Group Blog All Blog
|
ดึงท้องถิ่นต้านทุจริต
ป.ป.ช.เดินหน้าส่งเสริมท้องถิ่นปลอดทุจริตต่อเนื่อง ฉายภาพชัดขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติต้านโกงปฏิบัติจริงครบ100%
พลเอกบุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการป.ป.ช. เปิดเผยในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาล ว่า สำนักงาน ป.ป.ช. มีนโยบายในการส่งเสริมให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแสดงเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตต่อสาธารณชน ให้จัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริตเพื่อดำเนินโครงการ กิจกรรม มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบการป้องกันการทุจริต และสร้างกลไกในการตรวจสอบการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนส่งเสริม การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อให้การบริหารจัดการท้องถิ่นเกิดความโปร่งใส ลดปัญหาการทุจริต มีความเข้มแข็งในการบริหารราชการตามหลักธรรมาภิบาล ยกระดับมาตรฐานในการป้องกันการทุจริต ขององค์กรตนเอง ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมการป้องกันการทุจริตเชิงรุกด้วยการสร้างกลไก ในการป้องกันการทุจริตขึ้นในระดับท้องถิ่น โดยได้รับความร่วมมือจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ปัจจุบันมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริต ตามโครงการส่งเสริมท้องถิ่นปลอดทุจริต จำนวน 7,852 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 100 เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกระบวนการยกระดับอปท.สู่การบริหารตามหลักธรรมภิบาล สำนักงาน ป.ป.ช. จึงได้จัดงานยกระดับธรรมาภิบาลด้วยการนำแผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริตไปสู่การปฏิบัติ ตามโครงการส่งเสริมท้องถิ่นปลอดทุจริต ประจำปี 2562 ขึ้น โดยจัดเวทีเสวนา อภิปราย ตลอดจนแสดงผลงานที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาของการดำเนินงานโครงการ เพื่อให้ทุกอปท.ได้นำไปประยุกต์ใช้กับแผนฯของตน ให้สามารถยกระดับการบริหารราชการตามหลักธรรมาภิบาลได้อย่างเข้มแข็ง โดยภายในงานยังได้จัดแสดงผลงาน Best Practice ของอปท. 4 แห่งที่มีผลการนำแผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริตไปสู่การปฏิบัติตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ 2562 รอบ 6 เดือน ในระดับมาก ได้แก่ เทศบาลตำบลหนองบัว อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหลวง อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร,องค์การบริหารส่วนตำบลหนองตาแต้ม อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี เพื่อนำเสนอเป็นแนวทางปฏิบัติจริง แก่ อปท.อื่นๆ คาดหวังว่า การจัดงานครั้งนี้จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านกรณีศึกษาสำหรับผู้บริหาร อปท.ที่เข้าร่วมงาน จำนวน 800 คน ตลอดจนการรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญรวมถึงรับฟังข้อจำกัดด้านต่างๆ ในการบริหารจัดการเพื่อการนำแผนฯไปสู่ภาคปฏิบัติจริง โดยเชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้จะช่วยยกระดับความเข้าใจไปจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้กับแผนต่อต้านการทุจริตในระดับท้องถิ่นทั้ง 7,852 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งยกระดับธรรมาภิบาลของอปท.เพื่อสู่มาตรฐาน ITA ได้ครบ 100% ในปี 2564 เพื่อมุ่งสู่ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต”ในที่สุด โม โม พาราไดซ์ จับมือ ซีพีเอฟ เสิร์ฟไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection Cage Free Egg
“โม โม พาราไดซ์” ร้าน ชาบูชาบู สุกี้ยากี้ ต้นตำรับจากญี่ปุ่นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของไทย ที่เลือกใช้ไข่ไก่สดปลอดสาร “CP Selection Cage Free Egg” ทั้ง 17 สาขาในประเทศ ตอกย้ำใส่ใจคัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมียมให้กับผู้บริโภค
