All Blog
เพิ่มโรคเรื้อรัง"รับยาใกล้บ้าน"ลดเสี่ยง"โควิด-19"
สปสช.วิกฤต COVID-19 ผู้ป่วยสมัครร่วม"โครงการรับยาใกล้บ้าน"พุ่ง ขณะที่ รพ.เพิ่มเครือข่ายร้านยา ขอขยายกลุ่มโรคเรื้อรังรับยาร้านยาเพิ่ม ลดเสี่ยงผู้ป่วยรับเชื้อ ช่วยควบคุมการแพร่ระบาด สะท้อนความสำคัญกลไกร้านยา หน่วยบริการร่วมระบบสุขภาพ ร่วมดูแลสุขภาพประชาชน

พ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งขาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่ สปสช.ได้ดำเนินโครงการผู้ป่วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) รับยาที่ร้านขายยาแผนปัจจุบัน ขย.1 เพื่อช่วยลดแออัดในโรงพยาบาลรัฐ หรือ "โครงการรับยาใกล้บ้าน" โดยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 นับเป็นกลไกที่ช่วยลดความเสี่ยงผู้ป่วยในการรับเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคได้ ช่วงที่ผ่านมาได้มีโรงพยาบาลหลายแห่งได้ประสานขอเพิ่มจำนวนร้านยาเครือข่ายเพื่อร่วมโครงการฯ
ทั้งนี้จากข้อมูลรายงานโครงการฯ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 มีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการรับยาใกล้บ้านจำนวน 108 แห่ง ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ 889 แห่ง และผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการ 4,556 ราย จากข้อมูลรายงานเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 มีโรงพยาบาลเข้าร่วม 91 แห่ง ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ 750 แห่ง และผู้ป่วยที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 2,433 แห่ง พบว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการเพิ่ม 19 แห่ง และร้านยา 139 แห่ง สำหรับในส่วนของผู้ป่วยที่สมัครเข้าร่วมโครงการมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก 2,123 คน หรือเกือบเท่าตัว  

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ตามที่ สปสช.ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคเข้าร่วมโครงการ คือ กลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด และจิตเวชเรื้อรัง ซึ่งในช่วงสถานการณ์วิกฤตขณะนี้ส่งผลให้หลายโรงพยาบาลจำเป็นต้องปิดบริการบางส่วนเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ แต่เนื่องจากยังคงมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นหลายกลุ่มโรคที่คงต้องได้รับยาต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการ ดังนั้นที่ผ่านมาโรงพยาบาลหลายแห่งได้ทำหนังสือแจ้งมายัง สปสช. เพื่อขยายโครงการรับยาใกล้บ้านในส่วนของโรงพยาบาลให้ขยายครอบคลุมไปยังผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ ด้วย อาทิ โรคไทรอยด์ โรคผิวหนัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเลือด โรคภูมิแพ้ โรคไต โรคจักษุ และโรคเรื้อรังอื่นที่สามารถควบคุมได้ เน้นเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการคงที่ตามการวินิจฉัยของแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ป่วย


 



 
"รับยาใกล้บ้านเป็นโครงการที่มีประโยชน์ทั้งกับผู้ป่วยและหน่วยบริการ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาด COVID-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยขอเข้าร่วมโครงการเพิ่ม สะท้อนให้เห็นว่าร้านยาสามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยร่วมบริการในระบบสุขภาพได้ดี ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้รับยาอย่างต่อเนื่องทั้งในยามสถานการณ์ที่เป็นปกติและไม่ปกติได้ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลได้รับยาต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีการติดตามอาการผู้ป่วยผ่านการดูแลโดยเภสัชกรประจำร้านยาและรายงานเข้าสู่ระบบไปยังโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลต่อเนื่องได้ในขณะนี้" เลขาธิการ สปสช. กล่าว



 


 
 

 



Create Date : 07 เมษายน 2563
Last Update : 7 เมษายน 2563 17:11:09 น.
Counter : 460 Pageviews.

