
ถึงแม้ว่าเราจะไม่พบสิ่งที่พอใจ อย่างน้อย เราก็จะได้เจอสิ่งใหม่ๆ



You can fool all the people some of the time, and some of the people all the time,
but you cannot fool all the people all the time.
- - Abraham Lincoln - -
คุณหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา และหลอกบางคนได้ตลอดเวลา แต่ คุณไม่สามารถหลอกทุกคนได้ตลอดเวลา



Beware of small expenses; a small leak will sink a great ship.
- - Benjamin Franklin - -
จงระวังสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น รอยรั่วเล็กๆ อาจจะทำให้เรือใหญ่ล่ม



You know you're old when the candles cost more than the cake.
- - Bob Hope - -
คุณจะรู้ว่าคุณแก่ตัวก็ต่อเมื่อเทียนที่ต้องจุดในงานวันเกิดแพงกว่าเค้กวันเกิด



Age does not protect you from love. But love, to some extent, protects you from age.
- - Jeanne Moreau - -
อายุป้องกันคุณจากความรักไม่ได้ แต่ความรัก ในจำนวนที่พอเหมาะ ปกป้องคุณจากอายุได้



When you go in search of honey you must expect to be stung by bees.
- - Kenneth Kaunda - -
เมื่อคุณต้องการน้ำผึ้ง คุณต้องรู้ว่า คุณจะถูกผึ้งต่อย



If men cease to believe that they will one day become gods then they will surely become worms.
- - Henry Miller - -
เมื่อมนุษย์เลิกเชื่อว่าวันหนึ่งเค้าจะกลายเป็นพระเจ้า เมื่อนั้น เค้าจะเป็นแค่หนอนตัวหนึ่งเท่านั้น



The ripest peach is highest on the tree.
- - James Whitcomb Riley - -
ลูกพีชที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่สูงที่สุดบนต้น



And he that strives to touch the stars,
Oft stumbles at a straw.
- - Edmund Spenser - -
คนที่พยายามจะสัมผัสดวงดาว มักจะพลาดกับสิ่งเล็กน้อย



It takes two flints to make a fire.
- - Louisa May Alcott - -
ต้องใช้หินถึง2ก้อนถึงจะเกิดไฟได้



We boil at different degrees.
- - Ralph Waldo Emerson - -
คนเรามีจุดเดือดไม่เท่ากัน



Let not the sun go down upon your wrath.
- - Ephesians 4:26 - -
อย่าให้พระอาทิตย์ตกลงไปพร้อมกับความโกรธของคุณ



The best and most beautiful things in the world cannot be seen or even touched.
They must be felt with the heart.
- - Helen Keller - -
สิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่จะรู้สึกได้จากหัวใจ



Remember to always dream. More importantly to make those dreams come true and never give up.
- - Dr. Robert D. Ballard - -
จงฝันอยู่เสมอ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ทำความฝันนั้นให้เป็นความจริง และอย่ายอมแพ้



Keep your eyes on the stars, and your feet on the ground.
- - Theodore Roosevett - -
สายตาจับจ้องที่ดวงดาว และเท้ายังคงติดดิน



There is a magnet in your heart that will attract true friends. That magnet is unselfishness,
thinking of others first. When you learn to live for others, they will live for you.
- - Paramahansa Yogananda - -
มีแม่เหล็กอยู่ในหัวใจของคุณ ซึ่งจะดึงดูดมิตรแท้ แม่เหล็กชนิดนี้คือ ความไม่เห็นแก่ตัว
และการคิดถึงคนอื่นก่อน เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อคนอื่น พวกเขาก็จะอยู่เพื่อคุณ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 3 มกราคม 2554 เวลา:8:38:02 น.  

 





ซินเจี่ยยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้
อังเปาตั่วตั่วไก้

มีร่างกายแข็งแกร่ง จิตใจแข็งแรง
เงินทองมากมี เศรษฐีเร็ววันนะค่ะ

ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีให้กับทุกคน
คือชีวิตที่สมบรูณ์และมั่งคั่ง เป็นชีวิตที่งดงาม
และมีพลังไม่สิ้นสุดเสมอ
มีความสุขทุกๆวันเวลาเสมอค่ะ



ตรุษจีนนี้คุณแคทสุขใจค่ะได้ไหว้พระถึง 9 วัดแนะ
สุขมากมากเลยค่ะ
การค้าเซ้งลี้..ฮ้อออออ..


แคทรียา









ชีวิตคือการต่อสู้เสมอค่ะ
จะขอสู้จนหมดชีวิตค่ะ







โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:42:33 น.  

 
//www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=151&Itemid=159

MOU 2543 มาจากไหน

และจะพาประเทศไทยไปไม่รอดอย่างไร !

โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์


นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

7 ตุลาคม 2553



ในเวลานี้ชาวบ้านร้านตลาดยังงงงวยกันไม่หายว่าที่แท้ MOU 2543 คืออะไร จู่ๆ ก็มีเรื่อง MOU 2522 ทะลุกลางปล้องขึ้นมาเสียเฉยๆ

เรื่องเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคมนี้เอง ที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไปเสวนาร่วมกันกับอาจารย์ธนบูลย์ จิรานุวัฒน์ ในเวทีสัญจรให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องเขตแดน ที่จังหวัดสระบุรี ปกติ โดยหลักการแล้วอาจารย์ธนบูลย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศจะเป็นผู้ให้ข้อกฎหมาย ส่วนข้าพเจ้าจะเป็นผู้ให้ข้อเท็จจริง

ในวันนั้น อาจารย์ธนบูลย์ ได้หยิบยกบทความของนักวิจัยทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศชาวสิงคโปร์ แห่งสถาบันเอเชียตะวันออก มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เรื่องอาณาเขตทางทะเล ขึ้นมา

เรื่องสะดุดใจจากบทความนี้คือ ข้ออ้างอิงลำดับที่ 70 ของเขา ซึ่งอ้างเรื่องข้อตกลงชั่วคราว 2533 ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ที่ ทำให้เห็นว่ามีการวางมาตรฐานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและมีผลต่อประโยชน์ จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลของประเทศ ด้วยการอ้างอิงข้อตกลงเบื้องต้นระหว่างรัฐบาล หรือ MOU โดยค่อยๆ พัฒนาการผูกพันระหว่างประเทศด้วยการออกนโยบายต่างๆ เพิ่มขึ้นๆ จนที่สุดประเทศก็สูญเสียผลประโยชน์ของชาติบางส่วนไป

บท ความของนักวิจัยผู้นี้ทำให้เราฉุกคิดว่าเราไม่มีทางเลือกแล้วอย่างนั้นหรือ (บทความของเขาเป็นเรื่องจีนกับเวียดนาม อ้างสิทธิอธิปไตยเหนืออาณาเขตทางทะเลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากพลังงานก๊าซ และน้ำมัน ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ และการจับปลาในอ่าวตังเกี๋ย)

ประเทศไทยกำลังปิดปากตัวเองเรื่อง MOU 2543 กรณีเขตแดนทางบกตลอดแนวระหว่างไทย-กัมพูชา แล้วค่อยๆพัฒนาการผูกพันระหว่างประเทศด้วยบันทึกข้อตกลง ของกลไกร่วมคือ JBC ฉบับแล้วฉบับเล่า แล้วอ้างการหาประโยชน์ร่วมกันโดยความยินยอมของคู่ภาคีที่กฎหมายระหว่างประเทศจะต้องยอมรับ คือ Provisional Arrangement (PA) หรือ “ข้อตกลงชั่วคราว” เพื่อ เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่าเราไม่ได้เสียอย่างถาวร (ใช้รูปแบบเช่นนั้น แต่เนื้อหาลับ ลวง พราง เป็นอีกอย่างหนึ่ง) รูปแบบเช่นนี้ที่จริงแล้วเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ประเทศไหนๆ เขาจึงนำมาใช้กัน สำคัญแต่ว่าต้องมีความจริงใจและไม่ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางการเมืองภาย ในประเทศ ในการแก้ปัญหาเท่านั้น

