บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
9 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 

ปรัชญา,การท้าทายและการบุกเบิกใหม่





ในยามที่ชีวิตอยากหยุดพัก
แต่ความจริงกลับไม่สามารถทำได้
ยุคนี้หรือยุคไหน ๆ
มนุษย์คงต้องเผชิญกับชะตากรรมต่าง ๆ
ไม่แตกต่างกันแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด
มายาภาพยังคงหลอกหลอน
และวิ่งไล่ตามความทะยานอยากต่าง ๆ
...............................
................................
...............................

ในความว่างเปล่า
มีความรักความเข้าใจแฝงอยู่
ในยามที่มืดมนที่สุด
กลับค้นพบความสุขแบบใหม่
ที่ไม่เคยพบในชีวิต

.........................
.........................
.........................

อยากมุ่งหน้าไป
ตามที่ใจปรารถนา
เมื่อเป้าหมายตรงหน้าเด่นชัด
คนเราก็กล้าที่จะท้าทาย
และฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ
เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายนั้น

...................................
.................................
................................



สิ่งใหม่ที่รอคอย
การสร้างสรรค์และบุกเบิก
จะเกิดผลเช่นใด
ก็อยู่ที่การแปรความคิดเป็นรูปธรรม
และมีแผนปฏิบัติการต่าง ๆ
และดำเนินการไปตามลำดับ
ผ่านความล้มเหลวหลาย ๆ ครั้ง
คนเราก็เข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นทุกที

อยากจะบอกกับตนเองอย่างนั้น
ให้ความฝันนำพาไป
สู่เส้นทางที่มุ่งหวัง
สักวันจะต้องเป็นวันของเรา

สักวันเมื่อผ่านประสบการณ์ที่มากพอ
เส้นทางแห่งความสำเร็จนั้นคงอยู่ไม่ไกลห่าง !!

เจ้าพิราบเอยอย่าเพิ่งยอมแพ้ง่าย ๆ












บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่









 

Create Date : 09 สิงหาคม 2550
15 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 7:16:15 น.
Counter : 1081 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ
กำลังดื่มกาแฟถ้วยแรกของวัน
คุณคนเดินดินฯ คงยังไม่ตื่นกระมัง

~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~

พักต่อเถิด.. อีกสักนิด
ตะวันยังไม่มา
พักอีกนิด..ให้หัวใจล้าดวงนั้นได้มีเรี่ยวแรง

ฉันจะร้องเพลงกล่อม
เพลงใบไม้..ลมไกว..ดนตรีดอกหญ้า..
หลับตา..เถิดคนดีของฉัน



ฉันจะเตรียมกาแฟไว้

เมื่อคุณพร้อมที่จะลุกขึ้น
ยื่นมือซ้ายมาสิ
ฉันจะรอ..เกาะเกี่ยวมือนั่นด้วยสองมือของฉัน..

สองมือนี้จะส่งผ่านกำลังใจ..
กาแฟอุ่นจะยื่นไว้ตรงหน้า
เราจะดื่มด้วยกัน..
(นั่นแปลว่า..เป็นถ้วยที่สองสำหรับฉัน)

เราจะเดินไปข้างหน้า..พร้อมแสงตะวันยามเช้า

~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~

แด่มิ่งมิตร

 

โดย: นกแสงตะวัน 10 สิงหาคม 2550 5:05:50 น.  

 

สวัสดีค่ะ...

แวะเข้ามาทักทายก่อนกลับบ้านค่ะ ..

งานเลิกทุ่มหนึ่ง กว่าจะถึงบ้านก็เกือบ2ทุ่มค่ะ

สบายดีไหมค่ะ...

วันนี้คุณกอดคุณแม่แล้วหรือยัง?

ขอให้มีความสุขมากๆนะค่ะ..

เดี๋ยวอ้อมแอ้มก็จะกลับบ้านแหล่ะ..

 

โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) 10 สิงหาคม 2550 18:31:59 น.  

 





สวัสดีตอนค่ำๆของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


จะเก็บภาพความรู้สึกที่มีค่า
จะเก็บวันเวลาทุกนาทีที่ร่วมฝัน
จะเก็บภาพความห่วงใยสายสัมพัน
จะเก็บไว้ในใจฉันมีเพียงเธอ



** ขอให้คุณแม่และคุณมีความสุขมากๆในวันนี้นะจ้า **

ปล ..อย่าลืมไปใช้เสียงลงประชามติ ในวันที่ 19 ส.ค 07 กันนะจ้า

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 12 สิงหาคม 2550 1:37:15 น.  

 

คัดจากกรุงเทพธุรกิจรายวัน
คอลัมน์กาย-ใจ

Hapiness




พงษ์ ผาวิจิตร (pong@thinkfact.com)


สุขอย่างถูกๆ

อาชายคนหนึ่งเคยพูดไว้สมัยผู้เขียนยังเล็กๆ อยู่เกี่ยวกับปลาจะละเม็ด ที่ถือเป็นอาหารของคนรวยกับปลาทูที่ถือเป็นอาหารของคนจนไว้ว่า

“...คนที่มีความสุขราคาแพงนั้นโง่และเสียเปรียบ คนที่มีความสุขราคาถูกนั่นสิโชคดี..” เพราะอาเป็นคนชอบกินปลาทูที่ราคาถูกกว่า ทุกวันนี้ปลาทูก็ยังถูกอยู่ เข่งหนึ่งสนนราคาอยู่ที่ 10-20 บาท ถูกกว่าโดนัทเสียอีก และความเชื่อนี้ก็ฝังหัวผู้เขียนตั้งแต่นั้นมาในการแสวงหาความสุขราคาถูก

ความเข้าใจเรื่องความสุขแบบชาวบ้านๆ มีมากขึ้นอีกระดับ เมื่อได้ฟังเทศน์ของพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านปยุตฺโต ที่ดาวน์โหลดจากเวบไซต์ (www.dhammathai.org) ไว้ฟังเวลาเดินๆ วิ่งๆ ที่นอกจากจะช่วยให้ลดความเบื่อจากกิจกรรมเผาไขมัน อันเป็นปัญหาร่วมของคนในเมืองแล้ว ยังช่วยแต่งเติมให้เป็นคนมากยิ่งขึ้น

ท่านได้เทศน์ไว้เกี่ยวกับ ความสุข สรุปเป็นใจความได้ว่า ความสุขของคนเรา ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะสุขอย่างหนึ่ง กับความสามารถในการหาสิ่งเสพสุขอีกอย่างหนึ่ง และก็ลดทอนลงด้วยความชาชินเบื่อหน่ายอีกอย่างหนึ่ง รวมความแล้วผู้เขียนขออนุญาตเขียนเป็นสมการความสุขให้กับตัวเองได้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้คือ...

...ความสุข = ความสามารถที่จะสุข + ความสามารถในการหาสิ่งเสพ - ความเบื่อ ความเคยชิน

เมื่อพิจารณาดูจากประสบการณ์ที่ผ่านพบมาด้วยตนเอง ปรากฏว่าความสามารถที่จะสุข มักจะแปรผกผันกับความสามารถในการหาสิ่งเสพสุข และสังคมยุคใหม่ ก็พัฒนาเราให้มีความสามารถในการหาสิ่งเสพสุขเก่งขึ้น แต่สุขได้น้อยลง เพราะความสามารถที่จะสุขลดน้อยลงและความเบื่อง่าย หน่ายเร็ว ทวีกำลังขึ้น

เมื่อฟังท่านสอนแล้ว ก็ต้องหยุดเทปเป็นระยะๆ เพื่อใคร่ครวญเรื่องใกล้ตัวที่เจอประสบมา...

...นี่คือตัวอย่างของคนที่สามารถสุขได้ง่าย...

วันหนึ่งในระหว่างที่ผู้เขียนขึ้นบันไดเลื่อนจากชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านศรีนครินทร์ มีน้าๆ (สตรี) กลุ่มหนึ่งอยู่ข้างหน้าผู้เขียน หนึ่งในสตรีที่อายุน้อยกว่าเพื่อนในกลุ่มนั้น ก็อธิบายเป็นภาษาถิ่นอีสานว่า “นี่เรากำลังขึ้นจากชั้นใต้ดิน” น้าๆ ท่านอื่นๆ ในกลุ่ม ก็ออกอาการ อู้ฮู อ้าฮา...ตื่นเต้น ดีใจ แปลกใจว่า ตึกใหญ่โตอย่างนี้ เขาสร้างให้มีห้องใต้ดินได้อย่างไร พร้อมกับส่งเสียงอึงอื้อแสดงถึงความสุขที่ได้สัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ในโลก (ของพวกน้าๆ) ดูแล้วน่าเอ็นดู น่าอิจฉาอย่างบอกไม่ถูกที่พวกน้าๆ เหล่านี้มีประสบการณ์สัมผัสกับความสุขแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน... หลายคนที่สุขยาก อาจมองด้วยสายตาเหยียดหยามว่า 'บ้านนอก' ซึ่งเมื่อก่อนผู้เขียนก็เป็นผู้ร้ายในกลุ่มนี้ แต่เดี๋ยวนี้กลับมองปรากฏการณ์นี้ด้วยความชื่นชมจริงๆ

ความจริง พวกเราส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะสุขยาก ก็ดูอย่างกิจกรรมไปนอนกลางเต็นท์ กินกลางทรายที่หลายๆ คนต้องหาเวลาไปทรมานตัวเองให้ลำบาก หรือกิจการชวนกันไปร้านสุกี้ที่ร้าน ก็ไม่ได้ปรุงอาหารสำเร็จให้เราแต่อย่างไร พวกเราที่ไปกันเป็นกลุ่มต่างหากที่ช่วยกันปรุง ช่วยกันยำจนอร่อย...

...นี่คือตัวอย่างของความสามารถในการหาสิ่งเสพสุข...

สมัยก่อนในตอนเรียนหนังสือ ผู้เขียนมีย่ามหนึ่งใบ จักรยานหนึ่งคัน กางเกงบอลหนึ่งตัว ผู้เขียนกับเพื่อนสนิท ก็ได้ท่องโลกกรุงเทพมหานครไปถึงไหนๆ ได้อย่างมีความสุข ไม่ยี่หระแม้ว่าโซ่จักรยานจะหย่อน ทำให้หลุดจากเฟืองบ่อยๆ สองเกลอก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนแต่อย่างไร แต่ในวันที่กำลังเฟื่องฟูในหน้าที่การงาน แค่สตาร์ทรถไม่ติด ก็รู้สึกว่าโลกช่างบูดเบี้ยวน่าโมโหนัก หรือวันไหนลืมโทรศัพท์มือถือ ก็รู้สึกไม่มั่นใจในการดำรงชีวิตเสียอย่างนั้น

ทั้งๆ ที่เวลาโทรศัพท์ดังขึ้นทีไร หลายคนก็ผวาทุกที แต่ก็อดที่จะยึดเอาเครื่องมือนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไม่ได้ จึงดูเหมือนว่าเรามีชีวิตขึ้นกับปัจจัยภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เขียนลองสำรวจตัวเองดู ก็พบว่า มีสิ่งที่พกติดตัวอยู่ 16 รายการ ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา ปากกา ไปจนถึงกล้องถ่ายรูป หรือแฟรชไดร์ฟสำหรับจุไฟล์ข้อมูล ที่ชีวิตต้องมีปัจจัยมากขึ้น เพื่อให้รู้สึกทุกข์น้อยลงเท่านั้น ไม่ได้สุขมากขึ้นเลยด้วยซ้ำ

ผู้เขียนได้เรียนรู้เรื่องความสามารถในการหาสิ่งเสพสุขจากลูกคนเล็กที่เธอช่างสรรหาของเล่นให้กับตัวเอง ด้วยการทำขึ้นมาเอง หากวันไหนหล่อนอยากได้รถ ก็เอาไส้ฟิล์มมาทำเป็นล้อ เอากระดาษแข็งมาทำเป็นรถ แล้วก็ลากเล่นด้วยความสนุกสักวันสองวันแล้วก็ทิ้งไป หากวันไหนเธอเริ่มรู้สึกว่า บ้านน่าเบื่อ เธอก็จำลองแบบบ้านที่เธออยากมีด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เธอช่างสร้างความสุขได้เองเสียจริงๆ นี่แหละ ถ้าเด็กๆ รู้จักทำได้ แล้วเราไปมัวงมโข่ง มากประสบการณ์กว่ากลับทำไม่ได้...

...นี่คือตัวอย่างของปรากฏการณ์ความเบื่อ ความชาชิน...

ผู้เขียนยังจำได้ถึงวันแรกๆ ที่มีปัญญาผ่อนบ้านกับเขา ในวันที่นอนกับพื้นบ้าน ฟังเสียงฝนตกแล้วรู้สึกสุขเป็นที่สุด แต่วันที่ผ่อนบ้านหมด ไม่ต้องนอนกับพื้นบ้านแล้ว เพราะเริ่มปรับตัวขึ้นมานอนบนเตียงแล้ว กลับไม่ได้สุขเท่า แถมเบื่อหน่ายบ้านที่อยู่ จนต้องหาเรื่องต่อเติมเสริมแต่งเพื่อเป็นหนี้ต่อ แทนที่จะเอาเวลาทรัพยากรไปทำอย่างอื่น

เพื่อนคนหนึ่งมีวิธีการจัดการกับความเบื่อด้วยการ 'กวาดซอย' คือ วันไหนแกรู้สึกเบื่อชีวิต แกก็ลุกขึ้นกวาดซอยตึกแถวที่แกอยู่ แกเชื่อของแกว่า ได้ออกกำลังกายฟรี (ไม่ต้องไปฟิตเนส) แถมยังได้ความสะอาด ชาวบ้านก็เกรงใจ เวลาแกขอความร่วมมืออะไร ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแก เพราะคิดถึงเรื่อง 'ซอยสะอาด' ขึ้นมา นับว่าเพื่อนคนนี้ยิงปืนนัดเดียว ได้นก 4 ตัว คือ แก้เซ็ง ออกกำลังกาย ได้ความสะอาด และบารมีสำหรับใช้ในอนาคต

ฟังธรรมเรื่อง 'ความสุข' ของท่านปยุตฺโตแล้ว นอกจากสุขที่ได้ฟังแล้ว ยังสุขที่ได้รู้ว่า เราสามารถปั้นแต่งสุขอย่างง่ายๆ สำหรับวันข้างหน้าได้อีก ฟังแล้ว ก็สัญญากับตัวเองว่า...

...เราจะกลับไปมีสุขแบบง่ายๆ เหมือนสมัยเด็กไปเที่ยวงานวัด ที่สุขกว่าไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์เสียอีก

...เราจะสร้างสุขเอง หากไม่มีใครสร้างให้ เหมือนเจ้าลูกสาวตัวดี

...เราจะหัดแก้เบื่อ แก้เซ็ง แบบเพื่อนที่ทำประโยชน์เล็กๆ ให้กับสังคมเล็กๆ ของตัวเอง...

........................................

เชิงอรรถ

1 ความสามารถในการมีความสุข คือ ศักยภาพที่จะมีความสุขได้ง่าย เช่น เด็กเล็กๆ ชาวบ้านคนเดินดิน หรือปราชญ์ผู้บรรลุมักมีความสามารถในการมีความสุขได้ง่ายกว่า

2 ความสามารถในการหาสิ่งเสพสุข หมายถึง ศักยภาพในการหาเงิน ปัจจัยต่างๆ ที่เราเชื่อว่าจะทำให้เรามีความสุข มักจะเกิดกับคนวัยทำงาน สร้างครอบครัว

3 ความเบื่อ ความชาชิน หมายถึง เมื่อเราเสพสิ่งที่เคยทำให้เราเป็นสุขเข้าบ่อยๆ ก็จะชิน ดื้อยา ต้องเสพเยอะขึ้นเพื่อให้ได้สุขเท่าเดิม

 

โดย: คนเดินดินฯ 12 สิงหาคม 2550 1:41:02 น.  

 

คัดจากกรุงเทพธุรกิจรายวัน
คอลัมน์กาย-ใจ

มหาสมุทรแห่งปัญญา



สรยุทธ รัตนพจนารถ asia@sorrayut.com-

แจกันจัดใจ (2)

ในกระบวนการ 'การจัดดอกไม้อิเคบานา ตามแนวท่านโมกิจิ โอกาดะ' ที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น นอกเหนือจากเราจะรู้จักการดูดอกไม้ตามสภาพจริงแล้ว ยังทำให้เราได้ฝึกทักษะอื่นๆ อีกมากเลยครับ และในบรรดาทักษะต่างๆ นั้น ผมคิดว่าเรื่อง 'การสื่อสาร' เป็นเรื่องที่สำคัญและเกิดประโยชน์สำหรับชีวิตประจำวันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

ผมเรียนรู้จากผู้เข้าร่วมท่านหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเรียนหรือฝึกจัดดอกไม้มาก่อนเลย แต่เขากลับสามารถจัดอย่างสบายๆ ใช้ดอกไม้น้อยมากทั้งชนิดและปริมาณ แถมไม่ใช้เวลามากอีกด้วย ผลงานออกมาดีมากทุกแจกัน เรียบง่ายแต่ว่างดงามอย่างยิ่ง ทุกคนถึงกับเอ่ยปากชม ผมแอบกระซิบถามจนทราบเคล็ดลับว่า เขาใช้วิธี 'คุยกับดอกไม้' ทั้งในการเลือกและในระหว่างที่พิจารณาดอกไม้ เขาพูดในใจกับดอกไม้นั้นว่า “ไหน ... หนูอยากหันด้านไหนออกมา?” หรือไม่ก็ “อยากให้จัดอย่างไรเหรอ?”

พวกเราชาวจิตตปัญญาชนที่ไปฝึกครั้งนี้ด้วยกัน คงไม่ค่อยแปลกใจกับการสนทนาระหว่างคนกับดอกไม้สักเท่าไร เพราะเราคุ้นเคยดีกับคำพูดทำนองว่า “ให้เลือกดอกไม้ที่ ‘เรียก’ เรา” หรือถ้าเป็นกิจกรรมอื่น ดังเช่นการเขียนระบายภาพ กระบวนกรก็มักจะขอให้เราเลือกสีที่เรียกเรา คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งด่วนหัวเราะขำกลิ้ง หรือคิดว่าคนเหล่านี้ไม่เต็มนะครับ ที่เขา'คุย' กับดอกไม้ได้ เรื่องทำนองนี้ ต้องท้าพิสูจน์ด้วยตนเองครับ

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือต้องสงสัยเลยสำหรับคนจำนวนไม่น้อยในโลกอันกว้างใหญ่และ (ดูเหมือน) ลี้ลับใบนี้ อย่างเช่นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว คุณโดโรธี แมคเคลน (Dorothy Maclean) และเพื่อนๆ อีกหลายคนร่วมกันก่อตั้งชุมชนฟินด์ฮอร์น (Findhorn) อยู่ติดกับชายทะเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของสกอตแลนด์ เป็นชุมชนพึ่งตนเองและเกื้อกูลดูแลโลก มีสวนผักและผลไม้เติบโตบนที่ดินที่มีแร่ธาตุอาหารต่ำ แต่เธอและเพื่อนๆ กลับสามารถผลิตพืชผลที่มีขนาดใหญ่ทำลายสถิติได้มากมาย จนเป็นที่โด่งดังรู้จักกันทั้งในและนอกประเทศ เมื่อต้นปีเพิ่งมีรายงานออกมาว่า ชุมชนนี้มีรอยเท้าทางนิเวศวิทยา (Ecological footprint) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการใช้ทรัพยากรและผลิตของเสียที่น้อยที่สุดในหมู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจุบันฟินด์ฮอร์นกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกปีละหลายพันคน พี่ประชา หุตานุวัตรก็ย้ายรกรากไปอยู่ (บางช่วงของปี) และสอนอยู่ที่นั่นด้วย

เมื่อสองปีก่อน คุณยายโดโรธี เธอได้เดินทางมาปาฐกถา เปิดการอบรมให้กับชาวบ้านและชาวเมืองคนไทยมีผู้ให้ความสนใจและสื่อต่างๆ ตีพิมพ์นำเสนอข่าวอยู่ไม่น้อย เธอสอนคนไทยที่นี่ทำสิ่งเดียวกับที่เธอทำที่นั่น ก็คือ 'การสื่อสารกับธรรมชาติ' เธอบอกว่า หากเราสื่อสารกับธรรมชาติได้ เราก็สามารถทำอะไรๆ ได้มากมาย โดยแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรมากเลย

การสื่อสารกับธรรมชาติ ดอกไม้ และแม้แต่สิ่งของนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยเช่นกัน ในสายตาของท่านโมกิจิ โอกาดะ ปรมาจารย์ผู้ให้แนวทางการจัดดอกไม้และเกษตรธรรมชาติ เพราะท่านเชื่อว่ามีสิ่งเชื่อมโยงเราเข้ากับคนอื่นๆ และทุกอย่างรอบตัวเราไว้ นั่นคือ 'สายใยวิญญาณ' ท่านกล่าวไว้ว่า “สายใยวิญญาณนั้นไม่ได้เชื่อมโยงเฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งอีกด้วย สายใยวิญญาณที่เชื่อมโยงกับบ้านที่อยู่อาศัยของมนุษย์ สิ่งของที่ใช้เป็นประจำและรักมาก โดยเฉพาะของที่รักมากสายใยวิญญาณจะหนาแน่นมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องแต่งกาย ก็เช่นเดียวกัน”

ประสบการณ์การจัดดอกไม้ลงแจกันก็บอกพวกเราอย่างนั้นจริงๆ เราพบว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เลือกดอกไม้ เพราะคิดคำนวณวางแผนไว้ก่อน หรือเลือกแจกันตามหลักการใช้สีหรือองค์ประกอบศิลป์แล้ว เมื่อนั้นผลงานก็ยังออกมาไม่โดนใจ ดอกไม้หมุนแกว่งไปมาในแจกัน ไม่ยอมนิ่งอยู่ในจุดที่เรากะเก็ง แจกันก็ไม่เข้ากันกับสถานที่ ไม่กลมกลืนกับดอกไม้ แต่เมื่อได้วางความคิด ความเชื่อ และค่านิยมเดิมๆ เปิดใจติดต่อสื่อสารพูดคุยกับเขา ผลที่ตามมานั้นดูจะแตกต่างออกไป

ในชีวิตจริงของเรานอกเหนือจากการสื่อสารกับดอกไม้แล้ว เรายังต้องเรียนรู้เรื่องการสื่อสารกับคนข้างๆ ด้วย ในระหว่างกระบวนการฝึกอบรมจัดดอกไม้ ผมก็พบว่าบุคคลที่ช่วยเตือนใจในเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดี คือวิทยากรที่คอยดูแลให้คำแนะนำอยู่ข้างตัวเราตลอดเวลานี่เอง

หลายครั้งหลายคราวที่เราตั้งใจสูง และทุ่มเทให้กับผลงานแจกันนั้นมาก วิทยากรบางท่านเดินเข้ามาให้ความเห็นว่าการลิดใบ ตัดกิ่ง ปักดอกไม้ของเรานั้นไม่ถูกต้องยังไง บางคนบางหนก็เสนอไอเดียวิธีจัดวางดอกไม้ให้เสียด้วยซ้ำ จะว่าไปเขาก็มีเจตนาดีต้องการเข้ามาช่วยแนะนำเสนอความเห็น แต่การเข้ามาบางที่ บางเวลา หรือใช้บางถ้อยคำ ทำให้เรารู้สึกไม่รื่นหู ก็อาจทำให้เราอารมณ์ไม่แจ่มใสได้ ตอนนั้นก็ได้เห็นละครับว่า เราสื่อสารแต่เฉพาะดอกไม้กับแจกัน หลงลืมการสื่อสารกับคนรอบข้างไปบ้างหรือเปล่า

เป้าหมายสำคัญที่สุดของการจัดดอกไม้ตามแนวท่านโอกาดะ ที่มูลนิธิเอ็มโอเอจัด ไม่ใช่การสร้างผลงานศิลปะเป็นเลิศของเราหรอกนะครับ แต่ว่าเป็น “การนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง พัฒนาคุณภาพชีวิต และยกระดับพลังชีวิตของตนเองให้สูงขึ้นด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” ถ้าอย่างนี้แล้ว จัดดอกไม้ลงแจกันไป แต่ใจเราหงุดหงิดรำคาญกับคนรอบข้าง จะเรียกว่าเราบรรลุเป้าหมายแท้จริงของการจัดดอกไม้อิเคบานาได้อย่างไรล่ะครับ

เปิดใจสื่อสารกับคนรอบข้างก็เหมือนสื่อสารกับดอกไม้ แค่ลดการ์ดที่ตั้งไว้ลง วางอัตตาตัวตนของเราลง เมื่อเราได้ฟังดอกไม้แล้ว เราก็ฟังคนอื่น สื่อสารกับเขาได้โดยไม่ทำร้ายทำลายอารมณ์และจิตใจดีๆ ของทุกคน ทั้งนี้ ส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรานี้สำเร็จลุล่วงแฮปปี้เอนดิ้งทุกฝ่ายได้ นั่นคือ เรานี่แหละที่จำเป็นต้องฟังและสื่อสารกับตัวเราเอง

เวลาเราจัดดอกไม้เราจะเห็นใจของเราชัดเจนมากนะครับ ไม่ว่าจะเป็นตอนมองดูดอกไม้จากสภาพจริง ตอนเลือกดอกไม้ เลือกแจกัน แม้กระทั่งรินน้ำใส่แจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน คือ 'กำหนดจุดหมาย-รีบตัด-รีบปัก' ซึ่งเป็นสามขั้นตอนที่สนุก เพลิดเพลิน และก็ท้าทายที่สุดด้วย เพราะต้องกำหนดจุดหามุม เลือกด้านของดอกไม้ ใบไม้และกิ่งก้านที่เราและดอกไม้เขาต้องการจะนำเสนอ - ตัด - และปัก โดยไม่ชักช้า แต่ก็ไม่เร่งรีบ เร่งร้อน ต้องทำต่อเนื่องโดยอาศัยร่างกาย อาศัยใจ อาศัยสติ มากกว่าความคิดว่าจะออกมาดีไหม น่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้มากกว่าไหม อุปมาดั่งวิถีของซามูไรที่อยู่ในสนามจริง ไม่สามารถจะยักแย่ยักยัน ถอยเข้าถอยออกได้

ตอนจัดเสร็จแล้วเราอาจรู้สึกเสียใจเวลามีคนติ หรือดีใจเวลามีคนชม แต่เราอาจ 'ไม่ทัน' อารมณ์ตรงนี้ครับ เพราะว่ามันฟุ้ง มันเร็ว แล้วเราก็อยู่ในร่องของการคิดเสียมาก ต่างกับระหว่างกระบวนการจัดที่โลกช้าลง บางทีก็ถึงกับหยุดเลย ทั้งจักรวาลมีแต่เรากับดอกไม้ สามารถเห็นตัวของเราชัดมากว่า ณ ขณะหนึ่งๆ เราเป็นอย่างไร ตอนไหนรู้เนื้อรู้ตัว ตอนไหนรู้สึกสนุก รู้สึกสบาย รู้สึกเครียดเหนื่อย หรือตั้งใจมากไป

การจัดดอกไม้คือ การพาเราไปอยู่ในพื้นที่ที่เชิญชวนให้เรามีสติสูงมาก (แต่แค่สบายๆ ไม่ต้องออกแรงอะไร) เราจะเห็นสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในใจเราได้อย่างแหลมคม หากใจของเราสั่นไหว ไม่นิ่ง มีเรื่องรบกวนจิตใจ เราจะเห็นสิ่งนั้นชัดมาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากจัดให้ได้สวยๆ ความอยากได้รับคำชม ความโกรธที่มีคนมาวิจารณ์ ความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญใจ ความกังวลละล้าละลังกลัวทำได้ไม่ดี

การเห็นตัวเองชัดอย่างนี้ เป็นโอกาสอันดีมากๆ ที่เราจะได้ 'จัดใจ' ของเรา ซึ่งก็อาจใช้หลักเดียวกันกับการ 'จัดดอกไม้' ไม่ว่าจะเป็นการมองเขาตามสภาพจริง การสื่อสาร หรือการเห็นและเข้าใจธรรมชาติของเขา ไม่น่าแปลกใจเลยที่สถาบันการศึกษาหรือองค์การที่ส่งเสริมเรื่องกระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาจำนวนมากจะมีวิชาการจัดดอกไม้อยู่ด้วย

เราจัดดอกไม้ ดอกไม้จัดเรา ... อืมม์ ก็น่าสนุกดีนะครับ :-)

 

โดย: คนเดินดินฯ 12 สิงหาคม 2550 1:43:17 น.  

 

อยากเปนนกเหมือนกัน บินไปไหนไกลๆได้

 

โดย: ผู้หญิงคนนั้น...คือฉัน 15 สิงหาคม 2550 0:05:38 น.  

 

สวัสดีครับ

ไม่ไดเข้ามาหลายวันเลย พรุ่งนี้เป็นอีกวันที่จะชี้ทิศทางความเป็นไปของประเทศนี้

ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อย ๆ กับการเมือง ขอเป็นกบจำศีล หาอยู่หากินไปก่อน ตามประสาคนที่ใกล้ตาย

เมื่อเรายังไม่หมดหวังก็ต้องสู้ชีวิตกันต่อไป

 

โดย: คนเดินดินฯ 18 สิงหาคม 2550 10:13:18 น.  

 

สักวันเมื่อผ่านประสบการณ์ที่มากพอ
เส้นทางแห่งความสำเร็จนั้นคงอยู่ไม่ไกลห่าง !!


^

ช่ายยยยยยยย

 

โดย: โสมรัศมี 18 สิงหาคม 2550 20:31:09 น.  

 

พี่คะ

น้องพิม เข้าไปแก้ ที่ พี่ว่า ลบออกไปแล้ว ไม่รู้ทำไมยังอยู่ แปลกมากๆ

วันนี้น้องพิมมีประชุมสำคัญ เดี๋ยวเย็นๆ
แวะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ พี่
ขอให้ พี่ เบิกบาน มีความสุข และ มีหัวใจหาญกล้า เสมอไปนะคะ

 

โดย: ประกายดาว 22 สิงหาคม 2550 8:43:17 น.  

 

แวะมาเยี่ยมเป็นครั้งแรกค่ะ...
เนื้อหาน่าสนใจดีค่ะ...
โอกาสหน้าจะแวะเข้ามาแลกเปลี่ยนนะค่ะ...

 

โดย: เจ้าหญิงไอดิน IP: 203.146.63.183 23 สิงหาคม 2550 0:21:02 น.  

 

สวัสดีครับ

วันนี้ชวนไปสมัครนับผู้เยี่ยมชมที่เวบไซด์นี้ครับ

//www.best-free-counters.com/


เข้าไปดูเวบไซด์ คลิก

เสร็จแล้วก็สมัครตามที่ทางเวบไซด์ให้กรอกข้อมูลและเลือกแบบตัวเลขตามแบบที่ชอบครับ
เมื่อได้โค้ดแล้วก็ก๊อปปี้ไปใส่ในสคิปแอเรีย

 

โดย: คนเดินดินฯ 23 สิงหาคม 2550 0:24:32 น.  

 

คัดจากมติชนรายวัน

WORLD CLASS (ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้ เล่ม 2) ตอนที่ 10

คอลัมน์ คนไทยทำได้

โดย บัณฑิต อึ้งรังษี



จุดประสงค์ : ผมมีความฝันว่า ในอนาคตอันใกล้ ไม่เกินสิบห้าปีข้างหน้า (ปี พ.ศ. 2565) ประเทศไทยจะสามารถผลิตบุคลากรรุ่นใหม่ที่สามารถเป็นเลิศแซงหน้าต่างชาติในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การกีฬา ดนตรี ศิลปะแขนงต่างๆ วิทยาศาสตร์ ภาพยนตร์ ฯลฯ

ผมไม่ใช่แค่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ ผมรู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างแน่นอน

เพราะผมเองทำมาแล้ว และเข้าใจกฎตายตัวของโลกที่ว่า

"มนุษย์จะพัฒนาการไปอย่างที่ตนคิด"

ถ้าเราอยากเห็น อนาคต ของเยาวชนเปลี่ยน

เราต้องเปลี่ยนการคิดของเขาในปัจจุบัน

ผมขอทำในส่วนที่ผมทำได้ คือ ให้ข้อคิดต่างๆ ที่ตนเองได้เรียนรู้มา จากการไปฝ่าฟันแข่งขันทำงานในต่างประเทศ ได้เจอคนเก่งๆ มาทุกประเภท ในระดับนานาชาติ

ข้อคิดเหล่านี้ ผมหวังว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนไทยไม่มากก็น้อย

***************************************

20 ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-confidence)

ความเชื่อมั่นในตนเองมีความสำคัญมากกับการทำอะไรให้สำเร็จ

ความเชื่อมั่นในตนเองสร้างขึ้นมาจากความสำเร็จเล็กๆ แต่ละครั้ง

ครั้งแล้วครั้งเล่า

ในเวทีการแข่งขันใหญ่แล้ว ความเชื่อมั่นในตนเอง อาจเป็นตัวตัดสินระหว่างความชนะกับความพ่ายแพ้

เป็นเรื่องที่แปลกมาก ในวงการออเคสตราต่างประเทศ

นักดนตรีจะรู้ได้ใน 5 นาทีแรกเลย ว่าวาทยกรคนไหน "มีสิทธิ" ไปยืนบนแท่นนั้นหรือไม่

ถ้าวาทยกรคนไหน ขึ้นไปเผชิญหน้าวงออเคสตราครั้งแรก แล้วส่อให้เห็นถึงความกลัว หรือความไม่มั่นใจในตนเอง

นักดนตรีจะไม่เชื่อวาทยกรคนนั้นทันที และผลลัพธ์ก็จะเป็น "ความฝันร้าย" ของวาทยกรคนนั้นตลอดชั่วระยะเวลาที่ทำงานด้วยกัน เพราะนักดนตรีอาชีพของฝรั่ง ไม่ได้ "น่ารัก" กันหมดทุกคน

ภาษาที่เราวาทยากรพูดกันเล่นๆ ก็คือว่า วงออเคสตรานั้น "ทานวาทยกรเป็นอาหารเช้า"

(eat him for breakfast)

ความเชื่อมั่นในตนเองนั้น ไม่ควรจะมาสับสนกับความหยิ่งผยอง

ไม่ใช่เป็นการโชว์ความก้าวร้าว คิดว่าเรา "แน่" หรือ เก่งกว่าคนอื่น

จริงๆ แล้ว ถ้าผู้นำหรือวาทยากรคนไหน ทำท่าเช่นนั้น ก็จะถูก "หมั่นไส้" ทันที

ความเชื่อมั่นในตนเองมาจากความรู้สึกข้างในลึกๆ ที่ว่า "เรามีความรู้จริง"

ซึ่งก็มาจากการศึกษาที่ดี การเตรียมตัวอย่างดี

และมาจากประสบการณ์ที่ "ทำผิดพลาด" มาบ่อยๆ แต่ก็เรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นอย่างเร็ว

แต่การแสดงออกภายนอกก็ยังคงความสุภาพและถ่อมตัวได้

21.คนระดับโลก ไม่กลัวคำวิจารณ์

ในระหว่างที่คุณเดินหน้าเข้าไปหาความฝัน และทำความฝันให้เป็นจริงนั้น

แน่นอน ผลงานของคุณก็จะต้องดีเหนือคู่แข่ง

นอกจากคนที่ชื่นชมผลงานคุณแล้ว ก็เตรียมตัวได้เลยว่า อาจจะต้องเจอคำวิจารณ์

คำวิจารณ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งบ้างครั้งก็อาจจะน่าฟัง น้อมรับไว้เป็นการเรียนรู้

แต่ไม่ควรให้คำวิจารณ์นั้น หักเหเราไปจากเป้าหมาย

ผมมีข้อคิดที่อ่านแล้วจับใจ จาก Steve Siebold ในหนังสือเรื่อง Mental Toughness Secrets of World Class (ความลับแห่งจิตใจที่แข็งแกร่งของ "คนระดับโลก")

วิธีที่เร็วที่สุดที่จะบอกความแตกต่างระหว่างมือสมัครเล่นกับมืออาชีพ คือการตอบรับกับคำวิจารณ์ มือสมัครเล่นกลัวคำวิจารณ์และเสียใจ ส่วนมืออาชีพรู้ว่าคำวิจารณ์เป็นเรื่องธรรมดาของการเป็นแชมป์และไม่ได้สนใจอะไรกับมันมาก

มือสมัครเล่นหรือคนที่คิดเล็ก ก็จะชอบสาดโคลนใส่คนที่เขา "ขยาด"

มืออาชีพจะ "ยุ่ง" กับงานหรือการฝึกฝนเกินไปที่จะมาคิดเรื่องเล็กๆ แบบนั้น

เขาจะรู้ว่า ตัวเขาเองเป็นเหมือน "กระจก" ที่พวกมือสมัครเล่นมอง ซึ่งทำให้พวกเขาก็ทราบถึงความจริงแห่งความ "ปานกลาง" ของตนเอง

พวก "คนระดับโลก" เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ทำให้มือสมัครเล่นดูขี้เกียจและไม่กระตือรือร้น

ทำให้เขาโมโห และก็เริ่มวิจารณ์

ในขณะเดียวกัน คนระดับโลกก็ไม่ใส่ใจกับคำวิจารณ์ และกลับไปทำงานต่อ*

22.หาครู/โค้ช ที่เก่งที่สุดให้ได้

ไม่ว่าคุณอยากจะเป็นเลิศในด้านใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ กีฬา ดนตรี ฯลฯ

การมีครู พี่เลี้ยง (mentor) หรือโค้ช ที่รู้จักเราและให้เวลากับเราเป็นการส่วนตัวนั้น สำคัญมาก

เพราะว่าครูท่านนั้นจะเป็นคนนำความคิด และบ่มฟักเรา

และจะเป็นสะพานให้เราขึ้นต่อไปได้ โดยเครือข่ายของท่านเอง

การเสาะหาครูนั้น ควรจะคนที่เก่งที่สุดที่คุณจะหาได้ ในสาขาที่คุณเรียนนั้น

อย่าหาแค่ เก่งกว่าคุณนิดเดียว แต่หาแบบ เก่งที่สุด

ที่สำคัญ เขาต้องทำเองได้ด้วย

ไม่ใช่ว่าครูสอนไวโอลิน แต่ตนเองเล่นไวโอลินไม่เก่ง

หรือ สอนธุรกิจ แต่ตนเองทำธุรกิจล้มเหลว

ระวังเรื่องของปลอม เพราะมีเยอะมาก ในบ้านเรา

ครูดนตรีบางคนไม่มีความรู้จริง แต่ ดังเพราะ PR ตนเองเก่ง เรียกค่าสอนแพงๆ เด็กก็นึกว่าเก่ง แห่กันไปเรียน

ควรจะเลือกครูที่มี Track record ประวัติการสอนที่ดี

ลูกศิษย์เรียนไปแล้ว ได้ดี มีงานการที่ดีทำ

เรื่องนี้เป็นตัววัดความมีประสิทธิผลของครูท่านนั้นเป็นอย่างดี

ถ้าลูกศิษย์ของท่านนั้น จบแล้วไม่มีคุณภาพ คุณจะเสียเวลาไปเรียนกับเขาทำไม

เรื่องครูนี้สำคัญมาก ผมจึงอยากย้ำ เพราะถ้าได้ครูที่ไม่ดี เราอาจจะเสียเวลาไปหลายปี แถมยังอาจได้นิสัยผิดๆ ที่แก้ยากมาอีกด้วย

ผมคิดว่า กุญแจของความสำเร็จของวาทยากรคือ ครู

ผม "โชคดี" (จริงๆ แล้ว ตามตื๊อจนได้) ที่ได้ครูสอนวิชาวาทยากรเป็นชาวฟินแลนด์ ชื่อ ยอร์มา พานูล่า (Jorma Panula)

ทั่วโลกให้การยอมรับว่า ท่านเป็นครูที่มี Track record ดีที่สุด

ลูกศิษย์ท่านได้ดีแทบทุกคน มีชื่อเสียงว่า ผลิตคนที่มีคุณภาพ มีงานดีๆ ทำ

ท่านได้เปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติของผมเกี่ยวกับการเป็นวาทยกรเป็นอย่างมาก

ทำให้รู้ถึงแก่นแท้จริงๆ ของอาชีพนี้

ถ้าไม่มีท่าน ผมคงไม่มีวันนี้

 

โดย: คนเดินดินฯ 26 สิงหาคม 2550 7:42:17 น.  

 

สวัสดีครับ

หนังสือเล่มข้างบนมีเล่มแรกไว้แล้ว จริง ๆ ก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับการต้องเป็นที่หนึ่งนะครับ แต่ที่ผ่านมาก็ชอบความเป็นมืออาชีพมาก ๆ แม้ตอนนี้ยังห่างไกลอยู่ก็ตาม

ช่วงนี้ยังมึน ๆ อยู่ และยังหามุขทำบล็อกไม่ได้น่ครับ ก็เลยล่าช้าอย่างที่เห็น

หวังว่าเพื่อน ๆ คงสบายดีกันทุกคน แม้ว่าสภาพการณ์ต่าง ๆ มันจะไม่สุขเท่าไร แต่ในฐานะปัจเจกชนหากเราทำหน้าที่ส่วนของเราให้เต็มที่ก็จะเป็นส่วนหนึ่งให้สังคมนี้ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ

 

โดย: คนเดินดินฯ 26 สิงหาคม 2550 7:50:10 น.  

 

สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ
คุณคนเดินดินฯ คงสบายดี..ทั้งกายและใจ...

แวะมาบอกว่าห่วงใย
แวะกำลังใจมาฝาก
แวะมาพร้อมกับ..กระเช้าความรัก
จากเพื่อน... ถึงเพื่อน



 

โดย: นกแสงตะวัน 26 สิงหาคม 2550 12:27:10 น.  

 

เพลงเพราะจังนะคะ ชอบ

 

โดย: นกแสงตะวัน 26 สิงหาคม 2550 12:28:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.