นายสุรเวช เตลาน กรรมการผูัจัดการ บริษัท โนเบิลเรสเตอร์รองต์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหาร โม โม พาราไดซ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ”โม โม พาราไดซ์” มุ่งมั่นให้ความสำคัญการคัดสรรวัตถุดิบแต่ละอย่างด้วยความใส่ใจในคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่นอกจากจะใส่ใจคุณภาพสินค้า แต่ยังเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากกระบวนการผลิตอย่างรับผิดชอบ อย่างไข่ไก่ที่มาจากกระบวนการเลี้ยงมีสวัสดิภาพสัตว์สูง (High Welfare Products) อีกด้วย “การเลือกใช้ไข่ไก่จากกระบวนการเลี้ยงแบบ Cage Free สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและใส่ใจของ โม โม พาราไดซ์ ที่คัดสรรวัตถุดิบแต่ละอย่างที่เปี่ยมด้วยคุณภาพระดับพรีเมียมเพื่อให้ลูกค้าประทับใจในความอร่อยของชาบูชาบูแบบต้นตำรับ และมั่นใจว่าทุกคำที่รับประทานปลอดภัยและปลอดสารได้มาตรฐานสากล” นายสุรเวชกล่าว ที่คำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคเรื่องความปลอดภัยของอาหาร ซีพีเอฟให้ความสำคัญในการพัฒนาและนำหลักสวัสดิภาพสัตว์มาใช้ในการเลี้ยงสัตว์จนเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมทั้งการเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระภายในโรงเรือนระบบปิด (Cage-Free) ไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection Cage Free สดกว่าที่เคย เพราะใช้แม่ไก่สายพันธุ์คัดพิเศษจากอเมริกา ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานส่งออก เลี้ยงใน Biosecurity Hi-Tech Farming ในโรงเรือนระบบปิด ปลอดฮอร์โมน ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู มีพื้นที่ให้แม่ไก่ได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ และสามารถแสดงพฤติกรรมได้ตามธรรมชาติ บัตรทองปรับปรุงสิทธิปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตผู้ป่วยธาลัสซีเมีย
กองทุนบัตรทองปรับปรุงสิทธิประโยชน์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ครอบคลุมผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่ผู้บริจาคไม่ใช่ญาติ เริ่มปีงบประมาณ 63 พร้อมขยายเป้าหมายปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด 110 ราย เผย 11 ปี มีผู้ป่วยรับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดฯ 414 ราย นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมี ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) "การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตกรณีผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เริ่มปีงบประมาณ 2563 ในหน่วยบริการที่มีศักยภาพและภายใต้งบประมาณที่ได้รับการจัดสรร พร้อมให้มีการกำกับติดตาม เฝ้าระวังและประเมินผล ทั้งนี้ข้อเสนอการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในการรักษาผู้ป่วยธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงอยู่ในกระบวนการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (กองทุนบัตรทอง) ตั้งแต่ปี 2553 ต่อมาในปี 2554 คณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์และบริการ เห็นชอบในหลักการ ให้การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตเป็นสิทธิประโยชน์ในกองทุนบัตรทอง โดยจำกัดเฉพาะผู้ป่วยธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงและมีข้อบ่งชี้ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตามข้อมูลผลการศึกษาโดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) โดยให้นำผลการศึกษาเข้าสู่กระบวนการพิจารณา และปี 2556 คณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์และระบบบริการให้ทำการศึกษาและพัฒนาข้อเสนอบริการผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ตั้งแต่การป้องกันจนถึงการรักษาให้ครอบคลุม นำมาสู่ข้อเสนอการปรับปรุงสิทธิประโยชน์การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตกรณีผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียในครั้งนี้ เพื่อให้เข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคอื่นๆ ที่มีข้อบ่งชี้จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2562 บอร์ด สปสช.