การแก้ปัญหาเรื่องอาณาเขตทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซียก็เช่นกัน เริ่มต้นจากการทำ MOU 2522 หรือเรียกกันว่า MOU เชียงใหม่ ว่าด้วยความตกลงจัดตั้งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (ทางทะเลมีพื้นที่ทับซ้อนได้ อธิบายง่ายๆ เพราะว่าอ่าวไทยไม่กว้างนัก การประกาศเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศรอบอ่าวไทยจึงทำให้มีบริเวณที่เหลื่อม ล้ำหรือทับซ้อนกัน แต่ข้อสำคัญอยู่ที่หลักการลากเส้นอาณาเขตของแต่ละประเทศว่าเป็นไปตามหลัก วิชาหรือไม่มากกว่า ซึ่งในกรณีของไทย-มาเลเซียนี้ตาม พิกัดในแนวราบบนแผนที่ ส่วนบนสุดของพื้นที่พัฒนาร่วม ตรงกับอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนล่างสุดตรงกับอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี นักวิชาการของไทยจึงเห็นว่ากรรมสิทธิ์ในพื้นที่เจดีเอน่าจะเป็นของไทย มากกว่า หรือหากต้องมีการแบ่งสรรทรัพยากรเพื่อยุติข้อขัดแย้ง ไทยก็น่าจะได้รับประโยชน์ในสัดส่วน 70 : 30 แต่มาเลเซียอ้างหลักเกณฑ์ว่า จุดศูนย์กลางของพื้นที่พัฒนาร่วมอยู่ห่างจากจังหวัดนราธิวาส 150 กิโลเมตร และห่างจากเมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน 150 กิโลเมตร จึงควรมีการแบ่งกรรมสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม พื้นที่ทับซ้อนกรณีนี้มีโดยประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร) รูปแบบของการจัดตั้งองค์กรร่วม บทบาทและหน้าที่ขององค์กรร่วม การกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วม และ “การตกลงชั่วคราว” (มาจากข้อตกลงข้อ 3 ย่อหน้า 1 ที่ว่า ให้จัดตั้งองค์กรร่วมซึ่งจะมีชื่อว่า “องค์กรร่วมมาเลเซีย-ไทย” เพื่อ วัตถุประสงค์ในการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นดินใต้ ทะเล และใต้ดินที่ไม่มีชีวิตในบริเวณเหลื่อมล้ำกัน เป็นเวลาห้าสิบปีนับจากวันที่บันทึกฉบับนี้มีผลใช้บังคับ และ ข้อที่ 6.1 ว่า ถึงแม้ว่าจะมีข้อ 3 ถ้าภาคีทั้งสองสามารถหาข้อยุติอันเป็นที่พอใจสำหรับปัญหาการแบ่งเขตไหล่ทวีปได้ก่อนระยะกำหนดเวลา 50 ปีดังกล่าว ให้เลิกองค์กรร่วมนี้)

การจัดตั้งองค์กรร่วมเป็นจริงขึ้นมาจาก “ข้อตกลงชั่วคราว” หรือ ความตกลงว่าด้วยธรรมนูญองค์กรร่วม 30 พฤษภาคม 2533 โดยมีพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2533 (มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 23 มกราคม 2534) รองรับ คณะกรรมการร่วมฝ่ายไทยมี 7 ท่าน นายศิววงศ์ จังคศิริ เป็นประธาน นายปรีชา อรรถวิภัชน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ ผู้บัญชาการทหารเรือ ดร.อักขราทร จุฬารัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นายนภดล มัณฑะจิตร อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี นายวศิน ธีรเวชญาณ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และนายวุฒิชัย พงษ์ประสิทธิ์ กระทรวง การคลัง ล้วนเป็นกรรมการในขณะที่ทางฝ่ายมาเลเซียนั้นองค์ประกอบของคณะกรรมการของเขา ชัดเจนไปเลยว่าภาคเอกชนที่เข้าร่วมคือประธานกรรมการบริษัทเปโตรนัส และนักกฎหมายระหว่างประเทศที่มาจากภาคเอกชน ซึ่งแตกต่างจากทางฝ่ายไทยที่ล็อคข้าราชการประจำเข้ากับเรื่องธุรกิจร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

ปี พ.ศ. 2537 มีการทำสัญญาให้สิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 2 ฉบับให้ไตรตัน ออยล์ และเปโตรนัส

ปี พ.ศ. 2540 ทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง A 18 จากพื้นที่ทับซ้อนหรือเรียกว่าพื้นที่พัฒนาร่วม

พอถึงปีพ.ศ.2543 ปตท.ของไทยและเปโตรนัสของมาเลเซียตั้งบริษัทร่วมทุน TTM (Trans Thai-Malaysia) มีการวางแผนในระยะที่ 1 ให้นำก๊าซธรรมชาติจากแปลง A 18 ขึ้นฝั่งมาเลเซีย และ ในระยะที่ 2 ให้นำก๊าซธรรมชาติจากแปลง A 18 นั้นขึ้นฝั่งไทย

คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจะนะ จังหวัดสงขลา คงจะจดจำเรื่องการประท้วงโครงการวางท่อก๊าซและโครงการโรงแยกก๊าซไทย-มาเลย์ จากการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การทำประชาพิจารณ์ การคัดค้านรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การผ่านรายงานการประเมินผลกระทบทางสังคมในรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการสลายม๊อบคัดค้านโครงการหน้าโรงแรมเจบี หาดใหญ่ มีการประท้วงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จากนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวม 1,384 คน จนถึงทุกวันนี้เรื่องยังไม่จบ ยังเป็นรอยร้าวฝังใจคนสงขลาและคนไทยกลุ่มที่รู้เรื่องราวและเกี่ยวข้องกับ เรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก

มาตรฐานของการพัฒนาประเทศ และมาตรฐานของการสร้างความร่วมมือระหว่างปะเทศเพื่อความสัมพันธ์อันดีและผลประโยชน์ระหว่างไทย-มาเลเซีย ควร เป็นบทเรียนให้ประเทศไทยได้ศึกษาเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลและการแสวงผล ประโยชน์ทางทะเลร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในสมัยต่อๆ มา ไม่ว่าจะเป็นกับเวียตนาม หรือกับกัมพูชา ก็ตาม

