อบจ.ประจวบคีรีขันธ์ จัดพิธีเททองรูปหล่อขุนรองปลัดชูวีรบุรุษเมืองวิเศษไชยชาญ อดีตผู้ต้านทัพพม่าและจบชีวิตที่ อ่าวหว้าขาว(ปัจจุบันคือพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
เป็นประธานในพิธีจัดพิธีเททองรูปหล่อขุนรองปลัดชูขนาด 2 เท่าคนจริง โดยมี พระครูพิศิษฏ์ธรรมนิเทศ วัดราชบพิธ สถิตมหาสีมาราม ร่วมเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์พร้อมพระสงฆ์รวม 10 รูป และมีพระเถระนั่งปรกอธิษฐานจิต 4 รูป 1 ท่าน ได้แก่ 1.หลวงพ่อใจ ฐิตาจาโร เจ้าอาวาสวัดพระยาญาติ อ.อัมพวา จ สมุทรสงคราม
2.ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิโสภณ หรือหลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ อติสักโข เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม วัดประดู่ พระอารามหลวง 3.พระครูสังฆวิสุทธิ์ หรือ ครูบาแจ๋ว ธัมมธโร วัดป่าวิเวกวัฒนาราม จ.มุกดาหาร 4.พระอาจารย์ศิริชัย หรือ หลวงพ่อบ๊ะ วัดโพธิ์ลังกา สิงห์บุรี 5.อาจารย์ ทองทิพย์ โอภาโส สำนักปฏิบัติธรรม โอภาโส จ.เพชรบูรณ์
พร้อมด้วย พลตรี ดร.วรวุฒิ แสงทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 1 กอ.รมน. นายสราวุธ ลิ้มอรุณรักษ์ นายกอบจ.ประจวบคีรีขันธ์ ดร.มังกรแก้ว ดรุณศิลป์ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ และดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี และพลอากาศตรีหญิงทิพย์วิมล ทองอ่อน ผู้ทรงคุณวุฒิและที่ปรึกษา มูลนิธิศรีสัตตบูรณ์
ก่อนเริ่มพิธีเททองรูปหล่อขุนรองปลัดชู ผู้จัดงาน ได้มอบให้ ท่านพรามหณ์สุขีนันท์ บุญพาศรีนาฤทธิ์ ประกอบพิธีบวงสรวงเทพยดาพุทธาเทวาภิเษกเททองรูปหล่อเหมือนขุนรองปลัดชูรูปหล่อขุนรองปลัดชู จะถูกประดิษฐานไว้ ณ บริเวณอนุสรณ์สถานชายทะเลหาดหว้าขาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นสถานที่ขุนรองปลัดชูและนักรบทั้ง 400 คน จากเมืองวิเศษชัยชาญต้านทัพพม่าจนเสียชีวิต เพื่อให้ประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวได้สักการะและรำลึกถึงบุญคุณและวีรกรรมความกล้าหาญ
ขุนรองปลัดชู เป็นผู้นำในคณะกรมการเมืองวิเศษไชยชาญ (ปัจจุบันคืออำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง) มีชีวิตในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) ซึ่งได้รวบรวมไพร่พลเข้าเป็นกองอาสาสมัคร 400 คน สังกัดกองอาทมาต เพื่อเข้าร่วมทัพกรุงศรีอยุธยาต่อต้านการบุกครองของกองทัพพม่าในสงครามพระเจ้าอลองพญาเมื่อสามารถระดมไพร่พลเข้าเป็นอาสาสมัครกองอาทมาตได้ 400 คน แล้ว
ขุนรองปลัดชูได้นำกำลังของตนเข้าสมทบกับกองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์* ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปตั้งทัพสกัดกองทัพพม่าที่นำโดยเจ้ามังระราชบุตรและมังฆ้องนรธา อันยกมาทางเมืองมะริดและตะนาวศรี หลังจากตีทัพของพระยายมราชแห่งอยุธยาที่แก่งตุ่มแขวงเมืองตะนาวศรีแตกแล้ว
ทัพดังกล่าวจึงเดินทางข้ามด่านสิงขรมุ่งสู่เมืองกุยบุรี เพื่อใช้เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา พระยารัตนาธิเบศร์ซึ่งรั้งทัพอยู่ที่กุยบุรีจึงส่ง กองอาทมาตของขุนรองปลัดชูให้มาสกัดทัพอยู่ที่อ่าวหว้าขาว (ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
กองอาทมาตของขุนรองปลัดชูได้ปะทะกับกองทัพพม่าซึ่งมีกำลังราว 8,000 คน ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงก็ยังไม่แพ้ชนะ แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าและไม่ได้รับกำลังเสริมจากทัพของพระยารัตนาธิเบศร์* (พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียมและพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวว่า ได้รับไพร่พลจากทัพหลักเป็นกองหนุนสมทบอีก 500 คน) กองอาทมาตจึงตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเพราะความอ่อนล้า และถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนลงทะเลฆ่าฟันจนเสียชีวิตทั้งหมดในวันนั้น
ด้านทัพของพระยารัตนาธิเบศร์เมื่อทราบว่ากองอาทมาตของขุนรองปลัดชูแตกพ่าย จึงได้เร่งเลิกทัพหนีกลับมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับทัพของพระยายมราช และกราบทูลรายงานการศึกว่า "ศึกพม่าเหลือกำลังจึงพ่าย" ส่วนกองทัพพม่าเมื่อผ่านเมืองกุยบุรีได้แล้วก็ยกทัพมายังกรุงศรีอยุธยาโดยสะดวก เนื่องจากแนวรับต่าง ๆ ในลำดับถัดมาของฝ่ายอยุธยาถูกตีแตกในเวลาอันสั้น
......................................................................
หมายเหตุ
*พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียมและพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ออกชื่อเป็น พระยาธรรมา