All Blog
ชู ‘กาแฟโบราณ’ ของดีเมืองสตูล พัฒนาสู่แหล่งท่องเที่ยวชุมชน
นายพลเชษฐ์ ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึง การลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดกาแฟโบราณในพื้นที่จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญและมีชื่อเสียงของภาคใต้ตอนล่าง จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดสตูล

คาดว่ามีพื้นที่ปลูก จำนวน 268 ไร่ พบมากที่สุดในอำเภอควนโดน รองลงมา อำเภอเมือง ควนกาหลง และมะนัง ตามลำดับ ให้ผลผลิตกาแฟรวมทั้งหมดประมาณ 4,000 กก./ปี ซึ่ง สศก. ได้ติดตามการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโตนปาหนัน และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟโบราณชุมชนควนโดนใน



 



 
ตัวอย่างของวิสาหกิจชุมชนที่ยังสืบทอดการผลิตกาแฟโบราณ หรือ“โกปี๊” ที่เป็นสินค้าประจำท้องถิ่นจนประสบความสำเร็จ สามารถสร้างรายได้เสริม ให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเฉลี่ยกลุ่มละประมาณ 175,000 บาท/ปี และที่สำคัญยังพัฒนาวิสาหกิจชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ท่องเที่ยวเชิงชุมชน เพื่อให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตกาแฟโบราณ นับว่าเป็นการขยายฐานผู้บริโภค ต่อยอด และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อีกทางหนึ่งด้วย

จากการลงพื้นที่ครั้งนี้ พบว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโตนปาหนัน ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2558 ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่ม จำนวน 39 คน มีรูปแบบบรรจุภัณฑ์กาแฟโบราณ 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบซอง มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 7.4 บาท/ซอง ให้ผลผลิตเฉลี่ย 40 ซอง/กาแฟ 1 กก. (บรรจุซองละ 75 กรัม) ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 20 บาท/ซอง



 



 
คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 12.6 บาท/ซอง แบบขวด มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 13.45 บาท/ขวด ให้ผลผลิตเฉลี่ย 31 ขวด/กาแฟ 1 กก. (บรรจุขวดละ 95 กรัม) ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาท/ขวด คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 21.55 บาท/ขวด ซึ่งทางกลุ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “โกปี้บ้านโตน”

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟโบราณชุมชนควนโดนใน ตำบลควนโดน อำเภอควนโดน เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่ม จำนวน 27 คน สำหรับบรรจุภัณฑ์แบบซอง มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 17.8 บาท/ซอง ให้ผลผลิตเฉลี่ย 25 ซอง/กาแฟ 1 กก. (บรรจุซองละ 120 กรัม) ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาท/ซอง



 



 
คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 17.2 บาท/ซอง แบบขวด มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 44.37 บาท/ขวด ให้ผลผลิตเฉลี่ย 8 ขวด/กาแฟ 1 กก. (บรรจุขวดละ 400 กรัม) ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 100 บาท/ขวด คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 56.63 บาท/ขวด จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “โกปี๊”

สำหรับรูปแบบการดำเนินงานของทั้ง 2 กลุ่ม จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรับซื้อเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าเพื่อนำมาผลิตเป็นกาแฟโบราณจากเกษตรกรในจังหวัดประมาณร้อยละ 59 และนำเข้าจากจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ชุมพร ระนอง และกระบี่ ประมาณร้อยละ 41

เนื่องจากผลผลผลิตกาแฟในจังหวัดยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคารับซื้อเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 80-100 บาท/กก. ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ด้านสถานการณ์ตลาด ผลิตภัณฑ์ร้อยละ 45 จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง รองลงมาร้อยละ 22.5 จำหน่ายผ่านสมาชิกกลุ่มเพื่อนำไปจำหน่ายต่อให้ผู้บริโภคทั้งในและนอกจังหวัด



 



 
รองลงมา ร้อยละ 15 วางจำหน่ายที่วิสาหกิจชุมชนเพื่อเป็นของฝากแก่นักท่องเที่ยว กลุ่มศึกษาดูงาน ส่วนร้อยละ 12.5 ส่งจำหน่ายร้านค้าทั่วไปและห้างสรรพสินค้า และอีกร้อยละ 5 ออกบูธงานสำคัญของจังหวัด ซึ่งในอนาคตทางกลุ่มวิสาหกิจมีแผนเพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ เพื่อขยายฐานลูกค้า รวมถึงให้ผู้บริโภคทั่วประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าได้สะดวก ง่าย และรวดเร็ว