รูปแบบของ MOU 2543 ระหว่างไทย-กัมพูชา จำลองมาจาก MOU 2522 และ “ข้อตกลงชั่วคราว” 2533 ระหว่างไทย-มาเลเซีย ขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังปิดปากเรื่อง MOU 2543 เพื่อจะพัฒนา PA หรือร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ฉบับกรุงพนมเปญ 6 เมษายน 2552 ที่ MOU 2543 วางฐานไว้ให้ เพื่อให้พัฒนาเรื่องการแบ่งอาณาเขตและการแสวงผลประโยชน์ร่วมกันตามมาตรฐานของการพัฒนาประเทศดังกล่าวข้างต้น

การ แสวงผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ตามมาตรฐานที่กล่าวถึงนี้ ที่จริงก็พัฒนาโดยใช้ระยะเวลาเท่าเทียมกันกับกรณีไทย-มาเลเซียคือ ประมาณ 10 ปี(ไทย-มาเลเซีย ตั้งแต่ MOU 2522 ถึง “ข้อตกลงชั่วคราว” 2533 ส่วนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ MOU 2543 – ร่างข้อตกลงชั่วคราว 2552 ซึ่งขณะนี้กำลังรอการรับรองจากรัฐสภาอยู่) เพียงแต่ช่วงการพัฒนาของไทย-กัมพูชา นั้นผ่านรัฐบาลหลายสมัยกว่า แต่ละสมัยก็มีการเจรจาสร้างเงื่อนไขกันจนพะรุงพะรังเหมือนเป็นการขันชะเนาะกันให้แน่น อย่างเช่นสมัยรัฐบาลปี 2544 ของไทยรักไทยผลัดใบต่อจากปี 2543 ของประชาธิปัตย์ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามแถลงการณ์ร่วมกับฮุน เซน ในโอกาสการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เมื่อ 18 มิถุนายน 2544 เป็นแถลงการณ์ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อมุ่งมั่นพัฒนาสู่ศตวรรษที่ 21 และ การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างทั้งสองประเทศว่าด้วยพื้นที่ที่ทั้งสอง ประเทศอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เพื่อกำหนดพื้นฐานสำหรับเริ่มศักราชใหม่ของความร่วมมือระหว่างกันเกี่ยวกับ การแสวงประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ซึ่งทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ ไหล่ทวีปทับซ้อนกัน มีข้อหนึ่งที่ขันชะเนาะเอาไว้ และเร่งทำแผนแม่บทหรือ TOR 2546 เรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนว ตาม MOU 2543 ว่า

“ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงความตั้งใจมั่นที่จะดำเนินการการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างกันให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บนพื้นฐานของมิตรภาพ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน หลักการของความเสมอภาคและการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เพื่อให้พรมแดนของทั้งสองประเทศเป็นพรมแดนแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และมิตรภาพที่ยั่งยืนระหว่างกัน”

และหลังจากนั้นมาถึงสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช พรรคเพื่อไทย ก็มีการขันชะเนาะ MOU 2543 ในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ของนายนภดล ปัทมะ วันที่ 18 มิถุนายน 2551 เพื่อสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา มาถึงสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พรรคเพื่อไทย มีการขันชะเนาะ MOU 2543 และ TOR 2546 ในกรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนว และนำเข้ารัฐสภาวันที่ 28 ตุลาคม 2551 จนกระทั่งถึงสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ มีการขันชะเนาะ MOU 2543 และ TOR 2546 อีกครั้งในร่างข้อตกลงชั่วคราว 2552 ซึ่งเป็นการประมวลความการเจรจาของ JBC ที่ถือกำเนิดมาจาก MOU 2543 และกำลังรอการรับรองจากรัฐสภาอยู่ในขณะนี้ แต่ตลอดเวลาก็มีความพยายาม “ปักปัน” เขต แดนกันใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชาตลอดแนว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา เสร็จเรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นหากเสร็จสิ้นการจัดการอาณาเขตทางบกเงื่อนไขในรัฐบาลนี้เรียบร้อยแล้วก็จะเข้าสู่เงื่อนไขการ “ปักปัน” อาณาเขตทางทะเลเพื่อแสวงประโยชน์เรื่องทรัพยากรธรรมชาติระหว่างกันต่อไป

เขียนมาทั้งหมดนี้ อย่างน้อยก็อยากให้เห็นว่าประเทศไทยเราวางมาตรฐานของการพัฒนาประเทศที่ไม่ถูก ไม่ควร จนไม่อาจจะนำไปสู่ความยั่งยืนได้ ยอมปิดปากเสียผลประโยชน์ของชาติให้ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีนอมินีกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง

ขัน ชะเนาะทั้งบุคคลที่เป็นข้าราชการประจำเข้ากับธุรกิจ จนไม่คิดว่าบุคคลเหล่านั้นเขาจะสามารถใช้ความรู้อย่างเป็นอิสระให้สมกับ บทบาทสำคัญยิ่งๆ ขึ้นไปที่ในวันข้างหน้าเขาจะช่วยพัฒนาประเทศไทยอย่างเต็มที่ได้

ขันชะเนาะทั้งรูปแบบและวิธีการในการพัฒนาประเทศทำให้เห็นลักษณะของคนไม่มีทางไป

หยุดต้นเหตุ และไม่พยายามแปลงสิ่งผิด (MOU 2543) ให้ถูกกฎหมาย มิฉะนั้นทุกอย่างจะเป็นความผิดพลาดทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขของพรรคและพวกแต่ละรัฐบาลก็พะรุงพะรังจนประเทศไทยจะไปไม่รอด!



อ้างอิง

1.
แถลงการณ์ร่วมในโอกาสการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย 18 มิถุนายน 2544
2. บันทึก ความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ ทะเล ในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย 21 กุมภาพันธ์ 2522
3. Agreement between the Government of Malaysia and the Government of the Kingdom of Thailand on the Constitution and Other Matters Relating to Establishment of the Malaysia – Thailand Joint Authority, May 30, 1990.
4. Zou Keyuan, “Maritime Boundary Delimitation in the Gulf of Tonkin”.Ocean Development and International Law. Taylor & Francis, 1999 : 235-254


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:25:12 น.  

 
//www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=153&Itemid=161

พ่อค้าเนื้อ กำลังจะลงมีด...เฉือนแผ่นดินไทยให้เขมร

โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์

นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

18 ตุลาคม 2553


หาก
เปรียบ แผ่นดินไทยเหมือนชิ้นเนื้อ เวลานี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ได้ใช้มือซ้ายหยิบชิ้นเนื้อก้อนนี้มาวางบนเขียง และใช้มือขวาที่ถนัดหยิบมีดที่ลับมาแล้วอย่างคมกริบ จรดปลายมีด และกำลังจะกดให้จมคมมีด แล้วลากยาว อย่างแรงและเร็ว ทีเดียว จบ !

ไม่ มีใครทัดทานพ่อค้าเนื้อคนนี้ได้ หรือจะพูดให้ถูกพ่อค้าเนื้อคนนี้ก็ไม่ฟังใครเหมือนกัน เพราะเขาถูกฝึกหัดมาอย่างดี ให้เดินหน้าเป็นพ่อค้าเนื้อมืออาชีพอย่างเดียว

วัน อังคารที่ 19 ตุลาคมนี้ ก็ถึงกำหนดอีกครั้งหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ รัฐมนตรี ได้ยืนยันให้นำบันทึกการประชุมเจบีซี 3 ฉบับ และเรื่องชายแดนทั่วไปในอำนาจของเจบีซีไทย-กัมพูชา เข้าสู่การพิจารณารับรองของรัฐสภา เป็นความพยายามอย่างถึงที่สุดของรัฐบาลนี้ที่จะดำเนินการเพื่อให้ทั้ง MOU 2543 ที่มีสภาพเป็นโมฆะไปแล้ว และทั้งผลการดำเนินงานที่ยึด MOU 2543 เป็นพวงใหญ่ ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

เรื่อง นี้ประชาชนคัดค้านกันมาทุกครั้งไม่ต่ำกว่า 6 ครั้งแล้วด้วยซ้ำไป โดยให้เหตุผลถึงการใช้หลักการที่ไม่ถูกต้องในการเจรจาและดำเนินการใดๆ รวมถึงอันตรายอย่างยิ่งต่อพันธะผูกพันระหว่างประเทศที่เกิดจากการกระทำโดย อำนาจของฝ่ายอำนาจบริหารที่ได้ดำเนินการมาแล้วจนมีผลสำเร็จ เว้นเสียแต่ว่าผิดขั้นตอน กระบวนการ และเจตนารมณ์ของกฎหมาย จนเรียกได้ว่าขัดรัฐธรรมนูญ เพียงอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ !

ดังนั้น หากเรื่องที่คั่งค้างดังกล่าวถูกนำกลับมาอีกครั้งเพื่อพิจารณาในรัฐสภาและผ่านการรับรอง ข้อตกลงดังกล่าวที่มีผลสำเร็จทางปฏิบัติไปแล้วก็จะถูกรับรองโดยกฎหมายในทันที ไม่ว่าจะเป็นการยึดครองดินแดนตลอดแนวของทหารและพลเรือนกัมพูชาที่อ้างว่าเข้ามายึดตามแผนที่ที่เปลี่ยนใหม่ตาม MOU 2543 ก็ตาม ไม่ ว่าจะเป็นการยึดพื้นที่กันชนและพื้นที่พัฒนาร่วมตามแผนบริหารจัดการของ กัมพูชาที่เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกไว้ โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ของตนตาม MOU 2543 ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันอาณาเขตทะเลของกัมพูชาจากพิกัดที่หลักเขตสุดท้ายทางบกซึ่งเป็นไปตาม MOU 2543 ก็ตาม ซึ่งนั่นคือการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลตามอำเภอใจซึ่งเป็นไปตามข้อมูลที่มีเรื่องแหล่งพลังงานก๊าซและน้ำมันในอ่าวไทย รวมทั้งจะส่งผลให้สนธิสัญญา ข้อตกลง และข้อสงวนสิทธิใดๆ เรื่องเขตแดนที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้และที่ไม่ยึดโยงกับ MOU 2543 ต้องหมดสภาพบังคับไปในทันที ทั้งๆที่การดำเนินการให้เป็นผลสัมฤทธิ์เหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้ หากพิจารณาสถานะของ MOU 2543 ว่าเป็นโมฆะ พิจารณาแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ว่าตามข้อเท็จจริงไม่ใช่เป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันร่วมสยาม-ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือแม้แต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีคดีปราสาทเขาพระวิหารนั้น ผู้พิพากษาของศาลโลกก็มิได้รับรองสถานภาพของแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 หรือที่เรียกในคดีว่า Annex 1 นั้นก็ตาม มิหนำซ้ำเวลานี้ยังมีนักวิชาการที่เห็นแก่ชาติบ้านเมือง ไม่ยอมจำนนต่อท่าทีและหลักฐานเหมือนอย่างคนบางคนของกระทรวงการต่างประเทศ นัก วิชาการผู้นี้หรือกลุ่มนี้อยากจะพิสูจน์โดยใช้กลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาเป็นผู้สืบสิทธิ์ฝรั่งเศสที่จะมีอำนาจเหนืออาณาเขตบาง ส่วนของไทยตามแผนที่ใดๆ ของฝรั่งเศสนั้นไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เรื่อง นี้ต้องวัดกันที่สถานภาพของกัมพูชาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียกตนเองว่าเขมร อีกทั้งสัญญาลับระหว่างอังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่เพิ่งเปิดเผยมา 10 กว่าปีนี่เอง กระทรวงการต่างประเทศเมื่อ 20 ปีก่อน ก็เคยสืบหาหลักฐานนี้ ไม่รู้ว่าป่านนี้หาได้หรือยัง ถ้าไม่ทิฐิเกินไปควรจะเปลี่ยนท่าทีและหันมาร่วมมือกับประชาชนซึ่งพร้อมจะร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติอยู่แล้ว

ความ ผลีผลามของฝ่ายบริหารจะทำให้เกิดพันธะผูกพันที่ร้ายแรงและมีผลบังคับตาม กฎหมายที่นำไปสู่การทำข้อตกลงระหว่างประเทศ จะหวานหมูฝ่ายอำนาจบริหารทั้งของไทยและกัมพูชาหากไม่มีผู้ใดนำเรื่องไปฟ้อง ร้องต่อองค์การระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก ซึ่งปกติแล้วประชาชนทั่วไปอย่างตาสีตาสายายมียายมาและเราๆ ก็จะไม่รู้เรื่องราวอย่างนี้

ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้พอดีมีข่าวเรื่องคนญี่ปุ่นกว่า 2,000 คน รวมตัวกันประท้วงหน้าสถานทูตจีนในญี่ปุ่น กรณีจีนอ้างสิทธิครอบครองเหนือเกาะเซนตากุ ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้เห็นว่า เรื่องการประท้วงคัดค้านหรือพิทักษ์ปกป้องดินแดนนั้นไม่ใช่เป็นเองล้าสมัย หรือน่าละอายที่มีสำนึกนิยมชาติ คนไทยก็เช่นกัน เราร่วมกันคัดค้านปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชามาสองปีกว่า เราบอกข้อมูลต่อๆ กันกระตุ้นให้พวกเราสำนึกและมีความรู้ รัฐธรรมนูญยังรับรองเรา จึงถือว่าเรามีสิทธิ์ทำได้ อย่างถูกกฎหมายด้วย

การ คัดค้านต่อการกระทำตามอำเภอใจที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะเฉือนแผ่นดินไปให้ กัมพูชานั้น ประชาชนเห็นว่าจะเอาไม่อยู่ ที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือประชาชนไทยหลายเครือข่ายได้ร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่พึ่งเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา

เพิ่งผ่านไปเพียงเดือนเดียวเอง นายกรัฐมนตรีกลับไม่รั้งรอรีบนำเรื่องนี้เข้ารัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนไทยในนามภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาท เขา พระวิหาร ประมาณ 100 ชื่อ จึงได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ขอให้ทบทวนการพิจารณานำบันทึกเจบีซี เข้าประชุมร่วมรัฐสภา บอกเหตุผลไว้ดังนี้