ได้พิจารณาปรับอัตราและเงื่อนไขการจ่ายชดเชยค่าบริการ ซึ่งครอบคลุมระยะการรักษาตั้งแต่ก่อนรับการปลูกถ่าย ระหว่างการปลูกถ่าย และหลังการปลูกถ่าย โดยกำหนดอัตราชดเชยแบบเหมาจ่ายกรณีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดโดยใช้เซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous) รายละ 750,000 บาท และกรณีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค (Allogeneic) ทั้งในกรณีที่ผู้บริจาคเป็นญาติพี่น้องและไม่ใช่ญาติพี่น้อง รายละ 1,300,000 บาท และในการปรับปรุงสิทธิประโยชน์การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเพื่อดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่จะเริ่มในปีงบประมาณ 2563 จะคลอบคลุมอยู่ในเงื่อนไขการใช้สิทธิดังกล่าว ทั้งนี้ กรณีผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ต้องมีข้อบ่งชี้ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงที่อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10 ปี ตามแนวทางของสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในอดีตมีผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาน้อยมากเพราะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 1 ล้านบาท หลังจากกองทุนบัตรทองได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ในกองทุนบัตรทอง ทำให้ผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2551-2561 มีผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายแล้ว 414 ราย เป็นผู้ป่วยเด็ก 79 ราย ผู้ใหญ่ 335 ราย ส่วนปี 2562 กำหนดเป้าหมายการปลูกถ่าย 97 ราย อย่างไรก็ตามจากการปรับปรุงสิทธิประโยชน์การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตกรณีผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่บอร์ด สปสช.ได้เห็นชอบแล้วนั้น ในปีงบประมาณ 2563 ได้มีการขยายเป้าหมายการรักษาผู้ป่วยเป็นจำนวน 110 ราย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงให้กับผู้ป่วย สำหรับในส่วนของหน่วยบริการที่ให้บริการการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 10 แห่ง ดังนี้ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โรงพยาบาลหาดใหญ่ และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ "กสทช."เปิดแอป"พฤติมาตร"ให้ผู้บริโภคเข้าใจพฤติกรรมใช้งานตนเอง
"กสทช."เปิดตัวแอปพลิเคชัน"พฤติมาตร"ให้ผู้บริโภคเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของตนเอง
นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองเลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า แอปพลิเคชัน "พฤติมาตร" ของสำนักงาน กสทช. เป็นแอปพลิเคชันที่ออกแบบและพัฒนาเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของตนเอง ภายใต้แนวคิดที่ผู้บริโภคสามารถเรียกดูข้อมูลการใช้งานได้ตลอดเวลา รวมทั้งข้อมูลประวัติการใช้งาน เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของตนเองได้อย่างแท้จริงและรู้เท่าทัน และสามารถปรับแพ็คเกจหรือโปรโมชันโทรศัพท์ในอนาคตให้เหมาะกับการใช้งานของตนเองได้ การออกแบบแอปพลิเคชัน"พฤติมาตร"คำนึงถึงการใช้งานที่จะต้องใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก และไม่ซับซ้อน โดยหน้าจอหลักจะแสดงข้อมูลประจำวันใน 3 ส่วน ได้แก่ 1) ปริมาณการใช้บริการ การโทร SMS และ MMS นอกจากแอปพลิเคชันดังกล่าวจะสร้างประโยชน์ต่อผู้บริโภคแล้ว ในอีกบทบาทหนึ่งยังเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างการดำเนินงานของสำนักงาน กสทช. ในการติดตามรูปแบบการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชากรไทย เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายและวางแผนกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของประเทศให้เกิดความเป็นธรรม มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีอยู่จริง โดย สำนักงาน กสทช. ขอยืนยันว่าจะไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว อาทิ ข้อความจาก SMS หรือ MMS บทสนทนาในแอปพลิเคชันต่าง ๆ รหัสผ่าน รูปภาพ คลิปวีดีโอ หรือข้อความ ใด ๆ ทั้งสิ้น สำหรับแอปพลิเคชัน "พฤติมาตร" ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยสามารถติดตั้งได้เฉพาะกับสมาร์ตโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6 ขึ้นไป และต้องได้รับการติดตั้งจากเจ้าหน้าที่คณะผู้วิจัยภาคสนามเท่านั้น เพื่อดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานกับกลุ่มตัวอย่างในวงจำกัด MOU ดูแลสุขภาพผู้ต้องขังบรรลุมติครม.พัฒนาครบทุกมิติ