นายสุธรรม ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 จังหวัดสงขลา (สศท. 9) กล่าวว่า จุดเด่นกาแฟโบราณของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จะเน้นการผลิตแบบสูตรดั้งเดิมที่สืบทอดกันมายาวนาน โดยยังใช้แรงงานคนทั้งหมดในกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคั่วและใส่ส่วนผสมโดยการใช้เตาถ่าน



 



 
หลังจากนั้นจะตำให้ละเอียดโดยครกไม้ เพื่อรักษาความหอมของกาแฟ และนำมาร่อนเพื่อให้ได้ผงกาแฟพร้อมนำไปชงดื่ม ซึ่งกระบวนการทั้งหมดยังคงเอกลักษณ์ดั่งเดิมไว้ ปัจจุบันผลผลิตกาแฟ ที่ออกสู่ตลาดยังมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนรองรับ จึงนับว่ากาแฟเป็นพืชที่มีอนาคตสดใสของจังหวัดสตูล

เนื่องจากเกษตรกรห่างหายจากการผลิตกาแฟมาเป็นระยะเวลานาน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ทางหน่วยงานราชการจำเป็นต้องสร้างองค์ความรู้ ทั้งด้านการปลูก ดูแลรักษา เก็บเกี่ยวอย่างมีคุณภาพ รวมถึงด้านตลาด เพื่อให้เกษตรกรเกิดความมั่นใจ และผลิตกาแฟอย่างมีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน



 



 
รวมไปถึงผลิตภัณฑ์กาแฟจำเป็นต้องมีมาตรฐานรับรอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก้ผู้บริโภค เพื่อยกระดับกาแฟให้เป็นพืชแซมที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและสร้างงานให้ชุมชนไม่น้อยไปกว่าพืชหลัก รวมถึงเป็นทางเลือกให้เกษตรกรหันกลับมาฟื้นฟูและขยายพื้นที่ผลิตกาแฟสตูลต่อไป

สำหรับท่านที่สนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สศท.9 โทร. 0 7431 2996 หรือ อีเมล zone9@oae.go.th หรือหากสนใจข้อมูลการด้านการผลิตและการตลาดของกาแฟโบราณ สอบถามได้ที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโตนปาหนัน โทร. 08 7298 9936 และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟโบราณชุมชนควนโดนใน โทร. 08 8599 8391






 



Create Date : 23 กรกฎาคม 2563
Last Update : 23 กรกฎาคม 2563 17:57:15 น.
Counter : 1087 Pageviews.

0 comment
ด่วน ! กยท.แจกหุ่นฝึกนำสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ
กยท.แจกหุ่นฝึกนำสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ Anti-Choking Model จำนวน 200 ตัว ฟรี พร้อมส่งต่อให้สถานศึกษาของรัฐ ระดับประถม-มัธยม หากสนใจรีบแจ้งความประสงค์ ด่วน! ภายในวันที่ 31 ก.ค. นี้

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ผลิตหุ่นฝึกการนำสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ Anti-Choking Model ซึ่งเป็นชุดฝึกการปฏิบัติที่ทำจากยางพารา จำนวน 200 ชุด พร้อมมอบแก่สถานศึกษาของรัฐบาลในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศ



 



 
โดยชุดฝึกนี้เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ฝึกมีความรู้ ความสามารถในการช่วยเหลือชีวิต เมื่อพบเจอผู้ประสบเหตุจากการมีสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ    และช่วยให้เกิดความมั่นใจในการนำสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจส่วนบนของผู้ป่วยโดยวิธีรัดกระตุกหน้าท้อง (Abdominal Thrust Maneuver / Hemlich Maneuver)


 



 
สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้า จะสามารถช่วยชีวิตคนในนาทีสำคัญได้สำเร็จ แต่ห้ามไม่ให้ใช้วิธีนี้กับทารก หรือเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี


 



 
ชุดการฝึกที่ กยท. ผลิตมีความสมจริง ง่ายต่อการนำไปใช้งาน และผู้ฝึกปฏิบัติจะรู้สึกสนุกที่ได้เรียนรู้วิธีการช่วยชีวิตผู้อื่น ทั้งนี้ หากสถานศึกษาของรัฐบาลในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาแห่งใดสนใจ สามารถติดต่อขอรับหุ่นยางพาราเพื่อฝึกการนำสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การยางแห่งประเทศไทย (โครงการนวัตกรรมยางพาราเพื่อสังคม) หมายเลขโทรศัพท์ 0-2433-2222 ต่อ 222 ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563  




 

 



Create Date : 13 กรกฎาคม 2563
Last Update : 13 กรกฎาคม 2563 15:29:58 น.
Counter : 867 Pageviews.