“เนื่อง จากประชาชนได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกากรณีปัญหาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาเพื่อขอพระบารมีปกเกล้าให้ฝ่าย อำนาจบริหารประเทศได้ศึกษาเรื่อง MOU 2543 และบันทึกการเจรจาของ JBC ที่ได้ตั้งขึ้นโดยอำนาจของ MOU 2543 อ้างอิง MOU 2543 เป็นกรอบเจรจาและจะดำเนินการเป็นสนธิสัญญาผูกพันประเทศ ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2553 ได้แจ้งต่อสื่อสาธารณะให้ทราบโดยทั่วกันเรื่องการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา

ดังนั้น การที่ท่านได้ยืนยันนำบันทึกการเจรจาของ JBC และร่างข้อตกลงชั่วคราวเข้าประชุมร่วมรัฐสภาอีกครั้งในวันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2553 ในขณะที่ท่านเองก็ได้รับหนังสือคัดค้านบ้าง ขอร้องบ้าง จากประชาชนหลายครั้งแล้วในเรื่องนี้

จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดทบทวนพิจารณาการให้มีการประชุมในเรื่องนี้ในเวลานี้ รวม ทั้งทบทวนการดำเนินการเช่นนี้ในพระบรมเดชานุภาพและพระราชอำนาจการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และบริบทของการบริหารและปกครองประเทศในฐานะที่ประเทศไทยประกาศเข้าร่วมเป็น ภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิในทางการเมือง ค.ศ.1966 แล้ว ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2539 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2540 ”

ถ้า นายกรัฐมนตรีไม่ประสงค์จะเป็นวีรบุรุษ ก็อย่าเลือกมาเอาดีทางเป็นพ่อค้าเนื้อเลย เลือกเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปุถุชนคนธรรมดา ที่ทำดีมีคุณค่าให้คนรักทั้งตัวเองและวงศ์ตระกูล จะดีกว่า


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:9:28:52 น.  

 


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:49:30 น.  

 
ชอบคอมเมนต์ที่ 11 ค่ะ
ความหมายดีทุกคำคมเลยค่ะ
คุณแคทชอบคำคมนะเหมือนพอเราอ่านเข้าถึงใจเราที่อยากกระทำเลยค่ะ

กำลังใจใหญ่หลวงเชียว

ดีใจเสมอเลยค่ะที่มิตรคนดีไม่เคยลืมแวะคอมเมนต์คุณแคท
ยอมรับนะวันนี้คุณแคทมีความเปลี่ยนในความคิดสำหรับโลกนี้มากมายเลย
ไม่เหมือนแรกแรกที่เราเข้ามาในโลกนี้..มิตรจริงใจน่ารักมากมาย

อาจเพราะตัวเเราแน่นอนค่ะท่าน...สิ่งใดเกิดใช่คนอื่นคุณแคทโทษตัวเองเสมอค่ะท่าน



คุณแคทเลยห่างหายไปในระยะหลัง

และในโลกความเป็นจริงอย่างท่านกล่าว..
วันเวลาช่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากจริงจริง
คุณแคทเลยรู้สึกอ่อนล้าอย่างน่าใจหาย
งานก็แยอะแต่ไม่สามารถเรียกร้องได้ดังใจคิด
บางครั้งก็ไม่อยากจะโทษโชคชะตาเลยค่ะท่าน
แต่เราก็สู้สู้ไม่เคยท้อ..แต่ทำไมอุปสรรคไม่เคยหยุดให้เราบ้างเลย

เพราะเราคือคนเหรอค่ะท่าน..ที่เกิดมาเพื่อใช้กรรม
คนกันวุ่นวายไม่หยุด

คุณแคทไม่เคยเชื่อเรื่องกรรมค่ะท่าน
แต่ดูเหมือน..มันมีจริงแน่เลย..คำว่ากรรมเก่า
ที่ทำให้เราไม่สามารถฝ่าฟันปัญหาให้หลุดพ้นไปได้เลย



พรุ่งนี้เป็นเช่นไรคุณแคทท้อกับคำว่าพรุ่งนี้แล้วค่ะท่าน
คุณแคทขอทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอละค่ะท่าน
ก้าวที่ผิดพลาดหากย้อนอดีตได้คงดี
คงไม่มีการผิดพลาด...เป็นไปได้เหรอ???

คุณแคทไม่เคยกลัวบ่อโคลนที่..เหมือนกับดัก..คอยหลอกล่อ
คุณแคทกลัวแต่ใจตัวเองที่ท้อ..พลังหมดสิ้นทันที

ก็ขอสู้ๆๆต่อไป..เพื่อวันข้างหน้า..ที่..มองไม่เห็นละกันค่ะ
ใช่ค่ะ..พรุ่งนี้เราต้องชนะ..ขอให้วันนี้เราคงยังสู้ต่อไป

คิดถึงกัลยาณมิตรคนดีคนนี้เสมอค่ะท่าน
ดีใจเสมอค่ะคอมเมนต์คุณคือกำลังใจเราเสมอนะ

แคทรียา





โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 27 มีนาคม 2554 เวลา:17:57:53 น.  

 

สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ จ้า



มีความสุขดีอยู่หรือเปล่า
หลังไม่ได้แวะมาเยือนหา
เพราะงานยุ่งแสนวุ่นวาย
แต่ไม่วายใจยัง คิดถึง เทอ


* ขอให้มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะจ้า *

เห้นด้วยกับคุณ แคท เลยอะจ้าคุณ คนเดินดิน ..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 30 มีนาคม 2554 เวลา:14:38:41 น.  

 

พี่ขา

คิดถึง นะคะ ขอให้ พี่เต็มไปด้วยกำลังกาย กำลังของใจ
ในการทำให้ สังคมเข้มแข็ง สืบไปนะคะ
หนูเอาบุญมาฝาก ค่ะ ไปถวายพระที่วัด ที่อิสานมา
รักษาสุขภาพนะคะ


โดย: พิม IP: 124.122.192.102 วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:9:55:00 น.  

 


ขอบคุณมากค่ะคุณมิตรน่ารัก..







ในวาระดิถีปีสารทไทย
ขอนำชัยทุกสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์
มานิมิตดวงใจให้สดใส
ดังเช่นน้ำเย็นฉ่ำที่ชโลม
ให้หัวใจมีแต่สุขไร้ทุกข์เอ๋ย...

วันนี้คือวันสำคัญทางประเพณีและจิตใจ
ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าความกตัญญูและอบอุ่น
ที่เรามอบให้ครอบครัวที่รัก..และผู้สูงอายุค่ะ
ขอให้มีความสุขและสมหวังในสิ่งคิดนะค่ะ
สำหรับมิตรที่ดีเสมอจากมิตรภาพด้วยหัวใจค่ะ



สุดซาบซึ้งตรึงจิตให้คิดถึง
ว่าหนึ่งหล้าโลกนี้มีมิตรดี
ให้จดจำตรึงใจมิรู้ลืม..



ปล..ชีวิตคงยังต้องดำเนินต่อไปค่ะ






โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:19:19:07 น.  

 
สวัสดี ค่ะ คุณเดินดิน

มาเยี่ยมเยียนคุณเดินดิน ไม่ได้เจอกันนานมาแล้วนะ
ขอบคุณที่คุณเดินดิน ไปเยี่ยมเยียน บล๊อค ตอนปีใหม่หลายครั้ง ขอโทษด้วยที่ไม่ได้เข้ามาในบล๊อค ตัวเองเลย เห็นรูปสวยๆๆที่คุณเดินดินฝากไว้ให้ ก็ดีใจ และขอบคุณมากๆๆ

ขอให้คุณเดินดิน จงโชคดี มีความสำเร็จ และสุขกาย สบายใจ ตลอดไปนะคุณเดินดิน


โดย: ก้อนหินสีชมพู วันที่: 27 กรกฎาคม 2554 เวลา:11:15:46 น.  

 
แนะนำเว็บท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม


โดย: attractions (loveyoupantip ) วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:1:30:26 น.  

 
Howdy! This is my 1st comment here so I just wanted to give a quick shout out and say I really enjoy reading through your articles. Can you recommend any other blogs/websites/forums that go over the same topics? Thank you!
louis vuitton handbags //www.tudonghoavtc.com/


โดย: louis vuitton handbags IP: 157.7.205.214 วันที่: 14 ธันวาคม 2557 เวลา:0:13:44 น.  

 
Hi there just wanted to give you a quick heads up. The text in your content seem to be running off the screen in Opera. I’m not sure if this is a formatting issue or something to do with web browser compatibility but I figured I’d post to let you know. The design and style look great though! Hope you get the issue solved soon. Thanks
Gucci Shoulder Bags //www.gucciusonline.com/gucci-handbags-gucci-clutches-c-10_18_25.html


โดย: Gucci Shoulder Bags IP: 218.251.113.57 วันที่: 14 ธันวาคม 2557 เวลา:8:12:53 น.  

 
Excellent post. I used to be checking constantly this blog and I am impressed! Extremely useful information particularly the closing section I deal with such info much. I used to be looking for this certain information for a very long. Thank you and good luck.
cheap air max shoes //www.salecheapairmax.com


โดย: cheap air max shoes IP: 157.7.205.214 วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:11:35:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.