"หมอศักดิ์ชัย"เผย 5 เดือนพัฒนาระบบสุขภาพผู้ต้องขังในเรือนจำ ผลงานชัดผู้ต้องขังลงทะเบียนสิทธิบัตรทองกว่า 2.5 แสนคนเร่งให้บริการดูแลสุขภาพผู้ต้องขังครอบคลุมทุกมิติ
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดูแล "กลุ่มเปราะบาง" ให้เข้าถึงบริการสุขภาพภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ในส่วนของ "กลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำ" ว่า จากความร่วมมือของ 3 หน่วยงาน ทั้งนี้ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กรมราชทัณฑ์ และ สปสช. ที่ได้ "ลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562" เพื่อร่วมพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขและเพิ่มศักยภาพสถานพยาบาลในเรือนจำ จากความร่วมมือดังกล่าว ที่ผ่านมา สปสช.ได้เร่งขับเคลื่อนระบบเพื่อให้เกิดการดูแลสุขภาพผู้ต้องขังโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้ทำการขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลในเรือนจำให้เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายของหน่วยบริการประจำหรือโรงพยาบาลในพื้นที่ครบทั้งหมด 142 แห่งแล้ว พร้อมทั้งลงทะเบียนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้กับผู้ต้องขังที่มีสิทธิทั้งหมดแล้ว จำนวน 329,024 คน ไม่รวมผู้ต้องขังที่เป็นสิทธิว่างและที่มีสิทธิรักษาพยาบาลอื่นอีกจำนวน 10,765 คน ทำให้สามารถเข้าถึงสิทธิบริการสุขภาพได้ ที่ผ่านมา สปสช.ได้จัดสรรและจ่ายชดเชยค่าบริการในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้แก่หน่วยบริการประจำในพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้จัดการระบบข้อมูลการให้บริการ ระบบการเงิน และคุณภาพบริการที่ได้เชื่อมต่อระบบข้อมูลทะเบียนประวัติผู้ต้องขังหรือ 17 ระบบกับระบบข้อมูล 43 แฟ้ม อยู่ระหว่างดำเนินการ นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า จากการดำเนินงานร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงานในช่วงระยะเวลาเพียง 5 เดือน ส่งผลให้ผู้ต้องขังเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากข้อมูลกองบริการทางการแพทย์ กรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ทั้งนี้ดังนี้ บริการตรวจคัดกรองโรค 102 แห่ง บริการวัคซีนป้องกันโรคแก่ผู้ต้องขังตามฤดูกาล 92 แห่ง แพทย์/พยาบาลเวชปฏิบัติจากโรงพยาบาลในพื้นที่เข้าตรวจรักษา 81 แห่ง จิตแพทย์/นักจิตวิทยา/พยาบาลจิตเวช เข้าตรวจรักษา 69 แห่ง ทันตแพทย์ให้บริการในเรือนจำ 96 แห่ง จัดระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่าย 15 แห่ง มีห้องควบคุมผู้ต้องขังป่วยที่โรงพยาบาล 25 แห่ง โรงพยาบาลในพื้นที่สนับสนุนยา วัสดุเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ 84 แห่ง และเรือนจำได้รับงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 22 แห่ง นับเป็นแนวโน้มที่ดี ส่วนการดำเนินงานจากนี้ 3 หน่วยงาน จะร่วมขับเคลื่อนตามแผนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ต้องขังในเรือนจำ ประจำปีงบประมาณ 2562-2564 อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับศักยภาพการดำเนินงานของสถานพยาบาลในเรือนจำเชื่อมโยงระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งระบบหลักประกันสุขภาพอื่น รวมถึงหน่วยบริการแม่ข่ายในพื้นที่เพื่อให้เป็นทีมสุขภาพเดียวกัน เพิ่มคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพที่ดีให้กับผู้ต้องขัง นับเป็นความสำเร็จของ 3 หน่วยงานที่ร่วมกันพัฒนาระบบสุขภาพผู้ต้องขังในเรือนจำ บรรลุตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งการคัดกรองโรค การรักษา การฟื้นฟู และการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุขที่เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม จากแต่เดิมเป็นกลุ่มเปราะบางมีปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างมาก |
สมาชิกหมายเลข 3402302
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog Link |