1 comment
"กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน-คูโบต้า"เปิดโครงการพัฒนาอาชีพผู้ได้รับผลกระทบโควิด
ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หลังจากที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และสยามคูโบต้า ได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ “โครงการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19”

เพื่อบูรณาการพัฒนาฝีมือแรงงานนอกระบบที่อยู่ในภาคการเกษตรให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะให้ได้มาตรฐานฝีมือแรงงาน จนสามารถนำไปประกอบอาชีพ รวมทั้งเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19



 



 
รวมถึงผู้ว่างงานที่มีความสนใจด้านการทำเกษตร อันจะนำไปสู่การส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม และพัฒนาเกษตรกรให้มีความมั่นคงในอาชีพได้อย่างยั่งยืน ซึ่งโดยกำหนดพื้นที่จังหวัดนำร่องที่มีความพร้อม  5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดพิษณุโลก และได้เปิดตัวโครงการที่แรก ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภาคใต้

นายไวพจน์ หามาลา ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้าบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อให้หลายธุรกิจปิดตัวลงและนำไปสู่การเลิกจ้างงาน

สยามคูโบต้าจึงได้นำเอาองค์ความรู้ด้านการเกษตรมาช่วยให้ผู้ที่ถูกเลิกจ้างที่มีความสนใจด้านการเกษตร โดยรับสมัครผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมด้านการทำเกษตร อาทิ องค์ความรู้ในการทำเกษตรครบวงจร การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำรับมือวิกฤตภัยแล้ง



 



 
เข้ารับการฝึกอบรมภายใต้โรงเรียนฝึกขับเครื่องจักรกลการเกษตร แทรกเตอร์ รถดำนา รถเกี่ยวนวดข้าว และ โรงเรียนฝึกขับรถขุดคูโบต้า ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท มิตรแท้ออโตเซลล์ จำกัด ซึ่งเป็นเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายของสยามคูโบต้าที่มีศักยภาพของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เป็นพื้นที่ฝึกอบรมทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติ

ผู้รับการฝึกจะได้รับฝึกทั้งในภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ ตามระยะเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองเมื่อจบหลักสูตร สามารถนำความรู้ไปปรับใช้และนำไปประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน

 



Create Date : 08 กรกฎาคม 2563
Last Update : 8 กรกฎาคม 2563 15:43:49 น.
Counter : 464 Pageviews.

0 comment
ยันม่าร์สนับสนุนแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2020 ปีที่ 3

ยันม่าร์สนับสนุนการแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2020 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

ยันม่าร์ต่อสัญญาสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน AFF Suzuki Cup 2020 อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการสนับสนุนต่อเนื่องเป็นครั้งที่สาม สำหรับการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในปี 2559 และ2561 

โดยครั้งนี้ ยันม่าร์จะสนับสนุนการแข่งขันในกลุ่มอาเซียน 11 ประเทศ ในการชิงถ้วย AFF Suzuki Cup ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2563  โดยการแข่งขัน AFF Suzuki Cup จะจัดขึ้นทุกๆ สองปี ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนและมีแฟนฟุตบอลนับล้านทั่วภูมิภาคติดตามเชียร์อย่างใกล้ชิด


 



 

สำหรับการเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2020  ยันม่าร์จะจัดกิจกรรมต่างๆ ทั่วภูมิภาคอาเซียนภายใต้แบนเนอร์ที่มีข้อความว่า “WE ASSIST HOPE” ซึ่งเป็นข้อความที่มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ของบริษัท รวมถึงการสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ภายในชุมชน ตลอดจนการสร้างโอกาสและแรงกระตุ้นผ่านกีฬาฟุตบอลและให้ความช่วยเหลือสนับสนุนด้านการเกษตร ด้วยเทคโนโลยีระบบการจัดการทางการเกษตรอันทันสมัยที่เรียกว่า SMARTASSIST ของยันม่าร์

 

“ในฐานะการเป็นพันธมิตรร่วมกับ AFF Suzuki Cup 2020 เราจะแสดงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเทคโนโลยีการเกษตรและความรักความสามัคคีที่มีต่อการกีฬาร่วมกัน” โซตะ ฮารายะมะ หัวหน้าสำนักงานส่งเสริมธุรกิจกีฬาของบริษัท YANMAR HOLDINGS กล่าวเพิ่มด้วยว่า “กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่รวบรวมผู้คนต่างชาติต่างภาษามาไว้ด้วยกันและยันม่าร์เองต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมที่มีความชื่นชอบการกีฬาด้วย”

 

มัลคอล์ม ธอร์ป กรรมการผู้จัดการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ SPORTFIVE ซึ่งเป็นผู้ดูแลพันธมิตรที่สนับสนุนการแข่งขัน AFF Suzuki Cup กล่าวว่า “ความสำเร็จครั้งสำคัญของยันม่าร์จากการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ในแมตช์ก่อนหน้านี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของการแข่งขัน AFF Suzuki Cup ในการยกระดับแบรนด์ในหมู่แฟนๆ ฟุตบอลทั่วภูมิภาคนี้ เราจะยังคงให้การสนับสนุนแบรนด์ระดับนานาชาติเช่นเดียวกับยันม่าร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความชื่นชอบของแฟนๆ ฟุตบอล รวมถึงเป็นการสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ยันม่าร์อีกด้วย”

 

ยันม่าร์จะเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมการแข่งขันในแมตช์ที่เลือกไว้ ซึ่งจะนำเสนอเทคโนโลยีการเกษตรของบริษัทฯ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมอบให้กับแฟนๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


 

 

 

 

การที่ยันม่าร์สนับสนุนการแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2020 ในครั้งนี้ ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่จะสร้างประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นให้กับผู้คนในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านกีฬาฟุตบอลนี้ด้วย




 








 




Create Date : 08 กรกฎาคม 2563
Last Update : 8 กรกฎาคม 2563 14:36:50 น.
Counter : 891 Pageviews.

2 comment
กยท.New Normal การ์ดไม่ตก มอบหน้ากากอนามัยยางพารา"รามา-พระมงกุฎฯ
นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยด้านธุรกิจและปฏิบัติการ
นางณพรัตน์ วิชิตชลชัย รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยด้านอุตสาหกรรมยางและการผลิตยาง
ผู้บริหารและพนักงานของ กยท. มอบหน้ากากอนามัยยางพาราจำนวน 10,000 ชิ้น แก่โรงพยาบาลรามาธิบดี และ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อเป็นการสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID – 19   

นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย เผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตระหนักถึงความจำเป็นในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID -19  โดยเฉพาะกับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะรับการแพร่กระจายของเชื้อจากคนไข้ที่มารับการรักษา ผ่านละอองสารคัดหลั่งที่แพร่กระจายสู่ระบบทางเดินหายใจ หรือการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อที่ไอหรือจามออกมา  



 



 
แม้ในปัจจุบันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID -19 จะลดน้อยลง แต่ กยท. ยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญในเรื่องการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันตนเอง และรับผิดชอบสังคม เพื่อให้ไม่ตนเองได้รับเชื้อและไม่แพร่เชื่อต่อให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ตามนโยบาย “การ์ดอย่าตก” ซึ่งเป็นหลักในการป้องกันและควบคุม COVID-19 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)  เพื่อให้เราทุกคนสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้

นายประพันธ์ กล่าวว่า กยท. จึงผลิตหน้ากากอนามัยจากยางพาราที่ใช้ผ้ามัสลินและมีแผ่นกรองหรือฟิลเตอร์ที่ทำจากยางพาราผสมผงถ่านชาโคล สามารถช่วยป้องกัน กรองเชื้อโรคและสิ่งสกปรก รวมถึงฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ไม่ให้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 โดยมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำนวนแห่งละ 5,000 ชิ้น เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

 


 



 

 



Create Date : 24 มิถุนายน 2563
Last Update : 24 มิถุนายน 2563 17:14:29 น.
Counter : 483 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments