Group Blog All Blog
|
จี้ ! ฟันคีบตุ๊กตาผิดกฏหมาย
"เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน"ห่วงตู้คีบตุ๊กตา ระบาดทั่วเมือง ยังไม่ถูกจัดการทั้งที่คำพิพากษา ชัดเจนเข้าข่ายการพนัน จี้ผู้ว่าฯกทม.-ทุกจังหวัด บังคับใช้กฎหมาย หวั่นสร้างค่านิยมทางบวกกับการพนันบ่มเพาะนักพนันหน้าใหม่
จากกรณีฝ่ายปกครองจังหวัดอุดรธานี ตรวจยึดตู้คีบตุ๊กตาหยอดเหรียญ และสั่งให้หยุดบริการทั้งหมด หลังศาลตัดสินว่าเข้าข่ายเป็นการพนัน ตามบัญชี ข. หมายเลข 28 (เครื่องเล่นซึ่งใช้ไฟฟ้าจักรกลหรือสปริงดีด) การพนันชนิดนี้จัดให้มีการเล่นได้ก็เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตาม พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ.2478 นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน กล่าวว่า เครื่องเล่นชนิดนี้ระบาดหนักและพบเห็นได้ตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า โรงภาพยนต์ ร้านเกม ปั๊มน้ำมัน ตลาดและจุดต่างๆในย่านชุมชน ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อยู่ในจุดที่โจ่งแจ้ง เข้าถึงได้ง่าย ได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ยังมีการระบุข้อความเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยอ้างว่าเป็น "ตู้ฝึกทักษะ" บ้างก็ระบุว่า "ตู้สินค้านี้ไม่ใช่เครื่องมือการพนัน" อีกทั้งยังไม่มีการควบคุมอายุของผู้เข้าเล่น จากการลงพื้นที่ของเครือข่ายฯ พบเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีเข้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งผิดกฎหมาย พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ว่าด้วยบทบัญญัติคุ้มครองเด็กและเยาวชน มาตรา 7(3) บัญญัติว่า "...ไม่ให้บุคคลอายุตํ่ากว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือไม่บรรลุนิติภาวะเข้าเล่น" นอกจากนี้ยังสุ่มเสี่ยงที่จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 อีกด้วย ทางเครือข่ายฯ ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าว โดยขอให้ตรวจสอบการออกใบอนุญาตเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย ควบคุมการออกใบอนุญาต ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงการกำหนดพื้นที่ในการวางเครื่องเล่นชนิดนี้ ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ต้องเข้าถึงได้ยากไม่ให้เข้าถึงง่ายจนเกินไป ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานคร ฝ่ายปกครองควรดำเนินการให้ยุติกิจการในรูปแบบดังกล่าวไว้ก่อนเพื่อ สร้างความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย และขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญต่อประเด็นปัญหาและผลกระทบจากการพนัน และร่วมกันปกป้องเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบาง ไม่สร้างพฤติกรรมความคุ้นชิน และทัศนคติที่ดีต่อการเล่นพนัน และควรมีการประชาสัมพันธ์กฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการพนัน กทม.-สปสช.ชวนผู้สูงอายุตรวจสุขภาพฟรี
"กทม.-สปสช."ตั้งคลินิกผู้สูงอายุครบวงจร เชิญชวนตรวจคัดกรองสุขภาพฟรีปล่อยเกิดโรค-มีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมาก ตั้งเป้าปีนี้ตรวจคัดกรองได้ 10,000 ราย ขยายคลินิกครบวงจรเพิ่มเป็น 40 โรงพยาบาล-ศูนย์บริการสาธารณสุขครบทั่วกรุง
นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร รองผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กทม.ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 13 จัดทำโครงการคลินิกผู้สูงอายุครบวงจรนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา เพื่อขยายการคัดกรอง และส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในพื้นที่ กทม.ให้ครอบคลุมมากขึ้น จึงขอเชิญชวนผู้สูงอายุและญาติที่มีผู้สูงอายุในครอบครัว ไปรับบริการในหน่วยบริการที่มีการจัดตั้งคลินิกดังกล่าวได้ฟรีทุกสิทธิ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นพ.สุขสันต์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพ ซึ่งเปิดดำเนินการอยู่ใน 9 โรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ กทม. อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ กทม.มีประชากรหนาแน่น คาดว่ามีทั้งประชากรตามทะเบียนราษฏรและประชากรแฝงในพื้นที่กว่า 10-12 ล้านคน และจากการสำรวจสำมะโนประชากรผู้สูงอายุพบว่ามีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีประมาณ 17% หรือ 1 ล้านคน ด้วยเหตุนี้เพื่อให้การคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุครอบคลุมมากขึ้น ทางกทม.จึงได้หารือกับ สปสช.เขต 13 เพื่อขยายการดำเนินการคลินิกผู้สูงอายุและงบประมาณในการดำเนินการ ภายใต้ชื่อโครงการคลินิกผู้สูงอายุครบวงจร ขณะที่ กทม.เห็นว่ายังมีรายการตรวจคัดกรองที่สำคัญอีก 2-3 รายการ ดังนั้นคลินิกผู้สูงอายุครบวงจรจะมีรายการตรวจเพิ่มขึ้นมาอีก 3 รายการ คือ 1.การคัดกรองภาวะการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ 2.การวัดภาวะพลัดตกหกล้ม และ 3.ให้คำแนะนำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพโดยสหสาขาวิชาชีพไม่น้อยกว่า 3 สาขา เช่น เป็นโรคควรทำอย่างไร ไม่เป็นโรคควรทำอย่างไร โดยคลินิกผู้สูงอายุครบวงจรนี้จะให้บริการตรวจคัดกรองทั้ง 11 รายการแบบ One Stop Service จุดเดียวเบ็ดเสร็จ และ 3 รายการที่เพิ่มขึ้นมานี้ทางหน่วยบริการสามารถเบิกงบ On top จาก 8 รายการเดิมได้ ซึ่งเชื่อว่าการมีงบประมาณสนับสนุนจาก สปสช. จะเป็นแรงขับดันอย่างหนึ่งที่ทำให้หน่วยบริการสนใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้น นพ.สุขสันต์ กล่าวว่า ในปีนี้มีหน่วยบริการเข้าร่วมโครงการแล้วประกอบด้วยโรงพยาบาล 24 แห่ง และศูนย์บริการสาธารณสุขของสำนักอนามัย กทม.อีก 30 แห่ง ตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะสามารถตรวจคัดกรองผู้สูงอายุได้ 10,000 ราย โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ของ สปสช. เขต 13 และจะนำรายชื่อขึ้นอัพเดทในเว็บไซต์ของสำนักการแพทย์ต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้ารับบริการสามารถความจำนงค์ได้ที่โรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุข ทางหน่วยบริการจะทำบัตรและให้เข้ารับบริการที่คลินิกผู้สูงอายุครบวงจรโดยคัดกรองตามรายการทั้ง 11 รายการ หากต้องมีการรักษาพยาบาลเกิดขึ้นก็จะเข้าสู่กระบวนการเบิกจ่ายตามสิทธิ หรือกรณีที่ต้องส่งต่อและโรงพยาบาลตามสิทธิไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแล ก็สามารถส่งต่อไปอีกเครือข่ายหนึ่งของกทม. ที่มีชื่อว่าโครงการกทม.ใส่ใจผู้สูงวัยหัวใจแกร่ง ซึ่งมี 14 โรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการ ทำให้ง่ายต่อการส่งต่อ แทนที่จะส่งต่อในระบบของ สปสช.เท่านั้น ก็สามารถส่งในโซนนิ่งทั้ง 14 โรงพยาบาลนี้ได้ด้วย นพ.สุขสันต์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานในปีต่อไป จะขยายใน 2 ประเด็น คือ 1.ขยายฐานการคัดกรองผู้สูงอายุโดยจัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุครบวงจรให้มากขึ้น ปัจจุบันในพื้นที่ กทม.มีโรงพยาบาล 156 แห่งและศูนย์บริการสาธารณสุขอีก 68 แห่ง ปีต่อไปตั้งเป้าเพิ่มโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการเป็น 40 แห่งและจัดตั้งให้ครบทั้ง 68 ศูนย์บริการสาธารณสุข ตลอดจนขยายไปในคลินิกชุมชนอบอุ่นของ สปสช. เขต 13 ซึ่งปัจจุบันมี 200 กว่าคลินิก 2.การขยายในเรื่องการให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ ตั้งแต่ อสส. พยาบาล Care Giver รวมทั้งแพทย์และพยาบาลใน 5 เรื่องหลักๆ คือการป้องกันภาวะสมองเสื่อม เรื่องการใช้ยา ภาวะทุพโภชนาการ การพลัดตกหกล้ม และข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ ขณะที่สำนักการแพทย์เองก็จะจัดตั้ง Excellence Center ด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุในโรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ เพื่อให้ความรู้และรับส่งต่อกรณีเคสยากๆ ต่อไป "ขอเชิญพี่น้องผู้สูงอายุในพื้นที่ กทม.มารับบริการตรวจคัดกรองในคลินิกผู้สูงอายุครบวงจร เพราะถ้าเราทราบตั้งแต่ต้นก็จะทำให้สามารถป้องกันโรคที่จะเกิดในอนาคต หลายคนไม่ทราบว่าตัวเองมีความเสี่ยงแล้ว หลายคนไม่ทราบว่าตัวเองมีโรค รวมทั้งที่พบบ่อยคือภาวะสมองเสื่อมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆ โรค การมารับบริการตรวจคัดกรองสุขภาพจะทำให้ทราบว่าตัวเองมีคุณภาพชีวิตอย่างไร มีความเสี่ยงอย่างไร ทางแพทย์และพยาบาลก็จะให้คำแนะนำในการป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงลุกลาม และถ้าพบโรคก็จะส่งไปรักษาตั้นแต่ต้นไม่ให้โรคลุกลามขึ้น" นพ.สุขสันต์ กล่าว นพ.สุขสันต์ ย้ำว่า ถ้าร่างกายแข็งแรงก็จะช่วยลดภาระต่างๆ ได้มาก แต่ถ้ารอเป็นโรค ก็ทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายและที่สำคัญคือต้องหาคนมาดูแล ถ้าไม่มีคนก็ต้องจ้างซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก หรือต้องไปนอนโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะเช่นกัน ความเครียดก็ตามมาเต็มไปหมด ดังนั้นมาคัดกรองและป้องกันไว้ตั้งแต่ต้นดีกว่า OTOP Midyear 3 วัน เงินสะพัดกว่า 356 ล้าน
นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชนได้จัดงาน “OTOP MIDYEAR 2019” ภายใต้แนวคิด “OTOP
SIGNATURE : รักษาเอกลักษณ์ สร้างสรรค์นวัตกรรม” ในระหว่างวันที่ 15-23 มิถุนายน 2562 ณ อาคารชาเลนเอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีผู้ประกอบการ OTOP จากทั่วประเทศมาจัดแสดง และจำหน่ายสินค้ากว่า 2,500 ร้านค้า ในช่วง 3 วันที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายน 2562 ได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี โดยมีผู้เข้าชมงานแล้วกว่า 1.2 แสนคน สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการโอทอปรวมกว่า 356 ล้านบาท คาดเงินสะพัดในงานเกิน 900 ล้านบาท ซึ่งสินค้า OTOP ที่ขายดี 3 อันดับแรก ได้แก่ ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย มียอดจำหน่าย 91.7 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเภท OTOP Best Seller มียอดจำหน่าย 56.9 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นประเภทของใช้ของตกแต่งบ้าน 47.8 ล้านบาท และที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมาย ยังคงเป็นสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ที่นำอาหารอัตลักษณ์จังหวัด อาหารถิ่นรสไทยแท้ทั่วประเทศ OTOP ชวนชิมร้านดัง มาจัดจำหน่าย ที่มียอดจำหน่ายรวมในกลุ่มประเภทอาหารสูงถึง 64.9 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น อาหาร 40.8 ล้านบาท, OTOP ชวนชิม 13.3 ล้านบาท, เครื่องดื่ม 8.5 ล้านบาท, อาหารถิ่นรสไทยแท้ 2.1 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถมาร่วมงาน ก็สามารถสั่งอาหารจาก OTOP ชวนชิมจาก 40 ร้านดัง ที่การันตีจาก Wongnai ส่งตรงถึงที่โดยผ่าน แอปพลิเคชั่น LINE MAN ครอบคลุมทุกเส้นทางทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อีกด้วย สำหรับงาน “OTOP Midyear 2019” นอกจากจะมีการจำหน่ายสินค้า OTOP แล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมที่สร้างสีสันอีกมากมาย อาทิ มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง การแสดงศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค กิจกรรม “นาทีทอง” นำสินค้า OTOP คุณภาพดีมาจำหน่ายในราคาพิเศษทุกวันๆ ละ 2 รอบ รวมถึงมาตรการ OTOP ช้อปช่วยชาติ ที่สามารถนำใบเสร็จรับเงินไปลดหย่อนภาษีได้ พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อสินค้าภายในงานครบทุก 1,000 บาท นำใบเสร็จมาแลกรับคูปองชิงโชค เพื่อลุ้นรับ จับแจกรางวัลสร้อยคอทองคำ 1 สลึง วันละ 10 เส้น วันสุดท้ายลุ้นรับรถยนต์ Nissan March 1 คัน และสร้อยคอทองคำ 5 บาท จำนวน 5 เส้น มูลค่าของ รางวัลทั้งสิ้นกว่า 1.4 ล้านบาท "กรมสุขภาพ"จิตวิจัยใช้กัญชาทางจิตเวช
"กรมสุขภาพจิต"ตั้งกก.ขับเคลื่อนงานกัญชาทางการแพทย์-วิจัยใช้ในระบบบริการสุขภาพจิต-จิตเวช วิเคราะห์ประโยชน์-ข้อควรระวังในการใช้งานกัญชาทางการแพทย์ต่อสุขภาพจิตของคนไทย
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์ว่า กรมสุขภาพจิต ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการใช้กัญชาทางการแพทย์ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข 3.วางแผนสนับสนุน การพัฒนาการใช้กัญชาทางการแพทย์สำหรับสถาบัน/โรงพยาบาล ในสังกัดกรมสุขภาพจิต ภายใต้ข้อกำหนดสากลและข้อบังคับของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ 4. กำกับ ติดตามแผนการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยกรมสุขภาพจิตร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, โครงการวิจัยและพัฒนาน้ำมันกัญชาเพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม โดยกรมสุขภาพจิตร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช, การศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางคลินิกของ Cannabidiol (CBD) เพื่อรักษาผู้ป่วยโรควิตกกังวลไปทั่ว (Generalized anxiety disorder) เป็นต้น ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนของการดำเนินการในการจัดทำวิจัยตามมาตรฐานของการวิจัยต่อไป OTOP MIDYEAR วันแรกยอดทะลุ 125 ล้านบาท
OTOP MIDYEAR วันแรกทำยอดทะลุเป้า 125 ล้านบาทผู้เข้าชมงานเกือบ 43,000 ราย สั่งผู้ประกอบการเร่งเพิ่มสินค้าจำหน่ายกรมการพัฒนาชุมชนสั่งผู้ประกอบการ OTOP เพิ่มปริมาณสินค้า หลังประชาชนให้การตอบรับงาน OTOP MIDYEAR 2019 เกินคาด เพียงวันแรกมีเงินสะพัดกว่า 120 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้เพียง 100 ล้านบาท
จากที่ตั้งเป้าไว้ 100 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในวันนี้ ซึ่งจะมีพิธีเปิดงานด้วย จะทำให้มีประชาชนสนใจและเข้าร่วมงานมากกว่าเมื่อวาน รวมถึงมียอดจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน จึงได้กำชับให้ผู้ประกอบการนำสินค้ามาวางจำหน่ายเพิ่ม รองรับความต้องการของผู้ซื้อ |
สมาชิกหมายเลข 3402302
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog Link |