0 comment
กยท.พัฒนาสื่อส่งเสริมผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่
กยท.พร้อมพัฒนาสื่อส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพช่องปากของผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ร่วมกับกรมอนามัย

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดย ดร. นภาวรรณ เลขะวิพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง ได้ให้การต้อนรับ ดร.ทพญ. เพ็ญแข ลาภยิ่ง และคณะทำงาน กลุ่มพัฒนาระบบทันตสาธารณสุข สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ณ การยางแห่งประเทศไทย บางเขน

เพื่อหารือในประเด็นการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน (MOU) และรูปแบบการทำงานร่วมกัน ภายใต้โครงการพัฒนาสื่อส่งเสริมความรอบรู้เพื่อสุขภาพเด็กพิเศษ ปีงบ 63 และพัฒนาระบบการดูแลเด็กปากแหว่งเพดานโหว่และเด็กพิเศษแบบองค์รวมไร้รอยต่อ
 
ดร.นภาวรรณ เลขะวิพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง กล่าวว่า กยท. และสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ได้ร่วมกันหารือในประเด็นการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของสองหน่วยงาน (MOU) และรูปแบบการทำงานร่วมกันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ภายใต้โครงการพัฒนาสื่อส่งเสริมความรอบรู้เพื่อสุขภาพเด็กพิเศษ ปีงบ 63 และพัฒนาระบบการดูแลเด็กปากแหว่งเพดานโหว่และเด็กพิเศษแบบองค์รวมไร้รอยต่อ: ระยะที่ 2 ของสำนักทันตสาธารณสุข โดย กยท. จะเข้าไปพัฒนาสื่อส่งเสริมความรอบรู้ สุขภาพของบุคลากรและผู้ปกครองด้วยยางพารา

ได้แก่ ตุ๊กตาเด็กปากแหว่งฝึกทักษะผู้ปกครองในการให้นมและทำความสะอาดช่องปากเด็ก โดยกระพุ้งแก้มและริมปากมีความยืดหยุ่นให้แหวกได้ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นหุ่นฝึกหัดกรอฟันต่อไปได้ โมเดลภาวะปากแหว่งเพดานโหว่


 



 
ซึ่งปรับจากโมเดลของศูนย์การดูแลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่และความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ยางกัดสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ เพื่อช่วยทำความสะอาดช่องปากและฝึกออกกำลังขากรรไกร

ยางกัดสำหรับเด็กใช้ต้นแบบของ ทพญ. ปัทมา โพธิ  (วัสดุ thermoplastic elastomer) นอกนี้จากยังครอบคลุมการจัดทำสื่อโมเดลสุขภาพช่องปากอื่นๆ ซึ่งจะมีน้ำหนักเบาและไม่แตกหักง่าย เมื่อเทียบกับโมเดลที่เป็นปูนปลาสเตอร์
 
ดร.นภาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า การหารือในครั้งนี้ ดร. วราภรณ์ ขจรไชยกูล ที่ปรึกษาฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง ได้แนะนำให้หาผู้รับจ้างผลิตสื่อดังกล่าวในเชิงพาณิชย์หลังจากจดสิทธิบัตรแล้ว เพื่อการใช้ประโยชน์ในวงกว้าง 

หากมีสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางพาราที่มีศักยภาพในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางเข้ามาผลิตสื่อส่งเสริมความรอบรู้ฯ เหล่านี้ จะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย โดยสำนักทันตสาธารณสุขสามารถจัดซื้อภายใต้โครงการที่เกี่ยวข้องและจะประชาสัมพันธ์ในกลุ่มทันตบุคลากรต่อไป


 




 



Create Date : 07 เมษายน 2563
Last Update : 7 เมษายน 2563 14:14:12 น.
Counter : 683 Pageviews.

0 comment
ระดมเก็บขยะแม่น้ำเจ้าพระยา..ลดมลพิษ
กรมเจ้าท่า ผนึกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้ำ จัดกิจกรรม “เรือลำเลียงรักษ์น้ำ รักเจ้าพระยากับเจ้าท่า” ภายใต้โครงการ “รักษ์น้ำ รักเจ้าพระยากับเจ้าท่า” เก็บขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่บริเวณท่าเทียบเรือกรมเจ้าท่า ถึง ท่าเทียบเรือสาทร

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดีในการไม่ทิ้งขยะลงในแหล่งน้ำสาธารณะ พร้อมทั้งให้ความรู้ในการจัดการขยะที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการรักษาแหล่งน้ำลำคลองให้สะอาดปราศจากขยะมูลฝอย อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility CSR)

ประกอบกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้ตระหนักถึงการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำ โดยเฉพาะปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมต่อระบบนิเวศทางทะเล เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากรมเจ้าท่า ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการจัดกิจกรรมรณรงค์และสร้างการรับรู้ เกี่ยวกับปัญหาขยะรวมทั้งมลพิษต่าง ๆ ในแม่น้ำลำคลอง



 



 
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กิจกรรมลงเรือเก็บขยะในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ โดยประกอบด้วยเรือตรวจการณ์เจ้าท่า 5 ลำ เรือจัดเก็บผักตบชวาของสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ กรมเจ้าท่า 2 ลำ เรือเก็บขยะจากสำนักสิ่งแวดล้อม(กรุงเทพมหานคร) จำนวน 20 ลำ เรือลากจูงจากสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้ำ 16 ลำ สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์


 



 
นอกจากนี้กรุงเทพมหานคร ได้นำชุดนิทรรศการ พร้อมบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการไขมันในน้ำทิ้งจากครัวเรือนด้วยบ่อดักไขมัน และสนับสนุนรถเก็บขยะมูลฝอย จำนวน 1 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดเก็บขยะมูลฝอย ซึ่งถือได้ว่าทุกภาคส่วน ได้ให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมมือ ร่วมใจกัน ดูแล รักษา สภาพแม่น้ำลำคลอง ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี  มีจิตสาธารณะ ช่วยกันรณรงค์ ส่งเสริม สนับสนุน ต่อยอด ในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


 



 
กรมเจ้าท่าขอเชิญประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมกันตระหนักถึงการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำ และเป็นการสร้างความตระหนักรู้ ลดการใช้ถุงพลาสติก ร่วมใจกันหิ้วถุงผ้า เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งตั้งเป้าปี 2565ต้องลดการใช้พลาสติก ถุงหิ้ว กล่องโฟม หลอดและแก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว




 





 




 

 

 



Create Date : 19 มกราคม 2563
Last Update : 19 มกราคม 2563 13:06:26 น.
Counter : 995 Pageviews.

0 comment
นวดฝีเย็บ เทรนด์ใหม่ช่วยคุณแม่เตรียมคลอดแบบธรรมชาติด้วย Motherlylove
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เลือกคลอดแบบธรรมชาติ การเตรียมตัวล่วงหน้ามาเพื่อช่วงเวลาที่พิเศษสุดนี้เป็นเรื่องสำคัญ  หนึ่งในการเตรียมตัวที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ขณะนี้ คือ “การนวดฝีเย็บ” ที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ใช้การนวดเข้ามาช่วยในการบริหารกล้ามเนื้อปากช่องคลอดให้สามารถยืดขยายออกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คลอดได้สะดวกขึ้น 

คุณณัฐชานันท์ ฉัตริรนันทภัทร์ พยาบาลพดุงครรภ์ที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 30 ปี และที่ปรึกษาอาวุโสด้านผลิตภัณฑ์ บริษัท มัม ซเฟียร์ จำกัด กล่าวว่า  การคลอดเป็นกระบวนการมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้ตระเตรียมไว้อย่างปลอดภัยและให้ประโยชน์มากมายสำหรับทั้งมารดาและทารก แม้การผ่าคลอดจะสะดวก คุณแม่ไม่เจ็บในขณะคลอด คุณหมอสามารถควบคุมและกำหนดทุกอย่างได้  แต่การคลอดบุตรแบบธรรมชาติเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมาก เพราะทำให้เราได้สัมผัสถึงความเป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์  และยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีก คือ คุณแม่จะฟื้นตัวได้เร็ว แผลเล็กกว่าการผ่าตัดคลอด ทำให้คุณแม่สามารถดูแลลูกได้ดีกว่า ที่สำคัญคือ ทารกได้รับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากเชื้อแบคทีเรียดีที่อยู่ในช่องคลอดของแม่ด้วย

หนึ่งในเทรนด์ใหม่ที่ทำให้การคลอดแบบธรรมชาติเป็นเรื่องไม่น่ากังวล คือ การนวดฝีเย็บ ซึ่งจากการทำการศึกษาคุณแม่ 2,497 รายโดย Cochrane หน่วยงานวิจัยอิสระที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในวงการแพทย์ในประเทศอังกฤษและทั่วโลกพบว่า การนวดฝีเย็บในช่วงการตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 34 เป็นต้นไปช่วยลดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อบริเวณฝีเย็บในขณะคลอด และลดการเจ็บหรือปวดเกร็งบริเวณฝีเย็บในขณะตั้งครรภ์ได้

“การนวดฝีเย็บเหมือนการวอร์มอัพร่างกายก่อนการออกกำลังนั่นเอง เพราะเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บให้คลายตัว เมื่อถึงเวลาคลอดจริงกล้ามเนื้อบริเวณนี้จะยืดขยายได้อย่างเป็นธรรมชาติ เนื้อเยื่อฉีกขาดน้อย หรือในบางรายคุณหมอไม่ต้องช่วยกรีดฝีเย็บเลยก็มี” 



 




 
วิธีการนวดฝีเย็บนั้นไม่ยาก และมีความปลอดภัย โดยคุณแม่สามารถนวดเองได้ในสัปดาห์ที่34เป็นต้นไป หรืออาจให้คุณพ่อช่วยก็ได้ โดยแนะนำให้นวดหลังอาบน้ำก่อนเข้านอน ต้องตัดเล็บให้สั้นเพื่อไม่ให้เกิดการขีดข่วน  ล้างมือให้สะอาด แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในช่องคลอดประมาณ 1-3 เซนติเมตร และกดนิ้วลงไปบริเวณรูเปิดช่องคลอดทางด้านทวารหนักเบาๆ แล้วค่อยๆ เคลื่อนนิ้วหัวแม่มือแยกออกไปด้านข้างเป็นรูปตัว U  ในการนวดแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 5 นาทีก็เพียงพอแล้ว โดยนวดเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง  หากคุณแม่จะนวดเอง แนะนำให้มีกระจกตั้งไว้บริเวณหว่างขา เพื่อให้มองเห็นได้สะดวก 

การเลือกน้ำมันสำหรับนวดฝีเย็บก็สำคัญ เพราะผิวบริเวณฝีเย็บค่อนข้างบอบบางจึงควรเลือกน้ำมันนวดฝีเย็บที่สกัดจากธรรมชาติ 100% ซึ่งผ่านการคิดค้นวิจัยมาโดยเฉพาะ แต่ไม่ควรใช้น้ำมันนวดที่ผสมน้ำหอม น้ำมันอัลมอนด์ หรือน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ส่งผลให้อวัยวะเพศบวมหรือติดเชื้อในช่องคลอดได้  น้ำมันที่ใช้สำหรับการนวดฝีเย็บมีความอ่อนโยนต่อผิวมาก

ดังนั้น คุณแม่จึงสามารถใช้ทาผิวบริเวณอื่น ๆ แทนมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับผิวบอบบางได้ด้วย  ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นทั่วไปซึ่งบางยี่ห้อ มีค่า ซอลส์(salt) และ ไอออน(ion) ค่อนข้างสูง และอาจระคายเคืองได้  จึงควรหลีกเลี่ยง  ก่อนทำการนวดฝีเย็บแนะนำให้เช็คร่างกายตัวเองว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้หรือไม่ เช่น มีเลือดซึม หรือติดเชื้อในช่องคลอดอยู่ก่อนแล้ว ห้ามนวดเด็ดขาด และควรปรึกษาแพทย์ทันที

แพทย์หญิงพัฐสุดา ชมจันทร์ หรือหมอเบนซ์ CEO and Creative Director of LivelyClinic เจ้าของ Facebook fanpage: Lively clinic  เป็นทั้งคุณหมอและคุณแม่ตั้งครรภ์ในยุคดิจิทัลที่เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ เล่าว่า“การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำคัญมาก เพราะผิวเราจะค่อนข้างเซนซิทีฟระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงลูกน้อยในครรภ์ด้วย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่วิจัยและพัฒนามาเพื่อคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะจะปลอดภัยที่สุด  หมอเองระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด หมอเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทออยล์ สูตร Tums & Boobs ป้องกันผิวแตกลาย ของ Motherlylove ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการผดุงครรภ์ค้นคว้า วิจัยและพัฒนามาสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ 100% จึงปลอดภัยต่อลูกน้อยในครรภ์ และผสานด้วยกลิ่นบำบัดหรืออโรมาเธอราปีช่วยลดการแพ้ท้องด้วย” หมอเบนซ์กล่าว

สำหรับประเทศไทย Motherlylove นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท มัม ซเฟียร์ จำกัด แต่เพียงผู้เดียว มีทั้งสูตร Down Below ใช้นวดบำรุงเพื่อลดการฉีกขาดของผิวบริเวณฝีเย็บในสัปดาห์ที่ 34 เป็นต้นไป สูตร Tums & Boobs ใช้ป้องกันผิวแตกลาย และ สูตร Pamper Mum Bath Oil  ใช้อาบหรือแช่แทนสบู่เพราะอ่อนโยนและรักษาความชุ่มชื้นได้ดี โดยเนื้อออยล์จะเปลี่ยนเป็นนํ้านมเมื่อสัมผัสน้ำ สามารถทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกจึงไม่อุดตันผิว นอกจากการนวดฝีเย็บ และการดูแลผิวป้องกันผิวแตกลายแล้ว การออกกำลังกายเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีมากเพื่อการคลอดแบบธรรมชาติ 



 




 
ครูหนิง-ธิญาดา คอนเควสท์ (Registered Prenatal Yoga Teacher, Yoga Alliance USA.) ผู้ก่อตั้ง Enjoy Yoga Studio Thailand ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับประโยชน์ของโยคะที่ดีต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ว่า“จากประสบการณ์การเป็นคุณแม่ลูกสาม ทำให้เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงและอาการปวด  ต่าง ๆ ในขณะตั้งครรภ์ การฝึกโยคะระหว่างตั้งครรภ์จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของคุณแม่ ช่วยให้ข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นดี เข้าใจเทคนิคการหายใจได้ลึกขึ้น เพื่อให้ปอดและกระบังลมแข็งแรง ซึ่งสัมพันธ์ต่อการเบ่งคลอด เนื่องจากท่าโยคะบางท่า เช่น ท่าคลานเข่า ท่าแกว่งสะโพก ท่าเพนกวิน จะช่วยให้เด็กกลับตัวได้ดีขึ้น และลดการกดทับของทารกอยู่จุดเดียวนานๆ นอกจากนั้นการฝึกโยคะยังช่วยฝึกสมาธิ เกิดความผ่อนคลายจากการมีสติอยู่กับการหายใจและอิริยาบถต่าง ๆ ควบคุมอารมณ์ ที่แปรปรวนจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง นำมาซึ่งสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว การออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์จึงจำเป็นมากค่ะ”

เพื่อช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์เตรียมตัวพร้อมในการคลอดแบบธรรมชาติ Motherlylove ได้ร่วมกับ Enjoy Yoga จัดกิจกรรม Active Birthing ไปเมื่อเร็วๆ นี้  โดยให้เคล็ดลับการฝึกโยคะ และให้ความรู้เกี่ยวกับการนวดฝีเย็บ โดยคุณแม่ที่เข้าร่วมกิจกรรมได้ทดลองนวดฝีเย็บจำลอง  ส่วนใครที่พลาดไป สามารถติดตามข้อมูลได้ทาง IG: motherlylove.th หรือ //www.motherlylove.club ที่รวบรวมข้อมูลน่ารู้และกิจกรรมน่าสนใจสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์

สำหรับการเตรียมตัวคลอดธรรมชาติ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คุณแม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีตามคำแนะนำของแพทย์ เลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการผิดปกติใด ๆ ระหว่างตั้งครรภ์ อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างละเอียด และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เพียงเท่านี้คุณแม่ตั้งครรภ์ก็ปลอดภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ อย่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์กังวล การคลอดธรรมชาติจึงเป็นความมหัศจรรย์ของร่างกายและบททดสอบการเริ่มต้นความเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของผู้หญิงทีเดียว และเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณแม่ได้เลือกแล้วสำหรับลูกน้อยที่รัก




 







 



 



Create Date : 17 ธันวาคม 2562
Last Update : 17 ธันวาคม 2562 8:42:59 น.
Counter : 550 Pageviews.

0 comment
ผู้ประกอบการแห่อบรม AI For Accounting รับมือดิจิทัล
สถาบันพัฒนาวิชาชีพนักวิชาชีพบัญชี วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (College of Innovative Business and Accountancy: CIBA) ร่วมกับ สถาบันเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการและบุคลากรแห่งอนาคต(DPU X) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) จัดอบรมหลักสูตร “AI For Accounting” 

ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้อำนวยการ DPU X มธบ. และในฐานะนายกสมาคม Thailand Tech Startup Association และ CEO-ZTRUS ผู้เชี่ยวชาญด้านการนำ AI มาใช้ในระบบบัญชี เปิดเผยว่า การจัดอบรมหลักสูตร “AI For Accounting”  จะเป็นการเปิดมุมมองให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจบทบาทและการทำงานของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial Intelligence) ในสายอาชีพบัญชีเพิ่มขึ้น รวมถึงแนวทางการยกระดับนักบัญชีให้อยู่เหนือ AI และยังทราบถึงผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจที่นำเทคโนโลยี AI เข้าไปใช้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ขณะนี้เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทในหลากหลายธุรกิจ การทำงานบางอย่างของ AI อาจได้รับการออกแบบมาให้ฉลาดเกือบเทียบเท่ามนุษย์ ทำให้หลายคนหวั่นจะถูกทดแทนในสายงาน สำหรับสายงานด้านบัญชี ขณะนี้ AI ยังเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้งานแม่นยำและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่หากเป็นงานเกี่ยวกับภาพรวมองค์กร หรืองานวิเคราะห์ข้อมูล ต้องใช้เวลาอีกนานที่จะพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้ทำงานในลักษณะดังกล่าวได้

ดังนั้นจึงอยากให้นักบัญชีมองปัญญาประดิษฐ์เป็นเพียงผู้ช่วย ที่ทำให้งานมีคุณภาพภายใต้ต้นทุนที่ต่ำลง  ขณะเดียวกันนักบัญชีต้องกลับมาพัฒนาทักษะด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างคุณค่าและบทบาทใหม่ให้กับตนเอง ทั้งนี้ คุณค่าของนักบัญชีในอนาคต คือ การพัฒนาตนเองและฝึกทักษะในด้านอื่นๆ ให้กับตนเองอยู่เสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมของบทบาทในการทำงานรูปแบบใหม่ เพราะในอนาคตนักบัญชีต้องเป็นผู้ออกแบบหรือผู้ควบคุมการทำงานของ AI เพื่อนำข้อมูลที่ถูกต้องมาวิเคราะห์ก่อนนำเสนอให้ผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร



 



 
การอบรมครั้งนี้มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นเจ้าของธุรกิจและตัวแทนจากแผนกบัญชีขององค์กรต่างๆ  แสดงให้เห็นว่าทุกคนกำลังตระหนักถึงเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนงานบางอย่าง จึงจำเป็นต้องเรียนรู้การทำงานเทคโนโลยีและเรียนรู้การสร้างคุณค่าให้ตนเอง เพื่อนำไปปรับใช้ในองค์กรให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ในส่วนของหลักสูตรบัญชี อนาคตอาจมีการพิจารณาปรับหลักสูตร หรือตัดเนื้อหาบางหลักสูตรออกและเปลี่ยนวิธีการนำเสนอใหม่ เพื่อให้เข้าใจถึงการนำ AI มาใช้ในระบบัญชีมากขึ้น

นางสาวรัตนา ศรีนวน ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต บริบัท เอแอนด์เอ โปรเฟสชั่นนอล จำกัด ในฐานะผู้เข้าร่วมอบรม กล่าวว่า สำหรับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคอร์สอบรมครั้งนี้ คือ การเข้าใจบทบาทของ AI ที่จะเข้ามาทดแทนงานบางส่วนในสายบัญชี โดยเป็นงานที่ทำซ้ำๆ จำนวนมาก ซึ่ง AI จะทำได้เร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์  แม้เทคโนโลยีที่ทันสมัยอาจทำให้ AI ฉลาดขึ้น แต่ยังเชื่อว่าความฉลาดนั้นยังไม่ถึงขั้นวิเคราะห์งานบัญชีได้ มนุษย์ยังต้องเป็นผู้วิเคราะห์หรือผู้ให้คำแนะนำปรึกษากับเจ้าของธุรกิจอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม งานบัญชีเป็นงานหนักต้องอยู่กับเอกสารกองโต หากเรานำ AI มาช่วยงานในส่วนนี้ จะเกิดประโยชน์และช่วยลดต้นทุนในการทำงานได้ ขณะเดียวกันในส่วนนักบัญชีต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาทักษะและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนโหมดการทำงานจากนักบัญชีเป็นผู้ควบคุมหรือนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

“การเรียนรู้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เกิดการวางแผนที่ดีและสามารถปรับตัวได้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้ อย่างไรก็ดี การลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีมีต้นทุนสูงอาจต้องใช้เวลานาน ผู้เรียนสายนี้จึงมีเวลาทันในการปรับตัว เพื่อพัฒนาทักษะในส่วนที่หุ่นยนต์ทำแทนไม่ได้” นางสาวรัตนา กล่าว





 








 

 
 



Create Date : 17 ธันวาคม 2562
Last Update : 17 ธันวาคม 2562 8:17:06 น.
Counter : 747 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments